10th Night : ยั่ว
มือข้างที่คว้าคอเสื้อดันร่างตุลย์ติดกำแพง
“ได้ข่าวว่ามึงไม่ได้ทำงานที่คลับแล้วนี่... เลิกขายตัวแล้วทำไมไม่บอก จะหลอกฟันเงินกูฟรีๆ หรือไง!?”
“...........”
เห็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งได้ใจ “...คิดว่าเงียบอย่างเดียวแล้วกูจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอ?”
ไม่พูดปากเปล่า แต่ยังลากไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าคนฟัง จากหางตาเลื่อนลงไปปลายคางอย่างเชื่องช้าและยั่วยุ จนต้องเขาสะบัดหน้าหนีอย่างทนไม่ไหว
หากปฏิกิริยนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วยียวน
“ทำไม หรือไม่ชอบ? เห็นว่าตอนนั้นก็ออกจะสมยอมดีแท้ๆ”
ตุลย์ได้แต่กัดฟันแน่น ความรู้สึกทั้งโมโหและหวาดหวั่นตีรวนผสมกันมั่ว แต่ในสถานการณ์ที่ตกเป็นรองทั้งด้านพละกำลังและจำนวนคน เขาทำได้แค่ยื้อแรงไว้ ประคองสติให้อยู่ครบถ้วน และพยายามหาทางออกก่อนที่ตัวเองตกเป็นฝ่ายเจ็บตัว...
แต่แล้วก่อนที่ทุกอย่างจะเลิกเถิดเกินควบคุม จู่ๆ ชายคนนั้นก็ปล่อยมือที่ยึดคอเสื้อเขา เปลี่ยนมาตีสีหน้าเรียบฉาบรอยยิ้ม ขณะที่ทอดสายตามองผ่านกลุ่มคนทางด้านซ้าย
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าผู้คนเข้ามาทางนี้ด้วยท่าทางเร่งรีบ เธอหันรีหันขวางราวกับกำลังมองหาใครบางคน ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหยุดตรงกลุ่มคนกำลังหาเรื่องเขา ตามด้วยฝีเท้าสาวฉับๆ ดิ่งตรงมา
โดยที่รอจังหวะอยู่แล้ว เจ้าของรอยยิ้มกรุ่มกริ้มโบกมือทักทายหล่อน แต่ทว่าแทนที่เธอจะหยุดทักคู่สนทนา กลับเดินเลยมาหาเขาเสียนี่
“เราเดินวนหาตั้งนานแหนะ นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” ผู้หญิงที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มแบบสาวจีนยิ้มราวกับโล่งใจที่หาเขาพบ โดยไม่หันไปมองคนที่ยืนเก้อด้านหลังแม้แต่หางตา
กระทั่งทนการหมางเมินต่อไปไม่ไหว ชายคนนั้นก็เอ่ยทัก
“หวัดดี จีจี้”
“อ๋อ ว่าไง กาย” หญิงสาวหันมายิ้มให้ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีตัวตน “พอดีวันนี้เรามีธุระกับตุลย์น่ะ ถ้ากายไม่ได้มีอะไรสำคัญกับเขาแล้ว เราขอยืมตัวหน่อยได้ไหม”
ผู้ชายชื่อ ‘กาย’ ปรายตามองเขาที่หนึ่งอย่างลังเลราวกับกลัวเสียเครื่องมือต่อรองไป
“คุยกันตรงนี้ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้หรอก ตุลย์กับเราทำโปรเจ็คด้วยกัน วันนี้เราจะวางแผนงาน คุยกันสั้นๆ ตรงนี้ไม่รู้เรื่องหรอก กายก็น่าจะรู้ว่าเราไม่ใช่คนทำงานชุ่ยๆ ทีนี้เราขอตัวเขาหรือยัง?”
กายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบด้วยน้ำเสียงนุ้ม “ก็ได้ครับ ถ้าจี้อยากได้เขา ก็เอาไป”
“อื้ม ขอบใจ” ออกจะห้วนไปสักหน่อยสำหรับคำขอบคุณ แต่กระนั้นผู้ฟังก็ดูจะพอใจกับคำตอบที่ได้รับ
“มากับเราเร็ว แม็กกับฟ้าอยู่ด้านนอกนานแล้ว”
จีจี้กวักมือเรียกเขาก่อนจะถือวิสาสะจูงฝ่าฝูงชนลงบันไดไปชั้นล่างอย่างเร่งรีบ และต่อให้ไม่หันกลับไปมอง ตุลย์ก็รู้สึกถึงสายตาเฉือดเฉือนของผู้ชายคนนั้นมองตามไม่ห่าง
ดูเหมือนเขาเพิ่งจะหาเหาใส่หัวเพิ่มให้ตัวเองอีกหนึ่งแล้ว...เดินลงมาจนคนเริ่มซาลงบ้าง เธอก็ปล่อยมือ ลดฝีเท้าที่แสร้งทำเป็นเร่งรีบหนักหนาลง เปลี่ยนเป็นการเดินสบายๆ โดยที่สายตาจับจ้องมายังร่างเขาไม่วาง
“พวกนั้นหาเรื่องเธอเหรอ?”
ตุลย์เลิกคิ้วงงๆ แต่พอก้มมองเห็นปกเสื้อยับยู่ยี่เขาก็เข้าใจคำถาม “เหมือนพวกนั้นจะไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่”
“แหงล่ะ พวกนั้นไม่เคยชอบใครอยู่แล้ว” เธอว่าราวกับเป็นเรื่องปกติ “ทางที่ดีเราว่าเธออย่าไปยุ่งกับอัธพาลแบบนั้นดีกว่า หาเรื่องคนอื่นไปทั่วคิดว่าเท่นักหรือไงก็ไม่รู้”
“เธอก็ไม่ชอบพวกนั้นเหรอ?”
เท่าที่เขาเคยได้ยินมาสมัยมัธยม ปกติแล้วผู้หญิงมักจะชอบคนที่ทำให้รู้สึกโลดโผนโจนทะยานได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้ชายชอบมีเรื่องต่อยตีหรืออะไรเทือกนั้น
แต่ผู้หญิงตรงหน้าเขากลับส่ายหน้าหวือ “หือ? ใครจะไปชอบลงกัน ตามตื้อจนน่ารำคาญแบบนั้น เราล่ะเบื่อจะตาย!”
“..........”
“เจอเราที ก็ทักทุกห้านาทีอย่างกับไม่ได้เจอกันห้าปีงั้นล่ะ ยิ่งตอนยิ้มนะ เราขนลุกเลยรู้หรือเปล่า หลอนติดตาจนจะเก็บไปฝันร้ายอยู่แล้ว แค่พูดถึงยังขนลุกเลยเนี่ยเห็นไหม” ว่าไปเธอก็ถูกแขนแรงๆ ประกอบ
“..........”
“รู้หรือเปล่า ตอนเปิดเทอมแรกๆ กายอ่ะตามติดเราแจ เรียกว่ามีเราที่ไหนต้องมีนายคนนั้นที่นั่น อย่างกับวิญญาณแค้นรอสิงร่างเวลาเผลอเลยนะ มีช่วงหนี่งหนักจนเราแทบจะหยุดเรียนไปเข้าวัดฟังธรรม เพื่อว่าจะช่วยแผ่ส่วนกุศลให้ได้บ้าง”
“.........”
ว่ากันว่าจีจี้ที่ทุกคนรู้จัก เป็นนักกิจกรรมสดใสน่ารัก ด้วยภาพลักษณ์แบบสาวจีนผิวขาว และความที่เธอเข้ากับคนง่ายจึงทำให้ตกเป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน แต่ทว่าจีจี้คนนี้ที่กำลังคุยกับเขา ดูจะผิดจากภาพลักษณ์ที่ทุกคนนิยามไว้มาก เพราะนอกจากเธอจะพูดเป็นต่อยหอยแล้ว วาจาจะค่อนไปทางเฉือดเฉือนเสียด้วย
ตุลย์ฟังเธอบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดตลอดทางเดินลงบันได ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเรื่องวีรกรรมทั้งหลายที่ผู้ชายชื่อกายสร้างไว้ไม่หยุดหย่อนราวกับเก็บกดมายังไงอย่างงั้น จวบจนพวกเขาทั้งคู่ลงมาถึงใต้ตึก เธอก็ตรงเข้าไปทักทายเพื่อนชายที่นั่งเท้าคางเล่นโทรศัพท์อยู่บนโต้ะม้าหินด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่พอทั้งคู่สบตาเท่านั้น โลกทั้งใบก็สดใสขึ้นทันที
“หาฟ้าไม่เจอเหรอ?”
