บทที่31.2
(เมล)
บรรยากาศที่เงียบเสียงไป จนได้ยินเสียงลมหายใจของคนตรงหน้า ได้แต่มองหน้าของมัน คนที่ผมรัก ถ้าให้ตอบตามความจริง ไม่มีวันไหนที่ไม่รักทัพหน้า แต่คุณเคยรู้สึกทั้งรักทั้งกลัวไหม ถ้ายื่นมือก้าวขาเดินกลับไป มันจะต่างจากเดิมหรือเปล่า แล้วถ้าไม่...ผมจะทำยังไงที่จะรักษาใจผมเอาไว้ได้อีกล่ะ
ต่อให้วันนี้ทัพหน้าบอกว่ารัก ผมเองก็ยังเชื่อไม่ลง ... ผมจะเชื่อคนที่ตลอดเวลาเกลียดผม เอาแต่ไล่ผมมาตั้งแต่ผมปี1จนถึงตอนนี้ลงได้ยังไง
“กูคิดถึงมึง...พี่คิดถึงเมลมากจริงๆนะ”
มันที่ว่าออกมาแบบนั้น สายตาของมันที่สั่นไหวมองมาที่ผมอย่างเว้าวอน ขอร้องในคำตอบของผม สายตาร้องขอที่ผมไม่เคยเห็นจากมันสักครั้ง แต่ตอนนี้มันกำลังทำแบบนั้น ... ได้แต่มองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสับสน ทั้งรู้สึกเจ็บหน่วงในหัวใจแบบไม่เข้าใจสักนิดว่าผมเป็นอะไร และมันเองเป็นอะไร
“ทัพ” ผมเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงที่พยายามจะทำให้มั่นคงที่สุดตอนที่มองหน้าของคนตรงหน้า ข่มใจตัวเองไว้จนต้องกำมือแน่นๆ
“เมล อยู่ได้ไหม อยู่กับกู ... ” มือแข็งแกร่งที่ยังคงจับอยู่ที่ข้อมือของผมแน่นๆเหมือนมันกลัวว่าถ้ามันปล่อย มันจะไม่ได้จับมือของผมไว้อีก
“ทัพ กูแค่มารับหลงกลับไปกับกู”
“ไม่ให้ กูไม่ให้หรอก มันอยู่บ้านกูนะ ถ้ามึงอยากได้มัน มึงก็มาอยู่ด้วยกันสิ นะ...นะเมล” เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทัพหน้า คนที่ใครๆก็บอกว่ามันเป็นผู้ใหญ่ สุขุม และมักไม่แสดงอารมณ์ให้คนอื่นจับความรู้สึกได้ แต่ตอนนี้...คนที่อยู่ตรงหน้าผมนี้ มันไม่ต่างจากเด็กที่กำลังร้องขออย่างเอาแต่ใจในสิ่งที่อยากได้ ทั้งๆที่ใจรู้ว่าจะไม่ได้ แต่ก็ยังตื๊ออย่างไม่ยอมจำนน
“ถ้ามึงไม่ให้ ... งั้นกูกลับล่ะ” บอกมันออกไปแบบนั้น แล้วดึงมือของตัวเองออกมาจากการจับกุมของมัน ผมที่พลิกตัวกลับหลังหันอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากยื้อเวลาอยู่ต่อหน้าของมันอีก ...
