Extra : วันพักร้อนของจอส part1 “รีบๆ วางสายไปเลยป่ะ...”
หลังจากกดตัดสายจากภูซึ่งโทรมาโวยวายเรียกตัวให้เขากลับไปทำงานของตนเอง สายตาของจอสยังคงจ้องมองค้างที่หน้าจออยู่อีกครู่หนึ่ง ใบหน้าเกือบจะยิ้มออกมาจากความรู้สึกดีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแต่ก็ยังถูกความหม่นหมองที่ยังค้างเติ่งอยู่ในหัวใจสกัดกั้นเอาไว้ การอกหักครั้งแรกในชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เขายังทำใจยอมรับความรู้สึกที่เกิดจากมันไม่ค่อยได้ มันไม่ใช่ความโกรธ ไม่เชิงเศร้า หากจะใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นความใจหาย เหมือนเป้าหมายสำคัญในชีวิตได้ดับหายไป
เวลาเลยผ่านช่วงบ่ายย่ำเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว จอสรูดเปิดผ้าม่านที่ปิดเอาไว้เพื่อกันแสงแดดจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาในช่วงบ่าย สามวันแล้วที่เอาแต่เก็บตัวหมกอยู่ในห้องนี้ คืนนี้คงถึงเวลาต้องพยายามออกไปปรับตัวให้ชีวิตเลิกจมกับความหมองหม่นเสียที เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพักรีสอร์ทซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูงเพื่อหาสถานที่สักแห่งซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้เวลาให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป การพักงานทั้งหมดแล้วหนีมากบดานอยู่บนเกาะแห่งนี้ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะบนเกาะเล็กๆ ซึ่งมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นประชากรส่วนใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่เขาจะถูกจำได้ว่าเป็นใคร อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ที่เอนเอียงไปทางชาวต่างชาติตามเชื้อสายอเมริกันของผู้เป็นพ่อทำให้เพียงแค่เปลี่ยนสีผมเพียงเล็กน้อยและใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาให้เป็นแบบชาวตะวันตกก็มากพอที่จะทำให้จอสดูเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน
เมื่อไม่อาจตัดสินใจแบบเจาะจงได้ว่าจะไปที่ไหน จอสจึงพาตัวเองออกไปตายเอาดาบหน้า เขาตั้งใจจะเดินออกจากรีสอร์ทและตระเวนดูตามแนวชายหาดให้ทั่วพื้นที่เพื่อหาสักแห่งที่ถูกใจพอจะแฮงค์เอาท์ได้ เด็กหนุ่มพยายามใช้ความระมัดระวังขณะเดินลงบันใดเล็กๆ ที่ตัดเป็นทางลัดจากรีสอร์ทสำหรับลงไปยังชายหาด ด้วยระดับความสูงที่ค่อนข้างชันซ้ำยังเต็มไปด้วยกรวดหินก้อนเล็กๆ ซึ่งอาจพาให้เท้าเหยียบพลาดและลื่นไถลตกลงไปได้อย่างง่ายดาย แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ แม้จะระวังตัวมากเพียงใดมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด ดังเช่นในครั้งนี้ที่ถึงแม้จอสจะระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุดก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้เสียกระบวนจนได้ เมื่อในขณะที่ตาทั้งสองข้างกำลังจับจ้องมองแต่ละก้าวของตนเองเบื้องหน้านั้น จู่ๆ ด้านหลังซึ่งไร้การป้องกันก็ถูกพุ่งชนอย่างแรงด้วยอะไรบางอย่างซึ่งมีขนสีทองและน้ำหนักไม่ต่ำกว่ายี่สิบกิโลกรัม
ร่างของเด็กหนุ่มเกือบจะทะยานออกไปข้างหน้าตามแรงกระแทก แต่โชคดีที่ยังพอจะตั้งหลักรั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการบาดเจ็บเมื่อเท้าซึ่งเสียการทรงตัวบนพื้นกรวดนั้นเกิดลื่นไถลจนเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นหินของขั้นบันไดอย่างแรง
“อุ… อูยย” จอสเจ็บจนอุทานไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงครวญครางออกมาเพื่อระบายความทรมาน
“โจโฉ!” เสียงใครบางคนร้องเรียกชื่อที่เหมือนกับตัวละครในวรรณกรรมจีน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่โจโฉที่ว่านั่นได้ทำเอาไว้ “ตายห่าแล้ว… เป็นอะไรไหมครับ?”
