ชมนาดเย้ายวนส่งกลิ่น...ภุมรินหลงใหลคะนึงหา ๑๗ วันนี้ ณ วังหลวงแคว้นภุมริกาต่างคลาคล่ำไปด้วยอาคันตุกะต่างเมืองที่มาร่วมแสดงความยินดีในพิธีรับขวัญพระโอรสน้อยในองค์ภุมรินทั้งสอง ภุชงค์น้อยนอนกระพริบตาปริบๆ อยู่ในอ้อมแขนมารดา ในขณะที่เจ้าบัวงามคนน้อง...
“เจ้าบัวงาม ใยจึงขี้เซาปานนี้หนาลูก”องค์ภุมรินตรัสกับพระโอรสคนเล็กที่นอนหลับอุตุในพระกรพระบิดาอย่างน่าเอ็นดู
“คิกๆ น่าเอ็นดูนักพระเจ้าค่ะ”เจ้าชมนาดว่าพลางก้มลงหอมหัวทุยของโอรสคนโต ภุชงค์น้อยอ้าปากหาวเบาๆ
“หึหึหึ”พระสรวลเบาๆ พระนาสิกกดลงบนแก้มนุ่มของลูกจนหนาโย้
“เจ้าบัวตื่นได้แล้วหนาลูก ประเดี๋ยวออกไปเจอเจ้าหลวง เจ้าชายแคว้นอื่นจักไม่งามหนาเจ้า”เจ้าชมนาดว่ายิ้มๆ แต่องค์ภุมรินกลับพระขนงกระตุก มิได้การล่ะ...แม้นแรกเกิดยังฉายแววงามหยดย้อย แลโตขึ้นข้ามิต้องเลี้ยงเสือ เลี้ยงจระเข้ไว้หน้าวังเลยหรือ
“น้อง...”
“พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าพี่ไว้หนวดดีหรือไม่”
“หา?... กระไรหนาพระเจ้าค่ะ”
“พี่จักไว้หนวดดีหรือไม่...เจ้าบัวหากโตขึ้นจักต้องงามกว่านี้เป็นแน่ มิได้การล่ะ”
“เสด็จพี่...ลูกเพิ่งจักห้าวันเองหนาพระเจ้าค่ะ..ทรงกังวลพระทัยมากไปหรือไม่”
“โธ่...เจ้าบัวงามของเรางามปานนี้จักให้พี่นิ่งนอนใจได้อย่างไร”
“ทรงลืมที่แม่เฒ่าท่านพยากรณ์ไปแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”
“.....”
“อย่ากังวลไปเลยพระเจ้าค่ะ โชคชะตาของลูกเราฝืนมิได้ดอก...ดูแลเจ้าบัวให้ดีที่สุดก็พอแล้วพระเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ...นั่นสิ”พึมพำก่อนจะก้มลงทอดพระเนตรดวงหน้าเล็กของเจ้าบัวงามที่หลับอุตุมิสนใคร
“ทูลฝ่าบาทได้เวลาแล้วเพคะ”อุ่นคลานเข้ามาหมอบกราบทูลความแก่นายเหนือหัวทั้งสอง
“อืม...ไปเถิดน้อง”องค์ภุมรินว่าก่อนจะเดินเคียงข้างเจ้าชมนาดออกพบปะอาคันตุกะ เจ้าบัวในห่อผ้าสีหวานดิ้นเล็กน้อยแล้วหลับต่อเรียกรอยยิ้มจากพระบิดามารดา
“หึหึหึ...”
เมื่อออกมาที่โถงรับรอง องค์ภุมรินก็ต้องทรงทำหน้าที่ใหญ่หลวงเสียยิ่งกว่าการออกรบ ออกสงคราม นั่นก็คือการปลุกเจ้าบัวงามจากห้วงนิทรา
“เจ้าบัวเอ๋ย...ตื่นเถิดลูก”เขย่าร่างเล็กเบาๆ พระหัตถ์สะกิดท่อนแขนเล็ก ทารกน้อยดิ้นแต่มิยอมตื่น
“.....”เจ้าชมนาดที่อุ้มภุชงค์คนพี่ก็มองอย่างเอาใจช่วยพระภัสดา
“เจ้าบัวงามลูกพ่อ ตื่นเถิดคนดี...หืม”นัยน์ตากวางคู่เล็กปรือขึ้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเบะเตรียมแผดเสียงร้อง
“อะหึ..”
