มาส่งแล้วค่ะ สำหรับตอนนี้ไม่พูดอะไรมาก
เขิน.........
ไปอ่านกันเล้ยยยยยยยยยยยยยย
....................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: Melhor do que bombom
“ปาราเบงส์ อิส.....เราดีใจที่เห็นอิสมีความสุข”
............................................
ผมไม่แปลกใจเลยที่แม้จะอยู่บนหาดทรายริมทะเลสีหม่น แต่ตัวเองกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวสักนิด
จะว่าผมน้ำเน่าก็คงไม่ผิดหรอก เพราะผมกำลังจะบอกอย่างนั้นจริงๆ.....
ที่ไม่รู้สึกหนาว ก็เพราะไอ้ต้นกำเนิดความอบอุ่นมันอยู่กับผมตรงนี้
นั่งเหยียดขาเท้าสองแขนไปข้างหลังท่าเดียวกับผม ห่างออกไปในระยะแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น
ใกล้จนเริ่มรู้สึกขัดใจว่าทำไมมันยังต้องปล่อยให้ไอ้ระยะหนึ่งฝ่ามือนั่นยังมีอยู่....
ไอ้บ้าเอดู ทำไมไม่เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดเล่าผมเหลือบตาไปรอบๆ แล้วก็ต้องคิดว่านี่มันแทบจะเป็นหาดร้างเลยนะ มนุษย์แปลกหน้าที่อยู่ใกล้เราสองคนที่สุดก็อยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตร
ถึงกับมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นยังไง
ผมก็เลย......ตัดสินใจได้ว่า ในเมื่อไอ้คนให้ของขวัญมันจงใจรักษาระยะห่างหนึ่งฝ่ามือนี่ไว้อย่างเหนียวแน่นนัก งั้นผมก็จะเป็นฝ่ายทำลายมันซะเอง
แต่จะให้อยู่ดีๆก็โผเข้าใส่มันแบบคราวก่อนเดี๋ยวมันจะยิ่งเสียภาพไปกันใหญ่
ผมเลยค่อยๆขยับตัวเองทีละนิด เนียนยื่นมือไปหยิบช๊อคโกแลตสอดไส้คาราเมลของโปรดจากในตะกร้ามาแกะห่อใส่ปาก
แล้วก็เนียนต่อโดยอาศัยที่มือไม่ว่างไม่มีอะไรช่วยรับน้ำหนักเลยต้องเอาหัวไปวางแหมะไว้ตรงต้นแขนของมัน เห็นมั้ยครับ.....ดูดีมีเหตุผลจะตาย
ผมไม่ได้ตั้งใจจะอ่อยมันนะ ก็แค่ฉวยโอกาสหาประโยชน์ใส่ตัวโดยใช้ข้ออ้างสังขารพิการชั่วคราวให้เป็นประโยชน์นิดๆหน่อยๆ มือที่เท้าพื้นไว้ในตอนแรกช่วยรับน้ำหนักตัวเองก็ไม่ต้องเท้ามันแล้ว ทิ้งน้ำหนักลงพิงไอ้ต้นกำเนิดความอุ่นเนี่ยแหละ....สบายดี
พอผมวางหัวแหมะปุ๊บก็รู้สึกว่าเอดูมันเกร็งขึ้นมาทั้งตัว เกร็งเสียจนผมเกร็งตาม ไม่กล้าขยับตัว แถมยังพยายามหายใจให้เบาที่สุดอีกด้วยสิ
กลัวครับ.....กลัวว่ามันจะเลื่อนตัวหนีเป็นบ้าเลย
ผ่านไปเกือบนาทีได้มั้งก็รู้สึกว่าไอ้คนข้างๆมันค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด พร้อมๆกับที่กล้ามเนื้อที่ผมสัมผัสได้ก็ผ่อนคลายลงตาม เอดูมันเปลี่ยนจากนั่งเหยียดขาเป็นชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง แล้วอ้อมมือมาโอบไหล่ผมไว้ ผมก็เลยไถๆหัวฟูๆแต่ไม่เน่าเข้ากับไหล่มันสองสามที
ก็คงอารมณ์อยากอ้อนมันมั้งครับ หัวมันไปเองน่ะ ผมห้ามตัวเองไม่ทัน แถมพอถึงเวลานั้น ไอ้ความคิดที่จะรักษาภาพมันหายหลุดจากสมองน้อยๆลงทะเลไปหมดแล้วด้วยสิ รับรู้ว่าไอ้คนตัวโตข้างๆมันก้มหน้ามาแตะปากซ้ำๆอยู่ตรงขมับ ก็ปล่อยให้มันทำไปตามใจ ไม่ห้ามปรามอะไรสักนิด
“อิส”
แหม......เวลาผู้ชายตัวโตๆทำเสียงอ่อนเสียงหวานผมเคยคิดนะว่ามันน่าถีบ แต่กับคนคนนี้ ตอนนี้.......เอ่อ ผมว่ามันน่ารักครับ
“หืม?”
