ตอนที่ 23 ต่ายตุลย์ (เล่าต่อโดยปอนด์)
มันเป็นคนแบบนี้ล่ะ...
ไอ้บ้าคนนึงที่ทำอะไรตรงไปตรงมาอยู่เสมอ จนบางครั้งดูเหมือนซื่อบื้อไปเลย
บางอย่างที่ดูเหมือนธรรมดาในสายตาของมันมักทำให้ผมตื่นเต้น ตกใจ ประหลาดใจอยู่เสมอ
ความจริงเมื่อผมกลับมาที่โต๊ะหลังจากอาเจียนจนเหนื่อยทำให้อะไรพลอยน่าหงุดหงิดไปเสียหมด แต่แค่เศษกระดาษใบเดียวนั่นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจางหายไปในบัดดล ต้องหลุดขำอย่างกลั้นไม่อยู่
แต่เมื่อแหงนเงยขึ้นมาพบสายตาของทุกคนในโต๊ะแล้วมันก็ขำไม่ออก เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่า ไอ้ตุลย์ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตัวผมให้เพื่อนคนอื่นๆ นอกจากเดฟรู้บ้างหรือยัง แต่เท่าที่รู้มาไอ้ตุลย์ไม่เคยชอบผู้ชายคนไหนมาก่อน มันเกลียดตุ๊ดจนถึงขั้นเคยกระทืบมาแล้ว (นั่นเป็นเหตุผลที่ผมรู้สึกกลัวมากตอนที่รู้ว่าทำเคเอชอาร์มันเป็นรอย)
ผมรู้ที่มันต้องมาทำอะไรบ้าบอๆ นั่นก็แค่อยากเอาชนะผมเท่านั้น มันไม่ได้อยากให้ใครๆ ได้อ่านข้อความนั่นนอกจากผมคนเดียว...
เป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรกว่ามีอะไรอยู่ในติ๊บหรือเปล่า แล้วยังปล่อยให้มันตกไปถึงมือคนอื่นอีกต่างหาก... ผมก็เลยรีบแก้ต่างออกไปว่ามันไม่ได้เขียนให้ผม
สายตาที่แสดงว่าผิดหวังทำให้ผมชะงัก และเปลี่ยนใจจะไม่คืนกระดาษแผนนั้นกลับไปแต่ยังเนียนถามต่อไปว่า
“หรือมึงตั้งใจจะฝากไปให้ใคร เด็กที่ริมทางป่ะ?” หลังคำถามนั้นก็มันกระตุกกระดาษแผ่นนั้นคืนไปแล้วตอบกลับมาว่า...
“ไม่เป็นไร เอาไว้วันหลังกูจะหาโอกาสให้เขาด้วยตัวเอง!!”
อ้อ... เหรอ
สรุปที่แค่พูดเล่นนั่นมันเรื่องจริง?
นั่นสินะ ใช่ว่าจะไม่รู้เบอร์มันสักหน่อย ถ้ามันตั้งใจเขียนให้ผมจริงๆ มันจะเขียนเบอร์ด้วยทำไม มันอาจจะแค่ความบังเอิญติดไปอย่างที่ผมพูด ที่มันตกใจจนอยากได้คืนก็เพราะกลัวผมจะรู้เท่านั้นเองว่านอกจากผม มันก็มีใครอื่นที่หมายปองอยู่เหมือนกัน
เออ.. ผิดเองอ่ะ ที่หลงเข้าใจผิด เข้าข้างตัวเอง...
.......ไอ้กระต่ายปลิ้นปล้อน หลอกลวง ไอ้ชั่ว......
ไหนว่าจะทำให้กูเป็นสุดที่รักของมึงไง ไอ้ฟายยยยยยยยยยยยย
โอ้โลกนี้ไม่มีหัวใจใครแน่นอน... เกย์ร้ายชายร้อน ยอกย้อนกันปี้ป่น
กลิ้งกลอกหลอกลวงกันเวียนวน ฉันจึงเกลียดคนมารักเหล้าสุขสำราญ
(ดัดแปลงจากเพลง เหล้าจ๋า) “เอ้า...ชน” พอมีเหล้าที่ดื่มได้ขวดใหม่มา ผมก็เต็มที่กับชีวิต เที่ยวชนแก้วกับคนนั้นคนนี้ราวกับเป็นเพื่อนกันมานานแรมปีไม่นานเขื่อนก็เริ่มจะแตก ผมลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงนเต็มทน
“จะไปไหน....” ไอ้ตุลย์ยังหันมาถามด้วยสายตาที่ทำเหมือนเป็นห่วงซะเต็มประดา
“เสือก..” ผมด่าชัดถ้อยชัดคำแล้วเดินจากมาโดยไม่มีร่างมันตามมาด้วย
ทรุดกายคารวะโถส้วมราวกับท่านเจ้าสำนัก...
