บทส่งท้าย ผูกจิตร่วมคู่
ผมนั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองนิ่งๆ แต่รู้สึกเลยว่าหน้าตัวเองยังคงแดงเถือกและคาดว่าคงจะแดงไปทั้งตัวเพราะรู้สึกร้อนตั้งแต่หัวจรดหาง พอเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่ามีอาการไม่ต่างกัน เพราะผิวเข้มๆ ของเจ้าตัวนั้นแดงเท่าที่จะสามารถแดงได้ โดยเฉพาะใบหูที่เห็นได้ชัดว่าแดงจัด จากที่เขินสุดๆ ก็เลยกลายเป็นหลุดขำซะอย่างงั้น
“พรืด ฮะ... ฮ่าๆๆๆๆ”
“ขำอะไรฮึ” ไซเลอร์หันหน้าที่ยังไม่หายแดงมาถาม แต่พอสบตาสีเขียวๆ คู่นั้นแล้วในหัวก็ดันนึกถึงเรื่องที่เพิ่งจะได้เรียนรู้มาก็ทำเอาต่างฝ่ายต่างหน้าแดงแข่งกัน แล้วต่างก็หันหน้าหนีกันไปคนละทาง
อ๊ากกกกก ให้ตายสิ เขินโว๊ยยยยยย
รู้สึกเลยว่าหน้าร้อนจนแทบจะระเบิดจนต้องปิดหน้าไว้ให้หายร้อน
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เราทั้งคู่มีอาการแบบนี้น่ะเหรอ
...
หลังที่กลับมาถึงเคลเบรอส ผมก็ได้รับคำขอโทษจากคนที่นี่อย่างล้นเหลือ เพราะทุกคนยังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่ผมถูกจับไปจากพระราชวังอยู่ จนผมอยากจะขอซื้อคำนี้ไปทิ้งวันละหลายๆ รอบ พร้อมทั้งอัดคำตอบและจัดแถลงข่าวไปซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะกว่าจะตอบและปลอบใจได้หมดทุกคนนี่ก็เล่นเอาเพลียไปเลย
ท่านไซรีนแม่ของไซเลอร์ก็ปลอบขวัญผมเป็นการใหญ่ คอยทำนั่นทำนี่ให้กิน ดูแลประคบประหงมผมเป็นอย่างดี เวลาที่ถูกตามไปปฏิบัติภารกิจนี่ คนที่รับหน้าที่มาตามแทบจะถูกกินหัว จนผมทั้งขำทั้งปลื้มที่ได้รับการเอาใจใส่จากท่านถึงขนาดนี้ ตอนแรกท่านไซรีนจะให้ผมเข้าไปอยู่ในบ้านใหญ่ซะด้วยซ้ำ แต่ผมต้องใจแข็งปฏิเสธไปเพราะผมชอบเรือนวสุธาของไซเลอร์มากกว่า (ท่านไซรีนเรียกบ้านใหญ่ แต่ผมว่าเรียกคฤหาสน์น่าจะเหมาะกว่า)
พอก้อนหินโตเต็มวัย มันก็สามารถใช้พลังของมังกรมรกตได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้สามารถควบคุมประตูมิติให้เสถียรมากขึ้นด้วย นานๆ ทีถึงจะมีคนหลุดหลงมา ทั้งสามอาณาจักรบนดินและหนึ่งอาณาจักรใต้น้ำจึงได้ประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนปรับรูปแบบในการส่งคนกลับมิติกันใหม่
ถ้าหากมีคนหลงมาที่มิตินี้ หรือว่ามีจากมิตินี้คนหลงไปที่อื่น ก้อนหินกับผมก็จะรับรู้ได้ในทันที ผมก็จะขึ้นหลังก้อนหินบินไปแจ้งให้แต่ละอาณาจักรทราบ แล้วนำคนของแต่ละอาณาจักรเดินทางไปหาคนที่หลงเข้ามาในพื้นที่ของอาณาจักรนั้นๆ ก่อนที่ก้อนหินจะใช้พลังเปิดประตูมิติ แล้วให้คนของแต่ละอาณาจักรเดินทางไปส่งคนเหล่านั้นกลับไปยังจุดเดิมที่หลงมา