“หนาวมั้ย?”
เออเนอะคนเรา เสื้อผ้าผมมันก็เป็นคนเลือกให้ใส่ เลือกให้พอกตัวซะหนาขนาดนี้เองแท้ๆ แถมไอ้ตัวทำความร้อนมันยังโอบไว้แน่นขนาดนี้ หนาวก็แปลกแล้ว
“หึ......ไม่หนาวเลย” ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ที่จะขยับตัวซุกเข้าหามันอีกน่ะ มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ แหะๆ
“อิส.......” เอาอีกแล้วครับ คนกำลังปล่อยอารมณ์ฟังเสียงคลื่นเสียงลม มันเรียกอีกแล้ว นี่ถ้าเรียกให้ช่วยหารค่าน้ำมันล่ะมีเฮ
“หืม?”
“.....................” อ้าว ไอ้บ้านี่เรียกแล้วเงียบ มันเงียบนานครับ เงียบจนผมต้องยอมถอยตัวออกมานิดจะได้เงยขึ้นมองหน้ามันได้ถนัดๆ
แล้วผมก็พบความจริงว่าไม่น่าเลยครับ ซุกหัวซุกตัวกับอ้อมแขนอุ่นๆต่อไปก็ปลอดภัยดีแล้วแท้ๆ พอเงยหน้ามามองสบตากับมันแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนจู่ๆจังหวะการเต้นของหัวใจมันแปลกๆ
แทนที่จะเรื่อยๆสบายๆแบบดนตรีบอสสาโนวาให้สมกับที่นั่งกันอยู่ริมทะเล ก็กลับเปลี่ยนเป็นกลองซัมบ้าระรัวจนอยากจะชวนไอ้คนเรียกแล้วเงียบมันลุกขึ้นเต้นซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่ได้ครับ วิธีบรรเทาอาการหัวใจเต้นแรงแบบนั้นไม่เหมาะ เพราะสภาพร่างกายไม่อำนวย
“อิส......”
“ฮะ อะ.....อะไร”
“.................”
“................เอดู.................อือ.........”