แม็กส่ายหน้าเหนื่อยๆ “ฟ้ากลับไปแล้ว เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เลย ปล่อยให้รอซะตั้งนาน”
“เอาเถอะ อย่างน้อยก็เจอตุลย์”
ฝ่ายนั้นดูแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อ ก่อนจะมองเลยมายังที่เขาเดินรั้งท้ายจีจี้
“นึกว่านายไม่ได้เขาเรียนซะอีก ไม่เห็นหน้าในคาบเลย”
นั่นเพราะเขาตั้งใจไม่ทำตัวให้เป็นจุดสังเกตของคนอื่นต่างหาก“เปล่า ฉันอยู่แถวหลังๆ” ตุลย์ตอบอย่างขอไปที
“เออ ก็ยังดี อย่างน้อยก็พอมีคนมา ดีกว่ามารอฟรีๆ เป็นชั่วโมง”
“ทีนี้จะเอายังไงดี” คราวนี้เป็นจีจี้ที่ถอนหายใจ “ถ้าฟ้าไม่มาก็ต้องบรีฟงานใหม่ทั้งหมดอีกรอบ แต่เราจองร้านอาหารเอาไว้แล้ว ไม่อยากโทรยกเลิกนัดเลย...”
“งั้นก็ไปกันทั้งสามคนนี้แหละ” แม็กปรายมองเขาแว่บหนึ่งเหมือนไม่มีทางเลือก “ยังไงก็จองเอาไว้แล้ว เราก็หิวแล้วด้วย จะคุยงานหรือไม่คุยเอาไว้กินอะไรก่อนค่อยว่ากันทีหลังก็ได้”
“ก็ได้ ตกลงตามนั้น”
ร้านอาหารที่จีจี้โทรจองไว้เป็นร้านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก อาจเพราะราคาที่จัดว่าค่อนข้างแพงพวกกับทำเลในซอกซอยที่เข้าถึงได้ยาก จึงนับว่าเหมาะสำหรับการทำงานในระหนึ่งทีเดียว พอหย่อนก้นลงบนเก้าอี้เสร็จสับ เจ้าหล่อนก็เริ่มสั่งอาหารโน้นนี่อย่างสบายใจ พอๆ แม็กที่หยิบจับอะไรคล่องแคล่วเพราะคุ้นเคยกับร้านนี้เป็นอย่างดี
แต่พอสั่งอาหารเสร็จเท่านั้น เธอก็ยิงคำถามเกี่ยวกับตัวเขาใส่รัวๆ ราวกับเห็นเป็นเรื่องแปลกใหม่ มันเริ่มต้นจากความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมที่เขาจบมา ซึ่งพอเขาตอบตามความเป็นจริงว่า เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตตัวเมืองพอสมควร และไม่สะดวกสบายนัก เธอก็ร้องโอ้โหใหญ่โต ก่อนจะเริ่มถามคำถามอื่นๆ อย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ อย่างเช่น ชีวิตที่โน้นเป็นยังไง วิวสวยไหม ตลอดไปจนถึงเหตุผลที่ทำไมเขาเลือกเรียนที่นี่
ซึ่งดูสนอกสนใจเอามากๆ เสียจนคนข้างๆ กลายเป็นหมัน...ตุลย์ชำเลืองมองเพื่อนชายที่ตีสีหน้าเอือมกึ่งไม่พอใจทุกครั้งที่เขาคุยกับจีจี้ บางครั้งเผลอมองนานเกินไป อีกฝ่ายก็ถลึงตาใส่เหมือนไม่สบอารมณ์หนักหนา
“นี่ๆ ตุลย์”
หญิงสาวสะกิดเขาทีหนึ่ง ขณะเลื่อนจานอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟให้พร้อมๆ กับของแม็ก
“ถามอะไรอย่างสิ แต่เธอจะไม่ตอบก็ได้นะ”
“อะไรเหรอ”
“จากที่ได้ยินมา... เรื่องที่เธอเป็นเด็กเสี่ยอ่ะ จริงเหรอ...?”