เพราะในบางมิติก้อนหินถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก อาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตในมิติอื่นๆ แตกตื่นได้ อย่างเช่นมิติที่ผมจากมาเป็นต้น ทั้งก้อนหิน คิง องค์ราชา และคนสำคัญของทุกอาณาจักรต่างเห็นพ้องต้องกันว่าไม่อยากให้ผมต้องเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอีก ถึงแม้ว่าเมื่อได้รับเลือดของก้อนหินแล้วผมจะมีอายุขัยเท่ากับคนที่นี่ แต่ก็ยังถือว่าเป็นจุดอ่อนของก้อนหินอยู่ดี ก็เลยต้องมีข้อตกลงกันตามนี้
ในช่วงปีอธิกมาสที่ประตูมิติแปรปรวนมากๆ ทุกคนก็จะยุ่งกันมากหน่อย เพราะจะมีคนหลงมิติบ่อยและมากกว่าปกติหลายเท่า ทั้งผมกับก้อนหิน และทีมส่งคนกลับมิติแต่ละอาณาจักรก็ยุ่งไปตามๆ กัน จนก้อนหินต้องถอนเกล็ดออกเพื่อให้แยกกันไปทำหน้าที่ หลังจากนั้นก็ต้องเอากลับมาคืนก้อนหินเพื่อให้พลังรวมอยู่ที่ก้อนหินเป็นการรักษาสมดุลของประตูมิติต่อไป
แต่พอพ้นปีนี้ไปแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้น ทุกคนก็จะมีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง บางคนก็ฝึกปรือฝีมือต่อ บางคนก็ออกเดินทางท่องเที่ยว บางคนก็เข้าพิธีร่วมคู่อย่างพี่ไซรอสกับเจ้าหญิงพริโอเนซแห่งคราเคนก็จัดพิธีร่วมคู่กันเรียบร้อยแล้ว
ส่วนผมก็ได้รับเชิญให้ไปสอนเรื่องยาสมุนไพรและการรักษาในการประชุมสำนักแพทย์ของทั้งสามอาณาจักรเป็นประจำ ว่างๆ ก็ชวนก้อนหินกับไซเลอร์ไปหาลุงเซเรสบ้าง
ตอนนี้เราก็กำลังวางแผนในการส่งคนจากมิติเราไปประจำยังมิติอื่นๆ เพื่อให้สะดวกต่อการติดต่อประสานงานส่งคนกลับมิติเดิม โดยเฉพาะในช่วงปีอธิกมาสที่มิติแปรปรวนมากๆ ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการตัดสินใจและวางแผนให้รอบคอบก่อนว่าจะส่งไปประจำที่มิติไหนบ้าง แล้วจะส่งใครไปประจำที่ไหน เพื่อความปลอดภัยของคนที่ต้องเดินทางไปอยู่ที่นั่นด้วย
วันหนึ่งระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกันที่บ้านใหญ่อยู่ๆ ไม่รู้ว่าท่านอลาสนึกยังไงถึงได้เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เมื่อไหร่เจ้าทั้งคู่ถึงจะผูกจิตร่วมคู่ด้วยกันล่ะ ไซเลอร์ ก้อนดิน”
เคร้ง!!
“แค่กๆๆๆ” ผมสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ทันที ไซเลอร์รีบขยับมาช่วยลูบหลังให้ ก้อนหินที่อยู่ในร่างเล็กๆ ก็รีบหยิบผ้าที่ผมพกไว้บินมาส่งให้ พอผมหายสำลักผมก็มองไปยังท่านไซรีนที่ทำช้อนหล่นกระทบจานเสียงดังเมื่อครู่
“ตายแล้ว นี่น้องลืมไปซะสนิทเลยว่าทั้งคู่ยังไม่ได้ผูกจิตร่วมคู่กัน ตอนแรกคิดไว้ว่าจะจัดหลังงานของไซรอสเลย ไซเลอร์ก็บอกว่ายังไม่พร้อม แม่ขอโทษนะไซเลอร์ ก้อนดิน ทำไมท่านพี่ไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะคะ ไม่ได้การแล้ว เราต้องไปแจ้งคิงกับควีน ต้องซื้อของ ต้องเตรียมงาน...”
