รสหวานของจิวสีเงิน
‘อยู่ไหน’[รออยู่ตรงม้านั่งหน้าคณะครับ]ผมมองหาคนที่เอาเล่มรายงานมาให้ ใช้เวลาแค่ชั่ววินาทีก็หาเจอ...เพราะเขาโดดเด่นออกมาจากกลุ่มนักศึกษาจำนวนมากที่นั่งอยู่บริเวณนั้น เขาสวมเสื้อนักศึกษาตัวโคร่งอย่างเคย มือสวยกำลังเปิดรายงานเล่มหนาเพื่อเช็คอีกรอบ ผมที่กะว่าจะเรียกชื่อเขา เงียบเสียงลงเมื่อได้ยินโต๊ะข้างๆคุยกัน
"น่ากลัวแก เจาะปากด้วย"
"เออ ดูเหมือนพวกมีปัญหาอ่ะ”
“พวกเด็กอาร์ตมาทำอะไรแถวนี้วะ"
ผมมองไปทางกลุ่มรุ่นน้องในคณะตัวเอง ก่อนจะมองไปที่คนที่กำลังเม้มปากทั้งกุมมือตัวเองไว้เหมือนอยากปิดรอยสักสวยและเล็บที่ทาสีดำไว้ให้พ้นสายตาคนอื่น
“มานานยัง”
ผมเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะแตะที่มือนั่นเบาๆแค่ครู่เดียว คนที่นั่งอยู่เงยหน้ามองก่อนจะยิ้มให้
“ไม่นานครับ"
"ทีหลังให้ไปหาก็ได้นะ ไม่ต้องมาที่นี่”
ผมนั่งลงตรงข้ามเขาพร้อมกับบอก ตากลมโตจ้องตรงมาที่ผมก่อนจะเสหลบไป มือที่คลายออกเมื่อครู่กลับไปกุมกันไว้แน่น
"เข้าใจแล้วครับ”
ผมที่ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจไปในทิศทางไหนหยิบเล่มรายงานมาเปิดดู เห็นว่าเขาทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าที่คิด
แต่ตะกอนที่อยู่ในใจของผมตอนนี้คือกลัวเขาจะเข้าใจผิดไปว่า ผมไม่อยากให้เขามาที่นี่อีก
“นี่”
“ชินแล้วครับ มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบเป็นธรรมดา”
เขายิ้มให้
“ชินได้เหรอ เรื่องแบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับ คงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว"
ผมมองรอยยิ้มของเขา และเห็นอะไรบางอย่างบนตรงกลางลิ้น
"ที่ลิ้น คืออะไร”
เขาอ้าปากน้อยๆห่อลิ้นเล็ก ก่อนจะตอบ
"จิวครับ เป็นเงินแท้”
ผมที่สงสัยว่ามันเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไงถามเขา
"เจ็บไหม”
"ไม่เท่าไหร่ครับ"
เขาส่ายหน้า เส้นผมที่คลอเคลียอยู่กับบ่าไหวเล็กน้อย
"แล้วตอนจูบ...รู้สึกยังไง?”
ผมมองริมฝีปากสีสด ที่ใกล้กันกับมุมปากมีห่วงบางๆสีเงินสวมอยู่ และที่ลิ้น...ผมอยากรู้ว่ารสสัมผัสสีเงินบนนั้นจะเป็นยังไง
“ไงเสือ กินข้าวยังวะ”
เพื่อนของผมที่พึ่งเลิกเรียนเดินมาทักทาย หนึ่งในกลุ่มนั้นจ้องคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม
“งานโอเคไหมครับ”
เขาถามถึงเล่มรายงานในมือถือ ผมพยักหน้ารับ
“ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะครับ”
เขาว่าพลางยืนขึ้นเต็มความสูง ผมมองนิ้วมือสวยก่อนจะแตะมันเบาๆ
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ไปทานข้าวเถอะ"
เขาชักมือตัวเองกลับ ก่อนจะเดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ
“เหมือนที่ไอ้เหี้ยแซมบอก”
กรนั่งลงตรงข้ามผม
“เรื่อง?”