สิ้นประโยคคำถามโต๊ะทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ แม้แต่แม็กที่นั่งนิ่ง ตีหน้าเบื่อหน่ายไม่สนใจอะไรนอกจากขึงตาใส่เขาเวลาคุยกับจีจี้ก็ยังหันมองด้วยแววตาใคร่รู้
ดูเหมือนนี่คงเป็นหนึ่งในคำถามสุดป็อปปูล่าที่ทุกคนอยากรู้คำตอบจากเขาล่ะมั้ง...พอเห็นว่าชักเงียบนานเกินไปผู้ร่วมโต๊ะเริ่มกระอักกระอั่ว ตุลย์ก็เลือกตามความเป็นจริง ยังไงเสียก็ยังมีคนอีกมากมายต่อคิวรอขุดคุ้ยเบื้องหลังของเขาอยู่ แทนที่จะโกหก สู้ตอบแบบเปิดเผยไปเลยไม่ง่ายกว่าหรือ?
“ก็ใช่ ถ้าจะเรียกแบบนั้น”
คราวนี้เป็นแม็กที่ร้อง ‘ห๋า’ เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง เจ้าตัวทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบก่อนจะเอ่ย ‘ขอโทษ’ ที่เสียมารยาททีแรก
กลับกัน เป็นจีจี้ที่ดูไม่ระแคะระคายอะไรเลย หลังจากฟังเรื่องของเขาจบ เธอก็พูดจ้อ เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี่ให้ฟังต่ออย่างสนุกสนาน ไม่ลืมพาดพิงถึงผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
“จำที่เราเล่าเรื่องกายตามตื้อแรกๆ ได้ไหม ตอนนั้นเราอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็พาลระแวงไปหมด ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันหลายๆ คนเวลาเจอพวกนั้นจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นเราหัวเสียมากเลย จนกระทั่งแม็กอาสาช่วยนี่แหละ ได้ผลดีอย่างกับไม้กันหมา หลังจากนั้นเราก็สนิทกันเร็วมากๆ เห็นขี้เก็กมีมาดแบบนี้แต่จริงๆ แม็กอ่ะ เป็นคนดีแล้วก็รั่วมากเลยนะ! วันนั้นยังไปช่วงอาจารย์เป็นแรงงานยกของอยู่เลย เสร็จแล้วก็มานอนแผ่อยู่บนม้าหิน บ่นใส่เราไม่หยุดว่าเหนื่อยๆ ๆ ไม่น่าไปอาสาทำ”
“โถ่ จี้!” คนถูกพาดพิงร้องเสียงดังประท้วง “ไปเล่าให้คนอื่นฟังทำไม”
“ก็มันตลกดีนี่ ขนาดทำเสร็จไปแล้วก็ยังจะบ่นอีก ฮ่าๆ ๆ” ว่าไปเธอก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปพลาง
หลังจากคุยสัพเพเหระกันเสร็จ พวกเขาก็คุยเรื่องแผนงานต่ออีกเล็กน้อยพอเป็นพิธี คงเพราะจู่ๆ ฝนหลงฤดูก็ทำท่าจะตกเสียอย่างนั้น จึงทำให้ต้องรีบแยกย้ายกันกลับเร็วกว่าปกติ
ระหว่างที่รอเช็คบิล จีจี้ก็ขอตัวไปเขาห้องน้ำ ทิ้งเขาไว้กับแม็กแค่สองคน พอลับสายตาจากเธอ ชายหนุ่มก็เผินหน้าออกไปนอกหน้าต่างเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ ขณะที่ตุลย์นั่งหยิบจับอะไรบนโต๊ะฆ่าเวลาไปพลาง
“จะทำไงให้เธอรู้ว่าชอบดีวะ”
คงอัดอั้นตันใจมากหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ จู่ๆ คนที่วางตัวไม่ใส่ใจอะไรตั้งแต่แรก กลับหันมาหาเขา แล้วขยี้หัวแรงๆ พึมพำกับตัวเองเหมือนเสียสติ
“โอ้ย แล้วนี่กูไปพูดกับคนแปลกหน้าทำไมวะเนี่ย!”