“เดี๋ยวๆ น้องหญิง เจ้าต้องใจเย็นๆ ก่อน ก่อนจะจัดงานนี่ถามความสมัครใจของก้อนดินรึยัง” แล้วสายตาทุกคู่ก็ย้ายมาจดจ้องที่ผมแทน
“ว่ายังไงจ๊ะก้อนดิน เจ้าเต็มใจจะผูกจิตกับลูกชายของแม่ไหม เจ้ารังเกียจพี่เขารึเปล่าลูก”
“เอ่อ...” ทุกคนมีสีหน้าลุ้นๆ ผิดกับผมที่หัวใจเต้นกระหน่ำ รู้สึกหน้าร้อนๆ ขึ้นมาทันที แต่พอหันไปเห็นสีหน้าคาดหวังและดวงตาเว้าวอนของไซเลอร์ก็เผลอตอบไปอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่รังเกียจครับ”
“ได้ยินไหมคะท่านพี่ว่าก้อนดินไม่รังเกียจ ถ้าอย่างนั้นเราไปขออนุญาตคิงและควีนจัดงานกันเถอะค่ะ” พูดจบท่านไซรีนก็ลุกแล้วเดินออกจากห้องอาหารไปทันที ปล่อยให้เรามองตามตาปริบๆ ท่านอลาสกันถอนหายใจ ต่อให้ยังไม่อิ่มก็ต้องยอมอิ่มไปโดยปริยาย ท่านอลาสกันลุกเดินมาตบบ่าเราทั้งคู่
“พวกเจ้าทั้งคู่ก็ปรึกษาเรื่องนี้กันต่อก็แล้วกันนะ”
“เร็วสิคะท่านพี่” เมื่อได้ยินเสียงเร่งของท่านไซรีน ท่านอลาสกันก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินตามออกไป ปล่อยให้เราทั้งสี่นั่งมองหน้ากันต่อ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่อยู่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” พี่ไซรอสพูดยิ้มๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาตบบ่าเราทั้งคู่
“ยินดีด้วยนะ” แล้วพี่แกก็เดินจากไป ปล่อยให้เราสองคนกับหนึ่งตัวมองตามตาปริบๆ แล้วก็เป็นไซเลอร์ที่เอ่ยปากก่อน
“กลับไปคุยกันที่เรือนวสุธากันไหม”
“ครับ” ผมอุ้มก้อนหินที่ยังคงจ้องไซเลอร์เขม็งมากอดไว้ ถึงสีหน้ามันจะดูขัดใจ แต่มันก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร แค่ทำตาขวางใส่ไซเลอร์เท่านั้นเอง
“ไม่พอใจเหรอตัวยุ่ง” ระหว่างที่เดินอยู่ไซเลอร์ก็ถามขึ้นแล้วเอื้อมมือมาโยกหัวมันเล่น
“ก๊าสสส” ก้อนหินโยกหัวหลบแล้วตอบว่าใช่
“อย่าหวงก้อนดินนักเลย ข้าสัญญาว่าจะรักจะดูแลก้อนดินเป็นอย่างดี และจะทำให้ก้อนดินมีความสุขที่สุด” คำพูดเหมือนจะอธิบายให้ก้อนหินฟัง แต่สายตาสีเขียวคู่นั้นกลับจ้องมาที่ผมอย่างแน่วแน่
“ก๊าสสสส” มันไม่ตอบไซเลอร์แต่หันมาถามผมแทนว่ารักมันมากที่สุดใช่ไหม
“ครับหินครับ รักหินมากที่สุดอยู่แล้ว”
“ก๊าสสสส” มันเอาหัวถูอ้อนๆ กระดิกหางด้วยความพอใจ ผมก็ได้แต่กอดมันไว้ด้วยความเอ็นดู แม้ว่ามันจะโตเต็มที่ มีรับผิดชอบตั้งมากมายแล้วก็ยังไม่เลิกอ้อน แถมเจ้าตัวยังไม่ชอบอยู่ในร่างโตเต็มวัยอีกด้วย เวลาอยู่กับผมจะใช้ร่างเดิมตลอด เพราะมันยังชินกับการกอด การอ้อน และนอนด้วยกันอยู่ ยกเว้นเวลาที่ปฏิบัติภารกิจเพียงอย่างเดียวที่มันต้องยอมเปลี่ยนร่างเพื่อให้ผมขี่หลังเดินทางไป
“ไซเลอร์ ก้อนดิน” ระหว่างที่เราสองคนกำลังจะเดินขึ้นบันไดเรือนวสุธาก็มีเสียงเรียกจากชเนาเซอร์ที่กำลังวิ่งตรงมาซะก่อน ผมก้าวขึ้นไปต่อแล้วยืนมองอยู่ตรงระเบียง ปล่อยให้ไซเลอร์ยืนรอเพื่อนอยู่ตรงนั้น พอมองจากตรงนี้ไปก็เห็นว่าทั้งร็อต มาสทิฟฟ์และพรีซาก็กำลังเดินตามมาด้วย
“มีอะไรรึเปล่าชเนาเซอร์” ไซเลอร์ถามเมื่อชเนาเซอร์วิ่งมาถึง
“ข้าได้ข่าวจากข้างในว่าพวกเจ้าจะผูกจิตร่วมคู่กันเหรอ”
เฮ้ย! ทำไมข่าวมันไวนักล่ะ
“พอดีพวกข้ากำลังฝึกอยู่ที่ลานฝึกซ้อมแล้วได้ยินคนที่นั่นพูดกัน ก็เลยจะมาถามพวกเจ้านี่แหละ” มาสทิฟฟ์ที่เดินมาถึงพูดต่อ
