Chapter 8หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เจ้าของใบหน้าสมบูรณ์ราวกับปั้นมา ตาสีฟ้าน้ำทะเลโดดเด่นถูกปิดลงด้วยเปลือกตา ปากหยักสีแดงระเรื่อออกคล้ำคาบปากกาด้ามแพงไว้เหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ เมื่อมีเรื่องให้เค้าคิด ร่างสูงกำยำเอนหลังพิงเก้าอี้หมุนภายในห้องทำงานของตัวเอง เค้าไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่าง หลับตาทีไรก็นึกถึงแต่ใบหน้าน่ารักของเด็กใบ้คนนั้นที่เจออยู่ร้านสะดวกซื้อ หลังจากวันนั้นร่างสูงก็แวะเวียนขับรถไปแถวร้านสะดวกซื้อประจำ แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนตัวเล็กเลย นี่มันก็ผ่านมาหวายวันมาแล้ว ทำไมเค้าถึงเอาแต่คิดถึงเด็กคนนั้นอยู่เรื่อย
‘เฟร็ดเดอริก โจนส์’
ลูกชายคนเล็กของบ้านตระกูลโจนส์ เค้าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้าน โดยเฟร็ดเดอริกมีพี่ชายอีกสองคน คนนึงเป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกันชื่อฟรานซิส โจนส์ และทั้งสองเป็นลูกชายในสมรสของคุณท่านดาร์เรล โจนส์ ที่เป็นคนอเมริกันมาแต่งงานกับคุณหญิงดวงกมลที่เป็นคนไทย ส่วนอีกคนเป็นพี่ชายนอกสมรสของคุณท่านดาร์เรล ชื่อไบรอัน โจนส์ ถึงจะเป็นพี่น้องคนละแม่ แต่ทั้งสามคนก็รักกันดีไม่เคยแตกหักกัน
ครอบครัวโจนส์ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นคู่แข่งกับครอบครัวหงส์วิไลเลิศสกุล ถึงจะเป็นคู่แข่งกันอย่างไรก็ตาม คุณท่านดาร์เรลกับคุณท่านปิ่นฤดีก็เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ พ่อเป็นเพื่อนรักกัน แต่ทำไมลูกชายถึงแตกหักเป็นคู่อริกันแบบนี้ ก็คงเป็นเพราะความอยากได้อยากเด่นชิงดีกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยกระมัง มีเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อยกันบ่อยจนท่านดาร์เรลและท่านปิ่นฤดีปล่อยวางกับลูกชายตัวเองไปซะแล้ว ห้ามอย่างไรก็ไม่เคยฟัง ดื้อและหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่เลยจริงๆ
เมื่อไม่นานมานี้เองครอบครัวโจนส์ได้รับข่าวร้ายจากอเมริกาว่าไบรอัน ลูกชายนอกสมรสของท่านดาร์เรลได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอาการโคม่าและทางคุณหมอบอกว่ายากที่จะพ้นขีดอันตรายจริงๆ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้หนึ่งสยามได้บินไปอเมริกาโดยด่วนเพราะไบรอันกับหนึ่งสยามก็เป็นเพื่อนสนิทกันเมื่อตอนเรียนไฮสคูล ท่านดาร์เรลและฟรานซิสได้เดินทางไปดูอาการไบรอันที่อเมริกาพร้อมๆกับหนึ่งสยาม โดยวานให้ลูกชายคนเล็กอย่างเฟร็ดเดอริกดูแลกิจการที่เมืองไทยแทนสักระยะหนึ่ง
“คุณชายครับ คุณชายๆๆ!” เคลวินลูกน้องคนสนิทของเฟร็ดเดอริกวิ่งเข้ามาในห้องทำงานอย่างแตกตื่น
“มีอะไรวะ ทำไมไม่เคาะประตูก่อนไอ้บ้านี่” ร่างสูงหมุนเก้าอี้ไปเผชิญหน้ากับลูกน้องตัวเองที่วิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่
“เอ่อคือ....ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณฟรานซิส..เอ่อ...”
