เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 2 ชายพเนจร
“ข้าเหนื่อยจังเลยลีโอ”
“ฝ่าบาทพักสักครู่ก็ได้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกสาวใช้เตรียมน้ำอุ่น ๆ ให้แล้วจะได้แต่งองค์”
“เจ้าจะให้ข้าอาบน้ำแต่งตัวไปไหนอีก”
“เย็นนี้มีงานเลี้ยงที่ฝ่าบาทให้จัดเตรียมละครโอเปร่าไว้ หรือว่าลืมไปแล้ว”
“ข้าชอบงานเลี้ยงนะละครก็ชอบ แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยลีโอสั่งยกเลิกไปเถอะ”
“ไม่ได้หรอกฝ่าบาท อย่าลืมสิว่าฝ่าบาทเชิญใครไว้บ้าง”
“ใครบ้างล่ะ ข้าลืมแล้วนี่” ลีโอแอบถอนหายใจเบา ๆ มันเบามากจนคิดว่าไม่ได้ทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ แต่ใครจะกล้าทำออกมาตรง ๆ อย่างที่คิดกันล่ะ ในเมื่อคนที่ถอนหายใจให้นี้เป็นถึงเจ้าเหนือชีวิต
“ก็นอกจากพระญาติหลายคน ที่สำคัญก็คือทูตจากต่างประเทศยังไงล่ะฝ่าบาท”
“แค่นี้ข้ายกเลิกงานไม่ได้หรือไง ข้าไม่อยากไปแล้ว ข้าเหนื่อย ข้าต้องขี่ม้ามาทั้งวันเลยนะ”
“ไหนฝ่าบาทบอกว่าอยากอวดละครเรื่องโปรดกับแขกต่างเมือง ลีโอว่าฝ่าบาทคงไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตหรอกใช่ไหม”
“แต่เจ้าก็กำลังว่าเราเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่นะลีโอ” พักตร์นวลบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ เมื่อทิ้งร่างลงบนฟูกหอมกรุ่น เพราะเครื่องนอนทุกชิ้นถูกนำไปอบกับไม้หอม และดอกไม้นานาชนิดที่มีกลิ่นช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจนหลับสบาย หมอนนุ่มถูกดึงมารองไว้ใต้พักตร์เรียวงามเกินชาย หนุ่มน้อยสูงศักดิ์นอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความเมื่อยล้าล้นเหลือ เหตุผลที่ต้องรีบกลับเมืองหลวงก่อนขบวนเดินทางขบวนใหญ่ เพราะมีงานเลี้ยงที่โปรดปรานรออยู่ แต่พอมาถึงกลับเหน็ดเหนื่อย จนความชอบส่วนตัวก็ยังถูกลดความสำคัญลง
“ข้าแค่เปรียบเทียบให้ฝ่าบาทเห็นภาพ” เป็นคราวที่จูเลียนต้องถอนหายใจบ้าง เพราะคงเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากตัวเองเป็นคนสั่งให้จัดงานนี้ขึ้น เชิญแขกมาร่วมงานมากมาย ซึ่งแขกจำนวนกว่าครึ่งถือเป็นแขกบ้านแขกเมือง ที่สำคัญไม่น้อย
พอลีโอถอยออกไปแล้ว จูเลียนจึงพลิกตัวกลับมานอนหงาย ตาสวยมองขึ้นไปยังม่านบังตาของแท่นบรรทม ที่ถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบ ผืนผ้าม่านสีน้ำตาลแดงเหลือบทอง ทอลวดลายสลับดิ้นทองด้วยฝีมือประณีตจากไหมเนื้อดี ประดับด้วยระบายด้วยลูกไม้ขลิบทองดูหรูหราเข้ากันทั้งชุด แต่ความสวยงามน่านอนของแท่นบรรทม ก็ยังไม่สามารถบรรเทาเรื่องราวในหัว ที่ขบวนเสด็จของกษัตริย์หนุ่มน้อยถูกลอบโจมตี!