“มึงชอบพี่เขาเหรอวะ”
“พี่ไหน”
ผมถามพร้อมกับมองเล่มรายงานในมือ
“พี่คนดี”
ผมมองหน้าเพื่อน ก่อนจะตอบ
“เปล่านี่”
ผมปฏิเสธ แอลที่ยืนมองมานานถามขึ้นบ้าง
“ตอนเย็นไปเล่นบาสกันไหม”
“เอาสิ”
ผมว่า
“ไม่ไปรับน้องแนนเหรอวะ”
“ไม่ วันนี้แนนกลับบ้าน”
.
.
.
.
ผมมักไปไหนมาไหนกับเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่เสมอ อย่างวันนี้หลังจากเรียนเสร็จตั้งแต่เที่ยง ผมกับเพื่อนก็มาเดินเล่นที่ห้างแถวม. หลังจากมื้อใหญ่ แอลก็สะกิดผมให้หันไปอีกทาง
“พี่คนดีว่ะ”
ผมมองตามสายตาของเพื่อน เห็นคนที่ไม่ได้เจอมาเกือบเดือนกำลังหอบของออกมาจากร้านเครื่องเขียน เขามองตรงไปยังฝั่งลิฟต์ ผมมองจมูกโด่งด้านข้างของเขาที่มีจิวสีดำติดอยู่ มันทำให้ผมคิดถึงจิวเล็กๆบนลิ้นสีสด
“เห็นแล้วว่ะ”
แอลว่าเมื่อเขาหันมาทางนี้พอดี
เขายิ้มให้เมื่อเห็นแซมยกมือไหว้ แล้วก็ยิ้มเผื่อมาถึงพวกเพื่อนๆผมที่คุ้นหน้ากัน เราสบตากันชั่วครู่ ผมมองตากลมโตที่มองตรงมา
“ซื้ออะไรพี่”
แซมถามถึงถุงขนาดใหญ่หลายถุงในมือเขา
“สีอะครีลิคครับ”
“ช่วยไหมพี่”
แซมถามพร้อมกับเดินเข้าไปถึงตัวเขาก่อนใคร
“ไม่เป็นไรครับ สบายมาก”
ถึงเขาจะว่าแบบนั้นแต่ก็ดูท่าทางทุลักทุเลพอสมควร ผมมองนิ้วมือที่แดงเป็นปื้นเพราะถุงพลาสติกสี่ใบใหญ่ ดูแล้วน่าจะหนักมาก ถึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปหาก่อนจะฉวยถุงสามใบออกจากมือเขา มันหนักกว่าที่คิดเยอะ
เขามองมาที่ผมด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่
“เดี๋ยวช่วย”
ผมว่าก่อนจะหันไปบอกเพื่อน
“งั้นกูกลับก่อนนะ”
แซมทำหน้าเบื่อหน่าย แต่ก็พยักหน้ารับ ทำให้อีกหลายคนตอบรับออกมาด้วย
ผมรู้ว่าพวกมันจะเอาไปพูดอะไรบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของผม
ผมปล่อยให้เขาสะพายกระเป๋าผ้าของตัวเองกับถือถุงกระดาษอะไรสักอย่าง ก่อนที่ผมจะเดินนำลงมาข้างล่างลานจอดรถ ในมือมีของที่น่าจะหนักกว่า 5 กิโลกรัม ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะแบกมันกลับคนเดียวได้ยังไง
“คือ…”
ผมได้ยินเสียงเรียกมาจากข้างหลัง ถึงได้หันมามอง
“จะไปไหนครับ”
อาจจะเพราะว่าผมตัวสูงกว่าเขาอยู่มาก คนที่สูงไม่น่าจะเกิน 170 ถึงได้เงยหน้ามองกันแบบนี้
“ลานจอดรถ”
ผมบอกเขา คนดีทำหน้าตกใจ เขาชี้ไปที่อีกฝั่ง
“ไปหน้าห้างดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะเรียกแท็กซี่”
ผมหันไปมองคนที่ยืนทำหน้าลำบากใจ วันนี้เขาถอดห่วงที่ปากออก ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามีจุดแดงเล็กๆที่ใต้ริมฝีปากล่างสองข้าง แสดงว่าคงเจาะไว้ทั้งสองข้าง
ผมทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เขาบอก แต่ตั้งใจเดินไปหารถตัวเองที่จอดไว้ไม่ไกลจากทางออกลานจอดรถนัก
“เดี๋ยวไปส่ง”
ผมบอกพร้อมกับเปิดกระโปรงรถด้านหลัง ขยับรองเท้าส้นสูงหลายคู่ของแนนไปไว้ข้างๆ แล้ววางของพวกนั้นลง