ผมไม่อยากใจอ่อน
ผมไม่อยากเสียใจเพราะการเชื่อใจทัพหน้าอีก
และที่สำคัญ...ผมไม่อยากเดินเข้าไป ในฐานะคนในความลับของมันอีกแล้ว
‘ตุบ’
ในตอนที่มันหมุนตัวหันหลังออกมา เสียงดังที่ทำให้ขาของผมชะงัก วงแขนแกร่งที่กอดรอบขาผมไว้ทำให้ต้องหันไปมอง ทัพหน้าที่ทรุดตัวลงแทบเท้าของผม แล้วกอดขาของผมไว้ทั้งแบบนั้น
“ทัพ...ทำอะไรของมึง”
“เมล...กูขอโทษ” มันที่ว่าออกมาเสียงสั่น เงยหน้ามองหน้าผมอย่างขอร้อง คนร่างสูงตรงหน้าที่ตอนนี้กอดขาผมไว้แน่น น้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลลงมาในตอนนั้น
“ทัพ” ได้แต่เอ่ยปากเรียกชื่อของมันแบบตกใจกับเหตุการณ์ที่เจออยู่ตอนนี้ ... คนแบบทัพหน้าร้องไห้
ร้องไห้ให้คนแบบผม
“อย่าไปได้ไหมเมล เรามาเริ่มต้นใหม่กันได้ไหม”
“อย่าร้อง ... คนแบบทัพหน้า ไม่ร้องไห้ง่ายๆหรอกนะ โดยเฉพาะกับเรื่องของกู น้ำตาของมึงมันไม่ควรจะไหลที่สุด”
บอกมันออกไปแบบนั้น คนตรงหน้ากลับยิ่งน้ำตาไหล ผมที่ก้มตัวลงไปเช็ดน้ำตาให้อีกคนเบาๆ จ้องตาคมที่ตอนนี้น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้า หน้าตาของมันที่กำลังบอกผมว่ามันใจสลาย
“อึก เมล.... มันไม่มีทางเลยหรอวะ ทางที่คนเลวๆอย่างกูจะดึงให้มึงอยู่กับกูได้”
“ทางมันอาจจะมี แต่ในวันนี้มันยังไม่มีทาง”
“อยู่กับกูไม่ได้หรอวะ กูจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยจริงๆนะเมล อย่าไปเลยนะ”
“มึงรู้คำตอบดีทัพ มึงที่อ่านคนเก่งย่อมอ่านกูออกว่ากูจะตอบว่าอะไร”
ผมที่ยิ้มแล้วยังคงเช็ดน้ำตาให้มัน มันที่มองมาที่ผมด้วยสายตาเศร้าสร้อยที่สุด น้ำตาของมันที่ไหลอาบแก้มพร้อมๆกับน้ำตาของผม
“อึก กูไปนะ...”
“เมล ไม่เอา”
“ดูแลตัวเองดีๆ มึงต้องรอดและปลอดภัยนะทัพ”
ผมที่ว่าออกไปแบบนั้น แล้วดึงมือของตัวเองออกมา ทัพหน้าที่พยายามคว้ามันไว้แต่เป็นผมที่ไม่ยอมให้มันได้ทำแบบนั้น คนตรงหน้าที่ไม่มีขาของผมให้เกาะ ใช้มือทั้งสองข้างค้ำยันลงไปไว้กลับพื้น มองเห็นมันที่กำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าให้ผม น้ำตาของมันที่ไหลลงกระทบพื้นจนมองเห็นเป็นดวงๆ ได้แต่ข่มใจหายใจเข้าลึกๆแล้วหันหลังเดินออกมา
“เมล กูขอโทษ” เสียงเข้มที่ทั้งแหบพล่าทั้งสั่นเคลือจนใจผมเจ็บ
“มึงจำเอาไว้นะเมล...ต่อให้วันนี้มึงหันหลังแล้วเดินออกไป แต่ต่อจากวันพรุ่งนี้ที่เริ่มใหม่ กูจะไม่ยอมให้มึงไปเหมือนวันนี้อีก”...
ขาสองข้างที่ก้าวยาวๆวิ่งลงมาจากบันได หลังจากที่วิ่งออกมาจากห้องทำงานนั้นก็ไม่คิดจะหันกลับไปอีกเลย ไม่รู้ไม่สนว่าจะเจอใคร ต่อให้เจอณราชาหรือใครน่าไหนผมก็จะไม่สน หัวใจผมกำลังเจ็บตอนที่ผมเห็นทัพหน้าร้องไห้ ทั้งๆที่ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันจะมาร้องไห้ขอร้องไม่ให้ผมไปจากมันเพื่ออะไรกัน
‘ตึก’
“เมลลลลล เมี้ยวๆๆๆ” ขาที่กำลังจะวิ่งตรงออกจากบ้านหลังใหญ่กับรู้สึกว่าสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง พอก้มลงไปมองก็ดันเจอเข้ากับ
