ความโกรธลายซากุระ
“พี่ครามคะ”
ผมหันไปมองคนข้างตัวที่สอดมือเข้ามาเกาะที่แขน ในตอนที่เรากำลังจะเดินออกมาข้างนอกคณะเพื่อไปหาข้าวกิน
“ว่าไงคะ”
“แนนปวดเท้า”
ผมมองรองเท้าส้นสูงเกือบสามนิ้วของเธอ วันนี้แนนเลิกเรียนเร็วและกะจะกลับคอนโดพร้อมกัน
“พี่บอกแล้วว่าไม่ให้ใส่ส้นสูงไงคะ”
“ก็มันทำให้สูงขึ้น ขาเรียวด้วย”
คนดื้อบอก ผมส่ายหน้ายอมแพ้
“แค่นี้ก็สวยแล้ว”
ผมกระชับแขนให้แน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าแนนเดินกระเผลก
“เดินดีๆ ถอดรองเท้าไหม เดี๋ยวพี่ไปเอารองเท้าที่รถให้”
แนนส่ายหน้า ก่อนจะมองตรงไปอีกฝั่งด้วยหน้าตาติดจะสงสัย ผมมองตามสายตาของเธอเห็นคนที่คุ้นตาเดินตรงมาทางที่กลุ่มเรากำลังยืนอยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่แซมหันมาสะกิดผม
“มึง พี่คนดี”
วันนี้คนดีสวมเสื้อเชิ้ตนิสิตสีขาวแขนยาว ผมมองนิ้วสวยและเล็บที่ไม่ได้แต้มสี ผมยาวบระบ่าของเขาถูกรวบไว้ยุ่งๆ และบนหน้าไม่ได้มีจิวสีเงินติดอยู่ตรงไหน ทำให้เห็นดวงหน้าขาวสะอาดได้ชัด
“ผม เอาเสื้อมาคืนครับ”
เขาดูประหม่า ผมมองตาใสแจ๋วที่มองกันแค่ครู่เดียว ก่อนจะเสหลบไปมองที่อื่น ใช้มือข้างที่ว่างดึงถุงใบใหญ่มาถือไว้
“ทำไมถึงมาแถวนี้”
ผมก้มลงนิดหน่อยเพื่อถามเขา
“พอดีมาหาเพื่อนครับ ไปแล้ว”
ปลายประโยคเขาบอกเบาๆก่อนจะหันหลังกลับไป
“คนดี”
ผมเรียกเขาไว้ คนที่ถูกเรียกหันมามองก่อนจะขอบคุณอีกรอบ
“ขอบคุณนะครับ”
เขาว่าก่อนจะมองไปฝั่งแซมและกรที่ยกมือไหว้
“ไปแล้วเหรอพี่”
คนดียิ้มให้เพื่อนผมก่อนจะเดินออกไป ผมมองแผ่นหลังกับผมหางม้ายุ่งๆของเขาที่ไกลออกไปทุกที แนนกระตุกแขนผมเพื่อเรียก ก่อนจะถาม
“พี่ครามรู้จักพี่คนดีด้วยเหรอคะ”
“ทำงานกลุ่มด้วยกันค่ะ”
ผมตอบ แต่ตาก็ยังมองออกไปที่ถนนข้างหน้า คนดีหายไปแล้ว
“เสื้ออะไรวะ”
แซมถามพร้อมกับดึงถุงกระดาษในมือผมไปดู พอเห็นว่าเป็นเสื้อตัวที่ผมหวงนักหวงหนามันก็ยิ้มเยาะ กรมองหน้าผมบ้าง
“กูเชื่อมึงแล้วแซม ว่าไม่ธรรมดา”
กรว่า ท่าทางดูสนุกอีกคน
.
.
.
.
‘คนดี ทำอะไรอยู่’
ผมทักไปหาเขาในตอนเกือบสี่ทุ่ม เห็นว่าจุดที่รูปท้องฟ้ายังเป็นสีเขียว ไม่นานนักมันก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่รอนานเกือบครึ่งชั่วโมงคนดีก็ยังไม่ตอบ
.
.
.
.
‘คนดี งานยุ่งเหรอ’
เมื่อกลางวันผมกะจะถามว่าเขาจะกลับยังไง แต่ก็ไม่ได้ถามเพราะคนดีดูเหมือนรีบเกินไป แถมผมก็ทิ้งแนนไม่ได้ด้วย
.
