มาต่อให้ตายใจ...อีกที(เเต่ดูเหมือนคนอ่านจะไม่)
ฝนยามบ่ายโปรยลงมาแล้ว ละอองน้ำเล็กๆ เกาะบนกระจกใส ทำให้ภาพเบื้องนอกเลือนลาง เหมือนหัวใจคริษฐ์ในวันนั้น หัวใจที่มองสิ่งใดไม่ชัดเจน ด้วยลมฝนของความคิดคำนึงที่โปรยปรายลงมาอย่างมิอาจห้ามได้
“คริษฐ์ เราสองคนน่ะ รักกันมากเกินไปหรือเปล่า?” สัมผัสจากเส้นผมอ่อนนุ่มคริษฐ์ก็ยังจำได้ ว่าเขาชอบจับเล่น
“อะไรคือมากเกินไปล่ะ”
“ไม่รู้สิ”อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น ยังคงอบอุ่น และอ่อนโยนเสมอ
เราไม่เคยทำสิ่งที่ ‘เราต่าง’ ไม่ชอบ และหลีกเลี่ยงมันเรื่อยมา นิทเชเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบวุ่นวายสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่มากเกินความจำเป็น ในขณะที่คริษฐ์ทำงานที่ต้องพบคนมากเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนมาก
นิทเชชอบถ่ายภาพ เขารักมันยิ่งกว่าสิ่งใด เขามักไปไหนมาไหนคนเดียวกับกล้องคู่ใจ บันทึกภาพสิ่งที่ตนเห็นเก็บไว้ ทว่าไม่เคยบันทึกภาพคนที่เขารักไว้ ...เพราะคริษฐ์เคยบอกว่าไม่ชอบถ่ายภาพเพราะมีปมด้อย...เมื่อใดที่นิทเชหายไปจากบ้านออกไปตระเวนถ่ายภาพ คริษฐ์มักโทรศัพท์มักตามตัวความร้อนรนเสมอ และนิทเชก็รีบกลับทุกครั้ง เพื่อความสบายใจของ ‘เรา’
“ผมเป็นห่วง”
“ไปแค่แป๊บเดียวเอง ซื้อขนมมาฝากด้วย”
“ไว้เราไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ?” นิทเชแค่รับคำในคอ ไม่มีใครพูดถึงมันอีก จนสุดท้ายนิทเชก็หลงลืมไปเสียเอง
ต่างคิดไปเพียงว่า อยากให้ ‘เรา’ มีความสุข….ก็แค่เท่านั้น
“เพื่อนแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะไอ้คริษฐ์” เพื่อนคนหนึ่งของคริษฐ์ ทักขึ้นเมื่อพบกันโดยบังเอิญ
“ก็ไม่ค่อยมีเวลา” มือแข็งแรงอบอุ่น ยังคงกอบกุมมือบางไว้ในอุ้งมือ สุภาพ และอ่อนโยนเสมอ
“แหม คุณเชปล่อยๆไอ้คริษฐ์มันมั่งเหอะครับ”
“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง ข้าเนี่ยแหล่ะติดเขา ไม่ใช่เขาติดข้า” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะกับเพื่อนอย่างขบขัน โดยไม่รู้เลยว่ามือนวลบางในอุ้มมือ ค่อยๆดึงออกจากการเกาะกุม แผ่วเบา...เสียจนเขาไม่รู้ตัว
“ ว่างๆก็ชวนคริษฐ์ออกไปสังสรรค์บ้างนะครับ อยู่ติดบ้านเกินไปเดี๋ยวจะเบื่อ” นิทเชพูดออกไปทั้งที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น คนฟังหัวใจวิบโหวง ความรู้สึกที่มันทับถมกันมานานปี กำลังจะเอ่อล้นตันตื้อขึ้นในจิตใจ
“รายนี้คุณเชต้องออกปากเอง เขาถึงจะไปแหล่ะครับ” นิทเชทำเพียงยิ้มน้อยๆ
ในเมื่อเราต่างอยากให้มีความสุข...แล้วเราในตอนนี้ มีความสุขจริงหรือเปล่า??
เราจะมีความสุขด้วยกันได้ โดยที่ตัวตนของเราต่างค่อยสาบสูญไปทีละน้อย ...เราทำอย่างนั้นได้จริงๆนะหรือ?
“แล้วถ้าได้ล่ะ”คริษฐ์ ตอบตัวเอง ทั้งที่มีคำถามอื่นๆผุดขึ้นมาอีก ความสัมพันธ์ของเราจะอยู่ต่อไปได้อีกสักเท่าไหร่?
