ตอนที่ 32
“กรูว่า....กรูชอบมรึงว่ะ” คำพูดบุ้งมันย้อนกลับเข้ามาในความคิดผม
ผมก็ไม่รู้ที่บุ้งพูดมันกินความหมายขนาดไหน ที่จริงผมก็ชอบมันนะ มันเป็นคนใจดี สมัยที่เรายังเป็นเด็กมันถือเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุด
แต่ท่าทางของมันที่แสดงออกกับผมวันนี้ ก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเป็นไปในทำนองคู่รักมากกว่าเพื่อน ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจว่าบุ้งมันมองเห็นอะไรในตัวผม ถึงได้พูดคำนั้นออกมา หรือว่าตัวผมมันมีรังสีออร่าชายรักชายเปล่งประกายออกมา
“อ้าวเลยเงียบไปเลยคิดอะไรอยู่โอม” เสียงพี่ต่ายปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากความคิด
“อ๋อ ก็แค่คิดถึงที่บุ้งพูด.... เห็นว่าให้ผมรอรับโทรศัพท์ด้วยนะพี่” ผมเลยตัดสินใจโกหกพี่ต่ายครับ ไม่กล้าบอกความจริงไปทั้งหมด
“โอมนี่ชักจะเนื้อหอมใหญ่แล้วนะ กลับบ้านไป2 วัน มีคนมาตามจีบแล้ว”
พี่ต่ายไม่ได้พูดเล่นครับน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังมาก ทำเอาบรรยากาศไม่ค่อยดี
“เพื่อนสมัยเด็กน่ะพี่ไม่เจอกันมาเกือบ 10 ปี เลยมีเรื่องคุยมากหน่อย ไม่มีอะไรหรอกน่าพี่”
คือผมน่ะคิดแบบนี้ แต่บุ้งน่ะคิดอะไรผมก็ยังไม่มั่นใจ
“อย่าให้มันเกินกว่านั้นแล้วกันนะโอม” พี่ต่ายพูดแค่นี้ครับ ทำเอาผมใจไม่ดี
ก่อนจะถึงกรุงเทพฯ ผมอยากให้พี่ต่ายเล่าให้ฟังว่าไปอยู่บ้านผมได้ยังไง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนครับ ไม่เจอกันสองวัน ผมออกจะคิดถึงพี่ต่ายนะ แต่ทำเอาพูดไม่ออกเลย
“เราจะไปกินข้าวที่ไหนพี่” เห็นพี่ต่ายขับรถแล้วมันไม่ใช่ทางไปบ้านนี่ครับ จะพาผมไปไหนกัน
“ไปหาทานริมน้ำดีไม๊ เปลี่ยนบรรยากาศ” พี่ต่ายกลับมายิ้มให้ผมแล้วครับ ค่อยยังชั่วหน่อย
“ก็ดีพี่ หิวแล้วนะเนี่ย” จังหวะนี้ผมข้ออ้อนบ้าง
“คิดถึงพี่จัง” ขอประจบไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย
ผมเอามือไปจับมือพี่ต่ายครับ แล้วส่งแววตาซึ้งๆไปให้ ผมเพิ่งรู้ว่าผมชักจะติดนิสัยพี่ต่ายไปซะแล้วชอบหยอด หุหุ พี่ต่ายหันมามองหน้าผมแล้วหัวเราะเบาๆ แล้วพี่ต่ายเลยไม่ปล่อยมือผมตามเคย
ร้านอาหารที่เราไปทานอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาครับ แต่งเป็นแบบสมัยใหม่ มีนอกชานออกไปมองเห็นบ้านเรือนผู้คนริมน้ำ มีเรือลอยผ่านไปมาอยู่เป็นระยะ แสงไฟแวววามจากบ้านเรือนในตอนกลางคืน ทำให้สวยงามไปอีกแบบ
