วันพิเศษกับตอนพิเศษค่ะ
กอดทุกท่านแน่นๆ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ^o^
.............................
“ความรักคือพลังงานรูปหนึ่ง..”
‘ปะป๊า!!’.................................................................................................
คุณเอมอรรู้สึกถึงความผิดปกติของลูกแฝดทั้งสองคนตั้งแต่ขับรถไปรับหลังเลิกเรียนแล้ว วันนี้พี่ดอนเอาแต่หลบหน้าหลบตาแม่ เหมือนกับว่าไปทำความผิดอะไรมาแล้วต้องคอยปกปิดไว้ ส่วนน้องรุ่งไม่หลบหน้าหลบตาก็จริง...แต่รายนี้กลับมีอาการตาแดงๆเหมือนผ่านการร้องไห้มาไม่น้อยด้วย
“น้องรุ่ง พี่ดอน วันนี้อยากกินอะไรคะลูก จะช่วยหม่าม้าทำกับข้าว หรือว่าอยากกินข้าวข้างนอก?”
“หม่าม้า.......วันนี้เราทำไข่เจียวกันนะคะ ไข่เจียวสูตรปะป๊านะ น้องรุ่งอยากกิน”
จากกระจกมองหลังเธอสังเกตเห็นลูกสองคนจับมือกันแน่น ก่อนที่ลูกชายจะแกะมือน้องออกแล้วรั้งให้น้องที่ตัวโตเท่าๆกันเอนศีรษะซบลงกับบ่าเล็กๆของตัวเอง
คุณเอมอรตอบรับลูกสาวแล้วมุ่งตรงกลับบ้าน ไล่ให้ลูกสองคนจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเองก็ขนเอกสารที่ไปรับมาวันนี้เข้าไปไว้ในห้องทำงาน อดไม่ได้ที่จะไล้มือไปตามขอบโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลไหม้ ขนาดของโต๊ะนั้นใหญ่เกินกว่าจะเหมาะกับผู้หญิงร่างเล็กแบบเธอ เหมือนกันกับเก้าอี้ไม้ไร้พนักที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะไม้เนื้อหนานั้นที่ไม่ได้เข้ากันกับตัวโต๊ะเลยสักนิด
คิดมาถึงตรงนี้คุณเอมอรก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ ตอนที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน สามีเธอเลือกโต๊ะตัวนี้มาพร้อมกับเก้าอี้บุนวมที่มาเป็นคู่เข้าชุด แต่พอถึงเวลาใช้งานจริงเข้าเจ้าเก้าอี้มีพนักรองรับถึงศีรษะแถมบุนวมสวยงามก็ถูกผลักไปตั้งไว้มุมห้อง แล้วโรเบิร์ตก็ไปยกเอาเก้าอี้ไม้แข็งๆตัวนี้มาใช้แทน พอเธอถามว่าทำไม.....คุณสามีก็บอกว่า นั่งเก้าอี้ตัวนั้นมันสบายเกินไปพานจะหลับเอาง่ายๆ สู้เอาเก้าอี้แบบที่นั่งไม่สบายแบบนี้มาใช้ดีกว่าจะได้ไม่เผลอหลับไปก่อนทำงานเสร็จ
“Robin, I really miss you.”
คลื่นลมผะแผ่วพลันกรูเข้าปะทะผิวแก้มขาวซีด เรียกรอยยิ้มละไมปรากฏบนใบหน้าหวานที่อมโศกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของผู้หญิงร่างเล็กที่ยังไม่พ้นวัยสาว
เสียงเรียกอย่างไม่มั่นใจดังขึ้นจากหน้าห้อง พอคุณเอมอรหันไปมองก็เห็นผลผลิตจากความรักของเธอและสามีผู้ล่วงลับโผล่หน้าลับๆล่อๆอยู่หน้าประตู
“หม่าม้า......”