“ชู่ว...คนดี ตื่นแล้วหรือเจ้า”เขย่ากายเล็กปลอบเบาๆ
“เจ้าบัวงามของแม่ ไม่งอแงหนาจ๊ะคนดี”มือบางเอื้อมไปลูบแก้มยุ้ยของเจ้าตัวน้อยเบาๆ นั่นทำให้เจ้าบัวสงบลงได้ คงเป็นเพราะสัมผัสจากมารดา
เมื่อเจ้าน้อยตื่นบรรทมก็เป็นอันว่าเริ่มพิธีรับขวัญได้ บายศรีปากชามสองที่สำหรับทารกสองคน เครื่องสังเวย อาทิ หัวหมู แลเป็ด ไก่ ถูกจัดเต็มโต๊ะ บัตรพลีเครื่องเซ่นใส่เบี้ยไว้ ๓๓ เบี้ย แลน้ำอุ่นใส่ขันทองพร้อมช้อนเล็ก ๑ คัน แม่เฒ่าเป็นผู้ทำพิธีกล่าวคำรับขวัญให้ทารกน้อยทั้งสอง มือหยาบเหี่ยวย่นผูกด้ายสายสิญจน์ที่ข้อมือเล็กของเด็กทั้งสองคน เจ้าบัวซุกหน้าก็พระอุระของพระบิดา ในขณะที่เจ้าภุชงค์นอนมองพระพักตร์มารดานิ่ง หากเทียบกันแล้วเจ้าภุชงค์นั้นเลี้ยงง่ายกว่าเจ้าบัวงาม มิค่อยร้องงอแงสักเท่าใด แต่เจ้าบัวหากมิขัดใจจริงๆก็มิร้องงอแงให้รำคาญใจ เพียงแต่จักร้องง่ายกว่าคนพี่นัก
“เสร็จแล้วเพคะฝ่าบาท”แม่เฒ่าว่าหลังจากใช้กระแจะหอมจุณเจิมที่หน้าผากให้ แลตักน้ำให้พระโอรสน้อยทั้งสองเสวยคนละ ๕ ช้อนเป็นอันเสร็จพิธีรับขวัญเด็กน้อยทั้งสอง
“ขอบใจแม่เฒ่าหนา”ตรัสพลางกระชับร่างเล็กของลูก
“มิได้เพคะ”
เมื่อเสร็จพิธีรับขวัญทารกน้อยแล้วก็ถึงเวลาที่องค์ภุมรินจักได้อวดความน่ารักน่าชังให้เหล่าเจ้าหลวง เจ้าชาย พระชายาต่างเมืองได้เชยชม พระกรโอบประคองร่างน้อยไว้ มีพระชายาคนงามโอบประคองโอรสคนโตเคียงพระวรกาย พระโอษฐ์แย้มยิ้ม
“เจ้าน้อยน่าเกลียดน่าชังนักพระเจ้าค่ะ”พระชายาแห่งแคว้นศศิมณฑลเอ่ยขึ้น
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”เจ้าชมนาดตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ขอหม่อมฉันอุ้มเจ้าน้อยได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“ได้สิ”องค์ภุมรินว่าพลางส่งเจ้าบัวงามให้พระชายาแคว้นศศิมณฑล
“เสด็จแม่”องค์รัชทายาทแห่งศศิมณฑลร้องเรียกมารดาตน
“หืม...เจ้าจันทร์ น้องน่ารักไหมลูก”
“พะย่ะค่ะ”เจ้าชายน้อยวัยแปดพรรษาทอดพระเนตรทารกน้อยหน้าหวานในอ้อมพระกรมารดา ก่อนจักยื่นมือไปจับแก้มยุ้ยเบาๆ เจ้าบัวดิ้นเบาๆแลขยับปากยิ้มจนเห็นเหงือกสีสด องค์ภุมรินผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นจึงได้แต่พระพักตร์ตึง พระขนงกระตุก พ่อควรจักเป็นคนแรกที่เจ้ามอบรอยยิ้มให้หนาลูก เหตุใดจึงยิ้มให้รัชทายาทศศิมณฑลเป็นคนแรกเยี่ยงนี้หนาเจ้าบัวงาม...