เนื่องจากเป็นคืนวันอาทิตย์ก็เลยมีคนเยอะพอสมควร แต่เราก็เลือกตรงมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทำให้นั่งกันได้แบบสบายใจ ไม่รู้พี่ต่ายนึกครึ้มอะไรเลยสั่งเบียร์มาดื่ม ผมเองก็ทานได้นิดหน่อยก็เลยทานเป็นเพื่อนพี่ต่าย
“พี่ยังไม่ได้เล่าให้ผมฟังเลย ทำไมไปอยู่ที่บ้านผมช่วงลาพักร้อน”
ผมเริ่มถามระหว่างที่เรารออาหารอยู่ ผมจะทำบรรยากาศเสียไม๊เนี่ย
“ก็ไม่มีอะไร พี่คิดอะไรไม่ออกนอกจากบ้านโอม ก็เลยไป”
พี่ต่ายนั่งดื่มเบียร์ชมวิว ร้องเพลงเบาๆคลอไปตามเสียงเพลงที่เปิด อารมณ์ดีจังนะพี่
“แล้วไม่เห็นเล่าให้ผมฟังบ้าง บ้านผมนะพี่...... กลับไปแม่ถามผมถึงพี่ผมเอ๋อเลย”
พี่ต่ายก็คงยังยิ้มอยู่เหมือนเดิม ไม่พูดอะไร ผมเลยพูดต่อ
“พี่พูดเหมือนเป็นเรื่องปรกติเลยนะไปอยู่บ้านผมเป็นอาทิตย์เนี่ยนะ”
พี่ต่ายหันหน้ามาจากวิวริมแม่น้ำมามองหน้าผมแทน สบตาผมแล้วพูดนิ่งๆ
“ก็ไปอยู่บ้านแฟน มันไม่ปรกติตรงไหนล่ะโอม”
จากแววตาของพี่ต่ายเหมือนส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ผม แก้มผมเปลี่ยนเป็นสีชมพูไปโดยไม่รู้ตัว
ผมถึงกับใบ้ไปชั่วขณะ กับคำว่าบ้านแฟนของพี่ต่าย แล้วถามตัวเองว่า...ใช่เหรอที่เราเป็นแฟนกับ
พี่ต่าย.........
“ใครเป็นแฟนใครพี่....มั่วเรื่อย”
:-[ผมก็ได้แต่พูดแค่นี้แหล่ะครับ เขินตายอ่า.... แต่พี่ต่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่อมยิ้มเฉยๆ
พอดีอาหารมาถึงครับ เราก็เลยทานข้าวกันไป คุยกันไปต่อ คุยไปทานไปจนผมต้องบอกว่าเบียร์พอแล้วเพราะเดี๋ยวพี่ต่ายต้องขับรถ ก็ไม่มากหรอกครับ แต่เราสองคนขาวทั้งคู่ทานเบียร์ไปหน่อยเดียวก็หน้าแดงแล้ว เกิดโดนจับตรวจแอลกอฮอล์ล่ะแย่เลย
ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยมันไปดีกว่า ผมอยากให้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคนมันมีแต่เรื่องสบายใจ อย่างน้อยวินาทีที่มีความสุขมันก็จะเป็นความทรงจำดีๆของเราตลอดไป
ผมว่าเราสองคนคล้ายกันหลายอย่างครับ ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบเที่ยวต่างจังหวัด แล้วก็ทำแต่งาน เวลาว่างก็พอใจที่จะอยู่ที่บ้านมากกว่า ระหว่างที่คุยๆกันครับเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมา
“โอมเหรอ มาถึงกรุงเทพฯรึยัง แม่โทรมาถามเค้าก็ไม่รู้เรื่อง”
เสียงพี่อั้มเองครับ คงเห็นว่าตั้งนานทำไมยังไม่ถึงบ้าน ดีที่ไม่ใช่ไอ้บุ้ง ยังหนาวๆร้อนๆอยู่เนี่ย
“กลับมาแล้วพี่อั้ม เค้ากินข้าวอยู่กับพี่ต่าย เดี๋ยวอีกพักนึงกลับล่ะ”