“กรอสเซ่” เสียงกระซิบแผ่วผ่านริมฝีปากสวย เมื่อคิดถึงกวีหนุ่มชู้รัก ในหัวของยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย มีแค่กรอสเซ่ผู้เป็นเจ้าหัวใจ พอคิดถึงคนรักรอยยิ้มบางก็เผยออก ราวกับความเหน็ดเหนื่อยถูกปัดเป่าจนหายไปหมดในพริบตา
“ลีโอ” เสียงเรียกดังพอให้คนที่อยู่นอกห้องได้ยิน ไม่นานเจ้าของชื่อก็พาร่างผอมบางเข้ามาในห้องรอรับบัญชา
“ฝ่าบาทลีโอมาแล้ว”
“สั่งลงไปให้คนไปเชิญกรอสเซ่มา ข้าจะพากรอสเซ่ไปงานเลี้ยงด้วย เขาต้องแปลกใจแน่”
“ฝ่าบาทข้าเกรงว่า..”
“ข้าสั่งเจ้าอยู่นะลีโอ ยังจะต้องเกรงสิ่งใดอีก”
“เกรงว่าคงไม่เหมาะ” ลีโอบอกเสียงเบา เมื่อจูเลียนตวัดมองด้วยตาไม่พอใจ
“ทำไมจะไม่เหมาะ ข้าจะให้กรอสเซ่ไปในฐานะสหายคนสำคัญของข้า ให้คนไปเชิญเขามาเดี๋ยวนี้!”
“รับทราบแล้วฝ่าบาท” ใคร ๆ ในวังหลวงต่างรู้กันดี ว่าจูเลียนนั้นเอาแต่ใจมากแค่ไหน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครขัดใจได้สักคน เพราะฐานันดรที่ติดตัว ถือกำเนิดมาพร้อมความสำคัญ ที่ข้าแผ่นดินทุกคนต้องถวายชีวิต ถูกสอนให้อยู่เหนือผู้คน ถูกสอนให้รู้จักการใช้อำนาจตั้งแต่จำความได้ จูเลียนได้รับการศึกษาเล่าเรียนอย่างดี สมกับเป็นผู้ที่จะมาปกครองอาณาจักร แต่กลับมุ่งความสนใจไปที่งานศิลปะและบทกวี ไม่มีฝ่ายไหนเห็นชอบ ด้วยว่าบทบาทที่จูเลียนถูกสวมให้ ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ และมันหนักเกินไหล่เด็กหนุ่มอายุ 19 จะแบกได้
ภาพลักษณ์จูเลียนนั้นคือหนุ่มน้อยจิตใจอ่อนไหว ที่หลงใหลในบทกวีและการละครชวนฝัน แต่สำหรับทาร์เทียน่า พระขนิษฐาคู่แฝดที่เกิดหลังจูเลียนไม่กี่อึดใจ กลับเป็นสาวน้อยผู้เข้มแข็งเด็ดขาด ความเป็นผู้นำและฝีมือในการต่อสู้ที่หมั่นฝึกฝน ถือได้ว่าไม่เป็นที่สองรองใคร ขณะที่จูเลียนเพลิดเพลินกับนิยายและบทกวี ทาร์เทียน่าจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนการต่อสู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟันดาบ ยิงธนู การต่อสู้ตัวต่อตัวในระยะประชิด นอกจากนั้นยังสนใจศึกษาด้านการเมืองการปกครอง การบริหาร เป็นความแตกต่างระหว่างคู่แฝด ราวกับพระเป็นเจ้าหยิบสมอง หัวใจและความรู้สึกนึกคิดใส่ผิดร่าง พระเป็นเจ้าให้ทาร์เทียน่ามีแต่ความเข้มแข็งและแกร่งเกินหญิง แต่จูเลียนกลับอ่อนไหวและอ่อนโยน แม้บางครั้งความอ่อนโยนจะถูกบดบังด้วยความเอาแต่ใจจนแทบมองไม่เห็น แต่นี่คือจุดที่ทำให้ใครต่อใครก็หลงรักจูเลียนได้ไม่ยาก
หลังจากให้กำเนิดคู่แฝดได้เพียงวันเดียวพระมารดาก็จากไป ด้วยอาการตกเลือดหลังคลอด กษัตริย์เฟรเดอริคพระบิดาแม้จะได้ลูกแฝดมาเชยชม แต่เมื่อต้องนั่งมองลมหายใจและพลังชีวิตของคนที่รักยิ่งค่อย ๆ อ่อนลงเรื่อย ๆ จนจากไปในที่สุด พระองค์ก็แทบจะขาดใจตายไปพร้อมกัน ความหมองเศร้าด้วยตรอมตรมในอก เกาะกินเฟรเดอริคอยู่หลายปี จนสุดท้ายวรกายก็รับไม่ไหว และจากไปก่อนวัยอันควรในที่สุด