“อ่ะฮะ…” จอสพยักหน้า นึกในใจว่าไม่เห็นต้องถาม ก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่
ลิ้นแฉะๆ เลียเข้าที่แก้มของจอสหนึ่งครั้ง เมื่อหันไปดูก็พบสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กำลังนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างที่เกิดเหตุ จอสรู้ได้ในทันทีว่าอะไรที่พุ่งชนตนจนเกือบหน้าทิ่มเมื่อครู่ เมื่อรู้ว่าคู่กรณีของตนไม่ใช่มนุษย์จอสจึงไม่คิดจะถือสาให้ตัวเองดูปัญญาอ่อน เขายันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเอาเศษดินเศษกรวดออกจากกางเกงเบาๆ ไม่ให้กระเทือนจุดที่บอบช้ำเมื่อครู่
“คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?” เจ้าของเสียงเดิมถามมาอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเข้ามาใกล้พอจะเห็นรูปลักษณ์ซึ่งผ่านการพรางให้ดูเหมือนชาวต่างชาติของจอส “ขอโทษครับ หมามันหลุด ผมวิ่งไล่ตามมาไม่ทัน”
“ไม่เป็นไรๆ แค่ลื่นล้ม ไม่สาหัส” จอสตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกันเพื่อความแนบเนียน
“แน่นะครับ” เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะรีบเข้ามาประคองเมื่อจอสตั้งท่าจะเสียหลักอีกรอบขณะหันกลับมา “หัวไม่กระแทกใช่ไหมครับ?”
“น่า… ไม่เป็นไรจริง…”
คำตอบของจอสหยุดชะงักลงกลางประโยคเมื่อเขาหันกลับมาเห็นหน้าชายผู้เป็นเจ้าของสุนัขตัวแสบ ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้จอสนึกถึงเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งหักอกเขาและเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นเพื่อนใหม่ ทั้งผมที่ไว้ยาวในทรงเดียวกันอีกทั้งยังความอ่อนหวานปนไร้เดียงสาบนใบหน้านั้นอีก หากจะมีสิ่งใดที่พาสติของจอสให้แยกออกว่าทั้งสองคือคนละคนกัน นั่นก็คงเป็นรูปร่างของอีกฝ่ายที่ดูจะมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทะมัดทะแมงมากกว่าภูซึ่งบอบบางจนแทบจะปลิวตามกระแสลมแรงได้
“ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ?” เขายังถามซ้ำเมื่อเห็นจอสเอาแต่จ้องหน้าตนเหมือนยังไม่ได้สติ “ฮัลโหลววว”
นี่แหละ ใช้ได้เลย… ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวอย่างทันควัน โดยไม่ต้องลงไปถึงชายหาดตามที่คิดเอาไว้ แต่ในที่สุดจอสก็พบเจอสิ่งที่เขาอยากจะใช้เวลาในค่ำคืนนี้ด้วยแล้ว ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ แบบชั่วข้ามคืนก็ไม่เลวนักที่จะใช้เป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจช้ำๆ ที่เพิ่งเจ็บมาหมาดๆ ของตน จอสหันไปมองเจ้าโจโฉด้วยสายตาขอบคุณที่ส่งเจ้านายมันมาเป็นเหยื่อสังเวยให้ถึงที่ ทั้งหมดที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือล่อลวงและพาอีกฝ่ายไปให้ถึงขอบเตียงให้จงได้
“เป็น… ตอนนี้เป็นแล้ว…” จอสไม่ปล่อยโอกาสที่จะทำให้ตัวเองได้เปรียบทิ้งไป เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นขาอ่อนแรงจนทรุด ทักษะการแสดงที่ร่ำเรียนมาถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง “สงสัยจะเดินไม่สะดวกไปอีกหลายวันแน่เลย”
“อ้าว… คนไทย?” ชายคนนั้นตกใจเมื่อจอสหลุดตอบกลับมาเป็นภาษาไทย ก่อนที่ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะทำให้เขาต้องก้มลงจ้องดูใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “ก็ว่า… หน้าก็ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”
“คนไทยแล้วไง จะไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ?” จอสโวยวาย ก่อนจะทำสีหน้าให้ดูเจ็บปวดรวดร้าวมากขึ้นกว่าเดิม
“ยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลยนะครับ” ชายคนนั้นรีบแก้ตัว ขณะที่ตาก็ยังจ้องหน้าจอสไม่ยอมเลิก เหมือนพยายามจะนึกให้ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“รับผิดชอบมาเลย” จอสเรียกร้อง
“ให้ผมพาไปหาหมอก็แล้วกันครับ” ชายคนนั้นเสนอก่อนจะทำท่าเดินกลับขึ้นไป “เดี๋ยวผมขอไปเอารถแป๊ปนึงนะ รอตรงนี้แหละ”
“ไม่! หยุด!” จอสรีบห้ามเมื่อได้ยินคำว่าหมออันเป็นจุดอ่อนหนึ่งเดียวของตน “ไม่ไปหาหมอ!”