“จีจี้น่ะเหรอ”
“..........” อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เม้มปาก มองไปทางด้วยใบหน้าขึ้นสี
ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆว่ากันตามตรงเขาไม่ใช่กูรูเรื่องความรักความสัมพันธ์อะไร แต่สายตาที่แม็กมองเธอ ต่อให้เป็นคนเพิ่งเจอกันก็เดาออกได้ง่ายๆ ว่าคิดเกินกว่าเพื่อน เพราะมันมักจะเจือด้วยความห่วงใยมากเกินไปเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกสิ่งที่อีกฝ่ายคิดแทบทะลุผ่านสีหน้า แววตาและการกระทำทั้งหมด
“ถ้าอยากให้เธอรู้นายก็ต้องแสดงออก”
“แสดงออกยังไง?”
“ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายที่ไม่ชัดเจน นายต้องแสดงให้เธอรู้ว่าชอบ แต่ก็อย่ารุกจนเกินไป มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกคุกคามมากกว่า”
“แล้วมันต้องเริ่มยังไง?”
ชายหนุ่มลากเก้าอี้ นั่งหลังตรงชิดโต๊ะเหมือนกำลังฟังภาระกิจยิ่งใหญ่ที่หากพลาดลายละเอียดยิบย่อยก็อาจล้มเหลวทั้งหมด
ตุลย์เกาคาง บังเอิญว่าสายตาเหลือบไปเห็นร้านดอกไม้ฝังตรงข้ามเข้าพอดิบพอดี
“ดอกไม้เป็นยังไง? ผู้หญิงน่ะชอบให้คนใส่ใจ”
ฝ่ายนั้นดูลังเลลังชำเลืองมองกลุ่มเมฆสีเทาเข้ม “มันจะใช้ได้แน่เหรอวะ อีกอย่างฝนก็จะตกแล้ว ถ้าข้ามถนนออกไปตอนนี้อาจจะกลับมาแบบตัวแห้งไม่ทันก็ได้”
“เรื่องนั้นนายก็ลองดู อีกสักพักเธอคงกลับมาแล้ว” ตุลย์จงใจทิ้งช่องว่างไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด
ชายหนุ่มมองร้านดอกไม้สลับกับห้องน้ำหญิง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น “ก็ได้ เอาวะ!”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งอย่างรีบร้อนข้ามถนน พรวดพราดเข้าไปในร้านดอกไม้โดยเร็ว ตุลย์มองตามหลังคนที่วิ่งหายเข้าไปด้านใน ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้รอไปพลาง
จำได้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักก็เคยบอกว่าชอบดอกไม้
ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่า ‘บี’... คนที่เขารักเหมือนพี่สาว แต่กลับไม่มีโอกาสได้พูดอะไรก่อนจากมา...ต่อให้อยากจะกลับไปที่นั่นเท่าไหร่ เขาก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะทำได้ ตอนนี้เขาคือ ‘เด็ก’ ของศานนท์ ไม่ว่าตัดสินทำอะไรก็ย่อมต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้เมื่อเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับไนท์คลับของธวัตร ซึ่งหนุ่มใหญ่ไม่คิดจะเข้าไปยุ่มย่ามแต่แรกแล้ว
เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายที่อาจเกิดตามมาเพราะความเข้าใจผิด คืนที่ออกมาเขาจึงหักซิมทิ้ง
อย่างน้อยๆ ก็เป็นเครื่องการันตีว่าศานนท์ไม่อาจนำมันมาเป็นข้ออ้างใช้ประโยชน์จากเขาได้อีกจะว่าขี้ระแวงก็ไม่ผิด ประสบการณ์ที่ได้จากธวัตรเป็นสอนให้เขาระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม เพราะหากการกระทำใดมีช่องโหว่ แม้เพียงนิดเดียวคนๆ นั้นก็พร้อมจะใช้ประโยชน์จากรอยแตกเล็กๆ เหล่านั้น เล่นงาน บีบบังคับให้เขาเดินตามตาหมากที่อีกฝ่ายกำหนด เป็นเช่นนั้นทุกครั้งแม้แต่วันที่เขาจากมา
