- - - - - -
คุณไพร์มไปไหน!?!!!!
(iДi)
- - - - - -
ทั้งๆที่คิดว่าไพร์มคงตามกันเจอแน่ๆ แต่ก็ประเมินไว้แล้วว่าคงถ่วงเวลาไว้ได้ในระดับหนึ่ง
“กลุ่มไหนกันที่มันแทรกแซง” คนกลุ่มนั้นดูจะเป็นกลุ่มรับจ้างอิสระ ก็อาจจะเป็นไพร์มนั่นแหละที่หามา
แต่มันเร็วมากที่ไพร์มจะหาเจอ ทั้งๆที่มีพวกนกต่อในทีมซึ่งถูกซื้อตัวไว้ แต่ก็ใช้เวลาในการหาเร็วมาก มันน่าเจ็บใจไม่น้อยที่ยังไม่ได้อะไรจากแวมไพร์ตนนั้น และต้องหนีหัวซุกหัวซุนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้
“จะหนีไปต่างประเทศก่อนไหมครับ”
“ไม่จำเป็น” แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่ต้องทำอะไรให้มันมากเกินไป ถึงอย่างไรไพร์มก็คงไม่ทำอะไรกับคนในบ้านอยู่แล้ว ยิ่งเขาคือสายหลักของคุณพ่อ แม้ไพร์มจะเป็นคนโปรดแต่ก็เกรงใจกันอยู่บ้าง พรีวัส สุธาสกุลมั่นใจเช่นนั้น แต่เขาคงไม่รู้เลย…
ว่าคนในความคิดกำลังจะมาปรากฏกายให้เห็นจริงๆถึงที่
“แย่แล้วครับ นายท่านหนีเร็ว!” เสียงตึงตังที่ดังจากด้านนอกทำให้เขาที่กำลังจะเข้านอนนั้นต้องลุกขึ้นมาอย่างหงุดหงิด นอกจากวันนี้จะปฏิบัติการใหญ่ไม่สำเร็จ ยังมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่ได้หยุดหย่อน
“เกิดอะไรขึ้น” เขาพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย เปิดประตูออกมาหมายจะเฉ่งเจ้าคนเสียงดัง ทว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยได้รู้เลยว่าถ้าออกมาจะไม่ได้ดุด่าใคร
เพราะเจ้าตัวต้นเรื่องได้นอนสลบอยู่กับพื้นแบบเป็นตายก็หารู้ได้ไม่ในตอนนี้
“ไพร์ม…” และคนทำก็เหมือนจะเป็นน้องชายต่างแม่ของเขา แต่แม้จะคล้าย ทว่าก็มีส่วนที่ไม่เหมือนเอาเสียเลย
โดยเฉพาะดวงตาสีทองที่ไม่ควรจะมีหรือเป็นคู่นั้น
“แก…แกเป็นใคร” ทุกคนรับรู้ว่าแม่ของไพร์มคือใคร และมั่นใจว่าไม่ว่าทางไหนภูวนัยก็ไม่ควรจะมีดวงตาสีนี้ ฉับพลันความจริงบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัว หลายคนได้รับรู้ว่าผู้หญิงคนไหนคลอดปีศาจร้ายตัวนี้ออกมา
นั่นก็เท่ากับว่า…
“แกรนหาที่ให้ความอดทนต่ำๆก็ฉันหมดลงเองนะ” เจ้าของดวงตาสีทองพูดออกมา ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าเคยส่งมนุษย์หมาป่าไปทำร้าย แต่สายรายงานมาว่าไพร์มสามารถตบทีเดียวมันกระเด็นได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์ไหนก็ไม่ควรทำได้ทั้งนั้น
“กะ…แกไม่ใช่น้องฉัน”
“ต่อให้มีสายเลือดเดียวกันแกก็ไม่เคยเห็นใครเป็นน้องอยู่แล้ว” ขายาวๆนั้นไม่เคยหยุดก้าวเดิน ในตอนนี้แม้ไม่มีใครติดตาม แต่น่ากลัวว่าแค่ไพร์มคนเดียวก็ล้มคนได้มากมาย พีรวัสถอยหนี ถอยจนไม่รู้ว่าตัวเองจะถอยไปไหน
“พะ..ไพร์ม…”
“ดูเหมือนว่าแกคงไม่รู้ว่าล้ำเส้นกันเกินไป” อาจจะเพราะเขายอมให้ล้ำเส้นกันบ้าง เพราะบางอย่างก็ต้องยอมให้เพื่อที่จะได้รับ ทว่าฉันชนกคือคนที่ไม่อนุญาตให้ใครแตะ และคนๆนี้ก็ไม่ได้ทำแค่แตะต้อง “และคงไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตจะเป็นยังไง”