“ผมไม่ได้จะกลับบ้านนะครับ”
ผมมองคนที่ยังไม่ยอมวางของที่เหลือลง
“แล้วจะไปไหน”
“ไปคณะครับ”
ผมฉวยถุงกระดาษจากมือเขาวางลงไป ก่อนจะเดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ ให้คนที่ปฏิเสธไม่ได้เดินตามมานั่งข้างกัน
“คือ...ผมกลับเองได้ ผมเกรงใจ”
เขาว่าในตอนที่เสียงสัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้น ผมมองปลายจมูกที่มีเหงื่อซึมก่อนจะเอื้อมมือไปคาดเข็มขัดให้เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ยังวุ่นวายอยู่กับมือถือตัวเอง
จะว่าผมตั้งใจก็ใช่...ผมอยากมองเขาใกล้ๆ
“คือ…”
ผมว่าแนนตัวเล็กแล้ว เขากลับดูผอมบางมากกว่านั้นอีก อาจจะเพราะเขามีร่างกายที่ค่อนข้างเพรียวไม่ได้มีทรวดทรงแบบผู้หญิง และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงชอบสวมเสื้อตัวใหญ่เกินจริง แต่ยิ่งเสื้อตัวใหญ่ คอเสื้อก็ยิ่งกว้างตามไปด้วย ผมเห็นตัวอักษรจีนตัวบางตรงไหปลาร้าข้างซ้ายของเขา
ปกติกลิ่นในรถของผมจะเป็นกลิ่นน้ำหอมหวานๆหน่อยเพราะแนนชอบ แต่กลิ่นที่ติดจมูกผมอยู่ตอนนี้เป็นกลิ่นหอมเย็นสดชื่นเหมือนกลิ่นน้ำหอมของผู้ชายมากกว่า
“ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลยครับ”
ผมมองหน้าคนพูด เขาไม่ได้ดูประหม่าหรือไม่ชอบใจ เขาดูนิ่งเฉยอย่างเคย มีเพียงแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อที่บอกว่าเจ้าตัวคงไม่ปกติ
ผมเมินหน้าจากเขามาสนใจกับพวงมาลัยตรงหน้าแทน
“สินกำนี่อยู่ตรงไหนนะ”
“ข้างตึกวิศวะครับ”
“ดูไม่น่าจะอยู่ใกล้กันได้”
ผมว่า เพราะเคยได้ยินข่าวว่าสองคณะนี้ไม่ค่อยถูกกัน
.
.
.
.
ผมถือของจากหลังรถเดินตามอีกคนเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ เห็นนิสิตหลายกลุ่มกำลังนั่งทำงานอยู่ ต่างก็เป็นงานศิลปะที่ผมเห็นว่าสวยดี บางทีโจทย์ของงานคงเป็นภาพเหมือน ผมเห็นบางคนกำลังลงสีรูปเค้กที่มองไกลๆแล้วเหมือนจริงมาก
“ไปไหนมา”
หนึ่งในเพื่อนเขาถามพร้อมกับเดินมาดึงถุงออกจากมือเขา
“ซื้อของไง”
“ก็บอกแล้วว่าถ้าจะไปให้บอก แล้วถือมาได้ไง”
คนโดนเพื่อนดุหัวเราะแหะๆก่อนจะหันมาหาผม
“ครามมาช่วยพอดี”
เขายิ้มตาปิด
“ใคร”
คนที่น่าจะเป็นรุ่นพี่ผมหันมาถามด้วยแววตาไม่เป็นมิตรนัก
“รุ่นน้องที่เรียนจิตวิทยาตัวเดียวกัน”
ผมค้อมหัวให้รุ่นพี่คนนั้น ก่อนจะมองคนที่กำลังรื้อของออกมาจากถุง เขาที่ดูโดดเด่นในห้องเรียนรวมกลับดูกลืนไปกับบรรยากาศของที่นี่ ผมเองต่างหากที่ดูแปลกประหลาดในห้องโถงใหญ่ตรงนี้
“ขอบคุณนะครับ”
เขาหันมาบอก
“ไม่เป็นไร”
“คนดี”
เพื่อนเขาเรียกชื่อที่ผมรู้สึกว่ามันเรียกยากเหลือเกินในความรู้สึก
“อะไร”
“เสื้อมึงคอกว้างไปไหมวะ”
เพื่อนอีกคนที่พึ่งเดินเข้ามาชี้ที่เสื้อตัวใหญ่เกินตัวของเขา เพราะสะพายกระเป๋าผ้าไว้ที่บ่า คอเสื้อถึงถูกดึงลงไปจนเห็นไหล่ขาว
“เมื่อเช้ารีบ ลืมใส่เสื้อข้างใน”