“ไอ้หลง”
“เมี้ยวๆๆๆๆๆ”
เสียงเล็กที่ร้องโวยวายออกมาในตอนนั้น ขาหน้าสองข้างของมันที่กำลังตะกุยขากางเกงของผมอย่างเอาเป็นเอาตาย หน้าตาของมันที่กำลังบอกว่ามันโมโห ทั้งโมโหทั้งเสียใจน้อยใจ
“โถ่หลง กูขอโทษนะที่ทิ้งมึงไว้”
“เมี้ยวๆๆ”
เสียงเล็กๆนั่นที่ยังคงร้องออกมาแบบนั้น แก้มกลมๆของมันที่ดูจะป่องออกมานิดหน่อย เห็นแบบนั้นแล้วต้องเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วก้มตัวลงไปอุ้มไอ้ตัวเล็กนี่ขึ้นมากอดไว้
“เมลขอโทษที่ทิ้งไว้คนเดียว ตอนนี้...ไปอยู่กับเมลนะ ไปอยู่ในที่ของเรากัน”
อุ้มไอ้ตัวเล็กขึ้นมาให้มันจ้องหน้า ดวงตากลมใสของมันที่มองมาที่ผมอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่หัวกลมๆนั่นจะพยักก้มเงยให้ผมเห็น เหมือนกับมันกำลังตอบรับคำพูดของผมอยู่ในตอนนี้ เป็นลูกแมวที่ทั้งเชื่อง ทั้งฉลาด ผมกอดมันเอาไว้แนบอกแล้วมองไปรอบๆบ้านอีกครั้ง ...บ้านหลังนี้ที่มีความทรงจำสำหรับผมเต็มไปหมด
“ไปกันเถอะหลง”
ผมที่พูดออกมาแบบนั้นแล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาทิ้ง อุ้มเจ้าตัวเล็กแนบอก หัวเล็กๆของมันที่วางแหม่ะลงบนลาดไหลของผมก่อนที่เราจะก้าวขาออกจากบ้านหลังนี้มาด้วยกัน ... ไอ้ตัวเล็กที่ตะกุยตัวโผล่หัวขึ้นไปมองรอบๆบ้านอีกครั้ง สายตาของไอ้หลงที่มองไปฝั่งด้านกรงของไอ้รี่ตาละห้อย ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมมันถึงทำหน้าทำตาแบบนั้น ส่วนตัวผมเองที่ละสายตาจากไอ้หลง เผลอเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชั้นสอง หน้าต่างห้องทำงานที่ก่อนหน้านั้นผมอยู่บนนั้น ตอนนี้ไฟยังคงส่องสว่าง และมีร่างสูงของเจ้าของบ้าน ที่กำลังยืนนิ่งๆมองหน้าผมพร้อมทั้งน้ำตาของเจ้าตัวที่ยังไม่หยุดไหล ดวงตาคมที่ฉายฉัดว่ากำลังเศร้าสร้อย ทัพหน้าที่ทำเพียงแค่มองผมนิ่งๆแบบไม่ละสายตา แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้าของมันก็แค่นั้น ผมที่ชะงักค้างตอนที่เห็นแบบนั้น ก่อนจะเผลอลมหายใจสะดุด แต่สุดท้าย ผมก็ทำเพียงแค่หันหลัง และก้าวยาวๆออกจากบ้านหลังนี้มา เหมือนที่ผมตั้งใจเอาไว้
ผมจะไม่มีวันลืมทัพหน้า...และหวังว่ามันจะปลอดภัย และมีชีวิตที่ดีเสมอ
มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเราเจอกันในเวลาที่ถูก และสถานการณ์ที่ใช่ แต่เพราะชีวิตคนเรามันเลือกสถานการณ์ไม่ได้ ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไป ในแบบที่มันควรจะเป็นก็พอ
...
“กรี๊ดดดดดดด นี่มันอะไรกัน!”
เสียงกรี๊ดแหลมสูงที่ทำให้คนร่างสูงที่นั่งอยู่ที่ห้องนอนกระตุกยิ้มมุมปาก นิ้วเรียวยาวที่สะบัดปลายบุหรี่ให้ขี้บุหรี่หลงลงไปในที่เขี่ยบุหรี่ ขายาวที่ยกขึ้นนั่งไขว่ห้างส่วนแขนแกร่งข้างนึงก็วางพาดไปที่พนักโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ เสียงตึงตังที่ดังมาพร้อมแรงเปิดประตูอย่างรุนแรง
“ทัพ! ทัพหน้าคะ คือ คุณ คุณกลับมานานแล้วหรอคะ....”