“มะ…ไม่” เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจเพราะมีชีวิตที่สุขสบายในกองเงินกองทอง แต่ความทะเยอทะยานโง่เง่ากำลังจะทำให้ได้รู้
ดวงตาสีทองวาวโรจน์อย่างน่ากลัว ในตอนนั้นพระจันทร์เต็มดวงกำลังถูกเมฆบดบัง เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากบ้านหลังนั้น
แต่น่าเสียดายที่คนได้ยินไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรไม่ให้มันเกิดได้เลย
- - - - - -
“คุณพีพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” ชายชราที่ได้รับฟังนั้นยังคงมีใบหน้านิ่งเรียบ เดิมทีพีรวัสก็เป็นลูกนอกสายตาอยู่แล้ว และยิ่งสร้างปัญหาครั้งใหม่นี้ เขายิ่งไม่สนใจว่าลูกคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง
“จัดการกลบข่าวให้เรียบร้อย” เจ้าบ้านสุธาสกุลนั้นสั่งเสียงเรียบ นี่ก็ดึกมากแล้ว ผู้เฒ่าเช่นเขาไม่ควรจะนอนดึกให้เสียสุขภาพ ชายชราที่อยู่ในชุดผ้าราคาแพงนั้นเดินกลับไปยังห้องนอน รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย ไม่ใช่เพราะการที่ลูกๆของตนตีกันมันไม่ดี การแข่งขันก็ให้เกิดผลกำไร แต่เพราะมันวุ่นวายมาถึงทางนี้ ก็เลยไม่ค่อยชอบใจนัก
และไปตีกับใครไม่ตี ไปตีกับเจ้าไพร์ม…
“ดูคุณพ่ออารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะครับ”
“ไพร์ม?” ยังไม่ทันที่ท่านเจ้าบ้านจะเปิดไฟในห้อง ไฟมันก็สว่างขึ้นมาเอง เผยให้เห็นกับแขกอีกคนที่มาเยือนในยามวิกาล ลูกชายที่เคยอยู่นอกสายตามากๆอีกคนนั้นบุกเข้ามาหาเขาถึงที่ คาดว่าคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เดิมทีเจ้าคนหนุ่มไฟแรงคนนี้สร้างผลกำไรมากมายให้บริษัท ทัศนคติที่ดีจึงค่อยๆถูกสร้าง ในขณะเดียวกันเขาก็เรียนรู้ได้ถึงความน่ากลัวบางอย่าง
บางอย่างที่ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับตระกูลเรา
“ผมหวังว่าคุณพีจะหายดี”
“แกทำให้พี่เขาเดินไม่ได้”
“ถ้าเขามีความพยายามมากพอ จะกลับมาเดินได้สักวัน แต่เกรงว่าอาจจะไม่มีวันนั้นที่เขาจะวิ่งตามทันคนอื่นอีก”
“…”
“ถ้าการมีขาทำให้เขาก่อเรื่องวุ่นวาย ผมก็แค่เรียนรู้วิธีการจัดการแบบสุธาสกุล” นั่นคือตัดขาอย่าให้เดิน
“มาที่นี่ทำไม”
“ผมแค่มายื่นใบลาออกจากบริษัทอย่างเป็นทางการ”
“กับเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องลาออกเลยรึ” ชายชรายังคงไว้มาด เขาเดินไปนั่งอย่างสบายใจบนเตียง ที่อีกด้านหนึ่งมีผู้บุกรุกนั่งอยู่บนโซฟาหนังตัวโปรดอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด
“อันที่จริงผมก็สนุกสนานมาพอแล้ว” ความสำเร็จของบริษัทมากมายที่มาจากมือของเด็กชายนอกสายตาคนนั้น ไม่ได้เกิดจากความรัก หากแต่เต็มไปด้วยความอยากเอาชนะและความสนุกสนาน ภูวนัยถือเป็นสมบัติไร้หัวใจที่ล้ำค่า ทว่าวันนี้เจ้าตัวกลับมาขอถอนตัวออกไป
น่ากังขาว่าเพราะหาหัวใจเจอแล้วหรือยังไง
“ฉันจ่ายแกไม่พอรึ”
“ผมมีเยอะเลยไม่คิดอยากได้อีก”
“อวดดี”