เขาว่าพร้อมกับดึงคอเสื้อที่ตกขึ้น ผมมองไหล่ที่โดนปิดไปแล้วก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อเหลือบไปเห็นหน้าอกขาวที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างกระดุมออกมา ตรงนั้นไม่มีรอยสักแต่มียอดอกสีอ่อนแต้มอยู่
นั่นทำให้ผมฉุกคิดได้ว่าเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่อีกใจผมกลับยังพยายามหาเหตุผลที่ทำให้ผมนึกถึงเขาอยู่บ่อยๆ
ผมเห็นว่าคนดีกำลังคุยกับเพื่อนอยู่เลยเดินออกมาเงียบๆ แต่เขากลับรีบเดินเข้ามาหากัน
“เดี๋ยวผมเดินออกไปส่ง”
เขาว่า ก่อนจะเดินข้างกันเงียบๆออกมาลานจอดรถข้างนอกที่จอดรถไว้ตั้งแต่แรก
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
เขาว่า ผมเปิดประตูข้างหลังคนขับก่อนจะหยิบแจ็คเก็ตตัวโปรดออกมาแล้วส่งให้คนที่ยืนมองอยู่ คนเป็นรุ่นพี่เอียงคอมอง ผมเลยวางคลุมไหล่เขาไว้
“สวมไว้”
ผมบอกเขา คนดีส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เข้าใจมากกว่าที่จะปฏิเสธ
“มันเป็นเสื้อของครามแล้วผมก็ไม่ได้หนาว”
ผมก้มลงรูดซิปเสื้อตัวใหญ่ให้ถึงตรงคอเขา ทั้งๆที่แขนเพรียวนั่นยังไม่สวมเข้าไปด้วยซ้ำ
“เสื้อนักศึกษา มันเห็นไปถึงไหนต่อไหน”
ผมว่าก่อนจะปัดปลายผมของเขาให้ออกมานอกคอเสื้อแจ็คเก็ต เจ้าตัวดูตกใจ ถึงได้ใช้นิ้วรวบผมข้างหนึ่งขึ้นไปทัดหูไว้
ผมเสหลบตาจากใบหูที่ค่อยๆขึ้นสีแดงของเขาก่อนจะบอก
“ไปแล้ว”
“ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวเอาไปคืน”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินขึ้นรถ
.
.
.
.
“พี่ครามคะ วันนี้มารับแนนหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ”
ผมบอกคนข้างตัวที่หันหน้าไปมา เหมือนกับว่ากำลังหาอะไรสักอย่างในรถคันนี้
“เป็นอะไรคะแนน”
“หนูลืมเอาเสื้อคลุมมา พี่ครามมีให้ยืมไหม”
“อยากใส่เสื้อตัวนั้นก็บอก”
ผมว่า แจ็คเก็ตยีนส์ตัวนั้นเป็นเสื้อที่พี่สาวผมซื้อให้ตั้งแต่วันเกิดเดือนที่แล้ว เห็นบอกเป็นลิมิเต็ดของแบรนด์ดัง แนนชอบมันมากเพราะมันเป็นแบรนด์โปรดของเธอ เพียงแต่มันเป็นแบบของผู้ชายก็เท่านั้น
“รู้ทัน”
เธอขำ ผมมองกระจกหลังถึงนึกได้ว่าให้อีกคนยืมไป
“ขอโทษนะคะ พี่ให้เพื่อนยืมไปค่ะ”
“อ้าว”
คนสวยทำหน้าตาไม่พอใจ
“ไหนบอกแนนว่าหวงล่ะคะ ใครเอาไป พี่แซมใช่ไหม”
เธอถามถึงเพื่อนสนิทผม
“ไม่ใช่ค่ะ”
“สาวที่ไหน ปิดบังอะไรแนนรึเปล่า”
ผมหัวเราะก่อนจะตอบ
“เพื่อนผู้ชาย”
ผมมองคนที่จ้องมาอย่างไม่พอใจ
“นอกจากหนูพี่ก็ไม่มีใครแล้ว”
ผมว่าก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ
“อย่าให้รู้นะ เสือคราม”
ผมยิ้มให้คนข้างกัน ก่อนจะว่าบ้าง
“กับหนูพี่เป็นแมว”
เธอขำ ดูท่าทางพอใจ
“แนนเคยบอกเพื่อนนะว่าพี่ครามน่ารักมากๆ แต่ไม่มีใครเชื่อเลย ทุกคนหาว่าพี่ครามดุ เจ้าชู้ด้วย”
ผมส่ายหน้ากับข่าวลือเกี่ยวกับตัวผมที่ได้ยินอยู่บ่อย ก่อนจะบอกเมื่อถึงตึกเรียนของแนนแล้ว
“ไปเรียนเลย จะสายแล้ว”
.