“อ้าว… แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไง?” อีกฝ่ายเอาใจไม่ถูก
“ชื่ออะไร?” จอสถามกลับไป
“ดาวินทร์แต่เรียกแค่วินทร์ก็ได้ครับ เรียกเต็มๆ มันเหมือนชื่อผู้หญิง ” อีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วคุณล่ะ? จะให้ผมเรียกว่าอะไร?”
“นี่จำไม่ได้จริงๆ เหรอ?” จอสแปลกใจ เพราะหากเป็นคนไทยก็ย่อมจะต้องเคยเห็นตนผ่านสื่อมาบ้างไม่มากก็น้อย
“ก็คุ้นๆ … แต่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่า” วินทร์ไม่แน่ใจ “ก็คนนั้นเค้าไม่ได้ตาสีนี้…”
“อ๋อนี่เหรอ…” จอสถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วโยนทิ้งให้ดูต่อหน้า “ทีนี้จำได้หรือยัง?”
“โอ้… ชัดเจน” วินทร์ตบมือผาง “เจมส์ ภาณุวัฒณ์”
“ไม่ใช่!” จอสปรี้ดแตกที่ถูกจำสลับเป็นดาราวัยรุ่นอีกคนหนึ่งของทางช่อง “นี่จอส! จอส วาโย!”
“เออ ใช่ นั่นแหละ” อีกฝ่ายหัวเราะร่วน รีบเออออตาม “จำผิดไปนิดเดียวเอง”
“ไม่นิดแล้ว คนละคนกันเลย” จอสรีบดึงกลับเข้าประเด็น “ตกลงจะรับผิดชอบยังไง ไม่เอาหาหมอ”
“ถ้าไม่หาหมอก็ไม่รู้จะรับผิดชอบยังไงแล้วล่ะครับ” วินทร์เกาหัวจนปัญญา “ให้คุณเสนอมาเองดีกว่าว่าอยากให้ชดใช้ยังไง”
“กินอะไรรึยังล่ะ?” จอสถามกลับไป “เลี้ยงข้าวหน่อยก็แล้วกัน ไปกินด้วยกันนี่แหละ”
“อืม แค่เลี้ยงเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมคงไม่กินด้วยนะครับ” วินทร์ตอบกึ่งตกลง “หลังหกโมงเย็นไปแล้วผมไม่ชอบกินอะไรหนักๆ แล้ว เดี๋ยวนอนไม่หลับ”
กินๆ ไปเหอะน่า คืนนี้ยังไงก็หลับ เพราะก่อนนอนเดี๋ยวได้เสียแรงเยอะแน่… จอสหื่นจนหน้ามืดจากอากัปกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูยั่วยวนชวนให้ข่มเหง เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เขาพบเจอกับภูครั้งแรกในการถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร จะแตกต่างอยู่บ้างก็เพียงแค่กับภูมันมีเพียงความเอ็นดู แต่กับวินทร์นอกจากเอ็นดูเขาก็อยากจะดูเอ็นด้วย เพราะอีกสิ่งหนึ่งที่วินทร์มีแต่ภูไม่มีนอกจากกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาแล้วก็คือเสน่ห์เย้ายวนของแรงดึงดูดทางเพศซึ่งทำให้จอสใจเต้นแรงทุกครั้งได้ในทุกครั้งที่สบตา จนบางขณะเขาถึงกับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคู่นั้นเสียเองด้วยความประหม่า
“แล้วจะไปกินทีไหนดีครับ?” วินทร์ถามขึ้นมาขณะนำสายจูงไปคล้องไว้กับปลอกคอของโจโฉเหมือนเดิม
“ไม่ต้องไปไกลหรอก สั่งเอาจากรูมเซอร์วิสก็ได้” จอสเสนอทางเลือกที่ง่ายที่สุดให้
“ผมว่า… ไปกินตามร้านจะสะดวกกว่าแล้วก็มีอะไรกินเยอะกว่านะครับ” วินทร์ดูจะไม่เห็นด้วย
“ไม่อ่ะ เราไม่ชอบไปกินตามร้านอาหาร” จอสยืนกรานความคิดเดิม
“อ๋อ… กลัวคนจำได้เหรอ?” วินทร์เข้าใจไปแบบนั้น