.
.
.
‘โทรได้ไหม’
ผมถามคนที่เปิดอ่านทุกข้อความแต่ก็ไม่ยอมตอบกลับเลย
.
.
.
.
“แม่กับพี่จอยโทรมาบอกให้กลับบ้านบ้างนะคะ”
ผมมองคนที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะตอบรับ
“รับทราบค่ะ”
ผมว่าก่อนจะมองหน้าจอที่ดับไปเสียเฉยๆ ทั้งๆที่เมื่อกี้สัญญาณต่อสายยังดังอยู่แท้ๆ
“หนูคะ ถ้าโทรในไลน์แล้วเขาไม่รับ ทั้งๆที่พึ่งอ่านคือยังไงคะ”
แนนมองผม
“เขาไม่ว่างหรือเปล่าคะ”
เธอว่าก่อนจะทำท่าคิด
“ไม่งั้นก็บล็อคไปแล้ว”
ผมมองรูปท้องฟ้าที่จุดสีเขียวหายไปจากหน้าจอแล้ว ผมพอรู้ว่าช่วงนี้พวกปีสี่งานยุ่งมาก แต่เมื่อก่อนยุ่งแค่ไหน เขาก็จะส่งสติกเกอร์กระต่ายยิ้มมาให้ แนนเดินมานั่งใกล้กัน ก่อนจะมองหน้าจอของผม
“สาวที่ไหนคะ”
เธอถามพร้อมกับอมยิ้ม
“เพื่อนค่ะ”
“เพื่อนคนไหน เพื่อนพี่ครามแนนก็รู้จักทุกคน”
เธอว่าพร้อมกับทำหน้าตาล้อเลียน ผมถอนหายใจก่อนจะชี้ไปที่ห้องนอนห้องเล็กข้างห้องของผม
“เข้าห้องตัวเองไปเลยค่ะ”
แนนขำพร้อมกับพยักหน้าไปพลาง
“ก็ได้ เสือคราม ก็ได้”
.
.
.
.
วันนี้ผมมาส่งแนนเพราะเธอมีเรียนตั้งแต่เช้า กะว่าจะได้เลยไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดด้วย เพราะเย็นนี้ผมมีควิซ สุดท้ายแล้วแนนก็โดนยกเลิกคลาส เราเลยตกลงกันว่าจะมานั่งที่ร้านกาแฟหลังม.ที่เธอชอบแทน
“หนูนั่งรอก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”
ผมบอกคนที่นั่งลงที่โซฟานิ่ม
“แนนเอาโกโก้นะคะ ไม่หวาน”
“ได้ค่ะ”
ผมตอบรับก่อนจะเดินออกมาที่เคาน์เตอร์
อาจจะเป็นอย่างที่แซมบอก ว่าถ้าเราสนใจอะไร สิ่งนั้นมักจะดึงดูดเรา ไม่อย่างนั้นเราก็จะดึงดูดมันเข้ามาเสมอ
“อ้าวไอ้น้อง”
ผมหันไปตามเสียงทัก เห็นว่าเป็นพี่ที่เป็นเพื่อนของคนดี
“สวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้เขา พี่เขาโบกมือว่าไม่เป็นไรก่อนจะแซวยิ้มๆ
“พาสาวมากินข้าวเหรอ”
ผมหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบรับอะไร ตอนแรกที่ผมเจอเขาอยู่กับคนดี ผมคิดว่าเด็กคณะนั้นเข้าถึงยาก แต่พอเจอหน้ากันสองถึงสามครั้งเราก็คุยกันได้เหมือนคนปกติ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจทรงผมสีเงินของเขาสักเท่าไหร่
“คนดี เอาไร”