“โอ๋......อาบน้ำเร็วจัง ไหนมาให้หม่าม้าตรวจซิคะ สะอาดจริงรึเปล่า”
คุณเอมอรก้าวอ้อมมาด้านหน้าโต๊ะทำงานพร้อมกับกางแขนออกรอ เด็กน้อยสองคนก็แข่งกันวิ่งเข้าใส่ แรงปะทะทำเอาร่างกายบอบบางเซไปด้านหลังแต่ชั่วแวบหญิงสาวก็ต้านเอาไว้อยู่ รวบลูกน้อยสองคนเข้ามาในอ้อมอกแล้วหันหน้าซ้ายทีขวาทีสูดกลิ่นแก้มผสมแป้งเด็กเข้าเต็มปอด ระหว่างนั้นก็ไต่มือทั้งสองข้างลงไปถึงช่วงเอวของเจ้าตัวเล็กทั้งสองแล้วเริ่มขยับนิ้วจี้เอวจนลูกๆส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
สามแม่ลูกเข้าครัวแล้วหน้าที่หุงข้าวก็ตกเป็นของลูกชายคนโต นิ้วมือที่ยังสั้นป้อมแบบเด็กๆขยับซาวข้าวคล่องแคล่วก่อนจะรองน้ำใส่จนท่วมข้าวแล้วใช้นิ้วป้อมๆนั่นแหละวัดให้ความสูงของน้ำท่วมข้าวขึ้นมาหนึ่งข้อนิ้ว แล้วจึงใช้ผ้าสะอาดเช็ดก้นหม้อก่อนวางลงอย่างระมัดระวังแล้วกดปุ่มให้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเริ่มทำงาน
ที่โต๊ะไม้ทาสีฟ้าซึ่งถูกต่อขึ้นมาง่ายๆด้วยฝีมือของผู้เคยเป็นหัวหน้าครอบครัว คุณเอมอรกำลังหั่นเบคอนที่เพิ่งทำให้นิ่มลงหลังเอาออกมาจากช่องแช่แข็งจนเป็นชิ้นเล็กๆ ในขณะที่ลูกสาวตัวน้อยประคองชามแก้วเนื้อหนามาวางแล้วหยิบไข่ไก่สามฟองมาตั้งไว้ข้างกัน
“หม่าม้าแกะไข่ให้หน่อย น้องรุ่งจะคนไข่แล้ว”
“ฮะๆๆๆ เขาไม่ได้เรียกแกะกับคนนะคะ ต้องพูดว่า....หม่าม้าตอกไข่ให้หน่อย น้องรุ่งจะตีไข่แล้ว”
“เดี๋ยวพี่ดอนตอกไข่เอง พี่ดอนทำได้”
ลูกชายตัวป้อมที่เพิ่งวุ่นวายกับการหุงข้าวเสร็จเดินมาหยิบไข่แล้วพยายามตอกด้วยมือเดียวเลียนแบบใครบางคน แต่แม้โรเบิร์ตจะจากไปร่วมปีแล้ว มือน้อยๆนั่นก็ยังทำแบบเดียวกันไม่สำเร็จ
คุณเอมอรจับตามองการกระทำของลูกชายที่ทำหน้าเคร่งเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ จนเกือบจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือแล้ว แต่ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเหมือนยอมแพ้แล้วลูกชายของเธอก็เคาะไข่ฟองนั้นลงกับขอบโต๊ะเบาๆ ก่อนจะใช้สองมือช่วยกันตอกไข่ลงชามแก้วที่น้องสาวยื่นรอสำเร็จจนได้
ในขณะที่รอข้าวสุก หน่อไม้ฝรั่ง แครอท และข้าวโพดอ่อนถูกหั่นเป็นชิ้นพอคำแล้วชุบแป้งทอดกรอบจนแทบจะดูไม่ออกว่าเคยเป็นผัก....อาหารที่ลูกแฝดทั้งสองพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