“ต้องขอบคุณพวกคุณผมถึงได้ร่ำรวยถึงเพียงนี้” ไพร์มยิ้ม “แต่คงจะดีถ้าไม่มายุ่งกับผมอีก”
“ไพร์ม…”
“คุณก็รู้ว่าผมรู้ว่าผมไม่ใช่ลูกคุณ”
“…”
“คุณรับเด็กทุกคนเป็นลูก เพราะจะยังไงคุณก็ไม่ได้เลี้ยงดูให้ดีกว่าคนใช้อยู่แล้ว ถ้าเด็กคนนั้นมีแววก็แค่ปั้นเขาให้ใช้งานได้ ลูกของคุณมีมากมาย แต่หลายคนก็ไม่ใช่ลูกของคุณ”
“แก…”
“เพราะถ้าคุณเป็นพ่อ…” เขาจ้องมองชายแก่คนนั้นที่เป็นคนแปลกหน้าเสมอมา “ดวงตาของผมคงไม่เป็นสีนี้” สีทอง คือสีที่หลบซ่อนอยู่บางเวลา สีทองเป็นสีที่หายาก และเป็นสีที่บอกกันชัดเจนว่าเลือดของเขาที่มันข้นจนต้องคอยถ่ายออกนี้ เขามีเลือดของอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งไร้เวียนอยู่รอบกาย
และสีทองไม่ใช่สีที่ควรจะเข้าไปมีเรื่องด้วย
ภูวนัยรู้ตัวว่าพ่อของเขาไม่ใช่เจ้าบ้านสุธาสกุลตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาพบว่าดวงตาของตัวเองสามารถเปลี่ยนเป็นสีทองได้ เขาเริ่มหาข้อมูลถึงความเป็นไปได้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ และวันหนึ่งก็ได้พบกับความจริงโดยบังเอิญ มันมีผู้ชายอีกคนที่มีดวงตาสีเดียวกันกับเขา แต่มีร่างอีกร่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“หวังว่าต่อไปนี้คงไม่ได้มีเหตุให้เจอกันแล้วนะครับ” ไม่เช่นนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับสุธาสกุลก็สุดรู้ หลายสิ่งที่ไพร์มสร้างขึ้นมาให้ ในขณะเดียวกันก็สามารถทำลายมันลงได้ และถ้าเขาขยันพอ
ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งอื่นที่สร้างสรรค์โดยคนอื่น
พังทลายได้ต่อหน้าลูกหลานทุกคนในบ้านหลังนี้เช่นกัน
หลังจากมั่นใจว่าการมาของตัวเองในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ภูวนัยก็เดินจากมาโดยไม่หมายจะย้อนกลับไปอีก นี่เป็นการตัดสินใจที่จะเรียกกว่ากะทันหันก็ว่าเช่นนั้นได้ แต่ทุกอย่างล้วนถูกคิดมาอย่างดีแล้ว
อันที่จริงเขาอยากจะทำอย่างนี้มาตลอด ทว่ามันไม่ได้มีแรงบันดาลใจมากพอให้ทำเพราะทุกครั้งสิ่งที่สุธาสกุลทำ คือการมอบของเล่นใหม่ๆเพื่อไม่ให้เขาทนเบื่อกับการอยู่ที่นี่จนเกินไป แต่วันนี้เขาเล่นจนพอแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าแวมไพร์ตัวเล็กๆจะกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้คนนิสัยเสียคนหนึ่งเลือกที่จะเดินจากมาแบบเงียบๆ และในเวลาที่ว่างแบบไม่มีอะไรทำจริงๆ เขาเคยจินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไรหากไม่มีความเกี่ยวข้องกับสุธาสกุลอีก และในวันนี้เขาก็กำลังได้เผชิญกับมัน
อย่างโดดเดี่ยวไม่เหลือใครแบบที่ควรจะเป็น
- - - - - -
อีกด้านหนึ่งของมุมเมือง ใครสักคนกำลังห่มผ้าผืนหนาให้กับเจ้าโอเมก้าอวดเก่งที่ในวันนี้คอพับคออ่อนอาละวาดไม่ได้เต็มที่อย่างน่าสงสาร ทาริคที่ต้องคอยสู้รบกับคนเก่งที่มีร้อยแปดพันวิธีหนีไปจากเขานั้นยิ้มออกมา ในที่สุดเจ้าโอเมก้าก็มาตายรังอยู่ตรงนี้ บนกองหมอนนิ่มทั้งหลายในห้องนอนของเขาที่กำลังกลายเป็นของเรา