“ขึ้นบ้านก่อน” ไซเลอร์บอกก่อนจะเดินนำขึ้นมาที่ระเบียง ไซเลอร์เดินมายืนระหว่างผมกับก้อนหินที่ตอนนี้นั่งห้อยขาอยู่บนระเบียง ตอนแรกก็กลัวระเบียงจะพัง แต่ก้อนหินบอกว่าคุมพลังได้ ไม่ต้องห่วง เมื่อคนอื่นๆ เดินขึ้นมาแล้วก็แยกย้ายไปยืนพิงหรือไม่ก็นั่งบนระเบียงรอฟังคำตอบ
“ว่าไง ตกลงว่าจริงรึเปล่า” ชเนาเซอร์เป็นฝ่ายใจร้อนถามย้ำอีกครั้ง
“จริง” ไซเลอร์ตอบยิ้มๆ
ปฏิกิริยาของทุกคนคือยิ้มกว้าง สีหน้าแสดงความดีใจอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่ทั้งสี่จะเดินมากอดผมกับไซเลอร์และกล่าวแสดงความยินดีทีละคน
“ยินดีกับพวกเจ้าด้วย ยินดีด้วยนะไซเลอร์” พูดจบก็ตบบ่าไซเลอร์หนักๆ ส่วนคนโดนตบบ่าก็ได้แต่ยิ้มกว้าง จนผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ยินดีด้วยนะไซเลอร์ ยินดีด้วยนะน้องดิน” ชเนาเซอร์เป็นคนสุดท้ายที่เข้ามากอดผม แต่เจ้าตัวดันกอดไม่ยอมปล่อยจนไซเลอร์ต้องขยับมาดึงออก
“ขี้งก กอดหน่อยก็ไม่ได้” ชเนาเซอร์บ่นงึมงำอยู่คนเดียว
“ข้าก็ลุ้นตั้งนานว่าเมื่อไหร่พวกเจ้าจะร่วมคู่กันสักที” ร็อตพูดยิ้มๆ
“นั่นน่ะสิ ข้าก็คิดว่าจบเรื่องแล้วเจ้าจะขอก้อนดินเลยซะด้วยซ้ำ” พรีซาเสริม
ผมหันไปมองไซเลอร์อย่างแปลกใจและสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าเพื่อนๆ ชงกันขนาดนี้ พี่แกก็ไม่น่าจะลืม แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นมีวี่แววว่าจะเอ่ยปากเลย ไซเลอร์หันมาสบตาผมแล้วตอบ
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากขอ ข้าแค่ไม่กล้าที่จะขอ ในเมื่อข้าเคยปล่อยให้เจ้าได้รับอันตรายตั้งหลายครั้งหลายครา ข้าเลยอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้เจ้ามั่นใจก่อนว่าข้าสามารถดูแลเจ้าได้ แต่ถึงแม้ว่าวันนี้ท่านพ่อไม่พูดขึ้นมาก่อน ข้าก็วางแผนจะขอเจ้าเร็วๆ นี้อยู่แล้ว” ไม่คิดเลยว่าเรื่องครั้งนั้นจะทำให้ไซเลอร์รู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนแรกคิดว่าหลังจบเรื่องจะเคลียร์กันซะหน่อย แต่ผมก็ดันลืมไปซะสนิทเลย
“ไซเลอร์ เจ้าก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถควบคุมให้เป็นได้ดั่งใจเราทุกอย่าง เรื่องครั้งนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยนะ ข้ารู้ว่าเจ้าพยายามดูแลข้าอย่างสุดความสามารถแล้ว อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ปลอดภัยดีแล้ว อย่าโทษตัวเองอีกเลย ไม่เช่นนั้นข้าก็คงรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันที่ทำให้เจ้าต้องเป็นทุกข์เพราะข้าเป็นต้นเหตุ” ไซเลอร์ยกมือขึ้นมาจับใบหน้าผมไว้แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจนะก้อนดิน” ผมยิ้มตอบด้วยความรู้สึกดีใจที่ไซเลอร์เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อและเลิกรู้สึกผิดสักที
“อะแฮ่ม”
โดยลืมไปซะสนิทว่ามีก้างอยู่ตรงนี้อีกหลายตัว เอ๊ย! หลายคน
“แหมๆๆ ทำอย่างกับโลกนี้มีกันอยู่แค่สองคน” ชเนาเซอร์เอ่ยปากแซ็วเป็นคนแรก
แหมพ่อง!
“ข้าอิจฉาจังเลยพรีซา เราสองคนไปสร้างโลกส่วนตัวกันบ้างไหม” มาสทิฟฟ์หันไปจับมือพรีซาแล้วสบตาทำหน้าซึ้งๆ ใส่
“ก็เอาสิ” พรีซายกมือขึ้นตบหน้ามาสทิฟฟ์แปะๆ
แม้แต่พรีซาก็เอากับเขาด้วย!