ณราชาที่เปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรน ก่อนจะเบิกตากว้างที่เห็นทัพหน้านั่งอยู่ในห้องนอนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้เพราะรีบเข้าบ้านเลยไม่ทำให้เจ้าตัวทันสังเกตว่ารถของทัพหน้าจอดอยู่ในโรงรถ
“ครับผม” ทัพหน้าที่ว่าออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเรียบๆ สายตาคมไม่ได้จับจ้องไปที่หน้าของหญิงสาว เจ้าตัวเพียงแค่ใช้มือข้างที่ว่างลูบมือถือของตัวเองเล่นช้าๆโดยไม่พูดอะไร
“ผมกลับมาตั้งแต่เมื่อคืน ... แต่ไม่คิดว่า คุณจะไม่อยู่”
ว่าออกมาช้าๆชัดๆพร้อมกดเสียงเข้มขึ้นที่ประโยคสุดท้าย ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหญิงสาวนิ่งๆดวงตาคมที่วาวโรจน์มองหน้าหญิงสาวตรงหน้าจนเธอต้องเผลอเดินถอยหลัง ณราชาที่มองมาที่ทัพหน้าด้วยสายตาตื่นกลัวพร้อมเหงื่อที่ซึมออกมาไรผม ทัพหน้าที่ค่อยๆละสายตาออกจากมือถือแล้วเงยหน้าไปมองณราชา
“คือชา...ชา...”
“ไปไหนมาหรอครับ?”
“คือชา ... เอ่อ คือเพื่อนชาไม่สบายค่ะ ชาเลยไปนอนเป็นเพื่อนน่ะค่ะทัพ ว่าแต่ทัพทานอะไรคะ เดี๋ยวชาบอกเด็กหาอะไรมาให้นะคะ รอสักครู่นะคะทัพ”
เธอที่ว่าออกมาแบบอ้ำๆอึ้งๆ ก่อนจะรีบพยายามจะหนีออกจากห้อง ร่างบางที่พลิกตัวกลับหลังเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนชา”
“คะทัพ”
“คุณไปนอนบ้านเพื่อนคนไหนมา” ถามออกไปแบบนั้นพร้อมเลิกคิ้วขึ้นมองอีกคนที่กำลังตัวสั่น ริมฝีปากบางที่ขมเม้มเข้าหากันจนแน่น
“เอ่อ เพื่อนสมัยม.ปลายน่ะค่ะ ไอ้...ไอ้ฝนไงคะ”
“หรอครับ ... ผมก็นึกว่าคุณไปนอนกับไอ้หมิงมาซะอีก”
กดยิ้มมุมปากแล้วพูดออกมาแบบนั้น ท่อนขาแกร่งที่คลายออกจากกันก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงของตัวเอง ณราชาที่ถอยตัวหนีจนไปติดกับประตูยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น
“คือ.... คือทัพมันไม่ใช่แบบที่ทัพเข้าใจนะคะ”
เธอที่โพร่งออกมาแบบนั้นหน้าตาตื่น ดวงตาสวยสั่นไหวพร้อมๆกับร่างบางที่สั่นสะท้านขึ้นมาแบบห้ามไม่อยู่เมื่อสบเข้ากับสายตาของทัพหน้า
“เข้าใจ ผมกำลังเข้าใจอะไรงั้นหรอครับ?” ทัพหน้าที่ถามออกมาแบบนั้นพร้อมยิ้มให้ รอยยิ้มเย็นๆเชือดเฉือนยิ่งทำให้หญิงสาวกลัวมากขึ้น เพราะรู้จักนิสัยของทัพหน้าดี
“ชา ชาไม่ได้อยากไปนะคะ หมิง...คือหมิงหลอกชาไปนะคะทัพ ทัพต้องเชื่อชานะคะ”
เธอที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้ววิ่งมาเกาะแขนขอร้องทัพหน้าทั้งน้ำตา คนร่างสูงที่ก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่ครั้งนึงเขาเคยเชื่อใจเธอยิ่งกว่าใคร ฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นลูบผมของหญิงสาวตรงหน้าเบาๆทำเอาณราชายิ้มออกมาได้
“คุณ...คุณเชื่อชา อ๊ะ โอ๊ย! ทัพ ชาเจ็บ”
หัวสวยที่ถูกจิกเส้นผมจนหน้าหงาย แววตาสวยสั่นระริกยามมองเห็นดวงตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้า ทัพหน้าที่ไม่ได้ส่งยิ้มให้อีกต่อไปแล้ว มีเพียงหน้าตานิ่งๆที่แค้นเคือง มือเรียวสวยที่พยายามจับข้อมือแกร่งให้ปล่อยออกจากผมของเธอ
“หึ ตอแหล”
“ทัพ ทัพพูดอะไร โอ๊ย ชาเจ็บนะคะ”
“ตอแหลเก่งดี แต่ผมจะบอกอะไรคุณให้นะณราชา เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่คุณได้รับข้อความจากไอ้หมิง คลิปที่มันกระจายออกไป ทุกอย่าง...มันเป็นฝีมือผมเอง”
“ท...ทัพ”
“แล้วแบบนี้ ยังจะกล้าตอแหลผมอีก!”