เอิ๊ก....
อ้วกจนเหนื่อย... เมาจนเพลีย... แสบคอฉิบหาย
อยากจะเอาหัวโขกโถส้วมตาย
จู่ๆ ก็มีฝ่ามือหนึ่งมาลูบที่แผ่นหลังเบาๆ จนผมสะดุ้ง แวบหนึ่งใจแอบคิดว่าอาจจะเป็น “มัน” แต่เมื่อหันกลับไปมองกลับเป็นน้องหน้าหวานที่ยกเหล้ามาให้ผมบนเวที
“เป็นไรมากไหมครับ” อีกเสียงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใย
“ดีขึ้นมาแล้วครับ” ผมตอบ พยายามลุกขึ้นทรงตัว น้องเขาก็ช่วยพยุงพาผมไปที่อ่างล้างหน้า ผมก็ล้างหน้าล้างตาชำระล้างคราบอ๊อก...
“พี่ไม่ร้องเพลงแล้วเหรอครับ อุตส่าห์รอฟัง”
“เดินให้ตรงยังไม่ไหวเลยครับ ร้องเพลงก็คงล่ม”
“นั่นสิครับ เห็นเมาแอ๋เลย เดินมาห้องน้ำคนเดียวก็เป็นห่วง เลยแอบตามมาดู”
“ขอบคุณครับ” ผมตอบยิ้มให้
ดูสิครับดู ... เขาเป็นใครกัน? รู้จักกันก็วันแรก ยังมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใยผมเลย ทีคนอื่นมันมีไหมจะมาแลกันสักนิดว่าหายออกมา เดินกลับไหวหรือเปล่า ตกส้วมตายแล้วหรือยัง นอกจากเรื่องบนเตียงแล้ว ตอนไหนบ้างล่ะที่มีความสำคัญ ไม่มี ....ไม่มีเลย....
“ผมชื่อบัสนะครับ พี่ชื่ออะไรเหรอ?”
“ปอนด์ครับ”
“เอ่อ ว่าไรไหม ถ้าจะขอเบอร์พี่น่ะครับ”
…………………………..
(ต่อจากตอนที่แล้ว.....)
“โทษนะที่ยับไปหน่อย...แต่ให้เขียนให้มึงใหม่ กูรอไม่ไหวแล้วจริงๆ”
มือใหญ่บีบมือผมแน่น โดยมีเศษกระดาษบางๆ กั้นกลาง ใบหน้ามันร้อนวูบขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งยังไงก็ไม่ใช่ฤทธิ์จากแอลกอฮอล์แน่นอน หัวใจก็กระตุกวาบ เต้นถี่จนเกินจะควบคุมไหวเมื่อยินเสียงอีกฝ่ายทอดเบาลงหว่านล้อมให้ใจอ่อน...
ในที่สุด...ผมก็ตัดสินใจยกมือขึ้นผลักอกแกร่งออกห่าง เบือนหน้าหนีสายตาบางอย่างที่ทอดมองมาอย่างระมัดระวัง
“อย่ามาตอ... ถ้าตั้งใจเขียนให้กูจริง มึงจะเขียนเบอร์มาทำเขืออะไร” ผมเถียงกลับไปโดยไม่ได้มองหน้ามัน ไม่รู้เหมือนกันว่าที่พูดออกไปอย่างนั้น เป็นเพราะจะบอกว่าตัวเองฉลาดที่จับไต๋มันได้ หรือต้องการคำอธิบายกันแน่...
“แล้วทำไมจะเขียนให้ไม่ได้ล่ะ”
“ก็มึงเล่นโทรจิกกูทีละหลายๆ สาย คิดว่ากูไม่มีเบอร์มึงไง?”ถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“กูจะไปรู้เหรอ ก็มีแต่กูที่โทรหามึงนี่ แต่มึงไม่เคยโทรหากู แล้วก็ไม่ได้เมมเบอร์กูไม่ใช่เหรอ?” เถียงไม่ออกเพราะไม่เคยเมมจริงๆ ทุกครั้งที่โทรมา พอเห็นเลขท้ายสี่ตัวหลังก็รู้มันทันทีว่าคือมัน แค่นั้นเอง...