.
.
.
“อะไรวะคราม”
แซมถามเมื่อเห็นว่าผมมองไปที่อีกฟากของร้านอาหารกึ่งบาร์แถวม.ที่เรามาประจำ ผมเห็นคนที่คุ้นตากำลังนั่งหัวเราะอยู่กับกลุ่มเพื่อนเขา ดูเหมือนรอยสัก การเจาะหรือทรงผมยาวจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนกลุ่มนั้น
คนดีหัวเราะจนตาปิดในตอนที่เพื่อนเขาเล่าอะไรสักอย่าง วันนี้เขาสวมเสื้อยืดตัวใหญ่ ผมมองแขนเพรียวของเขาที่กำลังกอดหมอนอิงของร้านไว้ จิวจมูกสีดำเล็กๆเมื่อวันก่อน ถูกเปลี่ยนเป็นห่วงสีเงิน
“ปากมึงก็บอกไม่ชอบ แต่ก็มองไม่หยุด”
กรว่า
“ก็เปล่า”
“แต่ก็สนใจ”
แซมว่า ก่อนจะบอกออกมาอีก
“มึงเคยได้ยินไหม ว่าถ้าแอบชอบใคร คนนั้นจะอยู่ในวงโครจรของมึง เป็นเพราะมึงเอาตัวเองเข้าไปในวงโคจรเขาบ้าง มึงมองหาเขาบ้าง ไปในที่ๆเขาชอบไป”
“มึงมาสายเพ้อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
แอลว่าพลางขำ
แต่แซมเถียง
“มึงเห็นอาทิตย์ที่แล้วไหมล่ะ เพื่อนมันไม่เคยไปส่ง แต่ไปส่งพี่เขาเฉย”
ผมยักไหล่กับคำบอกเล่าของแซม
“แต่เด็กคณะนั้นติสท์ฉิบหาย กูเข้าไม่ถึง เคยเจอน่ารักๆแต่ก็ไม่รู้จะเข้าไปคุยยังไง กูไม่เก็ทกับสไตล์เขา”
แอลบอก กรกระดกเบียร์ลงคอก่อนจะหันมาพูดกับผม
“ว่าก็ว่านะ แบบพี่คนดีกูก็เอา”
ผมมองไปที่โต๊ะนั้นอีกรอบ เห็นคนที่ทุกคนกำลังพูดถึงกำลังนั่งกินข้าวอยู่ แม้จะเห็นหน้าเขาไม่ชัดนักแต่ก็เห็นว่าเขากำลังนั่งเบียดกับเพื่อนของเขาที่ผมเคยเจอ
ผมไม่รู้ว่าโต๊ะโซนข้างนอกมันแคบ เพราะเขาเมา หรือเพราะผมอคติ ภาพข้างหน้าถึงทำให้ผมหงุดหงิด
“ไหวเหรอวะ”
ปัณณ์ที่เงียบมานานถามบ้าง
“ทำไมจะไม่ได้ ก็สวยดี”
แอลตอบแทน
ผมหันกลับมามองแก้วในมือ กระดกมันลงคอ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วจมไปกับเกมออนไลน์ข้างหน้าแทน...แทนที่จะคิดถึงภาพเขาอย่างเคย
.