“หึหึหึ...แลดูเจ้าน้อยจักชอบเจ้าจันทร์ของหม่อมฉันหนาพะย่ะค่ะ”เจ้าหลวงแคว้นศศิมณฑลตรัสพร้อมรอยยิ้ม
“หึหึหึ”องค์ภุมรินทำได้เพียงแค้นพระสรวลในพระศอ
“ขอพี่อุ้มเจ้าน้อยหน่อยหนาน้อง”ตรัสกับพระชายาของตนแลรับเจ้าบัวงามเข้ามาอ้อมพระกร
“ทรงอยากอุ้มเจ้าภุชงค์หรือไม่พระเจ้าค่ะ”เจ้าชมนาดเอ่ยถามพระชายาศศิมณฑล
“พระเจ้าค่ะ”ยิ้มรับพลางรับเจ้าภุชงค์น้อยมาอุ้ม ทารกน้อยซบหน้ากับไหล่บาง เรียกความเอ็นดูจากผู้ใหญ่
“น่ารักน่าชังทั้งคู่เลยหนาพระเจ้าค่ะ”
“องค์รัชทายาทคล้ายองค์ภุมริน แลเจ้าน้อยก็คล้ายพระชายาเหลือเกินพะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันใคร่อยากเห็นน้องพะย่ะค่ะ”องค์รัชทายาทศศิมณฑลกล่าวกับพระบิดา
“หึหึหึ”พระสรวลแลย่อกายให้ลูกทอดมองเด็กน้อยในอ้อมพระกร
ฟอด
องค์รัชทายาทน้อยยื่นหน้าเข้าใกล้ทารกน้อยก่อนจักกดพระนาสิกกับแก้มนุ่มสูดกลิ่นบัวหอมฟอดใหญ่ องค์ภุมรินมือไม้กระตุกเสียจนเจ้าชมนาดรีบคว้าพระหัตถ์พระภัสดาไว้
“หึหึหึ...หากเจ้าจันทร์โตขึ้นคงมิแคล้วได้ดองกับภุมริกาเป็นแน่หนาพะย่ะค่ะ”เจ้าหลวงศศิมณฑลตรัสพลางพระสรวล
“หึหึหึ”แต่องค์ภุมรินหาได้สรวลด้วยไม่ หวงลูกเสียจนอยากจักอุ้มเข้าตำหนักซะเดี๋ยวนี้ แลเจ้าองค์รัชทายาทนี่กระไร เหตุใดจึงมาจูบแก้มลูกคนอื่นเขาเยี่ยงนี้ มันน่านัก!!!