ฝันดีนะดรัญ…
“ดรัญหลับแล้วสินะ” เอลที่รอที่จะคุยด้วยนั้นทัก ทาริคผู้ซึ่งสละตำแหน่งผู้นำเผ่าพันธุ์นั้นเดินลงบันไดมาหาอย่างอารมณ์ดี หลายวันมานี้มีแต่เรื่องดีๆ
เรื่องที่โอเมก้าที่รักกำลังจะมีลูกเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เรื่องที่ส่งสารินออกไปไกลตัวโดยไม่จำเป็นต้องมีปัญหากับธัมรงค์รัชต์ก็ดีมากๆแถมลูกพี่ลูกน้องอย่างเอลก็ได้รับคะแนนเสียงดีกว่าที่คาดไว้ บางทีตำแหน่งผู้นำเผ่าพันธุ์รุ่นต่อไป ก็ยังคงเป็นเพย์ตันอยู่ เอาเป็นว่าชีวิตเขาตอนนี้ดีมากๆ
“ได้ยินว่าตอนนี้สนธยาเข้าใกล้ตัวสารินได้แล้ว”
“เป็นไพร์มจริงๆสินะที่ช่วยเหลือ” จริงๆพวกเขาตัดขาดเรื่องที่ว่าสารินจะไปไหนทำอะไรมาสักพักแล้ว แต่ดรัญเป็นฝ่ายหงุดหงิดทุกครั้งที่ตอบอะไรไม่ได้ ดังนั้น…เขาจึงต้องไปหาคำตอบมาให้กับทุกสิ่งที่เจ้าโอเมก้าเจ้าอารมณ์อยากรู้
“อืม”
“เป็นอะไรไปล่ะเอล”
“วันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย” เอลนั้นครุ่นคิดว่าตนควรจะพูดออกไปหรือไม่ “ไพร์มมีเรื่องกับคนที่สุธาสกุล”
“อะไรนะ”
“ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทั้งสนธยาและไพร์มเข้าไปมีเรื่องวุ่นวายกับพีรวัส ไพร์มเล่นงานซะหนักเลย คิดว่าคงตัดขาดกับสุธาสกุลแล้วแน่”
“ก็ถ้าไม่มัวแต่เล่นสนุก หมอนั่นก็คงไม่เห็นค่าอะไรของสุธาสกุลนัก” ทาริคไหวไหล่ เขาไม่ได้รู้จักไพร์มดีนักหรอก แต่บางทีก็เคยได้ร่วมโต๊ะกันบ้าง
เป็นการคบหาสนิทสนมกันแบบลับๆ
“สุธาสกุลที่ไม่มีไพร์มคงจะวุ่นวายน่าดู” ทาริคนั้นค่อยๆรินไวน์ใส่แก้วและส่งให้เอล เพย์ตันลูกพี่ลูกน้องของเขา ทำไมพวกเขาถึงได้เกี่ยวข้องกับคนอย่างภูวนัย สุธาสกุลนะเหรอ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เปิดเผยเป็นวงกว้าง มิหนำซ้ำบางทีมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่เปิดเผยออกไปไม่ได้
“โทรหาหมอนั่นก็ไม่รับ”
“ให้เวลาน้องมันบ้าง คาดว่าคงเจอเรื่องที่ใหญ่พอตัวเลยล่ะวันนี้” ทาริคเอ่ยปลอบไป เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคนแบบนั้นคงไม่ล้มนานเกินไป ภูวนัยเป็นคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากๆ แม้ว่าร่างกายของหมอนั่นจะมีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ แต่มันสมองที่สุดยอดเจ้าเล่ห์นั้น เขาเดาภาพไพร์มที่ล้มหมดท่าจริงๆไม่ออกเท่าไหร่
“ถ้าตอนนั้นเราไม่ตามใจหมอนั่นจนเกินไปคงจะดี”
“ก็มันอยากทำและอีกอย่างสถานการณ์ของเพย์ตันก็ใช่ว่าจะดี” ทาริคยังคงพยายามพูดให้เอลเย็นลงแต่เหมือนจะไม่เลย ดวงตาของเอลที่มองออกไปยังด้านนอกอันมืดมิดนั้นเต็มไปด้วยความกังวล และเมื่อนึกถึงความผิดพลาดมากมายที่เคยเกิดขึ้นเขาก็ได้แต่นึกโทษตัวเอง “ดวงตานายเปลี่ยนสีแล้ว” และความคิดที่ควบคุมไม่ได้ก็ส่งผลให้ร่างกายทำปฏิกิริยา
“อย่างน้อยเขาก็มีดวงตาสีเดียวกับพวกเรา” เอลหันกลับมามองญาติผู้พี่ ในตอนนี้ด้วยดวงตาสีทองไม่ต่างจากอีกคน