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” นิทเชตอบตัวเอง ผลของมันจะทำให้เราต่างเจ็บปวด ต่างพังทลายลงหรือเปล่า? หรือจะปิดตาตัวเองต่อไป เพื่อให้เรายังอยู่ด้วยกันได้...อีกนิด
“ผมต้องเลือกหรือเปล่า?” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลนั้น จริงจัง ดวงตาคู่นั้นที่เคยมีน้ำหล่อเลี้ยงฉ่ำหวานกลับแห้งผาก มือนวลกอบกุมมือแข็งแรงที่กำหมัดแน่นไว้
“ไม่ใช่คริษฐ์คนเดียวหรอก แต่เป็น ‘เรา’” น้ำเสียงแห้งแล้งนั้น ทำให้ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสแผ่วผิวลงบนมือบาง
“เพียงแต่เราต้องรู้ไว้ เราจะมีทุกสิ่งตามหวังไว้ไม่ได้”
“แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆล่ะ?” ดวงตาคู่นั้นที่เคยทอประกายอ่อนโยน ทอดมองอย่างดิ้นรนหาทางออก
ความรักหรือ?....เราจะยังกุมมือกันได้สนิทใจทั้งที่พิษของความเจ็บปวดกำลังกัดกินเรานะหรือ?
“แล้วความสุขล่ะ?”
“เชไม่มีความสุขหรือ?”
“มีสิ เรามีเสมอ เมื่อเราอยู่ด้วยกัน ...แล้วคริษฐ์คิดว่าเรา ‘เป็นสุข’หรือเปล่า?” ชายหนุ่มครุ่นคิด ทว่าให้คำตอบที่แน่นอนกับตนเองไม่ได้เช่นกัน
“แล้วถ้าไม่ เราก็ควรจบกันอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาที่คอยสบกลับมาวูบหลบ
“แล้วแต่คริษฐ์”คนฟังยิ้มทั้งที่ดวงตาโศก
“จะแล้วแต่คริษฐ์คนเดียวได้ยังไง?”
“เราอาจจะแค่ต้องการเวลา” นิทเชอดไม่ได้เลย ที่จะยื้อความสัมพันธ์เอาไว้ พอๆกับที่ห้ามตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตาไม่ได้
“อืม...เราอาจจะแค่ต้องการเวลา ให้ตัวตนของเรากลับมา...อย่าร้องไห้เลย”น้ำเสียงอ่อนโยนติดจะอ่อนหวานนั้นกระซิบแผ่วเบา พลางกอดคนในอ้อมแขนไว้
“เพื่อนเชจะต้องว่าเอาแน่ๆ”
“นี่ร้องเพราะกลัวโดนเพื่อนว่าเอาหรืออะไร?”คนถามร้องเสียงหลงเมื่อถูกทุบเสียเต็มแรงก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เราอาจจะเลิกกัน...” ริมฝีปากหยักสวย มอบสัมผัสอุ่นล้ำบนริมฝีปากบาง เนิ่นนาน ก่อนจะถอนจูบอย่างเสียดาย เมื่อสบดวงตาที่ยังเอ่อล้นด้วยน้ำตาคู่นั้น เขายิ่งมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะพูด
“แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน ใช่ไหม?” ชายหนุ่มยิ้ม นิทเชพยักหน้ารับพลางยิ้มตอบ
บางคนอาจพูดว่าโชคชะตาเปิดโอกาสให้เราต่างกลับไปค้นหาตัวตนของเรากลับมา ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ นิทเชยิ้มกับตัวเอง โชคชะตาอาจจะช่วยครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเราต่างหาก ที่ ‘กล้า’ พอจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า คริษฐ์และนิทเช กล้าพอ ที่จะถอยหนึ่งก้าวสำหรับความสัมพันธ์ ให้พื้นที่กับหัวใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของตนโดยไม่อาจหยุดยั้ง
“ย้ายไปทำงานต่างประเทศก็ดีนี่นา ใครเขาก็อยากไปกันทั้งนั้น ” นิทเชออกความเห็น ในค่ำวันที่ เราอยู่ด้วยกัน ...มิใช่คนรัก แต่เป็นเพื่อนใจ
“เป็นห่วงเช”
“ห่วงทำไม? เชก็ต้องเดินทางเหมือนกัน”
“ห่วงสิ เพราะเชต้องเดินทางไปหลายที่ ใครจะดูแล”คนพูดอดห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าขัด มากนัก เพราะรู้ว่านิทเชพยายามมาหลายปีกว่าจะได้รับการตอบรับให้เป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีแห่งหนึ่ง