“หวาย...หาวซะแล้วพระเจ้าค่ะ”เจ้าภุชงค์อ้าปากหาวเบาๆ
“คงจักง่วงแล้วกระมังพะย่ะค่ะ”
“เยี่ยงนั้นหม่อมฉันขอตัวพาลูกทั้งสองกลับตำหนักก่อนหนาพระเจ้าค่ะ”เจ้าชมนาดว่าพลางรับเจ้าบัวจากเจ้าหลวงศศิมณฑลมาอุ้มไว้
“ค่ำนี้ค่อยพบปะกันใหม่หนาพะย่ะค่ะ”หลังจากรับภุชงค์จากพระชายาศศิมณฑลแล้วจึงตรัส
“พะยะค่ะ”
“พระเจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมาที่ตำหนักหลวงองค์ภุมรินก็ได้แต่ตรัสคาดโทษเจ้าบัวงามที่ตอนนี้หาสนใจพระบิดาไม่ ปากเล็กงับยอดถันของมารดาแลดูดกลืนน้ำนมอย่างหิวกระหาย
“เจ้าบัวหนาเจ้าบัว...เหตุใดจึงไปยิ้มให้องค์รัชทายาทศศิมณฑลเยี่ยงนั้นหนาลูก”
“โธ่เสด็จพี่..ลูกยังเล็กนัก มิรู้เดียงสาดอกพระเจ้าค่ะ”
“แลเจ้ารัชทายาทนั่น บังอาจนัก กล้ามาหอมลูกข้าได้อย่างไร...ใคร่อยากให้ข้ายกทัพไปตีเมืองเจ้าเยี่ยงนั้นรึ”เจ้าชมนาดที่ได้ฟังก็ได้แต่ส่ายหน้ากับความหวงลูกของพระภัสดา
“ทรงกังวลมากไปแล้วพระเจ้าค่ะ”
“มิได้การล่ะ...ข้าจักต้องสั่งให้สุธีนำเสือ แลจระเข้มาเลี้ยงไว้ที่หน้าวัง”
“ไปกันใหญ่แล้วพระเจ้าค่ะ”
“โธ่...น้องก็ มิหวงลูกบ้างหรือ”
“หวงพระเจ้าค่ะ แต่พระองค์ทรงกังวลเกินไปแล้ว”
“.....”
“พระทัยเย็นก่อนหนาพระเจ้าค่ะ...เจ้าบัวยังเล็กนักอย่าเพิ่งกังวลไปเลย”
“เฮ้อ...”
“พระทัยเย็นไว้พระเจ้าค่ะ”
“ก็ได้จ้ะ”
จากวันรับขวัญพระโอรสน้อยแห่งภุมริกาทั้งสองก็ผ่านมาแล้วเดือนกว่า สองพี่น้องยิ่งทวีความน่าเกลียดน่าชังจนกลายเป็นขวัญใจของคนทั้งวังหลวง เหล่าข้าหลวงสาวหรือต่างแย่งกันถวายงานพระโอรสน้อยทั้งสองเสียจนเจ้าชมนาดแทบมิต้องทำกระไร
“เจ้าภุชงค์ ใยจึงขมวดคิ้วเยี่ยงนี้เล่าลูก”เจ้าชมนาดว่าเมื่อเห็นโอรสองค์โตของตนนอนขมวดคิ้ว
ปุ๋ง
เสียงลมที่เจ้าตัวน้อยปล่อยออกมาทำเอาแม่แลน้องชะงักก่อนเจ้าบัวงามจะสะดุ้งแผดเสียงร้องออกมาเพราะตกใจกับเสียงผายลมของพระเชษฐา
“อะหึ...แง”
“อ๊ะ..เจ้าบัวลูก โอ๋ๆ”จักขำก็ขำ สงสารเจ้าบัวหรือก็สงสาร ส่วนตัวการอย่างเจ้าภุชงค์นั้นเมื่อสบายท้องแล้วก็นอนแสยะยิ้ม ดูดปากจุ๊บๆมิสนใจใคร
“คิกๆ”
“ขำกระไรอุ่น...อึก...ฮ่าๆๆ”แม้นจักเอ็ดให้บ่าวคนสนิทแต่ก็มิวายขำตาม เจ้าบัวสะอื้นตัวสั่นซบหน้ากับอกมารดา
“เกิดกระไรขึ้นกันน้อง”พระภัสดาที่เสร็จจากว่าราชการ เมื่อกลับมาที่ตำหนักหลวงจึงได้ตรัสถาม อุ่นเมื่อเห็นนายเหนือหัวกลับตำหนักมาแล้วก็ออกจากห้องบรรทมให้ครอบครัวอยู่กันตามลำพัง
“มิมีกระไรดอกพระเจ้าค่ะ...เจ้าบัวเพียงแต่ตกใจเสียงผายลมของภุชงค์ก็เท่านั้น”เจ้าชมนาดว่าพร้อมยิ้มกว้าง