“หึๆๆๆ” ส่วนร็อตนี่ยืนขำอย่างเดียว
โว้ยยยย! เบื่อแก๊งนี้จริงๆ แซ็วได้แซ็วดี ไม่เบื่อกันบ้างรึงายยยยย
“น้องดินเป็นอะไรเหรอ หน้าแดงๆ นะ” คนที่เรียกอย่างนี้มีอยู่คนเดียวแหละครับ ชเนาเซอร์! ยังไม่เลิกอีกนะ เดี๋ยวก็ให้ก้อนหินจัดการซะเลย ฮึ่ย!
“ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะขำสีหน้าของผมกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ไซเลอร์ ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจและพยายามทำใจให้ชิน เพราะถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงต้องโดนแซ็วแบบนี้ไปอีกนาน
“เออ ว่าแต่ ถ้าเข้าพิธีไปแล้วตกลงพวกเจ้าใครจะรุก ใครจะรับล่ะ” เมื่อหยุดหัวเราะแล้วไอ้คนไฮเปอร์ของกลุ่มก็ถามขึ้นมา
“เอ่อ...อะไรคือรุกคือรับน่ะ” ผมหันไปถามไซเลอร์ด้วยความงง
“ชเนาเซอร์” ไซเลอร์หันไปส่งเสียงปรามชเนาเซอร์ด้วยท่าทางเก้อเขินอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ก็คือคนที่อยู่ตำแหน่งบนหรือล่างในตอนที่ขึ้นเตียงไง พวกเจ้าตกลงกันรึยัง” ชเนาเซอร์ยังคงอธิบายต่อด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ชเนาเซอร์!” คราวนี้ไซเลอร์ไม่เพียงแค่เอ่ยปราม แต่ยังถีบคนอธิบายอีกด้วย
“อะไรกันเล่า! ก็ก้อนดินสงสัยข้าก็อธิบายให้ฟังไง”
ผมพอจะเข้าใจคำถามของชเนาเซอร์แล้ว ยิ่งประกอบกับท่าทีและสีหน้าขัดเขินของไซเลอร์ก็ยิ่งเก็ท พอหันไปสบตาคนที่เขินนำไปก่อนก็ทำให้ผมพลอยเขินตามไปด้วย ตอนนี้เราสองคนเลยหน้าแดงแข่งกัน
“พวกเจ้าต้องตกลงกันก่อนนะ ข้าได้ยินมาว่าคนที่ต้องรับน่ะลำบากมาก ใช่ไหมพรีซา” ชเนาเซอร์หันไปถามพรีซาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ เลยได้รับคำตอบด้วยฝ่าเท้าของพรีซาไปอีกหนึ่งที
“โอ๊ย! พวกเจ้านี่ ข้าแค่พูดความจริงทำไมต้องทำร้ายกันด้วย” พอเพื่อนๆ ทำท่ายกเท้าเจ้าตัวก็ถอยกรูดๆ ไปไกลๆ ฝ่าเท้าเพื่อนๆ ทันที
ไม่เคยได้ยินรึไง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงน่ะ ตายทุกคน!
“ก็ได้ๆ ข้าไม่ถามแล้วก็ได้ พวกเจ้าไม่อยากรู้กันใช่ไหม”
“อยาก” ประสานเสียงกันมาเลย
โว๊ะ! ไอ้พวกขี้เผือก!
“หึๆๆๆๆ” ไอ้ตัวดีมันส่งเสียงหัวเราะเหมือนผู้ชนะ
“ว่าไงล่ะไซเลอร์” เจ้าของชื่อยังคงเงียบกริบ ไม่ยอมตอบ จนคนถามทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ
“แต่ถ้าให้ข้าเดา ไซเลอร์ตัวใหญ่กว่าก็ต้องเป็นฝ่ายรุกแน่นอนใช่ไหม”
“อย่าเดาส่งเดชเซ่!” ถึงจะยังไม่แน่ใจ แต่ผมก็อดจะเอ่ยค้านขึ้นมาไม่ได้
“แล้วเจ้าจะเป็นฝ่ายรุกเหรอดิน เจ้ายอมเหรอไซเลอร์” ประโยคแรกถามผม ส่วนประโยคหลังนี่หันไปถามเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้ายียวน
“ขอแค่ก้อนดินยอมผูกจิตร่วมคู่กับข้า จะให้เป็นอะไรข้าก็ยอมได้ทั้งนั้นแหละ” ไซเลอร์ตอบทั้งๆ ที่สายตามองผมด้วยแววตาอ่อนโยน จนผมอดจะเขินไม่ได้
“โห่ ไม่ได้เรื่องเลยไซเลอร์” ชเนาเซอร์บ่นด้วยสีหน้าขัดใจ
“ถึงคราวเจ้า ข้าจะรอดูว่าจะรุกใครเค้าได้ไหม เจ้าลูกหมา” ร็อตเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” จบคำพูดของร็อตทุกคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างถูกใจ เพราะคนโดนสบประมาทนั้นแยกเขี้ยวและถลึงตาใส่คนพูดและเพื่อนๆ ทุกคนอย่างไม่สบอารมณ์
