ขอโทษทุกคนที่หายไปนาน ... ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อย
สำหรับตอนนี้ (ตอนที่ 17) อาจไม่ค่อยมีอะไร
เน้นเที่ยว ... กับนอน ...
เพราะเหนื่อยมาก
คิดว่าอ่านสารคดีท่องเที่ยวแล้วกัน
take care
ตอนที่ 17
ก่อนที่จะเดินเที่ยวก็ต้องหาที่พักกันซะก่อน ...
ตอนแรกคิดว่า ... หาที่พักสำหรับสองคนน่าจะง่าย
แต่ไปที่ไหน ๆ ก็เต็มหมด
ยกเว้นแต่โรงแรมแพง ๆ ที่เกินความจำเป็น
และเกินกำลังของนักเรียนอย่างเรา
สุดท้ายก็เลยต้องกลับมาพักที่ youth hostel ที่เดียวกับเมื่อคืน
ห้องนึงนอนได้ 30 คน ยังมีเตียงเหลืออีกหลายเตียง
เก็บของเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวตระเวนรอบ ๆ ‘กรุงเวียนนา’
ให้เต็มอิ่มสมกับที่อยากมาที่นี่เหลือเกิน
เวียนนามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น
โบสถ์ Stephansdom ซึ่งเป็นโบสถ์ที่สำคัญที่สุดของเวียนนา
พระราชวัง Hofburg เป็นที่ประทับของราชวงศ์ Habsburg
Kunsthistorisches museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะ
ที่มีงานศิลปะซึ่งราชวงศ์ Habsburg สะสมมาหลายร้อยปี
Natural History Museum
Belvedere Palace (พระราชวังอีกแห่งหนึ่ง)
เป็นสถานที่ที่ผมตั้งใจว่าจะเข้าไปชมด้านในด้วย
ดีใจที่มีโอกาส ... ก็อุตส่าห์มาถึงทั้งทีจะพลาดได้ยังไง
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว
บรรดาตึกต่าง ๆ ก็มีความงามทางศิลปะที่สวยงามมากจริง ๆ
ดูแล้วเพลินมาก ... ถ่ายรูปเยอะแยะไปหมด
ตึกแต่ละตึกก็สร้างสรรค์โดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมาก
บางคนเดินตามล่าหาตึกที่สถาปนิกคนโปรดเป็นคนออกแบบ
ตัวอย่างสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่ผมชื่นชอบและตามดูอยู่หลายตึก
ก็คือ ... Otto Wagner
(ใครอยากเห็นงานของเขาก็ลอง search ดูภาพถ่ายได้มีเยอะแยะ)
อีกวันหนึ่งเราก็ขึ้น tram (รถราง) สาย 1 กับสาย 2
โดยรถรางสองสายนี้จะสามารถพาเราวิ่งรอบ ๆ Ringstrasse
ที่มีตึกสวย ๆ อยู่เต็มไปหมด
เห็นมั๊ย ... แค่ตึกรามบ้านช่องก็ดูได้เป็นวัน ๆ แล้ว
ยังไม่รวมร้านอาหารที่ขายอาหารที่ทั้งหน้าตาดีและอร่อยมากอีกหลายร้าน
อย่างงี้จะให้อยู่แค่วันเดียวได้ยังไง
“ขอบคุณนะ” อยู่ ๆ นนท์ก็พูดออกมา
ระหว่างที่เรานั่งชมเมืองอยู่บน tram สาย 1
“เรื่องอะไร” ผมถาม
“ก็ที่พาชมเวียนนาซะทะลุปรุโปร่งขนาดนี้”
“เมืองในฝันของเพื่อนเลยนะ ...
ตอนเด็ก ๆ เคยอยากมาเรียนดนตรีที่นี่” ผมบอกนนท์ยิ้ม ๆ
“เว่อร์ไปรึเปล่าเนี่ยะ ...” นนท์พูดพลางหัวเราะ
“ก็ช่ายอะดิ .... คิดว่าถ้าเรียนดนตรีอาจจะอดตายได้ ...