“หึหึหึ...โธ่ เจ้าบัวงามของพ่อ”ทรงพระสรวลแลหอมแก้มยุ้ยของโอรสคนเล็ก ก่อนจักช้อนเจ้าภุชงค์คนโตขึ้นอุ้ม
“เสด็จพี่”
“หืม...ว่าอย่างไนคนดี”
“...น้องมีความสุขเหลือเกินพระเจ้าค่ะ”
“หึหึหึ พี่ก็มีความสุข”ตรัสก่อนจักโน้มพระพักตร์จุมพิตที่กลีบปากนุ่มของเมียรัก
วันเวลาผ่านไปล่วงเลยมาสามปีเศษ โอรสน้อยทั้งสองแห่งภุมริกาต่างเติบโตขึ้นเสียจนวิ่งอ้อมบ้านอ้อมเมือง และในขณะที่องค์ภุมรินกำลังซ้อมดาบกับทหารในกองทัพอยู่นั้น ร่างเล็กของโอรสองค์เล็กก็วิ่งเข้ามาในลานฝึกซ้อม โดยมีสุธีพี่เลี้ยงจำเป็นวิ่งตามไม่ห่าง ใบหน้าหวานงดงามถอดแบบคนเป็นแม่ นัยน์ตากวางกลมโต จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากเป็นกระจับแดงระเรื่อ แลกลุ่มผมยาวสีน้ำตาล ทำให้แม้จักมีพระชนมายุเพียงสามปี ก็งดงามดังเทวดาตัวน้อยๆ
“เฉด็จพ่ออออออออ~~~~~”เสียงใสที่ดังมาก่อนตัวทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังคร่ำเครียดกับการฝึกซ้อมหยุดชะงัก
“เจ้าบัวงาม”องค์ภุมรินยื่นดาบไม้ให้ทหารนำไปเก็บก่อนจะย่อพระวรกายลง เจ้าบัวงามยิ้มแฉ่งอวดฟันกระต่ายสองซี่อย่างน่าเอ็นดู เจ้าตัวน้อยสวมเสื้อคอกระเช้าสีมอครามกับโจงกระเบนสีดินแดง แลผมยาวก็ถูกรวบเก็บครึ่งหัว ยาวระแผ่นหลังบอบบาง
“ฝึกฉ้อมมาทั้งวัน ชงเหนื่อยไหมพระเจ้าค่ะ”เอ่ยถามก่อนจะใช้ซับพระพักตร์ที่มารดาให้มาซับพระเสโทบนพระพักตร์งามของบิดา
“หึหึหึ...ได้เห็นหน้าเจ้าพ่อก็หายเหนื่อยแล้วเจ้าบัวเอ๋ย”ตรัสพลางจับมือเล็กของโอรสน้อยขึ้นหอม
“คิกๆ..เฉด็จแม่ แลภุชงค์อยู่ที่ฉาลาลิมฉะหยวง ชงเฉด็จไปที่นั่นกันหนาพระเจ้าค่ะ”
“จ้ะๆ”
“อุ้มลูกหนาพระเจ้าค่ะ”ชูแขนให้พระบิดา
“พ่อเหงื่อเต็มตัวเช่นนี้อุ้มเจ้ามิได้ดอก ประเดี๋ยวเจ้าจักเหม็นเหงื่อ”
“....”นัยน์ตากวางหลุบลง ริมฝีปากจิ้มลิ้มเบะออก
“เจ้าบัว”
“...ท่านฉุธี อุ้มบัวหน่อยเจ้าค่ะ”เจ้าน้อยผินกายหันหลังให้พระบิดา แขนชูขึ้นให้องครักษ์หลวงสุธีอุ้ม
“เอ่อ..พะย่ะค่ะเจ้าน้อย”เกรงเจ้าหลวงหรือก็เกรง แต่ใครเลยจักกล้าปฏิเสธนัยน์ตากวางออดอ้อนนั่นได้ กายแกร่งสูงใหญ่ช้อนใต้พระกัจฉะ อุ้มร่างน้อยขึ้นแนบอกกว้าง เจ้าบัวงามวาดแขนกอดรอบคอแกร่ง ใบหน้างามซบลงบนไหล่กว้าง
“บัวใคร่อยากหาเฉด็จแม่แลภุชงค์ ท่านฉุธีพาบัวไปทีเจ้าค่ะ”
“เอ่อ...หม่อมฉันทูลลาพระเจ้าค่ะฝ่าบาท”ค้อมศีรษะเคารพนายเหนือหัวที่ตอนนี้พระพักตร์บึ้งตึง ใครๆก็รู้ว่าทรงหวงเจ้าน้อยเสียยิ่งกว่ากระไร แลเห็นลูกอ้อนคนอื่นเยี่ยงนี้คงขุ่นพระทัยน่าดูแล
.