เปล่าหรอก กินร้านข้างนอกมันก็เริ่มด้วยคาวแล้วจบด้วยหวาน แต่ถ้ากินในที่ส่วนตัวสองต่อสองเนี่ย อาจจะมีของคาวตบท้ายหลังของหวานอีกรอบนึง… จอสเก็บคำตอบที่แท้จริงเอาไว้ในใจแล้วตอบออกไปแบบที่อีกฝ่ายคิดเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น “ใช่… เราอยากอยู่เงียบๆ”
“ก็ได้ๆ เข้าใจครับ เป็นคนดังนี่ลำบากเนอะ” วินทร์ทำท่าเข้าอกเข้าใจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเดินลงกับดักที่อีกฝ่ายขุดหลุมพรางไว้
“งั้นสองทุ่ม เจอกัน” จอสนัดเวลาเผื่อไว้ให้ตนได้จัดสถานที่รอ
“ได้ครับ สองทุ่มจะไปหานะครับ” วินทร์รับปาก “อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ? จะได้ซื้อติดไปด้วยเลย”
มาตัวเปล่าก็ได้ เพราะนั่นแหละที่อยากกินอยู่ตอนนี้ จอสระงับความกระหายเอาไว้ในอกขณะที่ปากก็ตอบอีกฝ่ายไปกว่าอะไรก็ได้แล้วแต่จะซื้อมา แต่ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั้นจู่ๆ เขาก็เพิ่งจะรู้สึกผิดสังเกตกับบางอย่างที่อีกฝ่ายได้พูดออกมาเมื่อครู่
“ไหนทวนอีกที เรานัดกันว่ายังไง?” จอสหันไปถามทวนเพื่อดูคำตอบของอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ก็สองทุ่มไงครับ เดี๋ยวผมไปหาที่ห้องของคุณเลย” วินทร์ตอบกลับมาเหมือนเมื่อครู่
“แล้วรู้เหรอว่าเราอยู่หลังไหน?” จอสจับพิรุธได้ “นี่คงไม่ได้กะจะรับปากส่งๆ แล้วชิ่งเบี้ยวหนีไปหรอกนะ…”
“แหม ลืมถามเลยครับ” วินทร์แก้ตัวน้ำขุ่นๆ “แล้วอยู่หลังไหนล่ะครับ? “
“7A” จอสตอบ ตามองเขม็งอย่างไม่ไว้วางใจ
“ได้เลยครับ เดี๋ยวสองทุ่มเจอกันครับ” วินทร์ตอบรับแบบสบายๆ เหมือนไม่ได้รับผลใดๆ จากสายตานั้น
“เดี๋ยวก่อน” หลังจากเห็นเล่ห์เหลี่ยมแบบเนียนหน้ามึนเมื่อครู่ จอสรู้ดีว่าอีกฝ่ายถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายแต่เอาเข้าจริงนายคนนี้ก็รอบจัดแสบสันต์กว่าภูหลายเท่า ดังนั้นเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่เบี้ยว และเจ้าตัวขนทองที่นั่งลิ้นห้อยอยู่นี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เข้าที “หมานายน่ะ เดี๋ยวเราดูแลให้จนกว่าจะสองทุ่ม”
“ไม่ดีมั้งครับ” วินทร์ส่ายหน้าดิก “โจโฉน่ะ ติดเจ้าของมาก มันไม่ยอมไปกับคุณหรอก”
“แน่ใจเหรอ?” จอสถามก่อนจะผิวปากเป็นสัญญาณเรียก
สิ้นเสียงผิวปาก โจโฉก็ดิ้นจนหลุดจากสายจูงอีกรอบและกระโจนเข้ามาหาจอสทันที มันพยายามตะกุยตะกายแต่เมื่อเด็กหนุ่มผิวปากอีกครั้งพร้อมส่งสัญญาณมือทำท่าให้นั่งลง มันก็ยอมนั่งแต่โดยดี และเมื่อผิวปากอีกครั้งพร้อมกับหมุนข้อมือไปมา มันก็ล้มตัวลงนอนและกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ทำเอาผู้เป็นเจ้าของอย่างดาวินทร์ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ซ้ำยังเจือไปด้วยความรู้สึกเสียหน้าที่หมาของตนเชื่อฟังคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอมากกว่าเจ้านาย หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีที่อีกฝ่ายพูดมานั้นผิด จอสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นมือไปขอสายจูงจากวินทร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็หมดหนทางจะต่อสู้จึงจำใจต้องส่งให้