หลังสิ้นพระบิดาจูเลียนจำต้องขึ้นครองราชย์ต่อด้วยวัยขณะนั้นเพียง 14 ปี แม้จะมีพี่ชายต่างมารดาอย่างนิโคลัส หรือ นิโคล แต่ด้วยชาติกำเนิดจากมารดาสามัญชนที่เป็นเพียงหญิงรับใช้ ทำให้เจ้าชายจูเลียนที่ถือกำเนิดจากราชินีมีสิทธิ์ในบัลลังก์ตั้งแต่แรกคลอด ในฐานะองค์รัชทายาทอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือเจ้าหญิงทาร์เทียน่า และเจ้าชายนิโคลัสเป็นลำดับสุดท้าย พี่น้องทั้งสามรักใคร่ปรองดอง แม้จูเลียนจะปล่อยปละภารกิจถึงขั้นที่เรียกได้ว่าละเลยต่อบ้านเมือง แต่ยังมีพี่ชายแสนดีอย่างนิโคลช่วยเหลือดูแล หรือจะพูดกันตามจริงก็คือ นิโคลคอยทำงานแทนจูเลียนแทบทุกอย่าง และคอยเคี่ยวเข็ญให้น้องหันมาสนใจหน้าที่ของตัวเองอยู่เสมอ
‘ข้ามขั้นตอนนี้ไปดูละครเลยได้ไหมนะ’ จูเลียนแอบคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณงานเลี้ยง ที่มีบรรดาแขกเหรื่อยืนคอยต้อนรับกษัตริย์เป็นแถวยาว แล้วไหนยังจะต้องกล่าวคำทักทายทีละคนนั้นอีก แค่เห็นแถวที่ยาวเหยียดจูเลียนก็แทบจะวิ่งกลับปราสาทตัวเองไปเดี๋ยวนี้ หากไม่ติดที่ว่าอยากดูละครเรื่องโปรดและหิวจนแสบท้อง
“ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญ” เสียงหวานดังขึ้นเมื่อจูเลียนเดินเข้ามาถึง แต่ที่ทำให้หนุ่มน้อยนึกขำก็ตรงแววตาซุกซนขี้เล่นของคนถวายพระพรให้เขานั่นต่างหาก
“นึกยังไงถึงมาล่ะเทียน่า ข้าคิดว่าเจ้าไม่ชอบงานเลี้ยงหรือการละครไม่ใช่หรือไง”
“เจ้าเชิญทั้งทีนี่จูเลียน ข้าจะพลาดได้ยังไงใช่ไหมท่านพี่” เจ้าหญิงทาร์เทียน่าขนิษฐาแฝดของจูเลียนหันไปถามนิโคล ซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ข้างกัน เจ้าของร่างสูงพี่ชายต่างมารดาทำเพียงยิ้มบางให้น้อง ๆ อย่างเอ็นดู เพราะสองคนนี้เจอกันเมื่อไหร่ ก็ไม่วายมีเรื่องให้พูดกระทบกันเป็นที่หอมปากหอมคอ ทั้งที่จริงแล้วสายสัมพันธ์พี่น้องนั้นรักและห่วงใยกันเหนียวแน่น
หลังจากนั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยก็ได้ยินประโยคถวายพระพรดังขึ้นอีกหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และจูเลียนไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ บางคนก็ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบด้วย แต่ไม่มีใครถามถึงเหตุการณ์โจมตีขบวนเสด็จวันนี้สักคน ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะข่าวถูกปิดให้เงียบที่สุด และถึงแม้จะรู้แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากถามออกมาตรง ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องรักษาท่าที ขืนพูดอะไรไม่ระวังออกไปอาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยเอาได้ง่าย ๆ
“ถวายพระพรฝ่าบาท หวังว่าพระองค์จะทรงสำราญกับประเพณีล่าสัตว์ที่ผ่านมา ว่าแต่ลอร์ดท่านนี้คือ...” จูเลียนมองหน้าชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์หรูหราชั้นดี แต่พระพักตร์นวลบ่งบอกถึงความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะถวายพระพรให้แล้วยังกล้าถามถึงชายหนุ่มอีกคนที่ตามเสด็จ ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเกินพอดี
พอเห็นท่าทางของเจ้านายเหมือนจะจำชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้ ลีโอที่รั้งตำแหน่งเด็กรับใช้ใกล้ชิด และผู้คอยช่วยเหลือส่วนพระองค์จึงขยับเข้ามากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู
“นี่คือลอร์ดเอ็ดมัวร์ ราชทูตจากมอนทาร์น่า”
“สวัสดีลอร์ดเอ็ดมัวร์ เราขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับกรอสเซ่” จูเลียนเพียงทักทายราชทูตจากมอนทาร์น่าตามมารยาท แล้วแนะนำกวีหนุ่มข้างกาย
“ลอร์ดกรอสเซ่” เอ็ดมัวร์ค้อมตัวคำนับกรอสเซ่ตามมารยาทเช่นกัน แต่จูเลียนไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า ที่ลอร์ดเอ็ดมัวร์ดูเหมือนจะเน้นเรียกกรอสเซ่ด้วยคำว่า 'ลอร์ด' อย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่จูเลียนเองก็ไม่ได้แนะนำว่ากรอสเซ่เป็นลอร์ดเลยสักคำ ส่วนกวีหนุ่มที่ถูกเรียกเพียงยิ้มรับบาง ๆ ด้วยวางตัวไม่ถูก เพราะจะว่าไปแล้วเขาก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ที่บังเอิญได้เข้ามาในวังกับครูของเขา ซึ่งเป็นกวีที่ทำงานอยู่ในราชสำนักเท่านั้น
งานเลี้ยงเริ่มน่าเบื่อ เพราะมีแต่คนพูดคุยเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสนใจของจูเลียน ยิ่งมองไปทางรัฐมนตรีกับราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ที่คุยกันแต่เรื่องการเมือง ก็ยิ่งเบื่อมากขึ้นไปอีก กระนั้นจูเลียนก็ยังพอทนนั่งได้อยู่ เพราะใกล้ถึงช่วงเวลาของการแสดงละครที่เฝ้ารอแล้ว จูเลียนรวบรัดขั้นตอนน่าเบื่อ โดยสั่งให้เริ่มการแสดงตั้งแต่การเลี้ยงมื้อค่ำยังไม่เสร็จสิ้นดีด้วยซ้ำ
“เราว่ากินไปดูละครไปก็สนุกดีเหมือนกันนะ” หลังจากนั้นข้าราชบริพารผู้ประจบสอพลอบางคน ก็สนองความประสงค์ของจูเลียน ด้วยการสั่งให้เริ่มการแสดงทันที คนได้ดังใจยิ้มหน้าบาน ไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าหมดไป เพราะความสำราญที่ได้ชมสิ่งโปรดปรานข้างคนรัก ยิ่งตัวละครแสดงบทพระนางกำลังพลอดรัก หลังฝ่าฟันอุปสรรคยากลำบากมาด้วยกันเพื่อพิสูจน์รักแท้ ยิ่งทำให้จูเลียนเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน ด้วยว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พระองค์นั้น คือกรอสเซ่ยอดรักนั่นเอง ยิ่งในละครแสดงความหวานของคู่รักออกมาเท่าไหร่ หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ชู้รักมากขึ้นเท่านั้น ด้วยหวังจะถ่ายทอดความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจให้อีกคนได้รับรู้ด้วย
“ข้าชอบฉากนี้ที่สุด” จูเลียนกระซิบข้างหูกวีหนุ่ม รอยยิ้มหวานกับนัยน์ตาซึ้งชวนฝันจากฤทธิ์ของไวน์เลิศรส มีไว้ให้กรอสเซ่ผู้นี้เพียงผู้เดียว คำที่บอกว่าชอบที่สุดนอกจากหมายถึงชอบมากแล้ว สำหรับจูเลียนมันยังบอกได้อีกว่า กษัตริย์หนุ่มน้อยโปรดปรานมาก จนมีรับสั่งให้จัดการแสดงมาแล้วหลายรอบ เพื่อเฝ้าดูฉากสุดท้ายที่สมหวัง และหวังว่ารักของพระองค์ก็จะสมหวังอย่างนี้เช่นกัน
จูเลียนน้อยผู้เพ้อฝันยังไม่รู้ว่ารักแท้นั้นหายากนักในชีวิตจริง
“ข้าก็ชอบฝ่าบาท”