“หืม..เจ้าบัวงาม ใยจึงให้ท่านสุธีอุ้มมาเล่าจ้ะ”เจ้าชมนาดที่นั่งพับเพียบร้อยมาลัยอยู่ริมสระหลวงเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นองครักษ์หลวงคนสนิทของพระภัสดาอุ้มร่างน้อยของโอรสคนเล็กเข้ามา ไหนว่าจักไปตามพระบิดา ไฉนจึงให้ท่านสุธีอุ้มกลับมาเยี่ยงนี้หนอ
“เฉด็จแม่”ลงจากอกท่านสุธีเดินเตาะแตะเข้าไปหามารดา ที่วางเข็มร้อยมาลัยลงบนพานทองก่อนจักช้อนร่างเล็กของลูกน้อยขึ้นนั่งตัก
“เป็นกระไรไปจ๊ะ”ก้มหน้าถามลูกน้อยที่ซุกหน้ากับอกมารดา
“บัวเป็นกระไรไปหยือเจ้า”เจ้าภุชงค์ที่วิ่งเล่นกับนางข้าหลวง เมื่อเห็นน้องน้อยก็วิ่งกลับมาเกาะไหล่บอบบางของมารดา
“ภุชงค์...”นัยน์ตากวางแดงระเรื่อช้อนมองพระเชษฐา
“ใครกันบังอาจมาทำลูกแม่ร่ำไห้ หืม”
“เฉด็จพ่อ”
“เสด็จพ่อหรือ...ทรงทำกระไรเจ้ากันจ๊ะ”
“ฮึก...เฉด็จพ่อมิอุ้มบัว”
“แลพ่อเจ้าทรงทำกระไรอยู่หรือ”
“ชงฉ้อมดาบอยู่พระเจ้าค่ะ”
“อืม...พ่อเจ้าคงมิอยากให้เจ้าเปรอะพระเสโทกระมังลูก ทรงซ้อมดาบพระเสโทหรือก็คงออกมาก พ่อเจ้าคงมิอยากให้เจ้าตัวเปรอะนั่นแล”ว่าปลอบเสียงหวาน มือบางปาดน้ำตาบนแก้มนุ่ม
“ฮึก...พระเจ้าค่ะ”พยักหน้าเบาๆ
“หึหึ”ยิ้มเอ็นดูก่อนจะกดจมูกโด่งรั้นกับแก้มนุ่มของโอรสคนงาม
จุ๊บ
เมื่อเห็นมารดาจูบแก้มน้อง องค์รัชทายาทแห่งภุมริกาก็ยื่นหน้าเข้าไปกดจูบแก้มน้องตาม เจ้าบัวหัวเราะคิกคัก ก่อนจะนั่งเล่นดอกบัวหลวงอยู่บนตักมารดา มินานองค์ภุมรินก็เสด็จเข้ามาในศาลาริมสระหลวงในฉลองพระองค์ชุดใหม่ ทรงสรงน้ำชำระพระวรกายก่อนจะรีบรุดมาง้อลูก พร้อมนางข้าหลวงที่หอบพานทองบรรจุขนมหวานจนพูนมาด้วย
“เฉด็จพ่อ”เจ้าภุชงค์น้อยเมื่อเห็นพระบิดาก็ผุดลุกก่อนจะวิ่งเข้าไปเกาะพระชงฆ์
“ว่าอย่างไรเจ้านาคน้อยของพ่อ”ช้อนลูกขึ้นอุ้มแนบพระอุระ พระนาสิกกดจูบแก้มแลหน้าผากโอรสคนโต
“เสด็จพี่”เรียกพระภัสดาก่อนจะหลุบตามองโอรสคนเล็กที่นั่งเล่นดอกบัวในมือ ทำท่ามิสนใจคนเป็นพ่อ