พี่เขาหันไปทักคนที่พึ่งเดินเข้ามาในร้าน ผมมองคนที่สวมหมวกปีกกว้างสีครีม เพราะแดดข้างนอกร้อนจัด แก้มเขาเป็นสีแดงระเรื่อ ผมมองเสื้อแขนกุดตัวโคร่งของเขาที่โดนตัดยาวจนเห็นถึงสีข้าง
“กาแฟดำครับ”
คนดีว่าพร้อมกับถอดหมวกออก เขาเหมือนจะมองเห็นผมแล้วแต่ก็เมินกันอย่างเห็นได้ชัด
“แก้วของคนดีต้องใส่นมเยอะๆ”
เพื่อนเขาว่า คนดีที่มักจะยิ้มอยู่เสมอหน้างอ ผมมองแพขนตาที่กระพริบไปมา เห็นเหงื่อซึมตามไรผมแล้วอยากเอื้อมมือไปปัดผมสีเข้มออกจากข้างแก้มให้
“เพนท์อย่าแกล้งเรา”
“ใส่น้ำเชื่อมไหม”
“ใส่นิดเดียวครับ”
เขาว่า
“เอาแซนวิชไก่ด้วยไหมคนดี”
คนดีทำหน้าเบื่อเพื่อนแต่ก็ขำ ผมแตะไหล่คนที่ไม่ยอมมองกันสักที
“คนดี”
คนถูกเรียกชื่อหันมายิ้มให้
“ครามมากินข้าวเหรอ”
ผมลอบถอนหายใจให้คนที่ไม่ยอมมองตากันเลย ถ้าอยู่ด้วยกันแค่สองคนผมคงอยากจะถามว่าโกรธอะไร เป็นเพราะจูบวันนั้นหรือเปล่า
“ช่วงนี้งานเยอะเหรอ”
ผมถาม
“ก็เยอะครับ”
คนดีตอบเสียงอ่อย พี่เพนท์หันมาสมทบ
“เยอะสิวะ ดูตาหมีแพนด้าของไอ้คนดี”
ผมมองใต้ตาที่คล้ำลงนิดหน่อยของเขา เพราะคนดีผิวใสมาก พอเป็นแบบนี้เลยทำให้เห็นได้ชัด
“ไหนมึงบอกรักสัตว์ เอาตาแพนด้ามาใช้ได้ไง”
พี่เพนท์ว่าพร้อมกับขยี้ผมอีกคนเล่น ผมรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“เพนท์ หยุดเลย”
คนดีจับแขนเพื่อนออก ผมเห็นที่ต้นแขนพี่เพนท์มีรอยสักรูปพระจันท์เป็นเส้นเล็กๆ แต่ผมก็หันกลับมามองอีกคนแทน เมื่อพี่เขาเดินไปรอรับกาแฟที่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์
“ได้นอนบ้างยัง”
“คืนนี้คงได้นอนมั้งครับ”
คนดีตอบ ผมมองต้นแขนและหัวใหล่ของเขาที่ไม่ได้มีรอยสักอย่างที่ผมคิดว่าจะมีตั้งแต่แรก วันนี้ตรงติ่งหูเขาสวมแค่ห่วงเล็กๆสีดำติดไว้ บนลิ้นก็ไม่มีจิวสีเงินอย่างเคย
“นี่ คนดี”
ผมเรียก คนดีเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างเหมือนกัน แต่เพื่อนเขาเรียกไว้ก่อน
“คนดีมาถือแก้วของพวกไอ้สาที”
“ได้ๆ”
.
.
.
.
“แซม มีเบอร์คนดีไหม”
ผมถามไอ้แซมที่กำลังตั้งใจเก็บเวลอยู่ที่โรงอาหาร แซมเป็นลูกครึ่งอเมริกาแต่หน้าตาแทบจะไม่เหมือนฝรั่ง เราคบกันมาตั้งแต่มัธยม ต่างจากพวกกรหรือปัณณ์ที่พึ่งมาเจอกันตอนขึ้นปีหนึ่ง
“พี่คนดีเหรอ”
แซมหันมาถาม
“อืม”
“มี ทำไมวะ”
“ขอหน่อย”