ฝ่ามือแกร่งที่จิกเข้ากับเส้นผมแรงขึ้นจนหญิงสาวกรีดร้องน้ำตาไหล ครั้งนึงน้ำตาใสของเธอเคยเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขายอมแพ้ แต่ตอนนี้ น้ำตาของเธอมันเทียบไม่ได้กับน้ำตาแค่หยดเดียวของไอ้เมลสักนิด
‘พลัก’
“ถ้าคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปล่ะก็...คุณรู้จัก เตชะณรงกรค์ น้อยไปแล้วณราชา แค่คลิปที่ถูกปล่อยเนี่ย เค้าเรียกว่าสงครามพึ่งเริ่มต้น รอดูบริษัทพ่อคุณชิพหายได้เลย”
“กรี๊ดดดด ไอ้...แก!” หญิงสาวที่ถูกทัพหน้าเหวี่ยงลงพื้นด้วยสายตาเย็นชากรีดร้องออกมาทั้งๆน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างแค้นใจ
“ส่วนหุ้น ส่วนโฉนดบ้าน และเงินสด ถ้าคิดว่าได้ไปแล้วล่ะก็นะ....คุณรู้จักผมน้อยไป แค่ผมกระดิกนิ้วนิดหน่อยทุกอย่างกลับคืนมาหาผมเป็นปกติแล้ว แต่คุณ ตั้งแต่ที่คิดจะเล่นกับผม ขาข้างนึงก็ก้าวลงนรกแล้วที่รัก ... บาย”
“กรี๊ดดด ไอ้บ้า ฉันจะไม่ยอมหรอก!”
เธอที่ลนลานลุกขึ้นยืนแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว มือสวยที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกดโทรหาหมิงในทันที ตอนนี้เธอต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ ...
“หมิงคะ ช่วยด้วย ทัพหน้ารู้แล้วๆ รู้เรื่องของเราแล้ว...ทุกอย่างเป็นฝีมือมัน”
ทัพหน้าที่ก้าวขาลากเท้าตามออกมาจากห้องช้าๆอย่างไม่เร่งรีบพรางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างคนที่เหนือกว่า มองดูหญิงสาวที่ตอนนี้สภาพกระเจิดกระเจิงวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างขำๆ ... ทัพหน้าที่ไม่ได้ตามลงไป เพียงแต่เดินออกไปที่โถงระเบียงที่อยู่ตรงชั้นสองของบ้านแทน
“จับเธอเอาไว้!” เสียงเข้มที่ตะโกนดังลั่นมาจากระเบียงชั้นสอง ทำเอาลูกน้องที่รักษาความปลอดภัยอยู่ตามจุดต่างๆขยับตัวอย่างรวดเร็วตามคำสั่งทันที
“กรี๊ดดด ปล่อยฉันนะ พวกแกปล่อยฉันนะ!”
เสียงหวีดร้องแหลมสูงของเธอดังแทรกโทรศัพท์เข้าไป ทัพหน้าที่ยืนอยู่ชั้นสองมองลงไปที่สนามหน้าบ้าน เห็นหญิงสาวที่กำลังโดนลูกน้องของตัวเองจับกดอยู่ที่สนามก็ได้แค่นยิ้มสมเพช
“นี่คือจุดจบ ของคนที่คิดจะทรยศคนแบบกู”
...
“ให้ตายเหอะ ทำไมอาจารย์แกกลับมาสอนแล้ววะ ถ้าแบบนี้แสดงว่าอาจารย์ทัพก็ไม่ได้เป็นอาจารย์พิเศษแล้วดิ”
ไอ้อู๋ที่ถามออกมาแบบนั้นตอนที่พวกเราเดินออกมาจากห้องเรียน วิชาที่ทัพหน้าเคยมาเป็นอาจารย์พิเศษ ในวันนี้อาจารย์ประจำวิชาได้กลับมาสอนปกติแล้ว แต่นั่นก็ดีแล้ว...เพราะการต้องมองเห็นหน้ากันตอนนี้มันคงยากเกินไป
“ว่าแต่ไอ้เมล มึงรู้อยู่แล้วเปล่าวะ”
“เปล่า...กู ...”