ก็บอกไปตรงๆนี่แหล่ะครับ ไม่รู้จะโกหกไปทำไม
“เออ ไปกับต่ายเหรอ เค้าจะได้เบาใจ”
แล้วพี่อั้มก็วางสายไปครับ ผมเห็นว่า3 ทุ่มกว่าแล้วเลยชวนพี่ต่ายกลับ
“พี่ต่าย.....พี่อั้มโทรมาตามแล้วกลับกันเถอะพี่”
“ไปก็ไป ที่จริงยังอยากนั่งฟังเพลงอยู่เลย กลับก็ได้ตามใจคุณหนูโอม”
พี่ต่ายแซวผมว่าเป็นคุณหนูอีกแล้ว ผมก็อยากอยู่ต่อนะแต่ยังกลัวพี่อั้มสงสัย เรายังมีเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกนาน
ตอนนี้ผมก็มึนๆง่วงๆเล็กน้อย ตอนนั่งรถกลับเลยเผลอหลับไป จนผมตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าเกือบจะถึงบ้านผมแล้วแต่อ้าว........พี่ต่ายขับรถเลยซอยบ้านผมไป จะยังไงอีกละ
“พี่ต่าย พี่เลยบ้านผมแล้วเมารึเปล่าเนี่ย” ผมเอามือไปเขย่าแขนพี่ต่ายเบาๆ
“เปล่าเมา.....พี่จะพาไปรู้จักบ้านพี่ โอมยังไม่เคยมาเลยนี่”
จริงของพี่ต่ายผมยังไม่เคยไปบ้านพี่ต่ายเลยตั้งแต่รู้จักกันมา ทั้งที่บ้านอยู่ใกล้กันนิดเดียว แต่จะว่าไปมันดึกแล้วนะ 4ทุ่มกว่าแล้ว
“แล้วพี่อยู่กับใครล่ะพี่”ผมชักเกร็งๆครับ ไม่รู้ว่าต้องไปเจอใครบ้าง
“พี่อยู่คนเดียว...ไม่มีใครอยู่ที่บ้านหรอก”
แล้วพี่ต่ายก็ยิ้ม เป็นบ้าอะไรพี่ยิ้มทำไมกัน กินเบียร์ไปหน่อยทำตาเยิ้มเชียว คิดอะไรอยู่ว้า วันนี้มันแปลกๆยังไงไม่รู้
รถมาจอดที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านแบบเก่าที่เป็นไม้ทั้งหลังสองชั้น แต่อยู่ในสภาพดี ทาสีขาวทั้งหลัง ด้านหน้ามีสวนเล็กๆที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี มีที่จอดรถได้ประมาณ 2 คัน มีจักรยานจอดพิงอยู่
“เข้าก่อนซิโอม มานั่งเล่นพักนึง เดี๋ยวค่อยกลับก็ได้ อั้มมันไม่ว่าหรอก”
พี่ต่ายเดินมาจูงมือผมเข้าไปในบ้าน ข้างในแทบไม่มีสมบัติอะไรเลยครับ บ้านโล่งอย่างกับถูกขโมยขึ้นบ้านผมละงง ในห้องรับแขกเก้าอี้นั่งซักตัวยังไม่มี มีแต่บ้านจริงๆ แต่ก็สะอาด ไม่มีฝุ่นเลย ถ้าจะนั่งเล่นบนพื้นก็ยังได้
“พี่แต่งบ้านแบบใหม่เหรอ ไม่เห็นมีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย แปลกดีนะ 555 หรือว่าขโมยขึ้นน่ะพี่”
ผมมองๆดูมีโต๊ะกินข้าวเล็กๆตัวนึง เก้าอี้ตัวนึง แล้วก็ตู้เย็น นอกนั้นไม่มีเลย สงสัยแต่งแบบ MinimalList ที่ว่าให้มีของน้อยที่สุด แต่เน้นเรียบง่าย