ก็เลยไม่ได้เรียนไง”
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย ... hi-so นะเรา” นนท์พูดพลางดึงจมูกผมแรง ๆ ที่นึง
“โอ๊ย” ผมร้อง ... เจ็บจนจมูกแดง
พวกเราอยู่เวียนนาทั้งหมด 3 วัน
บ่ายแก่ ๆ ของวันที่ 3 ขณะที่กำลังเดินพุงกางออกมาจากร้านกาแฟ
(ผมไม่ได้ดื่มกาแฟหรอกนะ ... แต่ดื่มโกโก้กับเค้ก)
ร้านกาแฟเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของ ‘ชาวเวียนนา’
ซื้อกาแฟแก้วนึง … จะนั่งในร้านอ่านหนังสือ
จะนั่งคุยกับเพื่อน หรือทำอะไรยังไงไม่มีใครไล่
นนท์ก็ถามผมว่า
“เต็มอิ่มกับเวียนนารึยัง ...”
ผมพยักหน้า ... ตอบนนท์ว่า
“จริง ๆ อยากอยู่อีกซักเดือน ...”
“เดือนนึงก็เกินไปครับ .. คุณเพื่อน” นนท์พูดแกมประชด
“ล้อเล่น ... แต่อยากอยู่ต่อจริง ๆ นะ ... แต่ตัดใจไปเยอรมันก็ได้”
“ก่อนไปเยอรมันจะพาไปที่หนึ่งสวยมาก … เพื่อนต้องชอบแน่”
นนท์พูดยิ้ม ๆ
“ที่ไหนเหรอ”
ผมถาม ... นนท์ยิ้มเฉย ... ไม่ตอบ
“ไม่บอกเหรอ ... เดี๋ยวก็ไม่ไปซะเลย” ผมขู่นนท์
คนตัวโตยังยิ้มไม่ตอบอะไร ...
“ก็ได้ ...ก็ได้ …. เดี๋ยวก็รู้” ผมพูด ... คร้านที่จะถามต่อ
เพราะถ้านนท์ไม่ยอมบอกถามไปก็ไม่บอกอยู่ดี
“ใช่เดี๋ยวก็รู้” นนท์พูดยิ้ม ๆ
เราออกเดินทางจากเวียนนาตอนประมาณ 6 โมงเช้าโดยรถไฟ
ไปถึง Salzburg ตอนเกือบ 9 โมง
“เราจะเที่ยวที่ Salzburg อีกเหรอ” ผมถามนนท์
นนท์ยิ้มแล้วส่ายหน้าลากมือผมไปขึ้นรถบัส
รถบัสใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็ถึงที่ที่นนท์บอก ...
นนท์พาผมไปลงที่เมืองแห่งหนึ่ง ... เป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารัก
ตึกสีอ่อนหลากสีสวยเหมือนลูกกวาด
มองไปด้านหน้ามีทะเลสาบแห่งหนึ่ง ... “Mondsee” หรือ “Moonsee”
“ทะเลสาบพระจันทร์” นนท์กระซิบ
“สวยมาก ... ใสเหมือนกระจกเลย” ผมบอกนนท์อย่างตื่นเต้น
ทะเลสาบแห่งนี้สวยงามมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง
“ ทำไมถึงชื่อ “Mondsee”” ผมถามนนท์
““Mondsee” หรือ “Moonsee” … เหตุผลที่ถูกตั้งชื่อเช่นนี้
เพราะถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นเป็นแนวโค้งเหมือนเสี้ยวพระจันทร์”
นนท์อ่านจากหนังสือให้ฟัง
“สวยมาก ... อากาศก็ดี ... สดชื่น”
ผมพูดพลางสูดลมหายใจสะอาด ๆ เข้าเต็มปอด
“ถ่ายรูปหน่อยสิ” นนท์พูดยิ้ม ๆ
ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปนนท์รูปหนึ่ง
“ไม่ใช่ ... เพื่อนหมายความว่าถ่ายรูป ‘คู่กัน’ หน่อยสิ”
คนพูดก้มหน้าทำท่าเขิน
“หือ” ผมทำเสียงสูงซึ่งหมายความว่า “ว่าไงนะ”
“ก็ตั้งแต่มาที่นี่ .. เรายังไม่มีรูปคู่กันซักรูปเลยนะ”
ได้ฟังนนท์พูดก็อึ้งเล็กน้อย นนท์ก็รู้สึกเหมือนกันเหรอเนี่ยะ
“ ‘เพื่อน’ ก็รอว่าเมื่อไหร่จะได้ถ่ายรูปคู่กันเพื่อน .. ไม่มีโอกาสซักที”
ผมยิ้ม .. รู้สึกดีใจที่นนท์ก็ใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เหมือนกัน
นึกว่า .. ผมเป็นคนเดียวซะอีกที่อยากได้รูปคู่กับนนท์
นนท์ก็อยากมีรูปคู่กับผมเหมือนกัน ..