.
.
.
“คราม มีคนมาหา”
ผมหันไปที่หน้าห้องเรียนขนาดใหญ่ ผมแอบคิดไปถึงคนที่น่าจะเอาเสื้อมาคืนแต่พอมองถึงเห็นว่าไม่ใช่
“น้องครีมนี่หว่า”
แซมเปรยออกมา ผมรู้ว่าถ้านั่งอยู่เฉยๆแล้วไม่เดินออกไปหาเธอจะเสียมารยาทมาก ถึงได้ลุกออกจากโต๊ะ
“ว่าไงครับ”
“พี่ครามคะ ครีมเอาของมาให้”
ผมมองเด็กปีหนึ่งที่อายุน่าจะเท่าๆกับน้องสาวตัวเอง เธอหยิบขนมที่ทำเองออกมาให้
“ของขวัญพี่เทคค่ะ”
ผมรับมาไว้ในมือ เพราะเธอเคยบอกว่าจะทำให้พี่ๆทุกคนในสาย แต่คราวที่แล้วผมไม่ได้ไปกินเลี้ยงด้วย เลยติดค้างกันมาจนถึงตอนนี้
“ขอบคุณครับ”
พอบอกออกไปแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ เธอดูขัดเขิน
“เป็นไงบ้าง เรียนยากไหม”
ผมถาม
“สรุปของพี่แทนช่วยได้เยอะเลยค่ะ”
เธอพูดถึงน้องปีสองที่เป็นน้องเทคอีกคนของผม ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาเพื่อนที่รอเล่นเกมส์อยู่
“แล้วน้องครีมมีเรียนอะไรต่อ”
ผมถามเพราะไม่รู้จะคุยอะไร
“เรียน Law ค่ะ”
เธอตอบพร้อมกับยิ้มให้ ครีมเป็นรุ่นน้องที่น่ารัก เธอดูเรียบร้อยและนิสัยดี ปัณณ์เพื่อนผมดูชอบเธอ ผมหันไปมองเพื่อนกลุ่มตัวเองอีกรอบ
“เรื่องขนมขอบคุณมากนะครับ เพื่อนพี่รอทำงานอยู่ แล้วไว้ไปเลี้ยงกันนะ”
ผมรีบบอกปัด ก่อนจะยิ้มให้เธอ ครีมยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกไป ผมเดินกลับมาที่เดิม ผมรู้ว่าครีมคิดยังไงกับผมแล้วก็รู้ด้วยว่าปัณณ์คิดยังไง
ถึงผมจะเห็นใจเพื่อนแต่ผมไม่สามารถไปปฏิเสธครีมได้ว่าผมไม่ได้ชอบเธอ เพราะน้องยังไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
“ขนมอะไรเสือ”
ต้องเป็นคนแรกที่เรียกผมแบบนี้ แล้วไม่นานนักทุกคนก็เรียกตามกันไปหมด
“ไม่รู้ว่ะ”
“ไม่กินเหรอวะ”
แซมถามเมื่อเห็นผมวางไว้บนโต๊ะและสนใจมือถือมากกว่า
“แกะเลย น้องบอกทำมาเผื่อทุกคน”
ผมโกหก แซมมันยิ้มก่อนจะเปิดกล่องคุ๊กกี้ที่ดูท่าทางน่ากิน ผมบิแล้วโยนเข้าปากไปนิดนึงแล้วก็พบว่ามันอร่อยดี
“การ์ดอะไร”
แซมว่าพร้อมกับหยิบกระดาษใบเล็กๆลายสวยขึ้นมา
“ให้พี่ครามค่ะ”
แซมอ่าน ผมคิดว่าในการ์ดคงเขียนชื่อไว้เหมือนที่แทนปี2 กับพี่น้ำปี3 ได้รับ ไม่ได้คิดว่าเนื้อความในนั้นจะต่างออกไปมากนัก
“ครีมชอบพี่ค่ะ”
ผมมองหน้าแซมเพราะคิดว่ามันแกล้ง ก่อนจะชูนิ้วกลางให้มันแล้วหันไปมองปัณณ์ ปัณณ์ฉวยกระดาษจากแซมไปก่อนจะพลิกมาให้ผมดู
เธอเขียนแบบที่แซมอ่านจริงๆ
.
.
.
.