หลังจากวันที่เจอคนดีที่ร้านกาแฟ เกือบอาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้เจอเขาเลย แถมคนดียังไม่ยอมตอบแชทผมเลย ช่วงนี้เป็นช่วงสอบมิดเทอม ผมรู้ว่าเขาคงยุ่ง ตัวผมเองก็ยุ่ง แต่ผมก็ยังอยากเจอเขา
“เอาไปทำไม”
“เขาน่าจะบล็อคไลน์กูว่ะ”
ผมบอกแซมไปตามตรง
“เขาจะบล็อคมึงทำไม”
แซมหยิบมือถือขึ้นมาส่งสติกเกอร์เข้าไปในกลุ่มที่เราเคยทำงานด้วยกัน ไม่ถึงสิบนาทีสติกเกอร์กระต่ายยิ้มก็ถูกส่งเข้ามาในกลุ่ม แซมยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด
“เอาเบอร์คนดีมา”
“มึงชอบพี่เขาใช่ไหม”
แซมถาม ผมถอนหายใจ
“เอาเบอร์มาก่อน เดี๋ยวกูบอก”
“มีสาวเหรอ น้องแนนเอามึงตาย”
กรที่พึ่งเดินมาถึงโต๊ะทักผมที่ยังวุ่นวายอยู่กับมือถือแซม
“ถ้ากูไม่รู้จักที่บ้านมึงกูก็คิดนะว่ามึงกับน้องคงไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ”
แอลว่าบ้าง
“คนห่าอะไรติดน้อง”
กรว่า แซมที่อยู่กับผมมานานยักไหล่ก่อนจะบอก
“เขาว่าคนเจ้าชู้มักหวงน้องสาว ถ้ามีลูกสาวจะยิ่งหวง เพราะเคยเลวมาก่อน”
มันว่า ผมถอนหายในกับหัวข้อนี้ที่วนเวียนมาในรอบหลายเดือน
“กูยังจำสมัยปีหนึ่งได้ คนเหี้ยอะไรคุยกับผู้หญิงทีเดียวสามคน”
ทุกคนเคยพลาด ผมก็เคย เพียงแต่พลาดในสิ่งที่พวกมันมักจะเอามาขยี้ซ้ำแล้วสนุก
“ดีนะน้องมันมาเรียนที่นี่ ถ้าเรียนที่อื่นกูว่าครามมันไม่เป็นคนดีแบบนี้หรอก”
“แม่งกลัวน้องแนนโดนผู้ชายเลวแบบมันหลอก”
“K”
ผมหันไปด่าไอ้กรที่กำลังสนุก
“แล้วที่มึงยังไม่มีแฟนเพราะแนนรึเปล่าวะ”
แอลถาม ผมพยักหน้า
“ก็ใช่ รอให้น้องเจอคนดีๆก่อน”
ผมว่า
แนนเป็นน้องคนสุดท้องของที่บ้านผม ที่พ่อแม่ดูแลมาดีมากมาตั้งแต่เกิด จนวันที่พ่อเสียไป พ่อก็ยังห่วงแต่ลูกสาวคนเล็ก เพราะตอนเด็กๆแนนไม่ค่อยสบาย แถมยังฝากฝังให้ผู้ชายคนเดียวในบ้านอย่างผมดูแลทุกคนดีๆ ตอนนั้นผมที่พึ่งจะป.3 ตอบรับคำขอของพ่อไปด้วยความไม่เข้าใจนัก
“แล้วถ้ามีคนมาชอบมึงแล้วมึงก็ชอบเขาล่ะวะ”
แซมถาม
“รอไป น้องกูสำคัญกว่า”
ผมบอกตัดรำคาญ แต่แซมกลับยิ้มกริ่ม
“คนที่รอไม่ไหวอาจจะเป็นมึงมากกว่ามั้ง”
มันว่า กรที่พอรู้เรื่องหัวเราะ
“กับพี่สาวมึงหวงแบบนี้ไหมวะ”
แอลถาม แซมหัวเราะบ้างก่อนจะตอบ
“แบบนี้แหละ เจ้จอยจะขึ้นคานเพราะมันแล้ว”
.
.
.
.