หลังจากท่านไซรีนกับท่านอลาสกันกลับมาทุกอย่างก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ท่านไซรีนเกณฑ์คนทั้งบ้านไปซื้อของ เตรียมอาหาร เตรียมสถานที่ และเตรียมอีกสารพัดอย่างจนวุ่นวายกันทั้งบ้าน ส่วนแขกนั้นแทบจะไม่ต้องเชิญ เพราะแค่ไปแจ้งคิงกับควีน ข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนคาดว่าน่ารู้กันข้ามอาณาจักรไปแล้ว
ดูๆ ไปแล้วพิธีผูกจิตร่วมคู่ก็ไม่ต่างจากพิธีแต่งงานดีๆ นี่เอง
หลังจากผมกับไซเลอร์ลองชุดกันเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็ถูกส่งไปเข้าคอร์สเจ้าบ่าวเจ้าสาวหรือฝ่ายรุกกับฝ่ายรับตามที่ชเนาเซอร์ว่าไว้นั่นแหละกันที่สำนักแพทย์ โดยต้องฝากก้อนหินไว้กับร็อตก่อน ตอนแรกก้อนหินก็ทำท่านจะไม่ยอม ไม่รู้ไซเลอร์ไปพูดยังไงถึงได้ยอมได้
ไซเลอร์ให้ผมเข้าไปศึกษาวิธีการเป็นฝ่ายรุกอย่างใจกว้าง ส่วนเจ้าก็ตัวยอมไปศึกษาขั้นตอนการเป็นฝ่ายรับอย่างที่เคยเอ่ยปากบอกไว้จริงๆ แต่ผมแอบไปคุยนอกรอบกับคนจัดคิวแล้วว่าถ้าไซเลอร์ฟังจบ ให้ช่วยสลับให้เราทั้งคู่ได้ไปฟังในส่วนของอีกฝ่ายด้วย แต่ขอให้ช่วยรั้งไซเลอร์ไว้แล้วให้เราเข้าคนละทางโดยไม่ต้องเจอหน้ากัน เพราะถ้าได้เจอก่อนจะฟังจบผมว่าผมต้องทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ
เมื่อเข้าไปในห้องก็พบกับชายหนุ่มที่คุ้นหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น พอเห็นผมก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้ผมต้องเก้อเขินไปกว่าที่เป็น เมื่อผมเดินไปใกล้เขาก็ลุกขึ้นโค้งรับอย่างสุภาพและส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน
หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อย ผมก็นั่งลงฟังคำอธิบายของสิ่งที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าและขั้นตอนของฝ่ายรุก เพียงเริ่มแค่ขั้นแรกก็ทำเอาผมก็รู้สึกร้อนหน้าเหมือนหน้าจะไหม้!
ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะอธิบายโดยใช้คำพูดในเชิงวิชาการอย่างสุภาพ จนแทบจะไม่มีถ้อยคำหยาบโลนให้ระคายหูเลยก็ตาม ถึงผมจะไม่ได้ไร้เดียงสาแต่ฟังแล้วมันก็อดจะเขินไม่ได้ ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าถึงแม้จะเป็นผู้ชายด้วยกันแล้วมันจะมีขั้นตอนและรายละเอียดเยอะแยะขนาดนี้
ทั้งขั้นตอนการเล้าโลม การเตรียมพร้อมให้ร่างกายของฝ่ายรับ การกระตุ้นอารมณ์ จุดที่ไวต่อสัมผัส ท่าต่างๆ ข้อควรระวัง และอีกหลายๆ อย่างที่กว่าจะฟังจบนี่ผมรู้สึกว่าเลือดลมไหลเวียนดีจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว ไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าตอนนี้หน้าคงแดงจัดแน่ๆ พออธิบายจบคนสอนก็ถามผมว่าสงสัยตรงไหนรึเปล่า มีอะไรจะถามอีกไหม พอเห็นผมส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด คนตรงหน้าก็ยิ้มให้แล้วมองด้วยสายตาแสดงความเอ็นดู