“ถึงไม่ได้เมมแต่ก็มีอยู่ในเครื่องอยู่ดีนั่นแหละ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ
“แล้วทำไมไม่ยอมเมมล่ะ” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ กะอีกแค่เบอร์โทรนี่มันจะอะไรนักหนา ฮึ?
“เมมทำไม ขี้เกียจ” ผมแก้ตัวทั้งๆ ที่ความจริงผมเคยเมมเบอร์มันไว้ตอนที่มีเรื่องกันคราวแรก แต่พอมันมอมเหล้าแล้วกดผมแล้วผมก็ลบเบอร์มันออกเพราะคิดว่ามันจะไม่กลับเข้ามาในชีวิตผมอีก ผมไม่อยากเก็บเบอร์มันไว้เตือนใจตัวเองเท่านั้นเอง
ใครจะนึกว่านอกจากมันจะกลับมาแล้วมันยังเกาะติดเป็นปลิงขนาดนี้อีก....
ตอนที่หนีไปเที่ยวก็โทรจิกจนรำคาญ มองเบอร์โทรเข้าจนจำได้ซะงั้น
“แล้วไม่คิดว่าชาตินี้จะโทรหากูบ้างเลยหรือไง” มันเริ่มเสียงดังขึ้นตามลำดับเหมือนเริ่มอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว..
“ก็รู้ว่ายังไงเดี๋ยวมึงก็โทรมาเองแหละ แล้วกูจะโทรเองทำไมให้เปลืองตัง กูรอมึงโทรมาไม่ดีกว่าเหรอ?”
มันหน้านิ่งพยักหน้าสองสามทีแล้วเริ่มอมยิ้ม ส่วนผมเริ่มขมวดคิ้ว
“มึงยิ้มทำไม” ถามอย่างไม่พอใจ เมื่อไม่รู้ความหมายของรอยยิ้มนั้น
“เปล่า....ก็แค่ดีใจที่รู้ว่า
มึงรอกูโทรหา” มันตอบหน้าตาเฉย
“เชี่ย ไม่ใช่อย่างนั้น....”
เฮ้ย... ผมหมายถึง ผมไม่โทรไปเพราะเปลืองเงิน นี่มันตีความไปถึงไหนเนี่ย ??
“แล้วอย่างไง? ความจริงคือ ถ้าโทรมามึงก็รับ...ถ้าไม่โทรก็ช่างหัวกู ใช่ป่ะ? แม้จะมีธุระสำคัญคอขาดบาดตายแค่ไหน มึงก็ไม่สนใช่ไหม?” ทันถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้นจนผมก็เริ่มงงว่าตอนแรกใครโกรธใคร แล้วตอนนี้ใครงอนใคร แล้วทำไมท้ายที่สุดผมต้องมาตอบคำถามมันแทนเนี่ย ....
“วุ่นวายจริง!! ถ้าอยากโทรเดี๋ยวกูก็โทรเองล่ะ ถึงจะไม่ได้เมมไว้ แต่กูจำเบอร์มึงได้ จบป่ะ?”
ท้ายที่สุดผมก็เลยเสียงดังกลับไปเพื่อให้มันเลิกซักไซ้ไล่เลียงประเด็นที่ผมไม่ยอมเมมเบอร์มันซะที
มันไม่ได้พูดอะไรอีก เป็นการตอบคำถามของผมว่ามัน “จบ” แล้วที่ต้องมาเถียงกันไปมาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ แต่หันไปก้มหน้าก้มตาพิมพ์อะไรใส่โทรศัพท์ผมอยู่ครู่หนึ่ง
“ทำอะไรอ่ะ?”
“เมมเบอร์ตัวเองในเครื่องมึงไง อ่ะเสร็จพอดี” มันตอบและส่งโทรศัพท์คืนมา
ผมรีบกดเบอร์มันแล้วโทรออก เพราะอยากรู้ว่ามันเมมไว้ว่าอะไร
แล้วมันก็ขึ้นว่า....
ต่ายตุลย์ .......................
.......................