พี่ต่ายยิ้มๆไม่ตอบจูงผมขึ้นไปดูข้างบน ผมละแปลกใจให้มาดูอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย ขึ้นมาข้างบน ก็มีห้องนอน 3 ห้องครับ พี่ต่ายพาผมไปดูห้องนอน ก็คล้ายๆกัน เฟอร์นิเจอร์น้อยมาก มีเตียงนอนปูผ้าสีขาว โต๊ะทำงานวางชุดนึง ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ แล้วก็มีทีวี
“ไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ พามาดูทำไม๊”
ผมยังไม่ทันพูดอะไรต่อครับตอนที่พี่ต่ายดึงตัวผมมาจูบ สงสัยเบียร์แค่ไม่กี่ขวดคงทำเอาตบะพี่แตกไปแล้ว ผมว่าผมไม่ได้แอบใส่ยาอะไรลงไปในเบียร์นะ รสจูบของพี่ต่ายทำให้ผมรู้สึกได้ถึงรสชาติของเบียร์มันขมๆหวานๆอย่างบอกไม่ถูก ลมหายใจของพี่ต่ายยังทำให้ผมร้อนไปด้วย
มือพี่ต่ายกอดผม ลูบไล้หลังผมไปมาจนผมขนลุกไปหมด มือผมก็กอดเอวพี่ต่ายไปด้วยไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเราชิดกันเกินไปแล้ว ผมว่าเบียร์คงมีผลกับการควบคุมตัวเองของผมเหมือนกัน ผมตัวสั่นเบาๆ รู้สึกเหมือนเลือดในกายมันฉีดพล่านไปทั่ว ได้ยินเสียงพี่ต่ายพูดกระซิบเบาๆ “พี่คิดถึงโอมนะ”
“พี่ต่ายอย่า...นะ”
เสียงผมก็เบามากๆ มันสั่นครับพูดไม่ออก พี่ต่ายยังคงจูบปากจูบแก้มผม ตรงซอกคอ หลังใบหู ผมไม่ไหวแล้ว ถ้ายังเป็นอย่างนี้ในบรรยากาศแบบนี้ ผมคงทนไม่ไหว ตอนที่มือพี่ต่ายเริ่มลุกลามเข้าไปในเสื้อผม ผมเลยรวบรวมสติแล้วผลักพี่ต่ายออกจนพี่ต่ายถอยหลังไป
ตอนนี้เราสองคนเหมือนจะได้สติทั้งคู่ พี่ต่ายนั่งลงบนเตียง นั่งหอบ เอามือเสยผมตัวเองแล้วยิ้มเก้อๆให้ผม ผมเองก็ยืนหายใจเต้นแรง จนรู้สึกเหมือนมันออกมาเต้นดึ๋งดั๋งอยู่ข้างนอก เหมือนมีเพียงเราสองคนในโลก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเรา
+
+
+
“โอมโกรธพี่ไม๊” ในที่สุดพี่ต่ายก็เอ่ยคำพูดออกมา
“ผมแค่กลัว” ผมเอามือปิดหน้าตัวเอง อายด้วย หลายๆความรู้สึกมันปนเปไปหมด รู้สึกได้ชัดเจนว่าเลือดสูบฉีดขึ้นไปบนใบหน้า
“ผมยังไม่คิดว่าเราจะไปถึงขั้นนั้น”
“ผมยังไม่กล้าครับพี่ ขอเวลาทำใจหน่อยมันกะทันหันเกินไป”
พี่ต่ายพยักหน้าเล็กๆเอื้อมมือมาดึงมือผมเข้าไปหาตัวเอง พอผมมายืนอยู่ข้างหน้าพี่ต่าย พี่ต่ายก็เอามือมาโอบเอวผมหลวมๆ แล้วเอาหน้าซุกที่หน้าอกผม พี่ต่ายเอาจมูกกดลงเบาๆขยับหน้าไปมา
“พี่ไม่รู้เป็นอะไร ไม่น่าทำแบบนี้กับโอมเลย พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ”
“พี่ขอโทษนะ ที่ทำให้โอมกลัว”
พี่ต่ายเงยหน้าขึ้นมามองผม เห็นแววตาพี่ต่ายแล้วผมจะทำอะไรได้ละครับ ยังไงวันนี้ผมคงยังเวอร์จินอยู่ รอดไปอีกวัน
***********************************************************
พี่ต่ายเปลี๊ยนไป