“แต่เราจะให้ใครถ่ายให้ดีล่ะ”
มองไปมองมาไม่มีใครอยู่ใกล้รัศมีเลยซักคน มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งก็อยู่ไกลมาก ๆ
สุดท้ายเหลือบไปเห็นเก้าอี้ตั้งอยู่ไม่ไกลตัวนึง ...
เลยเอากล้อง ... วางบนเป้เพื่อหนุนให้กล้องสูงขึ้น
... ได้มุมที่สวยแล้ว ...
นนท์กดปุ่มให้ถ่ายภาพอัตโนมัติ แล้ววิ่งมายืนติดกับผม
กว่ากล้องจะถ่ายก็ยิ้มรอหลายวินาที ...
แต่บังเอิญ ... ที่ริมทะเลสาบลมแรงมาก ...
ตอนที่กล้องกระพริบจะถ่าย ... ลมพัดมาแรงมากจนกล้องขยับหันไปอีกด้าน
“เอ้ย ... ” นนท์ตะโกนพร้อมกับกระโดดไปหากล้อง (กลัวกล้องตก)
นนท์คว้ากล้องทัน ... แต่ช้ากว่าความเร็วชัตเตอร์
ภาพคู่ภาพแรกของผมกับนนท์ก็เลยเห็นแค่ ...
... ครึ่งตัวของผมอ้าปากกว้างเพราะตกใจที่ลมพัดกล้องขยับ
และมือของนนท์ที่เอื้อมจะไปหยิบกล้อง ...
“ห้ามลบรูปนี้นะ ... ตลกดี” นนท์ยิ้มขำกับรูปคู่รูปแรกของเรา
“ไม่ลบหรอก ... จะได้จำได้ไง …” ผมพูดขำ ๆ เพราะยังรู้สึกตลก
กับโมเม้นท์ที่กล้องขยับ
“หาคนถ่ายรูปให้เราใหม่ดีกว่า” นนท์บอกพร้อมกับมองหา
ในที่สุดหลังจากพยายามยามอยู่เกือบสิบนาที
ก็ได้คุณลุงท่าทางใจดีคนหนึ่งเป็นเหยื่อ ...
ในที่สุดก็ได้รูปคู่แบบสมประกอบกับเค้าซักที ...
นนท์บอกว่า
“รูปนี้เพื่อนยิ้มน่ารักที่สุดเลย” แล้วเอื้อมมือมาจับหัวผมเขย่าเบา ๆ
“ ‘เพื่อน’ ก็เหมือนกัน .... น่ารักที่สุดเลย” ผมบอกนนท์ยิ้ม ๆ
หลังจากเดินเล่น ชื่นชมความงาม และถ่ายรูปที่ทะเลสาบพระจันทร์เรียบร้อยแล้ว
เราก็เดินไปที่โบสถ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเสียงมาก
เพราะเป็นฉากแต่งงานของพระเอกและนางเอก
ในภาพยนต์เรื่อง “THE SOUND OF MUSIC”
(อะไร อะไร ก็ “THE SOUND OF MUSIC” ต้องไปหามาดูบ้างซะแล้ว)
เราก็ออกจากเมืองแห่งทะเลสาบพระจันทร์เวลาประมาณ บ่าย 2 โมง
นั่งรถบัสกลับไปที่สถานีรถไฟที่ Salzburg เพื่อไปเยอรมัน ... Munchen
หรือ Munich นั่นเอง
จาก Salzburg ไป Munchen (Munich) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
“คงจะไปถึงที่โน่นประมาณ 3 โมงนะ” นนท์บอก ... แล้วพูดต่ออีกว่า
“เที่ยวที่ Munchen (Munich) 2 วัน .. คืนวันที่สองนั่งรถไฟไปฝรั่งเศสนะ”
ผมพยักหน้า ... ก็ต้องเป็นไปตามแผน (ของนนท์) แหละ
ก็นนท์ตามใจมาตั้ง 3 วันแล้วนี่นา
แถมวันนี้ยังพามาที่ทะเลสาบสวย ๆ อีกด้วย
ไปถึง Munchen (Munich) ก็เดินหาที่พัก ...