ผมได้เบอร์โทรของคนดีจากเพื่อนสนิท และเพราะไม่มีคนรับถึงได้มายืนอยู่ที่หน้าห้องโถงที่เดิม แต่ไม่โชคดีเหมือนคราวก่อนที่ได้เจอเขา
“อ้าว มาทำไมวะ”
เพื่อนของคนดีอีกคนเดินออกมาพอดี ผมยกมือไหว้เขาก่อนจะถามหาอีกคน
“คนดีล่ะพี่”
“พึ่งกลับไปเมื่อกี้”
“กลับยังไงครับ”
“นั่งรถรางออกไปมั้ง มันไม่ได้กลับบ้านหลายวันแล้ว”
พอรู้แบบนั้นผมก็กลับมาที่ลานจอดรถ แล้วขับรถเลียบไปกับทางออกหน้าม. แทนที่จะใช้ทางลัดอย่างเคย ไม่นานนักก็เจอกับคนที่อยากเจอ เขาเดินบนฟุตบาทที่เลียบไปกับคลองน้ำ มือสวยถือร่มเพราะฝนพึ่งจะหยุดตก ผมลดความเร็วก่อนจะเปิดกระจก
“คนดี ขึ้นรถ เดี๋ยวครามไปส่ง”
คนถูกเรียกดูตกใจนิดหน่อย เขาส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้”
“คนดี”
ผมเรียกเขา ไม่ชอบใจเลยที่ปฏิเสธกันแบบนี้
“ขอบคุณนะ แต่ไม่เป็นไร”
ผมเอื้อมมือไปเปิดไฟฉุกเฉิน จอดรถแล้วเปิดประตูไปหาอีกคน เพราะลมพัดแรงทำให้ฝนที่เกาะตามต้นไม้ตกลงมาโดนตัว เสื้อตัวบางของคนดีเปียกชุ่มไปบางส่วน
“โกรธครามใช่ไหม”
ผมถาม คนที่ยืนอยู่ก่อนส่ายหน้าไปมา
“ไม่ได้โกรธครับ”
“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมไม่กลับด้วยกัน”
คนดีมองหน้าผมก่อนจะกระชับถุงผ้าใบใหญ่เข้าหาตัว
“ผมแค่เกรงใจ”
ผมถอนหายใจ ก่อนจะปัดหยดน้ำที่ตกลงบนแก้มเขาออก
“เกรงใจทำไม”
คนดีจับข้อมือผมออกจากหน้าเขา คิ้วสีเข้มขมวดยุ่ง
“เราไม่ได้สนิทกันครับ”
ผมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือเขาไว้แทน
“งั้นกลับด้วยกัน จะได้สนิทกันขึ้น”
คนดีส่ายหน้าอีกรอบ
“ผมจะเข้าร้าน ไม่ได้กลับบ้านเลย”
“ร้านอยู่ที่ไหน ครามไปส่งได้”
ผมว่าก่อนจะดึงแขนเขาเบาๆ ออกเดินไปที่รถเปิดประตูให้อีกคนเข้าไปนั่ง ก่อนจะรีบออกรถเพราะใกล้ค่ำแล้ว
.
.
.
.
“หูเป็นอะไร”
ผมถามเมื่อเห็นว่าต้านบนของหูเขามีพลาสเตอร์ติดอยู่ คนดีเอาผมทัดหูไว้ก่อนจะแตะๆที่พลาสเตอร์สีน้ำตาล
“ฉีกครับ นอนแล้วมันเกี่ยวกับเสื้อ”
ผมหันกลับมามองถนนข้างหน้า ก่อนจะถาม
“ไปหาหมอยัง”
“ผมเป็นบ่อย ไม่เป็นไร”
ผมจำได้ว่าตรงนั้นมักจะมีตุ้มหูรูปดาวเล็กๆเสียบไว้
“เจ็บไหม”
“ไม่ครับ”
“แล้วตรงไหนเจ็บที่สุด”
คนถูกถามทำหน้างง แต่ไม่นานก็ตอบออกมา
“ถ้าเจาะไม่เจ็บมากครับ”
“แล้วสักล่ะ ตรงไหนเจ็บสุด”
ผมว่าพร้อมกับหยุดรถเมื่อติดไฟแดง ผมว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่ขับรถยากมากแถมไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมแค่ฝนตกไม่นานการจราจรถึงได้แย่แบบนี้
“ตรงนิ้วก็เจ็บ”
ผมหันไปหาคนข้างตัวพร้อมกับมองนิ้วเรียว
“แต่ที่เจ็บมากสุดน่าจะเป็นต้นขาข้างในครับ”
พอเขาบอกแบบนั้นผมก็มองกางเกงผ้าดิบขายาว มองให้เขารู้ว่าผมอยากจะเห็นข้างใน
“เป็นลายอะไร”