“ความรู้สึกนี้คงเหมือนตอนแรกที่ข้าได้พบเจ้า คิดอย่างนั้นไหมยอดรัก”
“ฝ่าบาท” กรอสเซ่ก้มหัวน้อมรับ
“แล้วสุดท้ายข้าก็ตกหลุมรักเจ้า และเราได้รักกัน ข้ามีความสุขจังเลย” กรอสเซ่ขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้เป็นเพราะนั่งไม่สบายหรือเพราะสายตาหลายคู่ที่แอบมองมา แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เมื่อเห็นเขาได้รับความสนิทสนมจากจูเลียนขนาดนี้ มันย่อมมีทั้งคนที่มองในแง่ดีและแง่ร้าย หลายคนรู้อยู่แล้วถึงสถานภาพพิเศษนี้ ด้วยจูเลียนเองก็ไม่ใคร่จะปิดบังนัก แต่ก็มีหลายคนยังไม่รู้ หลายคนมองแล้วกระซิบกระซาบยากจะเดาความคิด แต่รวม ๆ แล้วการกระทำของคนเหล่านั้น ทำให้กรอสเซ่ผู้ไม่คุ้นชินกับการวางตัวในราชสำนักอึดอัดไม่น้อย โดยเฉพาะสายตาของโจเซฟรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจของออสเซนเทีย!
“ฝ่าบาทการแสดงจบลงแล้วจะกลับเลยหรือไม่”
“เจ้าจะให้ข้ารีบกลับทำไมลีโอ ก็เห็นอยู่ว่าข้าอยู่กับกรอสเซ่”
“แต่ฝ่าบาทมีประชุมสภาตอนเช้า”
“เจ้าจะสั่งให้ข้ากลับหรือไงล่ะ”
“ข้ามิบังอาจถึงขนาดนั้น เพียงแค่เตือนความจำเผื่อฝ่าบาทลืม”
“งั้นก็เงียบเลยลีโอ ไปตามเฮนริชมาเดี๋ยวข้าจะไปแล้ว”
“รับทราบฝ่าบาท”
“มีอะไรหรือฝ่าบาท” กรอสเซ่ถามขึ้นเพราะเห็นลีโอกระซิบกระซาบกับจูเลียนอยู่เป็นครู่
“เจ้าอยากกลับแล้วหรือยังล่ะกรอสเซ่”
“ละครจบแล้วฝ่าบาท พระองค์ไม่อยากกลับไปพักผ่อนหรอกหรือ ข้าได้ยินว่าท่านขี่ม้ามาทั้งวัน”
“แล้วเจ้าล่ะ จะไปกับข้าหรือไม่”
“ข้า..”
“ไปกันเถอะ” จูเลียนผู้เอาแต่ใจไม่ได้ฟังว่ากรอสเซ่จะพูดว่าอะไรอีก เพราะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปเลย ผู้ที่นั่งอยู่ด้วยเมื่อเห็นองค์กษัตริย์ลุกขึ้นทั้งหมดก็ลุกตาม
ด้านนอกโถงจัดงานเลี้ยงนั้นเป็นสวนร่มรื่น แต่เวลาที่ดึกมากแล้ว จึงยากจะชื่นชมความสวยงามของสวนที่จัดอย่างตระการตา สมกับเป็นสวนในปราสาทราชวังอันกว้างใหญ่ ลีโอเดินไปตามระเบียงที่สว่างด้วยคบไฟติดไว้เป็นระยะ แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงกำลังพากันทยอยกลับไปอีกทาง และสุดระเบียงทางเดินนั่น ลีโอมองเห็นร่างสูงใหญ่ของอัศวินผู้แข็งแกร่งของกษัตริย์ เจ้าของร่างสูงยืนเกยไหล่พิงเสามือกอดอก สายตาคมทอดมองออกไปยังสวนท่ามกลางความสลัวเบื้องหน้า ตรงกลางสวนนั้นมีสิ่งสวยงามอย่างน้ำพุ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบอลังการ เป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้
ลีโอเดินเข้าไปหาเงียบ ๆ สายตาจับจ้องแผ่นหลังกว้าง ที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ ชุดเกราะสีทองอันเป็นเครื่องแบบยศของอัศวินแห่งวังหลวง ยิ่งส่งให้ร่างสูงดูสง่างามน่าหลงใหล และลีโอก็มองอย่างหลงใหลล่องลอย นึกสงสัยว่าทำไมอัศวินอย่างเขา ถึงได้มาชมสวนยามดึกเช่นนี้ พอเดินเข้ามาใกล้ได้เห็นสายตา ลีโอจึงมองตาม