“แต่เขาไม่ใช่มนุษย์หมาป่าเต็มตัว” ไม่บ่อยหรอกที่เอลจะเอาแต่ใจ “เขามีลักษณะของมนุษย์มากกว่า หมอนั้นยังต้องจัดการกับเลือดของตัวเองอยู่ทุกสามวัน ถึงจะมีร่างกายแข็งแกร่งแบบพวกเราแต่เขาแปลงร่างไม่ได้” นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ
พวกเราไม่เคยสืบกันจริงจังว่าญาติของพวกเราคนไหนเป็นพ่อของไพร์ม ทว่าทั้งเอลและทาริคผู้ซึ่งค่อนข้างจะหัวสมัยใหม่ต่างรับได้ที่พวกเขาจะมีน้องชายโผล่มาอีกคน แม้ว่าน้องชายคนนั้นจะไม่ได้มีลักษณะทางกายภาพเหมือนพวกเขาทุกกระเบียดนิ้วก็ตาม
“…”
“เอล…นายทำดีที่สุดแล้วจริงๆ” ในวันหนึ่งที่พวกเราไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดโดยสุธาสกุล ที่นั่นเราได้พบกับเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้ถูกเรียกว่าคุณไพร์ม เด็กคนนั้นเป็นหนึ่งในคนโปรดของเจ้าบ้านสุธาสกุล เขามีศักดิ์เป็นลูกคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ ทว่าออร่าบางอย่างที่โอบล้อมกาย มันช่างต่างจากคนบ้านนั้นเหลือเกิน
คาดว่าอะไรสักอย่างในวันนั้นได้กระตุ้นสัญชาตญาณของเราสองพี่น้อง เอลและเขาเผลอจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยดวงตาสีทองอันเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลเพย์ตันเท่านั้น และก็พบว่าถูกมองกลับด้วยดวงตาแบบเดียวกันขึ้นมา มันทำให้เขาพบว่าจริงๆเรามีญาติพี่น้องคนอื่นอยู่นอกตระกูล
พี่น้องที่ ไม่ได้มีลักษณะของมนุษย์หมาป่าแต่เป็นลูกครึ่งอัลฟ่าที่แข็งแกร่งและมีสติปัญญาที่ดีเยี่ยม
แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ของเราไม่ต้อนรับคนที่มีลักษณะแบบไพร์มให้เข้ามาแน่ๆ เด็กหลายคนต้องอยู่อย่างหลบซ่อนและทำตัวให้กลมกลืนกับเผ่าพันธุ์อื่นมากกว่าหากพวกเขามีเชื้อสายของหมาป่าแต่ไม่ได้กำเนิดโดยโอเมก้าแบบที่อัลฟ่าคนอื่นๆเป็น และนั่นเป็นเหตุผลที่เรารับเขามาอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็ติดต่อกันเรื่อยๆหยิบยื่นน้ำใจกันบางครา
อย่างไรก็ตาม ไพร์มก็ไม่เคยคิดอยากจะเข้ามาเป็นหนึ่งในตระกูลเพย์ตัน เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเอลหรือทาริคพอที่จะสนิทใจ สิ่งใดที่รับได้เขาก็รับ หากแต่สิ่งใดที่ไม่มั่นใจว่าจะดีก็ไม่คิดจะรับไว้ แน่นอนว่าผลประโยชน์หลายอย่างหมอนั่นก็โกยจากไปอื้อ โชคดีที่พอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลายๆเรื่องนั้นไพร์มก็เผื่อแผ่ความช่วยเหลือมาที่เพย์ตันบ้าง
“ปล่อยวางซะเอล ไพร์มมันไม่แย่ไปกว่านี้หรอก” เพราะเท่าที่เขารู้จักไพร์ม เจ้าบ้านั่นคือแย่แล้วและก็คงไม่อาจจะแย่ได้อีก
ถ้าแย่กว่านี้ก็เกรงว่าคงไม่มีใครจะหยุดหมอนั่นได้อีก…แล้วจริงๆ
ทว่าคนที่เป็นต้นเหตุของทุกสิ่งที่วุ่นวายในช่วงวันที่ผ่านมานี้กลับนอนหลับเต็มตื่น “ฮ้าววววววว” แถมตื่นมาก็ยังหาวปากกว้าง มึนงงกับทุกสิ่งทันทีที่ลืมตา ที่นี่ที่ไหน ฉันมาทำไม และหิวแล้วมีอะไรกินไหม
เดี๋ยวสินี่มันที่บ้านนี่?!!