“มีอะไรวะ อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั้น”
“คะ...คือว่า....คุณไบรอันเสียชีวิตแล้วครับ!”
“อะไรนะ....”
เฟร็ดเดอริกเหมือนคนเสียศูนย์หลังจากได้รับข่าวร้ายจากลูกน้องคนสนิท เมื่อกี้หูเค้าฝาดไปหรือเปล่า มันจริงใช่ไหมที่ไบรอันจากไปอย่างไร้วันกลับ ทุกคืนเค้าภาวนาให้พี่ชายของเค้าหายดีแต่ทำไมกลับกลายมาเป็นแบบนี้ ถึงจะเป็นพี่ชายคนละแม่แต่เฟร็ดเดอริกก็รักและเคารพไบรอันมาก ทุกคนในบ้านรักไบรอัน เค้าเป็นพี่ชายที่ดีน้องๆและลูกที่ดีของพ่อกับแม่เสมอมา ไม่น่าจากไปเร็วขนาดนี้เลย สาเหตุของอุบัติเหตุที่เฟร็ดเดอริกทราบมาก็คือไบรอันดื่มหนักในวันสิ้นปีและตอนที่เค้ากำลังขับรถกลับบ้านในอเมริกาก็เกิดเสียหลักแล้วพุ่งชนใส่ต้นไม้
“เคลวินมึงไปจองตั๋ว...เราจะไปอเมริกา ถึงแม้กูจะไม่ได้เห็นหน้าไบรอันเป็นครั้งสุดแต่ก็ขอให้ได้ไปร่วมพิธีศพของไบรอันก็พอ....” ร่างสูงยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง พร้อมกับโบกมือปัดให้เคลวินไปทำธุระที่ตัวเองสั่ง
“เอ่อ...พิธีศพคงจัดที่บ้านครับคุณชาย เพราะคุณไบรอันได้บริจาคร่างกายให้กับทางโรงพยาบาลแล้ว” เฟร็ดเดอริกพยักหน้ารับรู้
“มึงไปได้แล้วไป....กูอยากอยู่คนเดียว”
“มีอีกเรื่องนึงครับคุณชาย...”
“มีอะไรก็รีบๆพูด”
“คือผมได้ยินคุณฟรานซิสบอกอีกว่าจะบริจาคกระจกตาของคุณไบรอันให้กับเอ่อ...คุณสองเมืองครับ”
“มึงว่าไงนะ!” ร่างสูงกำยำลุกพรูดขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่ลูกน้องคนสนิทอย่างเกี้ยวโกรธ
“คุณชายใจเย็นก่อนครับ...ผมเองก็มีข่าวดีอันน้อยนิดให้คุณชายชื้นใจอยู่ครับ”
“เมื่อกี้มึงว่าไงนะเคลวิน...ไบรอันบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาลกูเข้าใจ แต่กูไม่เข้าใจตรงที่ไบรอันบริจาคกระจกตาให้..ไอ้สองเมืองงั้นเหรอ?”
“ครับคุณชาย....ตอนนี้คุณหนึ่งสยามได้ทำเรื่องการขอบริจาคกระจกตาจากคุณไบรอันแล้วครับ แล้วก็...คุณท่านดาร์เรลก็ยินดีที่จะให้บริจาคด้วยครับ”
“ทำไมต้องบริจาคให้ไอ้สองเมือง...หรือว่ามันตาบอด?”