พอออกมาจากห้องได้ผมก็มานั่งเอามือปิดหน้าตัวเองอยู่หน้าห้องเพื่อให้หน้าหายร้อนและทำใจสักพัก ก่อนที่จะเดินไปอีกห้องเพื่อที่จะศึกษาในบทบาทของฝ่ายรับต่อ
เมื่อเข้าไปด้านในห้องก็เห็นหนุ่มหน้าใสที่รู้สึกคุ้นๆ หน้านั่งยิ้มรับแขกอยู่ด้านใน เมื่อเห็นหน้าผมก็แสดงสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะพยายามเก็บอาการและลุกขึ้นโค้งให้อย่างสุภาพแล้วกล่าวทักทาย
“ท่านก้อนดิน”
“ไม่ต้องเรียกท่านหรอก เรียกดินเฉยๆ ก็พอ” จะให้เรียกพี่ก็ไม่มั่นใจในอายุของคนที่นี่สักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่หน้าตาของคนที่นี่จะคงที่เมื่อโตเต็มวัย และค่อยๆ แก่ตัวลงอย่างช้าๆ ทำให้อายุแต่ละคนก้าวนำใบหน้าไปมาก คนที่มีอายุร้อยกว่าปีเกือบสองร้อยปีโน่นแหละถึงจะมีใบหน้าสมวัยหน่อย
“เรียกแบบนี้ดีกว่าครับ ข้าสบายใจกว่า เพราะถึงยังไงท่านก้อนดินก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของข้า”
“ฮะๆ พูดเหมือนคนฝั่งโน้นเลย” ผมอดจะรู้สึกขำไม่ได้ เมื่อทั้งคู่ตอบเหมือนกันอย่างกับลอกกันมา
แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีสีหน้าเหมือนจะดีใจผมก็อดจะแปลกใจไม่ได้ เลยเผลอแสดงสีหน้าสงสัยออกไป พอรู้สึกรู้ตัว คนตรงหน้าก็ลูบท้ายทอยแล้วบอกด้วยสีหน้าที่เก้อเขิน
“เราเป็นคนรักกันน่ะครับ” ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดู ความรักนี่มันดีจริงๆ นะ ทำให้คนเรารู้สึกเป็นสุขได้เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เอง
“ข้าก็มัวแต่ชวนท่านก้อนดินคุยจนเสียเวลาไปตั้งนาน เรามาเริ่มกันเลยดีไหมครับ”
ตอนแรกผมคิดว่าการที่ได้พูดคุยได้ทำความคุ้นเคยกันก่อนจะช่วยให้เวลาที่เรียนรู้แล้วจะรู้สึกอายน้อยลงซะอีก
ผมเข้าใจผิดไปเอง เพราะไม่ว่ายังไงผมก็ยังรู้สึกเหมือนหน้าจะไหม้อยู่เหมือนเดิม!
โว้ยยยย จะอายอะไรกันนักกันหนาวะก้อนดิน
มันเป็นเรื่อง เอ่อ.. ธรรมชาติ ตะ.. แต่ มันก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี ฮื้ออออ
ว่าขั้นตอนการเป็นฝ่ายรุกน่าอายแล้ว ขั้นตอนการเป็นฝ่ายรับยิ่งน่าอายกว่าซะอีก
ทั้งการเตรียมพร้อมช่องทางตรงนั้น ยาที่ต้องใช้ขยายช่องทาง การตอบสนองฝ่ายตรงข้าม ส่วนการเล้าโลมและจุดที่ไวต่อสัมผัสนั้นมีเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องการทำความสะอาดหลังจากนั้นอีกด้วย ขนาดการยั่วยวนและวิธีกระตุ้นอารมณ์ก็ยังมี!
ผมยกมือปิดหน้าสงบสติอารมณ์ของตัวเอง โดยมีคนสอนนั่งยิ้มขำๆ แต่มีสีหน้าเข้าอกเข้าใจอยู่ตรงหน้า จากที่ฟังมา ทั้งฝ่ายรุกฝ่ายรับมีข้อดีข้อเสียกันคนละแบบ
“บอกได้ไหมว่าตอนฟังเจ้าอธิบาย ไซเลอร์มีสีหน้ายังไง” หลังจากสงบสติอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ผมก็ถามเรื่องที่สงสัยไปทันที
“ท่านไซเลอร์เหรอครับ อืม ตอนข้าอธิบายก็ตั้งใจฟังมากครับ ถึงจะมีท่าทางเก้อเขินอยู่บ้าง แต่ท่านไซเลอร์ก็ตั้งใจเรียนรู้เป็นอย่างดี มีอะไรสงสัยก็ถามอย่างละเอียด โดยเฉพาะวิธีที่จะทำให้ฝ่ายรุกรู้สึกดีที่สุด ขนาดข้าให้ท่านไซเลอร์เลือกกลิ่นตัวยาที่ใช้ช่วยขยายช่องทาง ท่านไซเลอร์ยังบอกว่าเดี๋ยวจะให้ท่านก้อนดินมาเลือกเองเลย
พรืด!