“หึหึหึ”พระสรวลอย่างเอ็นดู ทรงเสด็จประทับข้างพระชายา เจ้าบัวน้อยเหลือบตามองพระบิดาเมื่อเห็นว่าทรงมองอยู่ก็มุดหน้ากับอกบางของมารดา
“เจ้าบัวงาม พ่อเจ้ามีขนมมาด้วยหนาลูก ใคร่อยากหรือไม่”เจ้าชมนาดเอ่ยถามเจ้าตัวน้อย
“...พระเจ้าค่ะ”ตอบมารดาเสียงแผ่ว
“หึหึหึ เจ้าภุชงค์มานี่มาเจ้า แม่จักป้อนขนม”ว่าพลางดึงโอรสองค์โตเข้ามาในอ้อมกอด องค์ภุมรินเห็นดังนั้นจึงช้อนเจ้าบัวน้อยเข้ามานั่งบนพระเพลา
“เจ้าบัวงามใคร่อยากกินกระไรก่อนดีเจ้า พ่อจักป้อน”ตรัสพลางลูบผมยาวนุ่มของบุตร พระกรกอดประคองร่างเล็กอย่างทะนุถนอม
“บัวใคร่กินอันนั้นพระเจ้าค่ะ”ชี้ไปที่ทองหยอดสีเหลืองทองฉ่ำน้ำเชื่อม
“ได้สิเจ้า”ทรงตักขนมหวานป้อนใส่ปากเล็กช้าๆ เมื่อได้ลิ้มรสขนมหวานเจ้าบัวงามก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา เงยหน้ายิ้มหวานให้พระบิดา คนเป็นพ่อจึงแย้มพระโอษฐ์ให้พลางจูบเบาๆที่หน้าผากเล็ก พระหัตถ์ที่จับแต่ด้ามอาวุธประคองขนมหวานบรรจงป้อนลูกน้อยอย่างอ่อนโยน
“เฉด็จพ่อพระเจ้าค่ะ”
“หืม ว่าอย่างไร”
“บัวใคร่อยากเที่ยวพระเจ้าค่ะ”ว่าพลางอ้าปากรับขนมหวานจากคนเป็นพ่อ ริมฝีปากเล็กบวมตุ้ยเพราะทองหยอดเม็ดโต
“ใคร่อยากเที่ยวหรือ จักไปไหนเล่าเจ้าบัวงาม”
“ภุชงค์ใคร่ไปตลาดในเมืองพะย่ะค่ะ”คนพี่ผุดลุกจากตักมารดาเดินเตาะแตะไปหาบิดา พลางนั่งลงบนพระเพลาอีกข้าง กลาเป็นว่าตอนนี้องค์รัชทายาท แลเจ้าน้อยประทับอยู่บนพระเพลาของพระบิดาคนละข้าง โดยมีพระมารดาคอยป้อนขนมหวานให้ทั้งสองคน
“ตลาดในเมืองหรือเจ้านาคน้อย”
“พะย่ะค่ะ”
“คงจักได้ฟังมาจากนางข้าหลวงกระมังพระเจ้าค่ะ ลูกจึงใคร่เห็นตลาดนอกวังหลวง”หลายวันก่อนนางข้าหลวงที่กลับไปเยี่ยมบ้าน ได้เล่าเรื่องตลาดนอกวังหลวงให้เจ้านายน้อยทั้งสองฟัง เด็กๆจึงใคร่อยากเห็นตลาดนอกวังหลวง มากเสียจนรบเร้าให้มารดาขอประทานนุญาติจากพระบิดาให้พาออกไปเห็น