“ทุกคนก็ต้องเดินทางทั้งนั้น เดินไปบนทางเดินชีวิตของตัวเอง”
“คริษฐ์รู้ แต่มันก็อดห่วง...ไม่ได้”นิทเชยิ้มอย่างเข้าใจ เจ็ดปีเต็มที่คนตรงหน้านี้เฝ้าเอาใจใส่ดูแลกันไม่เคยบกพร่อง
“ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าทำงานจนลืมตัวเองไป เพราะเราต้องรัก...รักตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม”
“อืม...คริษฐ์เข้าใจ”
“ เชไม่ต้องยกลังนั้น เดี๋ยวคริษฐ์ยกเอง”ลังใส่หนังสือถูกนิชเลยกใส่รถที่จอดรอหน้าบ้าน โดยไม่ฟังเสียงค้าน
“มีอะไรต้องขนอีกไหม?”คริษฐ์ว่าไม่มีหรอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่บาง
“ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไหร่”
“จะร้องเพลงสั่งนางด้วยหรือเปล่า?” นิทเชถามหน้าตาย ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ไม่ร้องหรอก เชก็รู้ ร้องเพลงเป็นปมด้อยพอๆกับถ่ายรูปเชียวล่ะ”มือนวลหยิบรูปหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อ
“รูปนี้คงพอพิสูจน์ได้ ว่าปมด้อยเรื่องรูปถ่ายของคริษฐ์น่ะ ไม่จริงหรอก”
รูปถ่ายขาวดำของกิจวัตรประจำวันที่เจ้าตัวมักทำทุกเช้า เป็นการฝึกสมาธิให้ตัวเองมีสติก่อนออกไป ทำงานเสมอ คนในภาพนั่งบนเก้าอี้ ค้อมกายลงผูกเชือกรองเท้าตนเองในเช้าวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่ง ดวงตาของคนในภาพที่เงยหน้าขึ้นดูคล้ายมองสบในที แววตานั้นฉายประกายนิ่งสงบ และลุ่มลึกกว่าครั้งไหนๆ
“อ่านข้างหลังสิ”ช่างภาพออกปาก คริษฐ์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความ
“มิใช่ไม่รักกัน”ไม่มีลงชื่อ หรือวันที่ มีเพียงลายมือหนักแน่นของตัวอักษรไม่มีหัวและเขียนเอียงน้อยๆ ทว่าดูสะอาดตา
“รูปสวยมาก ขอบคุณ” คริษฐ์ก้มลงพิจารณาพลางคาดเดาว่าช่างภาพไปเก็บภาพมาเมื่อไหร่
“ฝนจะตกแล้วนะ” เ สียงแผ่วเบาฟังคล้ายกระซิบนั้น ทำให้ดวงตาคู่คมมองรอบกาย ให้ได้คิดทบทวน ให้ได้ซึมซับความรู้สึกรักและเจ็บปวด ให้ได้เข้าใจ ‘เรา’ ที่ไม่ใช่ฉันท์คนรัก แต่เป็น ‘ตัวเรา’
“อืม ไปล่ะ ปิดประตูบ้านดีๆนะ” มืออุ่นร้อนยังคงสัมผัสอย่างสุภาพอ่อนโยนเสมอ ก่อนริมฝีปากหยักสวยที่ยกยิ้มน้อยๆจะมอบจุมพิตครั้งสุดท้ายลงบนหน้าผากใครอีกคน...ผิวแผ่วราวสายลม ที่พัดมาและผ่านเลยไป
๒๒๒๒๒๒๒๒๒๒
คริษฐ์ลืมตาขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเสียงเคาะประตู เขาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เขายังพอมีเวลาอีกพักใหญ่ก่อนจะลงไปเอาผ้าที่ใส่เครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญที่ชั้นใต้ดิน ซองจดหมายสีขาวถูกสอดเข้ามาใต้ประตู ซองไม่ได้ผนึก หรือเขียนสิ่งใดไว้ ภายในคือเหรียญควอร์เตอร์ คริษฐ์จึงนึกขึ้นได้ถึงเด็กหนุ่มนักเรียนไทยที่เขาให้ยืมเหรียญ เมื่อเปิดประตูออกไป เขาเห็นเพียงแผ่นหลังเล็กๆในเสื้อแจ๊คเก็ตเรียบๆสีเทาหม่นเดินขึ้นบันไดก่อนจะเลี้ยวลับหายไป
ประตูอพาร์ทเม้นพีปิดลงอีกครั้ง ความเงียบสงัดของหัวใจตนเองทำให้ระลึกได้หนึ่งประการ ชีวิต ยังต้องดำเนินต่อไปแม้ว่าหัวใจอาจจะเหงาสักหน่อย ด้วยเพราะยังมีคำว่า ‘พรุ่งนี้’ ให้ได้เรียนรู้ ให้ได้คิด ให้ได้ก้าวเดินต่อไป
๒๒๒๒๒TBC๒๒๒๒๒
ไม่มีไรจะพูดอ่ะค่ะ
อ้อ
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ ช่วงนี้ตกงานเเล้ว (อดไปฝึกงานเลย) เเวะเวียนมาเยี่ยมชมดอมดมคอมเม้นต์บ่อยค่ะ