“ฮื้อออออออ” ฉันชนกที่ร่างกายไม่พร้อมจะลุกขึ้นยืน ทว่าจิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะส่งมอบพลังกายไปให้กระดิกตัว ฉันค่อยๆกลิ้งไปข้างๆลงจากเตียง นอนให้พอหายมึนก่อนจะคลานกระดื้บไปยังประตูห้องนอนที่ตนคุ้นเคย
นี่ฉันฝันอยู่เหรอ แค่คิดว่าอยากกลับบ้านเลยมาอยู่ที่บ้านได้เลยหรือไง เจ้าแวมไพร์โง่เง่าถามตัวเองเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบ ถึงแม้จะพาตัวเองมาถึงบันไดบ้านได้แล้ว ทว่าก็ไม่คิดจะลุกขึ้นยืนและเดินลงมาดีๆ
“เดี๋ยวพ่อจะตีให้” วธินที่มาเห็นเจ้าตัวแสบค่อยไถก้นตัวเองลงมาตะโกนก้อง เขายังเคืองเรื่องเมื่อวานไม่หาย วันนี้จอมขี้เกียจทำงามหน้าด้วยการสวมร่างขี้เกียจไถตัวเองลงมาแบบนี้อีก นอกจากอันตรายแล้วมันไม่ได้ดูน่ารักเลย
“ป๊ะ! ช่วยน้องฉันด้วย” พอเห็นวธินตั้งท่าจะต่อว่า เจ้าตัวเลยร้องหาตัวช่วยที่มักจะอยู่ไม่ไกล การันต์เดินเข้ามาเห็นสองพ่อลูกก่อสงครามย่อมๆก็ส่ายหน้า ทว่าก็เดินไปฉุดเจ้าลูกตัวแสบให้ลุกขึ้นยืนและช่วยพยุงให้เดินมาดีๆ
“ลูกยังอ่อนแรงนะ” ด้วยความที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันและเป็นมานานกว่า การันต์รู้ดีถึงอาการขี้เกียจที่ฉันแสดงออกมา ฤทธิ์ยาอะไรนั่นยังคงตกค้าง คงต้องให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อนคงวิ่งซนได้รอบบ้านเหมือนเดิม
“งั้นจะลงมาทำไม” วธินที่ทราบดังนั้นเลยเข้ามาช่วยประคอง
“หิววววว” ไม่ได้กินอะไรมาหลายเพลาแล้ว
“วันหลังส่งโทรจิตมา จะเอาขึ้นไปให้กิน” ทำแบบนั้นได้ซะที่ไหน เจ้าตัวแสบลูบหัวตัวเองปอยๆมองค้อนคนพ่อที่ตีเบาๆเมื่อครู่นี้
หลังจากความทรงจำกลับมาเข้าสู่สมองแบบปกติ คำถามแรกคือทำไมตนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังนอนอ้อนผู้ชายอยู่อีกที่ ทำไมตอนนี้ถึงมาอ้อนพ่อกับพ่ออย่างนี้ได้
“เป็นอะไรไปล่ะเจ้าฉัน ขมวดคิ้วใหญ่เลย” การันต์ที่ว่าจะเอาจานชามไปล้างเห็นท่าทางลูกชายแปลกๆเลยถามออกไป โดยไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้ตนจะไม่ได้เอาจานไปล้างอีกพักใหญ่
“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ”
“มีคนมาส่ง”
“คุณไพร์มนะเหรอ”
“อืม”
“แล้วคุณไพร์มบอกอะไรป๊ะกับพ่อไหม”
“บอก…บอกว่าลูกชายป๊ะมันแก่นเซี้ยวแค่ไหน น้องฉันมันอันตรายมากนะทำไมทำอะไรถึงไม่คิดถึงใจป๊ะเลย” การันต์ต่อว่า
“ก็…ไม่อยากให้ป๊ะเป็นห่วง”
“แล้วเราไปไว้ใจคนอื่นแบบนั้นได้ไง อยู่ๆเขาบอกจะเอาไปทดลองก็ไปเหรอ จะตายไหมทำไมไม่รู้”
“ก็คุณไพร์ม…” อันที่จริงเขาเคยสัญญาต่อกันว่าจะไม่ให้ฉันต้องเป็นอะไร แต่สุดท้ายเรื่องราวเมื่อคืนวานก็เกิดขึ้น แม้มันจะไม่ใช่ฝีมือเขา แต่การที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปเกี่ยวข้องเลยเป็นอันต้องเผชิญกับมันด้วยแบบนั้น
“ร่างกายของแวมไพร์ไม่เหมือนมนุษย์ มันมีจุดที่อ่อนไหวและให้ใครแตะต้องไม่ได้เพราะถ้าเกิดพลาดไปนิดนึง” การันต์หยุดพูดไปพักหนึ่ง “เราอาจตายได้”
“ก็ผมไม่รู้”
“…”
“ผมเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์” ลูกอธิบาย ดวงตาคลอน้ำตาอย่างรู้สึกผิด แต่อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของวธินและการันต์ด้วยที่ปิดบังไม่ให้ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เพียงเพราะคิดว่าเราหนีมาไกลถึงเพียงนี้ก็ควรจะลืมสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นไป เราจึงเลี้ยงลูกขึ้นมาโดยให้เขามีจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์มากกว่าแวมไพร์
และคิดว่าหากรอบตัวของฉันมีแต่มนุษย์แล้วล่ะก็ เด็กคนนี้คงไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เราคิดผิด โลกมันเปลี่ยนไปแล้วและต้องยอมรับว่าทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเกินไป และในระหว่างนั้นอาจจะก่อให้เกิดภัยอันตรายที่เราไม่อาจจะคาดได้ว่ามันจะเกิดแบบไหน อย่างไร หรือเมื่อไหร่