“กลับเหอะ กูว่ามึงเมามากแล้ว อยู่ก็จะอ้วกเรี่ยราดทำร้านเขาเปื้อนเปล่าๆ” ในที่สุดมันก็ชวนกลับสักทีหลังจากเรากลับไปดื่มต่อได้แป๊บเดียว ผมก็เริ่มเกิดแพ้ท้องขึ้นมาอีกแล้ว
ไอ้ผมก็อยากจะกลับซะนานแล้ว แต่ไม่อยากพูดกลัวจะโดนหาว่าอ่อน กินนิดกินหน่อยดันเมา...
แต่ชวนกลับดีๆก็ได้ทำไมต้องบอกว่าผมจะอ้วกเลอะร้านเขขาด้วยล่ะ ปากหมาจริงๆ
“เท่านี้น่าจะพอนะ ถ้าไม่พอยังไงก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้” ตุลย์หันไปสั่งเสียเคลียร์เรื่องค่าเหล้ากับค่าอาหารมื้อนี้กับเดฟที่นั่งข้างๆ โดยดึงธนบัตรใบละพันหลายใบจากกระเป๋าส่งให้
อาการผะอืดผะอมยังย้อนตามมารบกวนจนต้องเอามือปิดปาก แล้วพยายามอดกลั้น
“เออไปเถอะ ขับรถดีๆ อย่าพานักร้องเสียงใสไปตกหล่นแถวไหนล่ะ” เดฟตอบกลับด้วยใบหน้าอมยิ้มยียวนพร้อมเอ่ยแซวปิดท้าย พาเอาคนอื่นๆ พลอยยิ้มตามไปด้วย ซึ่งมันกระทบผมเล็กน้อยเพราะเหมือนโดนหาว่าเมามากจนดูแลตัวเองไม่ได้
“รู้แล้วน่า” ตุลย์รับคำอย่างขอไปที เหมือนรำคาญนิดๆ อย่างเห็นได้ชัด มือข้างหนึ่งยังกระชับข้อมือผมแน่น “ถึงไม่บอก กูก็ไม่ปล่อยให้มันหายไปไหนได้หรอก
เพราะกูน่ะห่วงมันมากกว่าตัวเองซะอีก”
เชี่ย!! เล่นเอากูเกือบสร่าง!!
ผมล่ะไม่อยากสบตาใครในที่นี้เลยให้ตายเหอะ!!
.............................
ในที่สุดเราก็เดินออกมาจนถึงที่จอดรถ ตุลย์หยิบหมวกกันน็อกชนิดครึ่งใบส่งให้ในขณะที่หมวกของมันเป็นแบบเต็มใบ
“มึงพูดแบบนั้นออกไปอ่ะ มึงไม่กลัวคนอื่นเข้ารู้เหรอ?” ผมถามขณะที่ยังถือหมวกกันน็อกอยู่ไม่ยอมสวม มันหันมาเลิกคิ้วใส่
“รู้อะไรล่ะ?” มันทำหน้าโง่ได้สมจริงเหมือนเกิน
“ก็....ก็.....เรื่องที่กำลังจีบกูน่ะ” ให้ตายเถอะ พูดประโยคนี้เองก็เขอนเองเหมือนกันนะเนี่ย กระดากปากยังไงก็ไม่รู้สิ
“ฮ่า... นึกว่าเรื่องอะไร... ก็รู้ไปสิ ก็ไม่เห็นแคร์ แย่หน่อยนะคนที่อยากให้เรื่องนี้เป็นความลับตอนนี้คงมีแต่มึงคนเดียวแล้วล่ะ” แม่ง...ขี้โกงนี่หว่า
“เหรอ? พูดมาได้เนอะว่าไม่แคร์ ทีเมื่อก่อนยังยืนยันอยู่เลยว่าไม่ได้เป็น ไม่ได้เป็น....” ผมย่นจมูกแขวะมัน
“ก็เมื่อก่อนกูคิดจริงๆ นี่...ว่ากูไม่ได้เป็นเกย์” มันบอกหน้านิ่งๆ
“แล้วตอนนี้อ่ะ”
“ก็อยากพูดเหมือนกันว่าไม่ใช่ แต่ถ้ากูยังอยากมีอะไรกับมึงอยู่ แล้วกูยังบอกไม่ใช่ มันก็เหมือนกูโกหกตัวเองไม่ใช่เหรอ?” ผมแอบแยกเขี้ยวนิดๆ ยกมุมปากอย่างหมั่นไส้
“ครั้งแรกกูไม่น่าพลาดลืมใส่ถุงยางเลยเนอะ” เกี่ยว?
“เกี่ยวอะไรกัน?”