อัศวินหนุ่มกำลังมอบความสนใจทั้งหมด ให้กับร่างระหงในชุดคลุมกำมะหยี่สีแดงเลือดนก ลวดลายสีทองที่ปักบนเนื้อผ้า บ่งบอกความสูงศักดิ์ของผู้สวมใส่ ตัวชุดดูหนาหนักยาวกรอมเท้า เปิดช่วงไหล่ขับผิวขาวชวนมองให้ดูผ่องแผ้ว ไหล่กลมกลึงที่โผล่พ้นเนื้อผ้านวลเนียนน่าสัมผัส มวยผมถูกกลัดเกล้าขึ้นสูง เผยให้เห็นท้ายทอยที่คลอเคลียด้วยปอยผมเส้นเล็กเย้ายวนยามต้องลม
ภาพเบื้องหน้าดูสว่างนวลตาเพราะแสงจันทร์ และคบไฟที่จุดไว้รอบ ๆ เกิดเป็นความงามราวภาพฝัน ลีโอมองตามสายตาอัศวินหนุ่ม ให้เกิดสะท้อนสะท้านขึ้นในอก เมื่อเขาเอาแต่เหม่อมองภาพความงามตรงหน้า ราวกับดำดิ่งสู่ห้วงฝันจนไม่รู้ตัว ทั้งที่ลีโอเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิดขนาดดนี้แล้ว
“อุ้ย! อุบ” แต่ลีโอคงคิดผิด เพราะพอก้าวเท้าเข้ามาได้ระยะช่วงแขน ร่างผอมบางก็ถูกกระชากไปกอดแน่น ไม่พอปากที่กำลังจะร้องโวยวายขอความช่วยเหลือ ยังถูกมือใหญ่ปิดทันที หลังจากที่รู้ว่าตัวเองคิดผิด เข้าใจไปเองว่าอัศวินผู้แข็งแกร่งเหม่อลอย เอาแต่มองของสวย ๆ งาม ๆ จนไม่ทันระวังตัว ลีโอก็ทำได้เพียงร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษา การดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นไร้ผล เพราะเรี่ยวแรงที่ต่างกันนั้นมันบอกอยู่แล้ว ว่าลีโอเป็นรองจนยากต่อกร
“ข้าจะปล่อย แต่เจ้าต้องไม่ทำเสียงดัง” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหู เล่นเอาลีโอผู้อ่อนไหวไม่แพ้เจ้านายขนลุกเกรียว พอพยักหน้าตกลงร่างบอบบางก็เป็นอิสระ หนุ่มน้อยหายใจหอบด้วยว่าทั้งออกแรงดิ้น ทั้งเกร็ง ทั้งตกใจ
ลีโอเอ๋ยเจ้าตกอยู่ในอ้อมกอดของอัศวินผู้นี่อีกครั้งแล้วสินะ ใจเจ้าเป็นเช่นไรระวังมันเอาไว้ให้ดี ระวังมันจะเต้นผิดจังหวะจนเจ้าหัวใจวายตาย
พอเป็นอิสระลีโอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เด็กรับใช้ประจำตัวของกษัตริย์จูเลียนเอาแต่ยืนก้มหน้า แต่ดวงตากลับเหลือบขึ้นมองร่างสูงอย่างไม่มั่นใจ ในสายตาคมของอัศวินหนุ่ม ดูก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ากำลังประหม่า
“มีอะไร”
“กษัตริย์จะเสด็จแล้ว”
“งานเลี้ยงเลิกแล้วหรือไง” ลีโอเพียงพยักหน้ารับ เฮนริชก็เดินจากไปโดยไม่ต้องเสียเวลาถามไถ่ให้มากความ เพราะรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว
“เดี๋ยวสิรอข้าด้วย” ลีโอร้องตามหลังแล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อให้ตามร่างสูงทัน ไม่ลืมเหลือบตามองไปทางน้ำพุอีกครั้ง แต่ร่างระหงที่ยืนดื่มด่ำกับความงามของสวนในแสงสลัวหายไปแล้ว ลีโอวิ่งตามเฮนริชมาทัน ก็ตอนอัศวินตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องโถงกว้างใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงแล้ว
“ฝ่าบาทอยู่ไหน”
“ข้าไม่รู้”
“เจ้าไม่รู้ได้ยังไงลีโอ เจ้าต้องตามเสด็จไปทุกที่นะ”
“ก็เพราะข้ามัวแต่มาตามท่านไงล่ะ”
“แล้วไงล่ะ” เฮนริชกอดอกยืนพิงกรอบประตูท่าทางไม่ทุกข์ร้อน แต่ลีโอกลับร้อนใจ เพราะเจ้านายหายไปแต่อัศวินประจำตัวกลับยังเฉย
“ไปตามหาฝ่าบาทกันเถอะท่าน”
“ป่านนี้กลับถึงปราสาทแล้วล่ะ”
“ท่านรู้ได้ยังไงหลังจากที่ละเลยหน้าที่ของตัวเองไป..”