“ครับ....ก็วันที่คุณชายกับคุณสองเมืองเกิดอุบัติเหตุยังไงล่ะครับ”
“สมน้ำหน้า กรรมมันตามสนองมันจริงๆ หึ”
พูดถึงวันนั้นเฟร็ดเดอริกก็ยังแค้นไม่หาย เพราะมันคนเดียวที่ทำให้เฟร็ดเดอริกแขนหัก แต่ผลกรรมก็ติดจรวดซะงั้น และมันก็ร้ายแรงกว่าที่เค้าเป็นอยู่ด้วยซ้ำ หึหึ ไอ้สองเมืองกลายเป็นคนตาบอดไปเลยหรือเนี่ย คงจะทรมานน่าดูสินะ แล้วอีกไม่นานมันก็จะกลับมามองเห็นอีกครั้ง เพราะได้รับบริจาคกระจกจากไบรอัน คุณท่านดาร์เรลก็ยินยอมเรื่องบริจาคด้วยสิ จะทำยังไงให้มันทรมานมากกว่านี้นะ สิ่งที่ไอ้สองเมืองทำกับเค้ามันมากเกินกว่าจะให้อภัย กี่ครั้งแล้วที่หักหน้าเค้าด้วยการควงผู้หญิงของเค้าขึ้นโรงแรม กี่ครั้งแล้วที่ใช้กลโกงในการแข่งรถจนชนะเค้า มันน่าเจ็บใจนัก
ถึงคุณพ่อเค้ากับคุณท่านปิ่นฤดีจะรู้จักกัน เป็นเพื่อนรักกัน และถึงยังไงไบรอันกับหนึ่งสยามจะเป็นเพื่อนสนิทกัน เฟร็ดเดอริกก็จะไม่มีวันยอมเป็นมิตรกับสองเมืองเด็ดขาด ถ้ามันไม่แย่งผู้หญิงของเค้าก็คงไม่เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้หรอก สองเมืองทำแสบกับเฟร็ดเดอริกเอาไว้เยอะมาก คราวนี้แหละถึงทีเอาคืนเค้าบ้างแล้ว มันไม่สมควรที่จะได้รับการบริจาคกระจกตาจากพี่ชายเค้า เฟร็ดเดอริกจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ไอ้สองเมืองกลับมาเป็นคู่แข่งเค้าได้อีก
“กูจะไม่ยอมให้มันได้กลับมามองเห็นได้อีก!” หึ ยิ่งเป็นกระจกตาพี่ชายตัวเองด้วยแล้ว ไม่มีวันซะหรอกที่จะได้รับโอกาสดีแบบนี้ ถ้าอยากมองเห็นได้อีกครั้งก็คงต้องรอคนอื่นมาบริจาคใหม่
“เอ่อ...แต่คุณท่านดาร์เรล...ตกลงยินนอมไปแล้วนะครับ ฝั่งบ้านหงส์วิไลเลิศสกุลก็รับทราบข่าวแล้วเรื่องบริจาค คุณชายไปห้ามตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ”
“แล้วจะทำไม! ยังไงซะคุณพ่อก็ต้องฟังกู!” เฟร็ดเดอริกจะพูดเกลี่ยกล่อมคุณท่านดาร์เรลให้จนได้ จะไม่ยอมให้ไอ้สองเมืองได้รับดวงตาใหม่หรอก
“เดี๋ยวๆ คุณชายรอก่อนครับ...ฟังข่าวดีอันน้อยนิดซะก่อน” เคลวินยกมือห้ามปรามผู้เป็นเจ้านายอารมณ์ร้อนเอาไว้
“มีอะไรอีก!”
“คือแบบนี้ครับคุณชาย....เอ่อ...เด็กที่คุณชายให้ผมไปสืบน่ะครับ”
เด็กหนุ่มที่เคลวินกล่าวถึงก็คือเด็กใบ้หน้าหวานคนนั้น คนที่เฟร็ดเดอริกเจอที่ร้านสะดวกซื้อในวันนั้น ดวงตากลมโตใสแจ๋วของเด็กคนนั้นเค้ายังจำได้ดี ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักยังตราตึงอยู่ในหัวของร่างสูงไม่เคยเลอะเลือนหายไปไหน เผลอคิดถึงทีไรรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาทันที แม้จะมีเรื่องงานให้เครียด เรื่องเศร้าให้ทุกข์ใจขนาดนั้น เมื่อนึกถึงหน้าเด็กคนนั้นก็ทำเอาเฟร็ดเดอริกสลัดเอาความทุกข์ความเศร้าออกจากหัวจนหมด
รักแรกพบของเค้า...