“รีบๆ มารับหมาคืนไปล่ะ อย่าลืมนะ สองทุ่ม 7A จะมาก่อนเวลาก็ได้ ไม่ว่า” จอสยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า
“ได้…” วินทร์ดูเจ็บใจที่พลาดท่าแต่ก็หมดทางจะดิ้นรนเมื่อลูกรักถูกจับเป็นตัวประกันอย่างสมยอม
“ไปรอพ่อแกมารับกันดีกว่าโจโฉววววว” จอสคล้องสายจูงและออกวิ่งนำให้โจโฉตาม
“ขาไม่เจ็บแล้วเหรอครับ?” วินทร์ตะโกนถามไล่หลังไป
จอสได้ยินก็จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่กำลังแสดงละครฉากบาดเจ็บค้างเอาไว้ เด็กหนุ่มรีบชะลอฝีเท้าลงและทำเป็นเดินกระเผลกให้อีกฝ่ายเห็น วินทร์ส่ายหน้ารู้สึกอายแทนกับการซดโป๊ะแตกชามใหญ่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดง เขายืนมองจนกระทั่งจอสจูงโจโฉหายลับพ้นเนินเขาไปจึงค่อยถอนหายใจออกมาและทรุดนั่งลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากความตึงเครียดที่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดเพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอาการใดๆ แล้ว แม้จะทุลักทุเลแต่วินทร์ก็ถือว่านี่เป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของตน
โจโฉเป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาอย่างดีและมีอุปนิสัยรับแขกเป็นเลิศ มันชอบเล่นกับคนแปลกหน้า จริงๆแล้วมันชอบเล่นกับทุกคนยกเว้นเจ้าของตัวเอง ดังนั้นวินทร์จึงตั้งใจจูงมันออกมาหลังจากเห็นจอสออกมาจากห้องเพื่อใช้เป็นสื่อในการเข้าหา เพราะเคยได้รับรู้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ว่าอีกฝ่ายชอบสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือโจโฉจะเล่นแรงจนเป้าหมายเกือบจะดับอนาถคาเกาะเช่นนี้
สามวันมาแล้วนับจากวันแรกที่จอสเชคอินเข้าพัก แม้อีกฝ่ายจะผ่านการอำพรางตัวจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแต่เขาในฐานะเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้รู้ดีแขกผู้มาเยือนคือใครจากเอกสารที่ใช้ประกอบการเข้าพัก หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าเฝ้ารอที่จะเข้าไปทำความรู้จักหลังจากได้แต่เฝ้าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์และปกนิตยสารมานานสองนาน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะจอสเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องพักไม่ยอมออกมาเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึง แม้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเสี่ยงที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บหนัก แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้…
To be continued...