พอนึกถึงสภาพไซเลอร์ยั่วยวนแล้ว มันอดจะจินตนาการตามไม่ได้และอดจะขำไม่ได้จริงๆ
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ฮ่าๆๆๆ” พอเห็นคนสอนทำหน้างง ผมก็โบกไม้โบกมือพยายามกลั้นหัวเราะแล้วอธิบาย
“ไม่มีอะไรๆ ข้าแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย หึๆๆๆ”
“ท่านก้อนดินโชคดีจังเลยนะครับที่ได้ท่านไซเลอร์เป็นคู่ เพราะหายากมากที่จะมีคนที่ยอมเป็นฝ่ายรับให้คนที่ตัวเล็กกว่าแบบนี้ได้ อีกอย่าง... ทุกอย่างที่ท่านไซเลอร์ถามก็ล้วนแล้วแต่เพื่อท่านก้อนดินทั้งนั้นเลย แสดงว่าท่านไซเลอร์ใส่ใจความรู้สึกของท่านก้อนดินที่สุดเลยครับ”
“อ๊ะ แต่ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านไซเลอร์จะไม่โชคดีที่ได้ท่านเป็นคู่นะครับ ท่านไซเลอร์ก็โชคดีเหมือนกัน คะ...คือ... ข้าหมายถึงท่านทั้งคู่เหมาะสมกันมากครับ แหะๆ”
ผมหัวเราะด้วยความเอ็นดูกับความพยายามในการอธิบายของคนตรงหน้า สงสัยว่ากลัวผมจะโกรธถึงได้อธิบายซะลิ้นพันกันขนาดนั้น ผมได้แต่ยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“อืม ข้าโชคดีจริงๆ นั่นแหละ”
แต่หลังจากที่ถูกคะยั้นคะยอให้เลือกน้ำยาที่ช่วยขยายช่องทาง ก็ทำให้ความรู้สึกอายกลับมาได้อีกครั้ง เพราะคนสอนกระตือรือร้นในการอธิบายเหลือเกินว่ากลิ่นไหนเหมาะที่จะใช้ในบรรยากาศแบบไหน จนผมต้องเบรกให้หยุดเพราะกลัวว่าหน้าตัวเองจะระเบิดไปซะก่อน
พอผมเลือกกลิ่นได้ คนสอนก็หยิบกลิ่นอื่นๆ ที่เห็นว่าผมดูสนใจใส่เพิ่มไปด้วย (ไม่รู้ว่าจะให้เลือกทำไม) บอกว่าเดี๋ยวจะให้คนไปส่งให้ที่บ้านก่อนวันงาน หรือถ้าจะใช้ก่อนก็จะให้คนไปส่งก่อนก็ได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด รีบบอกไปว่าไม่ต้องรีบ ก่อนจะกล่าวลาและเดินออกมานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่หน้าห้องเหมือนเดิม
เพียงไม่นานก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งอยู่ข้างๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นไซเลอร์ที่ศึกษาจากอีกฝั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเห็นหน้าคนข้างๆ เท่านั้นแหละ มันก็อดจะขำไม่ได้ จนเผลอหลุดหัวเราะออกมา แต่พอสบตากันปุ๊บก็เผลอนึกถึงเรื่องที่ได้เรียนรู้มาแล้วก็อดจะเขินไม่ได้
หลังจากต่างคนต่างพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก ไซเลอร์ก็ยื่นมือมาให้ผมแล้วแบออก ผมไล่สายตาจากฝ่ามือไปถึงใบหน้าเจ้าของมือแล้วเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยว่าต้องการอะไร
“ก้อนดิน”
“ครับ” เมื่อผมขานรับไซเลอร์ก็มองมาด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะพูดต่อ
“ตั้งแต่วันที่ท่านพ่อพูดเรื่องการร่วมคู่ของเราทั้งสอง ข้าก็ยังไม่ได้ถามเจ้าด้วยตัวเองสักที” ไซเลอร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนจะรวบรวมกำลังใจ
“ข้าสัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรักและดูแลปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้าเอง เจ้ายินดีจะผูกจิตร่วมคู่และอยู่ที่นี่กับข้าไปชั่วชีวิตหรือไม่ เจ้าพร้อมที่จะวางชีวิตและหัวใจของเจ้าไว้ในมือของข้าแล้วหรือยัง”
ผมยิ้มให้ไซเลอร์ด้วยความรู้สึกตื้นตันก่อนจะยื่นมือไปวางลงบนมือไซเลอร์
“พร้อมครับ เพราะข้าก็รู้สึก ‘รัก’ และอยากใช้ชีวิตกับเจ้าตลอดไปเหมือนกัน” เมื่อได้ยินคำตอบของผมไซเลอร์ก็ยิ้มกว้างออกมา กุมมือผมไว้แล้วยกขึ้นไปจูบอย่างอ่อนโยน แววตาทอประกายความสุขอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมพลอยยิ้มและรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
ถ้าได้ใช้ชีวิตร่วมกับไซเลอร์ ผมมั่นใจว่าผมจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน
(มีต่อค่ะ)