ผม.......ไม่กล้าเงยหน้าแล้วครับ จะจำเอาไว้เลยว่าต่อไปนี้ ถ้ากำลังซุกตัวซุกหัวกับไอ้ตัวทำความร้อนนี่อยู่ ต่อให้มันเรียกเสียงอ่อนเสียงหวานแค่ไหน ผมจะไม่ยอมเงยหน้าสบตามันอีกแน่นอน
เมื่อกี้......เอดูมันล่อลวงผมครับ มันส่งสายตาวิบวับขั้นสุดยอดมาทำให้ผมเบลอ พอเห็นผมเบลอได้ที่เพราะมัวโฟกัสอยู่ที่ลูกกะตาของมัน มันก็แตะปากลงมาบนปากผมเร็วๆหนึ่งครั้ง เร็วเหมือนเวลาเราจกขนมใต้ลิ้นชักใส่ปากตอนอาจารย์ที่บรรยายอยู่หน้าห้องกำลังเผลอ แล้วก็ถอยออกไปส่งสายตาวับๆ ทิ้งระยะให้ผมอ้าปากแล้วก็หุบ แล้วก็อ้าแล้วก็หุบนับได้สองรอบเพราะผมเกิดอาการหาเสียงตัวเองไม่เจอ
แล้วระหว่างที่ผมยังตัดสินใจเลือกไม่ถูกระหว่างจะอ้าหรือจะหุบดี มันก็เลือกให้ผมเรียบร้อยโดยการกดปากลงมาอีกรอบ แตะย้ำๆซ้ำๆ หนักบ้างเบาบ้าง จนผมเดาทางไม่ถูก.....อันที่จริงจะบอกว่าหัวสมองที่น้อยอยู่แล้วมันโล่งไปเลยจะตรงกว่า ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง แล้วก็รู้ตัวเลยล่ะว่าต่อให้รู้ว่าควรต้องทำยังไงก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอย่างที่คิดอยู่ดี
ผมไม่รู้ว่าตัวเองปิดเปลือกตาลงตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ว่ามือที่ประคองอยู่ตรงท้ายทอยเลื่อนมากดให้ซบลงกับซอกคอของไอ้ตัวที่มาทำจิตใจผมกระเจิดกระเจิงแล้ว แถมไอ้ตัวทำความร้อนมันยังขยันทำความร้อนเพิ่มเฉพาะที่หน้าผมจนปรอทแทบแตก ก็ไอ้บ้านี่มันยังไม่เลิกก้มหน้ามาเล็มๆไล้ๆแถมด้วยหายใจอยู่แถวขมับผมเลยนี่ครับ
ไอ้บ้า ไอ้หน้าด้าน ไอ้ตัวทำความร้อนเกินความต้องการ......ไอ้.....ไอ้ตัวสะกดจิต!!
“Melhor do que bombom….”หงะ.......เดี๋ยวนะ ไอ้เอดูมันว่าไงนะ เมลยอร์ โด เค บงบง........ดีกว่าช๊อคโกแลต หวานกว่าของหวานสินะ
โอย ตายๆๆ นี่ถ้าผมแกล้งตายไปตอนนี้เลยมันจะเนียนมั้ยครับ?
แล้วไอ้ตัวพูดไม่คิดถึงความร้อนจนปรอทแทบแตกของคนฟังมันจะเชื่อมั้ยครับ?
“Delicioso”
ยังครับ มันยังคงเพิ่มระดับความร้อนบนใบหน้าผมอย่างต่อเนื่อง อร่อย.......พูดมาได้นะ เออสิ ก็ช๊อคโกแลตไส้คาราเมล เพิ่งกลืนลงคอไปได้ไม่นานเองนี่หว่า
ไม่ไหวแล้วครับ ขืนปล่อยให้เอดูมันพูดอะไรมากไปกว่านี้ผมคงหัวระเบิดตายจริงๆ ไม่ต้องรอแกล้งตายเลยแน่ๆ
“Áqua”
ใช่ครับ ถึงทางออกจะโง่ไปนิด แต่ตอนนี้ผมคิดออกแค่นี้แหละ
“หึๆๆ หิวน้ำเหรอ เราว่าเราก็ป้อนไปตั้งเยอะนี่”
ดูมันสิครับ ดูความร้ายกาจของมัน นี่แหละครับตัวจริงของมันล่ะ ไอ้ภาพลักษณ์ช่างดูแลเอาใจใส่ ช่างเอาอกเอาใจนั่นก็แค่เปลือกครับ
เนื้อแท้ของผู้ชายตัวโตชื่อเอดูวาร์โด้คือคนกวนตีนอันดับหนึ่งในซาน โฮเซ่ ต่างหาก