“สัดอู๋ มึงก็ยุ่งจังวะ”
เป็นไอ้กุ๊กที่ว่าแทรกออกมาแบบนั้น ผมหันไปยิ้มให้มันแบบขอบคุณ เพราะตั้งแต่วันนั้น ผมยังไม่ได้บอกกับเพื่อนว่าผมไม่ได้อยู่กับทัพหน้าแล้ว ทุกวันนี้กลับมาอยู่กับที่บ้าน คอนโดตัวเองก็ไม่ได้ไปนอนเช่นกัน ถึงแม้ว่ากลับไปบ้านแล้วจะต้องทะเลาะกับพ่อนิดหน่อย แต่ก็ยังดีที่ช่วงนี้ไอ้ก้ามาอยู่ที่บ้าน เห็นว่าเดือนหน้ามันกลับครอบครัวถึงจะบินไปดูโรงเรียนให้ลูกๆของมันที่อังกฤษ ช่วงนี้มันเลยมาทำตัวเป็นพี่ที่ดีดูแลผมแทน
“เอ้า ก็กูอยากรู้เรื่องนี่หว่า”
“เสือกนัก แดกขี้ไหมจะได้ไม่ต้องพูดมาก”
“ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกเมล อยากกินอะไรไหม ไหนๆตอนนี้ก็เลิกเรียนแล้ว”
เป็นไอ้บินที่ถามผมออกมาแบบนี้ คิดว่ามันคงรู้ไม่มากก็น้อย เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทุกเย็นผมจะกลับรถขับเอง ไม่ได้มีใครมารับเหมือนเมื่อก่อน
“ไอ้กุ๊กมึงหิวอะไรวะ” ผมที่หันไปถามมัน มองเห็นไอ้กุ๊กที่เสหน้าไปมองไอ้บินที่ยืนอยู่ข้างๆผม มันที่ยิ้มออกมาหน่อยๆแล้วส่ายหน้า
“ไม่อ่ะมึง วันนี้กูต้องไปต่อ”
“ไปไหน วันนี้มึงไม่ได้เอารถมา เมื่อเช้ามึงมากับกู” เป็นไอ้บินที่เอ่ยแทรกออกมาแบบนั้น กูนี่เลิกลักเลย ทำไมกูต้องมายืนคั่นกลางพวกมันสองตัวด้วยเนี่ย
“ใช่ แต่ตอนนี้กูไม่กลับกับมึง”
“ทำไม” ไอ้บินที่กดเสียงเข้มขึ้นมาเหมือนไม่พอใจในตอนนั้น ผมหันไปมองหน้าไอ้อู๋ที่ทำหน้าเหนื่อยหน่ายส่งมาให้ผม
“กูจะ...”
“ฮ้ายยย สวีดัสสวัสดีจ้าหนุ่มๆ ดีจ๊ะน้องกุ๊กๆ คุยอะไรกันอยู่ น่าสนุก”
เสียงสองที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของพวกผม พอหันไปมองก็เป็นร่างหนาของเจ๊ดานี่ที่เดี๋ยวนี้เริ่มคุ้นเคยเพราะเห็นพี่มันมารับไอ้กุ๊กบ่อย
“มึงมาทำไม”
“เอ๊า น้องบิน เปิดมาแบบนี้เป็นเหมือนการเสือก งั้นเจ๊ก็ต้องตอบให้น้องบินหายข้องใจว่า เจ๊มารับหนูกุ๊กๆกิ๊กไปแดกข้าวจ้า” พี่มันที่ว่าออกมาแบบนั้นหน้ายิ้มๆ แต่กูเห็นว่าพี่มึงแอบแสยะยิ้มแล้วยักคิ้วใส่ไอ้บินอยู่นะเออ ... เนี่ย พี่มึงมันรว้ายๆ
“นี่มึงจะเอากับกูใช่ไหมไอ้ตุ๊ด” ไอ้บินที่ทำท่าพุ่งเข้าใส่เต็มที่ อาจเพราะโดนคำว่าเสือกกระแทกหน้าเลยค่อนข้างเลือดร้อน
“กรี๊ดดด เอาค่ะ ให้เอาไหมยาวๆแบบนี้ก็ชอบนะ” แต่กับคนนี้ดูจะไม่สะท้าน ดูเหมือนชอบใจจนกูงง พี่ดูคันอ่ะ
“พอๆ เลิกกัดกันซักที ส่วนมึง อยากกลับก็กลับไป วันนี้กูนัดกับเจ๊ดานี่แล้ว”
“ไอ้กุ๊ก”