“ก็กูไม่ได้ป้องกันก็เลยติดโรคจากมึงมา”
“สัด โรคอะไร กูสะอาดโว่ย...” ผมโวยวายหน้าแดง
“โรคเกย์” ไง
“เชี่ย ” ผมหลุดด่าซ้ำ “กูไม่เถียงนะว่าไอ้โรคเนี่ยมันเป็นโรคติดต่อทางเพศ แต่จะบอกให้นะเว่ย ว่ามันเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าที่มึงคิดเยอะ และไม่มีทางป้องกัน ต่อให้ใส่ถุงยางเป็นสิบๆ ชั้น ถ้ามึงได้ริลองทำลงไปแล้ว แค่ครั้งเดียวก็ติดได้...”
“ใช่ไหม? เพราะงั้น พาหะนำโรคอย่างมึงก็รับผิดชอบซะสิ....” อีกฝ่ายโยนความผิดให้ซะเฉยๆ
“อ้อ...กูผิด?” ผมทำเสียงสูง ชี้หน้าตัวเอง พลางทำเสียงเหอะในลำคอ
“อือ... ก็มึงชอบทำตัวเซ็กซี่ ยั่วยวนกู” สัดนี่..เอากะมันสิ ปรักปรำกันชัดๆ ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นสักหน่อย...
“แล้วจะเอาอะไรกับกูอีก... แค่นี้ยังกดขี่ข่มเหงกูไม่พออีกหรือไง”
“อือ...ไม่พอ” มันพยักหน้ายิ้มๆ
“งั้นจะให้ทำยังไงถึงจะพอ?” ผมถามด้วยเสียงที่แสดงว่าเริ่มไม่พอใจขึ้นมาอีก
“มึงไม่รู้เหรอว่าต้องทำยังไง?” มันยิ้ม...แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆก็เกิดอารมณ์ดีอะไรขึ้นมาอีก...
“ฟาย รู้แล้วจะถาม?” ผมกวนกลับไป
“ถ้าสำนึก..ก็ชดใช้ความผิดมาสิ” มันตอบเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย
ตลกเหอะ!! ดูแม่งดิ ใช้คำผิดป่ะเนี่ย จะให้สำนึกเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ผิดเนี่ยนะ ประสาท...
ตอนนี้หน้าคงมุ่ยเพิ่มขึ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์
มันขยับตัวเข้ามาใกล้จนท่อนขาแอบเบียดกันเล็กน้อย พอผมทำเหมือนจะก้าวถอยมันก็วาดแขนมาจับสะโพกไว้ไม่ให้ขยับหนี ผมเอียงคอมองหน้ามันพลางทำหน้าอึกอัดกับความใกล้ชิดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากภาวนาให้มันพูดให้จบเร็วๆ แล้วจะได้ปลดปล่อยผมออกจากอ้อมกอดสักที แต่แล้วก็ไม่อาจสบตามันได้จนตลอดรอดฝั่ง
“ชดใช้ยังไง?” ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็จำต้องถามตัดความรำคาญ เพราะแม้แต่ตัวเองก็เริ่มไว้ใจไม่ได้ว่าจะหวั่นไหวไปอีกเมื่อไร....
ได้แต่ก้มหน้าลงมองหินดินทราย ตอนที่มันตอบกลับมาว่า....
ว่า....
ว่า...
ว่า...
“ก็รักกูซะสิ” เชี่ยนี่!!!!!! กูนึกว่ากลับตัวกลับใจได้แล้ว
แต่ที่ไหนได้ จีบกูได้ไม่เท่าไร...แม่งกลับมา “บังคับ” กูอีกแล้วเหรอเนี่ย.......
ไอ้กระต่ายเผด็จการ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
..................................................................................
โทษทีมาล่ากว่ากำหนด มันดันมีไอเดียไปแต่งเรื่องอื่นแทน
คืนนี้ยาวเนอะ ตอนที่สี่เข้าไปแล้ว แต่คืนนี้ก็ยังไม่จบ ยังเหลืออีกหนึ่งตอนจ้า ฮาๆๆ
แหม ยังไม่ชินกันอีกเหรอ? ตอนเริ่มๆ เรื่อง สามตอนผ่านไปยังนัวเนียกันอยู่ในห้องน้ำเลย ฮ่าๆ
อ่านนิยายของนิต้องทำใจ เพราะมันน้ำท่วมทุ่งทุกเรื่อง และมันยืดได้หดได้ อิอิ
เจอกันตอนหน้า เจ้าค่า.....