กระทะอีกสองใบถูกนำมาตั้งไฟ ใบหนึ่งใช้ทอดเบคอนชิ้นเล็กๆจนเหลืองกรอบ ส่วนอีกใบคุณเอมอรรับชามไข่มาตีซ้ำอีกสามสี่ครั้งก่อนจะเทพรวดลงไปแล้วขยับกระทะให้ไข่ที่ยังไม่จับตัวแข็งแผ่ออกเป็นวงกว้าง แครอทซอยชิ้นเล็กๆถูกเทลงในกระทะเดียวกับเบคอนที่เริ่มเหลือง คนให้เข้ากัน จากนั้นคุณแม่คนเก่งจึงตักทั้งสองอย่างวางลงบนไข่ที่เริ่มสุก เช็ดดาชีสแบบแผ่นถูกหั่นเป็นสามชิ้นแล้ววางเรียงทับลงไปอีกชั้น ก่อนคุณเอมอรจะใช้ปลายตะหลิวสะกิดขอบแผ่นไข่รอบนอกให้พับทบลงมาเหมือนกับกำลังทำไข่ยัดไส้
หญิงสาวยิ้มปลื้มกับอาการเจริญอาหารของลูกๆที่ได้ช่วยลงมือลงแรงทำอาหารเย็นเอง แต่ก็ยังรู้สึกติดใจกับร่องรอยเศร้าหมองของลูกน้อยทั้งสองเมื่อตอนไปรับกลับจากโรงเรียนอยู่ดี ดังนั้นขณะที่ใกล้ได้เวลาเข้านอนของเด็กๆและตัวเธอกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตัวเก่าของสามี คุณเอมอรจึงเข้าไปในห้องส่วนตัวของลูกสองคนกะว่าจะถามให้ได้เรื่อง แต่บทสนทนาที่แว่วออกมาจากห้องน้ำที่ประตูเปิดแง้มไว้ทำให้เธอตัดสินใจหยุดยืนฟังอยู่ตรงนั้น
“พี่ดอน......ตกลงเราจะไม่ให้หม่าม้าดูเหรอคะ?”
“หึ....ให้ดูไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวหม่าม้าจะเสียใจ”
“แล้วเราจะบอกคุณครูว่ายังไงล่ะ น้องรุ่งกลัวถูกคุณครูดุ”
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง น้องรุ่งไม่ต้องกลัว ก็ยังไงซะถึงให้หม่าม้าดู ปะป๊าก็ไปไม่ได้อยู่ดี เราจะให้หม่าม้าดูแล้วร้องไห้ทำไมล่ะ จริงมั้ย?”
คุณเอมอรตัดสินใจถอยออกมาก่อนแล้วรอจนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวว่าลูกๆทั้งสองออกมาจากห้องน้ำแล้วจึงก้าวเข้ามาในห้องอีกครั้ง ออกปากไล่ให้ลูกๆขึ้นเตียงนอนของใครของมัน น้องรุ่งเด็กดีรีบก้าวขึ้นเตียงชั้นล่างหลับตาพริ้มรอให้หม่าม้าคลี่ผ้าห่มออกคลุมให้ถึงอก ในขณะที่พี่ดอนก็รีบปีนขึ้นชั้นบนเอาใจคุณแม่บ้าง
เด็กๆไม่รู้หรอกว่าคุณเอมอรรู้ทัน ว่าถึงจะห้ามไม่ให้คนน้องที่ร่างกายอ่อนแอเพราะมีโรคประจำตัวขึ้นไปนอนชั้นบนแต่ทุกคืนพอรับกู๊ดไนท์คิสเสร็จ แล้วหม่าม้าปิดไฟก้าวออกจากห้องสองพี่น้องก็รีบเปลี่ยนที่นอนกันทันที
ค่ำนี้หญิงสาวรอให้ลูกๆเปลี่ยนที่นอนกันเรียบร้อยแล้วรออีกสักพัก เมื่อมั่นใจว่าตัวแสบทั้งสองหลับสนิทแล้วจึงย่องเข้ามาในห้องอีกครั้ง ตัดสินใจเปิดกระเป๋านักเรียนของลูกสาวออกดูก็พบหลักฐานอย่างที่คาด เอกสารเชิญบิดาของเด็กนักเรียนเข้าร่วมงานวันพ่อเช้าวันพฤหัสบดีที่โรงเรียนจะจัดขึ้นเพื่อให้เด็กๆมีโอกาสกราบพ่อพร้อมๆกัน