คนที่รู้ว่าโดนมองไม่ตอบ ผมยิ้มก่อนจะกดจูบลงที่แก้มเขา กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขาทำให้ผมยั้งใจไม่อยู่
“คนดี”
ผมลูบแก้มเขาเบาๆ
“ทำไมไม่ตอบแชทคราม”
“ก็...ไม่รู้จะตอบอะไรครับ”
คนตอบหันหน้าออกไปที่ฝั่งกระจก ผมขยับตัวมานั่งตัวตรงที่เดิม ก่อนจะถอนหายใจ
“ก็จริงเนอะ”
“ขึ้นทางด่วนชิดซ้ายนะครับ”
คนดีว่าในตอนที่ผมมุ่งหน้าขับรถตรงไป
“วิ่งข้างล่างดีกว่า”
คนที่ดูเหมือนอยากให้ถึงจุดหมายเต็มทนหันมามองหน้าผม
“แต่รถติด”
“ดีแล้ว”
ผมยิ้มให้เขา และรถติดที่ว่าก็ติดจนแทบไม่ขยับ ปกติผมจะหัวเสียและหงุดหงิด แต่วันนี้กลับรู้สึกว่าไม่ได้จะรีบไปไหน
“ไหน ดูตรงหูหน่อย”
ผมว่า แต่ก็กดจมูกตรงข้างแก้มเขาเหมือนเดิม คนดีดันหน้าผมออก เขาหลุบตามองมือตัวเอง
“ผมไม่เข้าใจครามเลย”
ผมที่ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันลูบผมเขาเบาๆ ผมคงทำให้คนดีกลัว พอรู้แบบนั้นถึงได้ผละตัวออกมา
“จิวที่ลิ้น เอาออกแล้วเหรอ”
ผมถาม
“ครับ”
“ทำไมของน้อย เห็นพี่เพนท์บอกคนดีไปนอนที่หอเพื่อนตั้งหลายวัน”
ผมชวนเขาคุยเรื่องจิปาถะ แต่ก่อนถึงเขาดูไม่พูดไม่เก่ง แต่ก็มักจะยิ้มและตอบแบบมีความสุข ต่างจากบรรยากาศตอนนี้
“ก็ใช้เสื้อผ้าเพื่อน”
“แล้วนอนสบายเหรอ”
“ก็ดีกว่าเบียดคนกลับบ้านครับ”
ผมคิดภาพคนที่ไปนอนหอในที่สภาพไม่ค่อยดีแล้วเหนื่อยแทน
“แล้วร้านที่จะไป เป็นร้านอะไร”
คนดีไม่ตอบ บางทีคงไม่ได้อยากให้รู้เรื่องของเขามากนัก
“หนาวไหม”
ผมถามคนที่กอดอกตัวเอง ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ฝนที่หยุดตกไปเมื่อเย็นกลับมาตกปรอยๆอีกรอบ
“สบายมากครับ”
ผมมองไปเบาะหลังเห็นมีแต่เสื้อของน้องสาวเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็เอื้อมมือไปลดแอร์ให้
รถติดที่คนดีบอกคือติดมากจริงๆด้วย เป็นชั่วโมงยังไม่ขยับออกจากแยกแถวม. ผมหันไปบอกคนที่นั่งมองข้างนอกอยู่ท่าทางเหนื่อย
“หลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวใกล้ถึงครามจะปลุก”
ผมลูบผมลื่นมือของเขาเบาๆ นึกภาพเวลาที่เขาขึ้นรถเมล์ไม่ออกเลยว่าจะเหนื่อยขนาดไหน
“จริงๆจอดข้างหน้า ผมไปเองอาจจะดีกว่า”
“จะทิ้งครามไว้ตรงนี้เหรอ”
ผมหันไปถามคนที่เอาแต่จะหนี
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ”
คนดีตอบเสียงอ่อย ผมที่รู้สึกว่าทำให้เขาเครียดขึ้นเรื่อยๆหันกลับมามองถนนอีกรอบ
“นี่คนดี กลัวครามรึเปล่า”
เขาเงียบไปนานกว่าจะตอบ
“แค่ไม่เข้าใจ...ว่าทำแบบนี้ทำไม”
เขาตอบแต่ก็ไม่ได้หันมามองกัน
“แล้วคิดว่ายังไง”
“ผมอาจจะแปลกมั้ง ครามเลยอยากเล่นด้วยเฉยๆ”
ผมไม่ได้ตอบอะไร สำหรับคนดีแล้วผมว่าเขาดึงดูด ไม่ใช่แปลก และผมก็ไม่ได้อยากเล่นกับเขาเลย เพราะถ้าแค่เล่น...ผมคงไม่เก็บเอาทุกอาการหรือคำพูดเขามาคิดมากขนาดนี้
.
.
.
.