“พอๆ พวกมึงพอเลิกเถียงกันเหอะ หรือถ้าจะเถียงก็ไปเถียงกันนะ วันนี้กูเหนื่อยพอแล้ว กูขอตัวกลับก่อนนะ บายจ้า” ผมที่เอ่ยปากแทรกสงครามแย่งเฮเลนแห่งทรอย ระหว่างไอ้บิน กุ๊ก และเจ๊ดานี่
“มึงจะกลับแล้วหรอวะ” ไอ้บินที่ดึงแขนผมแล้วถามออกมาแบบนั้นตอนที่ผมหันหลังจะเดินหนี
“อืม กูกลับล่ะ”
ตอบมันออกไปแบบเหนื่อยๆ จริงๆมันก็ค่อนข้างจะเหนื่อย เพราะแค่เรื่องของตัวเอง ผมยังทำใจให้เป็นปกติไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แถมเมื่อคืนที่แอบไปบ้านมัน แล้วต้องเจอมันในสภาพนั้น พูดตรงๆว่าเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านๆมาที่ผมหนีไปทำใจแม่งศูนย์เปล่า
“อืม กูกลับล่ะ” ตอบออกไปแบบนั้น แล้วดึงแขนตัวเองออกจากมือของไอ้บิน เดินออกมาจากดงสงครามตรงนั้น ได้ยินเสียงที่ดังไล่หลังตามมาจากปากของพี่ดานี่แว่วๆ
“คนที่ยังโลเล มันไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าไปอยู่ในชีวิตใครหรอกนะคะ”
ได้ยินเสียงแว่วๆตามมาเหมือนจะมีเรื่อง แต่ก็ช่างมันเถอะ แต่ผมเองก็แอบเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ดานี่มันนะ คนที่โลเลน่ะ จะไปดึงใครอีกคนเข้าไปในชีวิต เพื่ออะไรวะ? ...
นั่นสิ เพื่ออะไรวะทัพ อยากให้กูกลับเข้าไปในชีวิตมึงทำไมกันวะ
‘เอี๊ยดดดดดดดด’
เสียงล้อรถที่สีเข้ากับพื้นถนนดังลั่นลานจอดรถ ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ที่กำลังคิด พอหันไปดูก็มองเห็นรถตู้ไม่ติดป้ายทะเบียนที่ขับมาจอดตรงหน้าของผมอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่จะวิ่งหนี ประตูรถที่กระชากเปิดออก มองเห็นด้านในที่มีคนใส่ไอ้โม่ง แต่มีอยู่คนเดียวที่ผมจำหน้าได้แม่น เพราะมันไม่ใส่ที่ปิดหน้า
“ไอ้....ไอ้หมิง!”
“มึงมานี่!!”
ยังไม่ทันที่จะได้ตะโกนหันไปหาเพื่อน ตัวของผมก็โดนกระชากตัวขึ้นไปบนรถตู้คันนั้นซะก่อน
“ไอ้หมิง! มึง”
‘ผลัว!’
“โอ้ย!” หน้าผมที่โดนกระแทกเข้ากับหมัดหนักๆจนหน้าหัน รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่ไหลเข้าปาก รู้ได้เลยว่าปากแตก
“ผัวมึงทำลายชีวิตเมียกู”
“เมียมึง...ณราชา?”
“ใช่! ไอ้ทัพ ไอ้เหี้ยนั่นมันทำลายชีวิตณราชา กูจะทำให้มันรู้ว่า ถ้าเมียมันเจอแบบนั้นบ้างมันจะเป็นยังไง”
“มึงมันเหี้ย เมียมึงก็เหี้ย ไม่ว่าไอ้ทัพมันจะทำอะไร พวกมึงก็สมควรแล้ว!”
“ปากดีนักนะมึง ท่าทางจะลืมรสชาติมีดกูสินะ”
“มึง...มึงจะทำอะไร!”
“หึ!”
...
(มีต่อจ้า)