แวบแรกคุณเอมอรนึกตำหนิคุณครูประจำชั้นของลูกน้อยทั้งสองที่ไม่ใส่ใจเลยว่าลูกของเธอไม่มีบิดาให้กราบแล้ว หากอีกอึดใจถัดมาเธอก็เข้าใจว่าการดูแลเด็กป.๑ วัยกำลังอยากรู้อยากเห็นเกือบสี่สิบคน จะมาหวังให้คุณครูจดจำรายละเอียดของเด็กทุกๆคนมันคงเป็นไปไม่ได้ แล้วจึงตั้งปณิธานกับตัวเองว่าแต่นี้ต่อไปจะไม่ยอมร้องไห้ให้เสี่ยงกับการที่ลูกๆจะมาเห็นอีก
หญิงสาวลองค้นดูในกระเป๋านักเรียนของลูกชาย แต่กลับไม่พบกับเอกสารที่ควรจะมีเหมือนกันอยู่เลย คุณแม่ที่ต้องเป็นซิงเกิ้ลมัมเพราะอุบัติเหตุแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เก็บเอกสารแผ่นนั้นไว้ที่เดิม
เช้าวันงานคุณเอมอรก็เคาะประตูปลุกสองพี่น้องตามปกติ แต่แทนที่จะขับรถมาจอดหน้าประตูแล้วปล่อยให้ลูกสองคนเดินเข้าไปเองเหมือนทุกๆวัน คุณเอมอรที่วันนี้แต่งตัวด้วยชุดเสื้อติดกับกระโปรงผ้าลูกไม้สีม่วงเม็ดประปรางตัวเก่งกับม้วนผมที่ยาวเกือบกลางหลังให้เป็นลอนใหญ่แถมยังขุดเอาเครื่องสำอางค์ที่ไม่ได้ใช้เลยหลังจากโรเบิร์ตจากไปขึ้นมาใช้จนทั้งน้องรุ่งทั้งพี่ดอนชมไม่ขาดปากว่าวันนี้หม่าม้าซ้วยสวยกลับจอดรถในที่จอด แล้วจูงลูกแฝดซ้ายขวาก้าวเข้ามาในโรงเรียนด้วย
“หม่าม้า ไม่ไปทำงานเหรอ?” มือกลมป้อมของลูกชายกระตุกเรียกแรงๆจนคุณเอมอรต้องหยุดเดินแล้วก้มลงเลิกคิ้วว่าประหลาดใจกับคำถามส่งให้ลูกชายเจ้าปัญหา
“ก็วันนี้โรงเรียนของพี่ดอนกับน้องรุ่งมีงานนี่คะ หม่าม้าเลยอยู่ก่อนไง”
“แต่........แต่ว่า......” เมื่อก้มลงตอบลูกชายไปแบบนั้น ลูกสาวที่สอดมือจับไว้แน่นอีกข้างก็ส่งเสียงประท้วงเหมือนไม่แน่ใจ แถมยังขมวดคิ้วจนยุ่ง
“แต่ว่านี่มันงานวันพ่อนะครับ หม่าม้าไม่ใช่พ่อซะหน่อย”
“อ้าว!! ก็ใครว่าใช่ล่ะ หม่าม้าแค่มาเป็นตัวแทนของปะป๊าเอง เนี่ยหม่าม้าอุตส่าห์แต่งตัวสวยๆเลยนะ พี่ดอนกับน้องรุ่งจะได้ไม่อายใครไงคะลูก.......หรือว่าพี่ดอนกับน้องรุ่งอายถ้าจะต้องกราบหม่าม้าที่เป็นผู้หญิง ไม่เหมือนเพื่อนๆที่กราบคุณพ่อที่เป็นผู้ชาย?”
“ไม่ใช่นะคะ/ไม่ใช่นะครับ” ลูกสองคนรีบปฏิเสธแถมยังส่ายหน้าถี่ซะจนคุณเอมอรกลัวแทนว่าเด็กๆจะเวียนหัว เธอจึงดึงเจ้าลูกชายตัวป้อมกับลูกสาวตัวผอมนิดเดียวเข้ามากอดไว้จนแน่น
“ถึงตัวปะป๊าไม่อยู่ แต่น้องรุ่งกับพี่ดอนก็ไม่ได้ขาดอะไรนี่คะลูก ทุกวันนี้เราสองคนก็มีปะป๊านะคะ......”
“เอ๋?”