ดังนั้น เขาจะไม่กลับไปหาคนๆ นั้นอีก...“อ้าว แม็กรีบกลับไปแล้วเหรอ?” ตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันรู้สึกตัวว่าจีจี้ยืนอยู่ข้างๆ
ตุลย์ปรายมองไปทางร้านดอกไม้ ก็เห็นประตูเปิดพร้อมกับร่างที่วิ่งพรวดออกมาตอนฝนเริ่มลงเม็ด เขาจึงเลือกจะถ่วงเวลาต่อ
“เห็นว่าออกไปซื้อของใกล้ๆ นี้ อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ”
“เหรอ” เธอทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ข้าง พร้อมมุ่ยหน้า “นึกว่าหนีกลับไปไม่บอกเราเสียอีก หมู่นี้ยิ่งทำตัวแปลกๆ อยู่ด้วย”
ยังไม่ทันที่ตุลย์จะพูดต่อ เสียงกระดิ่งร้านก็ดังขึ้น ชายหนุ่มก้าวฉับๆ มาที่โต๊ะทั้งร่างโทรมเหงื่อ ในมือถือดอกไม้ช่อหนึ่ง ก่อนจะยื่นดอกไม้ช่อนั้นให้เธอ เห็นเธอยืนอึ้ง แม็กก็เกาหัวแก้เก้อเขิน ไม่วายชำเลืองมองเขาแบบขอความช่วยเหลือ
“เอ่อ... ไม่ได้ให้เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรหรอก แค่...”
คงกลัวว่าจะปล่อยให้รอนานเกินไป หญิงสาวจึงรับช่อดอกไม้มา “ขอบคุณนะแม็ก ไม่เห็นต้องซื้อให้เลย”
“เอ่อ...” เจ้าของชื่อยิ้มแหย แล้วโบ้ยมาทางเขา “หมอนี่บอกว่าเธอน่าจะชอบดอกไม้”
ตุลย์แทบสำลักน้ำที่กำลังจิบ โชคดีที่เขายังพอมีสติรู้ตัวจึงกลืนมวลน้ำลงคอได้โดยไม่เผลอไอขัดจังหวะบรรยากาศสีชมพูของทั้งคู่เสียก่อน
“อ๋อ ชะ ชอบสิ ...ชอบๆ” จีจี้กอดช่อดอกไม้ไว้แทนคำตอบ “ขอบคุณมากนะแม็ก มันสวยมากเลย”
“...ไม่เป็นไร”
หลังใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับอารมณ์สู่สภาวะปกติ และคุยกันได้โดยไม่เก้อเขิน ทั้งสองคนขอกลับโดยที่แม็กอาสาไปส่งจีจี้ที่ลานจอดรถ แต่ก่อนไปก็ไม่วายเหวี่ยงแขนพาดคอเขา
“แผนเจ๋งว่ะ ขอบคุณนะโว้ยไอ้เพื่อนรัก!”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทั้งคู่ก็มักป่วนเปี้ยนอยู่ในวงจรชีวิตเขาไม่ห่าง ทีแรกเริ่มจากการย้ายมานั่งข้างๆ ต่อมาก็ชวนกินข้าว และเริ่มออกไปไหนมาไหนด้วยกันนอกเวลาเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างตุลย์และทั้งสองก็ดูจะไปได้ดีเกินคาด และยิ่งกว่านั้น เมื่อมีสาวป็อปอย่างจีจี้อยู่รอบกาย บรรยากาศที่เคยน่าอึดอัดในมหาวิทยาลัยก็พาลดูดีขึ้น จนถึงขั้นว่าหลายคนที่ไม่เคยเข้าหาก็เริ่มพูดคุยกับเขาเป็นกิจลักษณะ
เนื่องจากวันพรุ่งนี้มีสอบควิสคาบเช้า จีจี้เลยอาสาติวให้พวกเขาทั้งคู่หลังเลิกเรียน แต่ด้วยความที่เป็นวิชาท่องจำ หญิงสาวจึงช่วยได้เพียงแค่เล่าลายละเอียดคร่าวๆ ให้พอเข้าใจ ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องไปจำเอาเอง ซึ่งมันไม่ควรมีอะไรยากไปกว่านั้น
ทว่าดูเหมือนใครบางคนจะไม่ยอมทำความเข้าใจเสียที
“จี้ ตรงนี้มันยังไง เราไม่เข้าใจ”
แม็กเกาหัวแกรกๆ ใช้เวลาวนเวียนอยู่ตรงจุดเดิมราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยัง ‘ยืนกราน’ ว่างง จนต้องหญิงสาวต้องอธิบายซ้ำอีกรอบ
“ทีนี้เข้าใจมากขึ้นไหม?”