“เออ...ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”ชายหนุ่มถามอย่างร้อนรน
“เด็กคนนั้นชื่อไมค์ โจว ครับ...เป็นเด็กที่คุณหญิงหยกมณีรับมาเลี้ยงชั่วคราว คือผมไปสืบมาทั้งหมดแล้วครับเด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้า ถูกอาแท้ๆที่เป็นคนไต้หวันนำมาทิ้งไว้ที่ไทยเมื่อสามปีก่อนครับ”
“…..” ชีวิตของเด็กคนนั้นทำไมถึงตกอัปเพียงนี้นะ เป็นใบ้แล้วยังมาเสียพ่อแม่ไปอีก ซ้ำร้ายยังโดนอาแท้ๆนำมาทิ้งที่เมืองไทยเนี่ยนะ
“คุณชายจำได้ไหมครับ...วันที่คุณชายประสบอุบัติเหตุ คุณสองเมืองก็ประสบอุบัติเหตุเช่นกัน...ผมได้ยินมาว่าเค้าขับรถเร็วมากแล้วก็เกือบชนเด็กคนนั้น พอดีว่าหักหลบทันก็เลยทำให้รถพลิกคว่ำ...”
ค่อยโล่งใจหน่อยที่เด็กคนนั้นไม่ได้รับอันตรายอะไร...
“งานประจำของเด็กคนนั้นคือเด็กเสิร์ฟครับ แต่เหมือนจะโดนไล่ออก...เด็กคนนั้นไม่มีที่ไปคุณหญิงหยกมณีเลยรับเลี้ยงเอาไว้”
“ตอนนี้ไมค์อยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่บ้านคุณหญิงหยกมณีครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณสองเมืองได้อยู่ที่ไทยหรือบินตามคุณหญิงหยกมณีไปเกาะมัลดีฟส์ ไม่ได้ข่าวเลยครับ”
“ช่างหัวไอ้สองเมืองมัน....แล้วถ้ากูอยากให้ไมค์มาอยู่ด้วยจะต้องทำยังไง”
“คงไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณหญิงหยกมณีรับเลี้ยงไปแล้ว”
“แล้วคุณหญิงอะไรนั้นได้ไปทำเรื่องรับเลี้ยงไว้รึยัง”
“น่าจะยังนะครับ เพราะว่าเด็กคนนั้นยังไม่มีข้อมูลอะไรติดตัวมาด้วย คุณหญิงหยกมณีน่าจะยังดำเนินการเรื่องรับเลี้ยงไม่ได้ครับ” ถ้าอย่างนั้นเฟร็ดเดอริกก็มีโอกาสได้ตัวไมค์มาน่ะสิ ถ้ายังไม่ทำเรื่องการรับเลี้ยงเอาไว้ เฟร็ดเดอริกลักพาตัวไมค์มาก็คงไม่มีใครรู้ เพราะข้อมูลและประวัติอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แจ้งความก็ไม่ได้อยู่แล้ว
“ก็ดี...ถ้าแลกกับการที่ไอ้สองเมืองกลับมามองเห็น และกูได้ตัวไมค์มาก็คงคุ้มค่า”
“จะดีเหรอครับคุณชาย” เคลวินถามด้วยความกังวล ถึงแม้การลักพาตัวเด็กคนนี้จะเป็นไปได้โดยง่าย แต่มันก็ผิดอยู่ดี ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาก็ซวยกันไปใหญ่
“กูยอมให้ไบรอันบริจาคดวงตาให้ไอ้สองเมือง แต่กูก็ต้องได้อะไรคืนมาบ้างสิ...จะให้ฟรีๆแบบนั้นน่ะเหรอ หึ กูไม่ยอมหรอก ยังไงกูก็ต้องได้ตัวไมค์มา”
“เข้าใจแล้วครับคุณชาย แล้วแผนการ....เอ่อ...”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้.....”
แต่ก็คงอีกไม่นานเกินรอหรอก....
TBC.จุดเริ่มต้นของความเข้มข้นมาแล้ว เตรียมกาต้มน้ำร้อนไว้เลยค่ะทุกคน
อยากทานมาม่ารสอะไรบอกคนเขียนนะคะ จะเอาแบบเผ็ดร้อนหรือฝืดคอ ฮ่าๆ
เป็นกำลังใจให้หนูไมค์กับพี่สองด้วยนะคะ