“พูดต่อให้จบสิ ข้าไปไหน”
“ก็ท่านทำอะไรล่ะเมื่อกี้น่ะ”
“อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ลีโอ”
“แต่ท่านละเลยหน้าที่อารักขาฝ่าบาท!” เรื่องเดียวที่ลีโอยอมไม่ได้ และถือเป็นเรื่องใหญ่มาก
“เจ้าคิดว่าราเชลกับเดรทิชทำอะไรอยู่ล่ะ”
“ก็..” นั่นสิ! ลีโอเพิ่งนึกได้ว่ายังมีราเชลกับเดรทิชจึงหน้าเสีย ที่ตัวเองบังอาจตำหนิอัศวินมือหนึ่งของกษัตริย์จูเลียน เพียงเพราะลืมว่ายังมีอัศวินอีกสองคนคอยอารักขาอยู่แล้ว ส่วนเลนนี่นั้น เพราะได้รับบาดเจ็บจึงมีคำสั่งให้กลับไปรักษาตัวยังที่พักของตัวเอง อัศวินทั้งสี่จะมีที่พักส่วนตัวเป็นป้อม ที่ตั้งอยู่รอบปราสาทของจูเลียนทั้งสี่ทิศ แต่ก็จะได้กลับไปที่ป้อมของตัวเองเฉพาะบางวันเท่านั้น เพราะปกติจะต้องอยู่เคียงข้างกษัตริย์ตลอดเวลา!
“หึ”
“ท่านกินแรงคนอื่น”
“ข้ากำลังอยู่ในช่วงพักต่างหาก”
“เอ่อท่านเดี๋ยวสิ เซอร์เฮนริช รอข้าด้วย” ลีโอต้องวิ่งตามให้ทันเฮนริชอีกแล้ว เมื่ออัศวินหนุ่มสาวเท้ายาว ๆ เดินไปตามทางปูด้วยแผ่นหิน พาไปสู่ปราสาทหลังงามอันเป็นพระราชฐานที่พำนักของกษัตริย์จูเลียน
“หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่ เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม”
“ฝ่าบาท ข้า..เอ่อ”
“ทำไมล่ะยอดรัก ข้าไม่อยากออกจากวังไปไหนเลย หากไม่มีเจ้าไปด้วย คราวหน้าเจ้าต้องไปกับข้านะสัญญาสิ” จูเลียนโถมตัวเข้าหาร่างสะโอดสะองของกรอสเซ่ เพราะหวังจะแสดงความรักกับกวีหนุ่ม ด้วยการมอบจูบเสน่หาให้ แต่เป็นคนต่ำศักดิ์กว่าที่พยายามหลบเลี่ยง เพราะความเมาจากไวน์หลายแก้ว หรือเพราะความรักที่บังตาก็ไม่อาจรู้ได้ แต่จูเลียนผู้เอาแต่ใจกลับไม่ถือสาที่ถูกชู้รักขัดใจ
“ฝ่าบาทข้าเกรงว่านี่คงดึกมากแล้วสำหรับพระองค์”
“แล้วไงล่ะ จูบข้าหน่อยสิกรอสเซ่”
“ฝ่าบาทควรพักผ่อน”
“นี่เจ้าห่วงอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนยอดรักของข้า เพราะฝ่าบาทสำคัญที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้น..” จูเลียนโน้มตัวเข้าหาแต่อีกคนก็ยังย่อตัวถอยห่าง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
“ทำไมล่ะกรอสเซ่ หรือว่าเจ้ารังเกียจจูบของข้า” พยายามจะจูบแต่กวีหนุ่มกลับจับต้นแขนดันไว้ไม่ยอมรับ จูเลียนจึงเอ่ยถามอย่างข้องใจ แต่ก็พร้อมจะเชื่อในคำอธิบายเสมอ
“มันดึกมากแล้วจูเลียนของข้า พรุ่งนี้ท่านมีภารกิจแต่เช้าไม่ใช่หรือ”
“เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือไงกรอสเซ่”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดฝ่าบาท แต่ก็อยากให้ฝ่าบาทได้พักผ่อนเช่นกัน” กรอสเซ่สบตาจูเลียนด้วยแววตาสื่อความหมาย และประดับใบหน้าใสซื่อด้วยรอยยิ้มอ่อนยามทูลคำ “ข้าเพียงแค่กลัวถูกตำหนิ”
“ใครกล้าตำหนิเจ้ากัน!”