“...ก็อาจจะ”
คนฟังได้ยินก็มุ่ยหน้าเท้าคางเหนื่อยๆ “ถ้ายังงงตรงนี้อยู่ เราจะติวให้อีกรอบตอนเย็นแล้วกัน ตุลย์ล่ะ โอเคไหม เข้าใจหรือเปล่า อยู่ติวกับเราอีกรอบไหม?”
เขามองเธอสลับกับอีกคนที่ทำเหมือนเข้าใจอะไรยาก ก่อนจะลอบขำ
ต่อให้หมอนี่สมองช้ายังไง ก็ไม่มีทางช้าขนาดเรียงเคียงอะไรไม่ได้เลยหากเจ้าตัวไม่แสร้งทำเห็นแบบนั้นตุลย์จึงคิดว่าควรเปิดโอกาสให้คนสองคนสานสัมพันธ์กันมากกว่าจะอยู่เป็นส่วนเกินเกะกะคนมีความรัก
“ไม่ดีกว่า ฉันว่าจะกลับเลย ถามไอ้แม็กมันเถอะ อีกนานไหมกว่าจะเข้าใจ”
คนถูกพาดพิงตาโตเหมือนไม่เชื่อว่าเขาจะรู้ทัน ก่อนจะส่งสายตาระยิบระยับเมื่อตุลย์คว้ากระเป๋าสะพายพาดไหล่
“ทำเป็นพูดไปเหอะว่ะ เดี๋ยวจะเอาคะแนนสอบมาโชว์”
“เออ เอาที่อยู่หน้านั้นให้รู้เรื่องก่อนเหอะ” เขาทิ้งท้ายก่อนเดินแยกมา
หลังจากผ่านเรื่องราวแย่ๆ มาตลอดช่วงสองสามเดือน บางทีนี่อาจเป็นฟ้าหลังฝนสำหรับเขาก็ได้
----------------------
ขัดหยาบๆ เลยค่ะ ไม่ได้เช็คละเอียดก่อนลง ขออภัยล่วงหน้าเลย ที่หายไปนานคือเพลียเดินทาง + ติด webcomic ของ lezhin ถถถถถ มีแต่งานดีๆ สตอรี่แน่นๆ อร่อยทั้งนั้น แอร๊ยยย
แต่ทุกคนอย่าเพิ่งลืมน้องกายนะคะ ถถถถ นางเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญ เผลอๆ อาจจะสำคัญกว่า จี้กับแม็กเสียอีกและอีกสักพักนางจะก่อเรื่องค่ะ 555+ มาบอกไว้ก่อนเพราะยังมีอีก 4 ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญกับชีวิตหนูตุลย์ เร็วๆ นี้จะเปิดตัว 1 ใน 4 ประมาณ ตอนที่ 12 เจ้าค่ะ
ตอนหน้าพบกับ คนแก่ vs คนเมา จะเกิดอะไรขึ้นต้องติดตาม อิอิ #ลงไปหมอบกราบลา
ปล.ไม่ชอบเล๊ย เวลามีแต่คนสมหวังเนี่ย ถถถถถถถถถ
>>READ10.2<<