“ไม่ต้องร้องแล้วน้องฉัน มันผ่านไปแล้ว” การันต์เดินเข้าไปหา ช่วยเกลี่ยหยดน้ำตาบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา ในตอนที่ลูกแสดงออกมาว่ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นแวมไพร์ การันต์ต้องเก็บสีหน้าและความรู้สึกเอาไว้ ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องทั่วไป อันที่จริงเขาแค่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง เพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเผชิญ
ในบรรดาผู้คนทั้งหมดลูกคือคนที่รับมือยากจริงๆ เพราะเราแคร์เขากว่าใคร เราจึงไม่อยากให้เขาแตกหักไปเพราะความผิดพลาดของเรา
“ต่อไปนี้เรามาเรียนรู้กันว่าน้องฉันมีความสามารถอะไรบ้าง และต้องระวังอะไรบ้าง”
“ฉันวิ่งเร็วใช่ไหม”
“ใช่” แวมไพร์นั้นหากฝึกอย่างถูกวิธีก็จะมีความว่องไวเหนือใคร ทว่าเขาไม่แน่ใจในเคสของฉันชนกนัก เด็กคนนี้มีเชื้อสายของมนุษย์ธรรมดาผสมอยู่ด้วย ทุกวันนี้ที่เขาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ บางทีก็ละเลยความเคร่งครัดบางอย่างแบบแวมไพร์ที่อาศัยอยู่บนโลก แต่ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร คงจะเพราะเลือดมนุษย์ที่ไหลเวียนอยู่ในกายด้วยส่วนหนึ่ง
ทว่าตอนนี้ลูกได้ถูกปลุกสัญชาตญาณแวมไพร์ในตัวแล้ว ทั้งการดูดเลือด ความว่องไวที่เจ้าตัวรับรู้ว่ามี มันทำให้ฉันเริ่มที่จะเป็นแวมไพร์มากขึ้น และมันคงเป็นหน้าที่ของการันต์ที่จะต้องสอนให้ลูกปรับตัว
วธินที่เดินเข้ามาเห็นสองพ่อลูกอย่างการันต์และฉันกอดกันกลมนั้นก็ยิ้มออกมา เขาเคืองเจ้าตัวแสบไม่น้อยที่ก่อเรื่องเอาไว้แต่ก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาปิดกั้นลูกเกินไป และในตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติสุขแล้วเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข เขาเดินเข้าไปโอบกอดคนทั้งสองที่เขารักที่สุดในโลกเอาไว้ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่เช่นกัน
ความลับของครอบครัวเราก็จะยังคงเป็นความลับอยู่ แต่ต่อไปนี้จะไม่มีความลับต่อคนข้างในครอบครัวอีกแล้ว พวกเราสามคนดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศแห่งความอบอุ่น วธินกับการันต์ช่วยกันพยุงเจ้าตัวแสบขึ้นไปนอนบนห้อง ห่มผ้าและจูบหน้าผากเหมือนเมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเด็ก
“ฝันดีนะเจ้าฉัน” การันต์พูดก่อนจะดึงให้วธินออกจากห้องไป
ทว่าเมื่อประตูห้องนอนปิดลงคนที่ควรจะหลับตานอนฝังตัวเองลงไปในโลกแห่งความฝันก็ลืมตาขึ้น ความรักคือสิ่งที่สัมผัสได้และยังคงอยู่ไม่หายไปไหน ทว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่และไม่เข้าที่เข้าทางในความรู้สึก ฉันชนกยังคงมีคำถามมากมายและความกังวลที่ตนไม่อาจจะรู้วิธีแก้ไข แต่จะอย่างไร
มันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องของภูวนัยที่หายไปและติดต่อไม่ได้คนนั้น…
- - - - - -
บ้านหลังนั้นคือเป้าหมายที่ใกล้แค่เอื้อม
แต่ไกลทางความรู้สึกนัก
สนธยามาถึงที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับข้อมูลสถานที่แล้ว ทว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคือการมองอยู่ห่างๆ ไพร์มทำตามสัญญาได้ดี เขาเอื้อเฟื้อให้เบอร์ติดต่อของแจง โอเมก้าที่ดูแลสารินเอาไว้ เราคุยกันและนำมาสู่ข้อตกลงที่ว่าสนธยาจะได้รับการรายงานเรื่องราวของสารินโดยตรง
ทำไมสนธยาไม่เข้าไป เขาคิดว่าเขายังคงต้องการเวลาอีกหน่อย จะอย่างไรตอนนี้มันก็อยู่ในระยะที่พอใจแล้วที่จะได้มองเห็น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมย่อมเข้าไปแน่