ที่พักวันนี้แตกต่างจาก youth hostel ที่เคยพัก
ไม่ต้องนอนรวมกับคนอื่น ๆ เพราะเป็นโรงแรม
ฝากของไว้ที่โรงแรมก่อนเพราะห้องยังไม่เรียบร้อย
แล้วพวกเราก็ออกไปเดินเล่นราว ๆ 1 ชั่วโมงหาอะไรกิน
เดินกลับมาที่โรงแรมพรอ้มไส้กรอรกแดงกับขาวอย่างละอัน
(มาเยอรมันต้องกินไส้กรอก)
แล้วก็ไก่ครึ่งตัว ...
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย ... ก็อาบน้ำ
“มานอนนี่ …” นนท์ตบที่นอนข้างตัว ...
สั่งให้นอนใกล้ ๆ แล้วเอื้อมมือมากอด
“ไม่ได้กอดเพื่อนตั้งหลายวันแล้ว ... คิดถึงจัง” แล้วก้มลงจูบแก้มเบา ๆ
ก่อนจะหลับตาลง ... และหลับสนิทในเวลาไม่นาน ...
เหมือนกันกับผม ... หัวถึงหมอนก็หลับทันที
ก็เพราะเหนื่อยจากการเดินทางเกือบทั้งวันนั่นเอง
อีกอย่างนอนที่ Youth hostel ก็นอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก
เพราะคนเยอะมีเสียงคนเดินเข้าออกจากห้อง
เสียงปิดเปิดกระเป๋า เสียงหาของกุกกัก เสียงคุยกันเบา ๆ ตลอดเวลา
ตื่นมาราว ๆ 5 โมงครึ่ง (ตอนเย็น)
ออกไปเดินเล่นถ่ายรูป …
ที่ Munchen (Munich) สถาปัตยกรรมต่าง ๆ อยู่บนถนนเส้นเดียวกันหมด
เดินเล่นดูร้านค้า ... แต่ทำได้แค่ Window shopping
เพราะเย็นมากแล้ว ร้านค้าปิดหมด ...
แต่แค่นี้เราก็ถ่ายรูปกับเยอะมาก
กว่าจะเดินเล่นและถ่ายรูปเสร็จก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว
รุ่งขึ้นออกจากโรงแรม 9 โมงเช้า
Check out และเอากระเป๋าไปฝากไว้ทีสถานีรถไฟ
เพราะวันนี้ต้องขึ้นรถไฟไปฝรั่งเศสตอนประมาณ 2 ทุ่ม
ยังมีเวลาไปดูโน่นดูนี่ได้อีกเยอะ ...
ตั้งใจว่าไปที่ถนนสายเดิมที่เดินเมื่อวาน
ถนนเส้นนั้นจะมีโบสถ์รูปหัวหอม
กับหอนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง
หอนาฬิกาจะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำน่ารักดี
นาฬิกาเป็นกลไกแบบโบราณ โดยเริ่มจากการตีระฆัง
แล้วจะมีทหารของสองเมืองมาต่อสู้กัน
โดยจะมีทหารฝั่งละประมาณ 3 คน
หลังจากต่อสู้กันแล้ว ... ดูเหมือนอีกฝ่ายจะโดนหอกแล้วก็หยุดหมุน
แล้วจะมีตุ๊กตาลักษณะเหมือนตัวตลก … ออกมาเฉลิมฉลอง
จากนั้นจะมีนกฮูกทองคำออกมาร้องสามที ... จบ
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เห็นว่านาฬิกานี่แหละ ... จุดเด่นที่สุดของเมือง
ที่นักท่องเที่ยวต้องมาชม
หลังจากนั้นก็ซื้อตั๋วขึ้นตึกสูงเพื่อชมวิวเมือง
ตอนเดินขึ้นไปเหนื่อยมาก
แต่พอเห็นวิวของเมืองทั้งเมืองแล้วหายเป็นปลิดทิ้ง
... สวยงามมาก
หลังจากลงมาจากตึกสูง ..
เราก็แวะทานไอศกรีม ... กินไส้กรอก
(มาเยอรมันต้องกิน ... ขาหมูกับไส้กรอก)
จนได้เวลาขึ้นรถไฟไปปารีส ฝรั่งเศส