“ผู้คนมากมายในงานเลี้ยง มองข้าด้วยสายตาที่เห็นแล้วน่าวิตกนักฝ่าบาท ข้ารู้สึกต้อยต่ำเหลือเกิน”
“ตอนข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกวีประจำราชสำนัก พวกนั้นจะไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้นมองเจ้ายอดรักของข้า”
“ฝ่าบาท!”
“ข้าจะประกาศแต่งตั้งเจ้าเอง คราวนี้สบายใจหรือยังล่ะ”
“จูเลียนกรุณาต่อข้าเหลือเกิน” โดยไม่ต้องเรียกร้อง ท้ายทอยของจูเลียนถูกรั้งให้เข้าไปรับจูบ เป็นรางวัลสำหรับความกรุณาที่มีให้คนรัก แต่ยังไม่ทันได้ซาบซึ้งกับจูบแสนหวาน กรอสเซ่ก็ผละออกอย่างรวดเร็วแล้วถอยห่าง จูเลียนปลื้มปริ่มกับการแสดงความรู้สึกของคนรัก จนไม่ได้สนใจ ว่าจูบนั้นมันช่วงฉาบฉวยเหลือเกิน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คนรักมอบจูบให้ หลังจากที่จูเลียนเป็นฝ่ายเสนอเองมาตลอด
“ข้าทูลลา”
“ฝันดีนะยอดรักของข้า” พอกรอสเซ่หันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น จูเลียนก็หันหลังเดินเข้าไปในปราสาท คล้อยหลังคู่รักคนอีกสองคนที่หลบอยู่ในมุมมืดก็ปรากฏตัว
“เจ้าตามฝ่าบาทไป เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยรอบปราสาทก่อน”
“ได้” เดรทิชผละไปแล้ว ราเชลจึงเดินตรวจเวรยามรอบปราสาทอย่างที่บอก อัศวินหนุ่มสั่งงานเล็กน้อยกับทหารเฝ้ายามแล้วขึ้นปราสาทตามเจ้านายไป เพราะเมื่อจูเลียนเข้าห้องบรรทมเพื่อพักผ่อน ก็เป็นเวลาของอัศวินที่ไม่ต้องเข้าเวรได้พักผ่อนเช่นกัน และคืนนี้หน้าที่เข้าเวรเป็นของเฮนริช จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ต้องคอยอยู่อารักขาใกล้ ๆ จูเลียนที่งานเลี้ยงนั่นเอง
ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่าแบ่งพื้นที่ส่วนต่าง ๆ อย่างลงตัว ประกอบด้วยห้องหับมากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนตัวของกษัตริย์อย่างห้องนอน ที่ออกแบบมาให้หรูหราน่าอยู่ และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลอดภัย ส่วนห้องพักของอัศวินประจำพระองค์จึงอยู่ติดห้องบรรทม ที่มีเตียงให้สี่เตียงสำหรับอัศวินทั้งสี่ กษัตริย์จึงสามารถเรียกหาได้ตลอดเวลา
***************
NC เรื่องนี้ค่อนข้างจะ ถามเจ้าถิ่นหน่อยค่ะว่าลิมิตได้มาน้อยแค่ไหน