แล้วเมื่อไหร่สารินถึงจะยอมรับกันได้เล่า จริงๆเขาก็ไม่รู้เลยจริงๆ น้องเป็นเด็กดื้อและยึดมั่นในตัวเองกว่าที่ใครๆคิดๆ และเรื่องที่หนีออกมา เจ้าตัวก็ได้วางแผนรวมถึงทำมันอย่างรอบคอบ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสารินไม่ได้อยากกลับไป ไม่ว่าจะกลับไปหาครอบครัวของเรา หรือแค่กลับมาหาเขาก็ตาม
“เคลียร์คนออกไปให้หมด” เขาหันไปสั่งกับลูกน้อง หากคนอยู่กันเยอะเกินไป เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะพบเห็นและตกใจได้ ในบ้านหลังใหญ่ของภูวนัยที่อยู่ริมทะเลแห่งนี้ เจ้าตัวคงมีแผนจะเปิดที่พักตากอากาศหรืออะไรสักอย่าง ทว่ายังไม่ได้เริ่มเลยให้คนของเขามาพักที่นี่ก่อน อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ที่พักในอาคารเดียวกันหากแต่คนละฝั่ง
สารินอยู่ในสัดส่วนของตัวเองเพราะเกรงใจและไม่อยากเดินไปไหนมาไหนในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และนั่นจึงเปิดโอกาสให้เขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ใกล้ๆโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เอะใจอะไร และที่เหลือ…
ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส
“แขกเหรอครับ” สารินถามออกไป เห็นว่าเมื่อช่วงเช้านั้นดูวุ่นวายไม่ใช่น้อย เพิ่งรู้ว่านอกจากตัวเองแล้วก็มีใครอีกคนมาพักที่นี่
“ค่ะ คนรู้จักของคุณเจ้าของมาพักตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่คุณสาหลับ”
“มาเที่ยวเหรอครับ”
“ค่ะ แต่คงไม่อยากให้รบกวน วันนี้ก็บอกให้ช่วยเอาอาหารไปวางไว้ที่หน้าห้องเลย”
“อ๋อ”
“คุณสารับอาหารเลยไหมคะ”
“ก็ดีครับ” และเรื่องราวของผู้มาใหม่ก็ถูกบอกเล่าแค่นั้น เขาดูเหมือนคนที่อยากได้รับความส่วนตัว ซึ่งดีแล้วเพราะสาเองก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน
จนถึงตอนนี้ภาพร่างอนาคตของสารินก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ต่อไปจะเลี้ยงลูกยังไง ที่ไหน หาเงินอย่างไร สาก็ยังไม่มั่นใจเลย อันที่จริงตนเคยนึกภาพที่ต้องออกมาจากธัมรงค์รัชต์โดยตลอด พอต้องออกจริงๆแล้วมันก็เคว้งทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน แต่จะกลับไปมันก็ทำไม่ได้แล้ว
สาไม่อาจจะโกหกใครได้จริงๆว่าพ่อของลูกเป็นใคร ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถบอกกับทุกคนว่าได้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจทรยศต่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลงได้ ทว่าสิ่งที่ตนกลัวที่สุดอาจจะไม่ใช่ทั้งคุณพ่อหรือคุณแม่ แต่เป็นพี่สนเองที่จะมองมา สาไม่อาจจะมองหน้าหรือบอกเขาได้จริงๆเพราะกลัวเกินไปถึงสิ่งที่เขาจะเอื้อนเอ่ย
สากลัวว่าเขาจะให้ตนไปทำแท้ง
“อึก”
เจ้าตัวแสบ…
“ไม่เครียดแล้วครับลูก” ลูกรู้ว่าสาอ่อนแอแค่ไหนและรู้ที่จะเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คิดต่อไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นมา “เป็นห่วงแม่เหรอครับ” สารู้ว่าเขาจะยังไม่ตอบตอนนี้ แต่เจ้าตัวเล็กที่แสนดี เขาน่ารักขนาดนี้สาคงไม่สามารถปล่อยไปได้
โอเมก้าคนอื่นต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งขนาดไหนกันที่จะสามารถปล่อยลูกไปเป็นลูกคนอื่นได้ คาดว่าพวกเขาคงบอบช้ำและกลายเป็นคนไร้หัวใจไปเลยหลังจากนั้น แต่สารินมีทางเลือก และตนไม่เลือกทางนั้นแน่ๆ หากการกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์คือความเสี่ยงที่จะสูญเสียเด็กคนนี้ไป งั้นอย่าได้หวังเลยว่าชาตินี้สารินจะยอมกลับไปเยือนที่นั่นอีก
แม้จะได้ชื่อว่าอกตัญญู แต่สา…จะไม่ยอมเสีย ‘เจ้าแสนดี’ นี่ไปเด็ดขาด!
Talk:
ตอนนี้อาจจะตัดไปตัดมาหน่อยนะคะ หวังว่าจะไม่งงกัน แต่ถ้างงหรือยังไงก็บอกกันได้ค่ะ หลังจากตอนนี้ก็อาจจะตัดไปคู่สนสาหน่อย และก็อีกไม่กี่ตอนก็คงจะจบแล้วล่ะค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ #คู่กินคู่กัด