“บัวก็ใคร่ไปพระเจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นหรือ...เยี่ยงนั้น อีกสองวันพ่อจักออกไปตรวจราชการนอกวังหลวงจักพาพวกเจ้าไปด้วยก็แล้วกันหนาลูก”
“เย้ๆ บัวใคร่ซื้อขนมด้วยพระเจ้าค่ะ”
“ภุชงค์ก็ใคร่ได้ของเล่นพะย่ะค่ะ”
“หึหึหึ ได้ๆ พวกเจ้าใคร่อยากได้กระไรพ่อจักหามาให้ทุกอย่างเลย”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ บัวยักเฉด็จพ่อที่ฉุดพระเจ้าค่ะ”
“ภุชงค์ก็ยักเฉด็จพ่อที่ฉุดพะย่ะค่ะ”
“ว้า...มิมีใครรักแม่เลยหรือนี่ รักพ่อเจ้ากันหมดแม่เสียใจนัก”เจ้าชมนาดแสร้งทำเสียงตัดพ้อ ตีหน้าเศร้าทำเอาลูกน้อยทั้งสองรีบเข้ากอดเอาอกเอาใจมารดา
“บัวก็ยักเฉด็จแม่พระเจ้าค่ะ”
“ภุชงค์ก็ยักพะย่ะค่ะ เฉด็จแม่มิเสียใจหนา”
“บัวปลอบหนาพระเจ้าค่ะ”ว่าแล้วก็จับมือบางของมารดาขึ้นจูบเอาใจ
“หึหึหึ จ้ะๆ แม่แค่หยอกพวกเจ้าดอก”เจ้าชมนาดกอดลูกน้อยทั้งสองพลางหอมหน้าผากมนฟอดใหญ่ องค์ภุมรินทอดพระเนตรลูกเมียด้วยความรักใคร่
“เฉด็จแม่บัวตื่นเต้นพระเจ้าค่ะ”กระซิบข้างใบหูขาวของมารดาที่อุ้มตนอยู่ แขนเล็กโอบรอบลำคอระหงแน่น
“อู้หู เฉด็จพ่อพะย่ะค่ะ”ภุชงค์น้อยที่อยู่ในอ้อมพระกรขององค์ภุมรินดูตื่นตาตื่นใจกับตลาดชาวบ้านนอกวังหลวงเป็นอย่างมาก มิต่างกับเจ้าบัวงามคนน้อง
“หึหึหึ”พระสรวลในลำคอด้วยความเอ็นดูลูกทั้งสอง
“เสด็จพี่น้องมีความสุขเหลือเกินพระเจ้าค่ะ”กระซิบบอกพระภัสดาขณะที่เดินไปตามทางเดินของตลาด
“พี่ก็มีความสุขเจ้าชมนาด แค่มีเจ้า แลลูกๆก็พอแล้วสำหรับชีวิตพี่”สำหรับพระองค์ลูกๆทั้งสองก็เปรียบแก้วตาทั้งสองข้าง แลเจ้าชมนาดก็เปรียบดวงใจหนึ่งเดียวของพระองค์ มิคิดเลยว่าการเสด็จประพาสล่าสัตว์ป่าครานั้นจักทำให้ได้ประสบพบเจอกับรักแท้ แลแม่ของลูก
“น้องก็เช่นกันพระเจ้าค่ะ”สบตากันก่อนจักเผยรอยยิ้มเป็นสุข เจ้าตัวน้อยโซ่ทองคล้องใจทั้งสองเมื่อเห็นพระบิดา แลมารดายิ้มกว้างให้กันก็ยิ้มหวานประจบ เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากบุพการี
ชมนาดเย้าภุมรินจบบริบูรณ์
[/color]