“ก็หม่าม้านี่ไง ถึงหม่าม้าจะตัวไม่โตเท่าปะป๊า แต่ก็ขับรถมารับส่งลูกๆได้ ถึงจะไม่ได้เป็นนักกีฬาแบบปะป๊า แต่ก็ขี่จักรยานเล่นกับลูกๆได้ แล้วก็......ถึงหม่าม้าจะไม่มีสูตรไข่เจียวลับเฉพาะแบบปะป๊า แต่พอเราสามคนช่วยกันเราก็ทำไข่เจียวสูตรปะป๊ากินกันเองได้นี่คะลูก......” คุณเอมอรรู้สึกถึงแรงพยักหน้าแบบเอาเป็นเอาตายของลูกๆแล้วก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ แต่ก็ฝืนพูดต่อไป
“......หรือถ้าวันไหนพี่ดอนกับน้องรุ่งคิดถึงปะป๊ามากๆ อย่างวันนี้เป็นต้น สองคนก็เรียกหม่าม้าว่าปะป๊าแทนเลยก็ยังได้นะคะ ดีมั้ย?”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หม่าม้าตลก ฮะๆๆๆๆ”
ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของลูกๆ คุณเอมอรก็รู้สึกราวกับปมปัญหาทุกอย่างมันคลี่คลายลงด้วยดี ก่อนเวลาเคารพธงชาติเด็กๆต้องแยกไปเข้าแถวตามสายชั้น ในขณะที่ผู้ปกครองถูกกันไว้ด้านหนึ่ง
เมื่อพิธีการเคารพธงชาติและสวดมนต์ประจำวันจบลง และอาจารย์ผู้อำนวยการกล่าวเปิดพิธีพร้อมนำนักเรียนและครูถวายความจงรักภักดีต่อพระผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญของชาติเรียบร้อยแล้ว ผู้ปกครองของเด็กๆก็ถูกต้อนให้ไปนั่งประจำที่เก้าอี้ที่จัดไว้เรียงเป็นลำดับตามสายชั้น
คุณเอมอรเข้าประจำที่พร้อมยิ้มให้ตัวเองโดยเมินเฉยกับสายตาแปลกประหลาดที่แยกไม่ออกว่าเป็นความชื่นชมหรือสายตาแบบไหนกันแน่จากผู้ปกครองคนอื่น ไม่แปลกใจหรอกที่คุณพ่อหรือใครก็ตามที่มาแทนของเพื่อนๆลูกจะมองมาแบบนั้น เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องให้สนใจมากกว่า.......อยากจะรู้ว่าลูกๆจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับสิ่งที่เธอเตรียมไว้ให้
“ปะป๊า!!” เสียงตะโกนใสแจ๋วของลูกแฝดดังขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะเดินตามระเบียบมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอเสียอีก และแทนที่พิธีกราบบิดาจะเต็มไปด้วยความซาบซึ้งสะเทือนอารมณ์ แต่หน้ากากโรบินที่คุณเอมอรแอบทำเองกับมือโดยเอารูปถ่ายหน้าตรงที่กำลังยิ้มแฉ่งของสามีไปขยายแล้วเจาะลูกตากลับทำให้ลูกน้อยทั้งสองของเธอโถมตัวเข้าใส่แถมยังหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ก่อนที่คุณเอมอรเองนั่นแหละต้องยกนิ้วขึ้นแตะส่วนที่เป็นปากบนหน้ากากแล้วทำเสียงเคร่งๆห้ามไม่ให้ส่งเสียงดัง
พื้นที่คับแคบเมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนและผู้ปกครองทำให้ลูกๆสองคนเบียดเสียดกราบลงบนตักหอมๆของหญิงสาว ก่อนที่ลูกชายตัวกลมจะโหย่งตัวขึ้นมาปลดหน้ากากขึ้นไปกองอยู่บนหน้าผากแม่แล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ ตามด้วยลูกสาวตัวจิ๊ดที่ลุกขึ้นมาทำตามอย่างพี่ชายบ้าง
“ดอนรักหม่าม้าครับ.....ฝากหม่าม้าไปบอกปะป๊าด้วยนะ”
“น้องรุ่งก็รักหม่าม้า แล้วก็รักปะป๊ามากๆเหมือนกัน”
บางทีความรักคงเป็นพลังงาน......
เพราะไม่ว่าจะถูกเปลี่ยนรูปไปแค่ไหน มันก็ไม่เคยจะจางหายไปเลย......................................จบตอนพิเศษค่ะ
ปล.งุงิ จะถูกดุไหมนิ อารมณ์พาไปเฉยๆนะคะ