ผมเลยย้ำว่าหิวน้ำด้วยการหยิกพุงมันไปหนึ่งที มันถึงขยับตัวนิดๆเอื้อมไปหยิบขวดน้ำมาเขี่ยๆให้แถวข้างแก้ม
คือ.....จนป่านนี้ผมก็ยังไม่กล้าเงยหน้าเลยครับ อายมันอ้ะ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี
คิดไปคิดมาผมจะหนีด้วยการซุกหน้าอยู่กับซอกคอมันต่อไปคงไม่ได้ เลยปรับสีหน้าตัวเองกะว่านิ่งที่สุดแล้วถึงค่อยๆแกะตัวเองออกมา
คว้าขวดน้ำมาเปิดแล้วก็จิบไปเรื่อย กะว่าจะจิบให้นานที่สุด เอาจนน้ำหมดขวดมันเสียเลยจะได้ไม่ต้องพูด
แต่......ไอ้บ้าข้างตัวที่ยังไม่ยอมปล่อยผมจากอ้อมแขนมันหัวเราะครับ
“หึๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“Não rir!!” ต้องออกคำสั่งหน่อยครับ ห้ามขำมันเลย ไม่ใช่ว่าเพราะเขินนะครับ ก็ดูมันสิ ตอนแรกก็ขำเบาๆอยู่หรอก ไปๆมาๆขำซะจนตัวสั่นไปหมด
ผมกำลังจิบน้ำนะครับ พอไอ้ตัวทำความร้อนมันสั่น ผมจะจิบอย่างปลอดภัยได้ยังไง เดี๋ยวได้มีสำลักกันบ้างหรอก
ไอ้เอดูมันก็เชื่องครับ ส่งเสียงกึกๆกักๆในลำคออีกนิดหน่อย แล้วก็หยุดขำได้ตามคำสั่ง แถมทำนอกเหนือคำสั่งด้วยการเพิ่มแรงแขนรัดผมจนแน่น
ผมที่เผลอลืมความตั้งใจของตัวเอง ว่าถ้าอยู่ใกล้มันแบบไม่มีระยะห่างจะไม่ยอมสบตากับมันอีก เลยหันหน้าไปหามันกะจะด่าเสียหน่อย
เจอไอ้คนหยุดหัวเราะแต่กลับส่งสายตา ‘เมลยอร์ โด เค บงบง’ มาให้ เลยพาลเลิกหิวน้ำกันดื้อๆ
การไปรับของขวัญวันเกิดวันนั้นจึงจบลงที่คนให้ของขวัญมันยอมตามใจ หนีบผมไปเอาขาหน้าและขาหลังข้างซ้ายแตะๆน้ำทะเลให้สมใจอยากสี่ห้าจุ่ม
กลับมานั่งเกยกันพอให้อุ่นรอดูพระอาทิตย์ตกทะเลเอาบรรยากาศอีกนิด
แล้วผมถึงนึกขึ้นได้ว่า.....ต่อให้เอดูมันเป็นคนขับตีนผี ก็ไม่มีทางกลับไปนอนบ้านทันแน่นอน
แล้ว....เราจะไปซุกหัวนอนกันตรงไหนครับ?
แต่ในเมื่อมันไม่บอก ผมก็ไม่ถาม....
ไม่ใช่อะไรครับ เดี๋ยวมันจับได้ว่าผมกลัวก็เสียภาพแย่สิ แค่นี้ก็แทบไม่เหลือภาพพจน์ดีงามสมเป็นชายไทยให้รักษาแล้ว
เอดูมันจัดการให้ผมลุกขึ้นยืน เก็บข้าวของตามประสาคุณแม่บ้านที่ดีใส่ตะกร้ากับเป้สะพายหลัง แล้วก็เดินกลับไปที่รถตอนที่แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ยังจับอยู่ที่ขอบฟ้า วางข้าวของไว้เบาะหลังแล้วรอจนผมขึ้นนั่งประจำที่รัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วมันก็ขับรถกลับทางเก่า
ไอ้ผมก็ชักจะลุ้นว่ามันจะพากลับบ้านเลยรวดเดียวจริงเรอะ ถึงบ้านเที่ยงคืนเนี่ยนะ
เอดูมันคงเห็นเครื่องหมายปรัศนีย์ตัวโตเท่าบ้านแปะอยู่กลางหน้าผากผมแหละครับ มันเลยบอกว่าต้องขับกลับไปเท่าที่ไหว เอาให้ใกล้คัมปินัส เพราะบอกปะไป๊ของผมไว้ว่าจะพามาเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้กับเพื่อนอีกหลายคนที่คัมปินัส แล้วอาจจะค้างเลย
ปะไป๊สั่งมันไว้ว่ายังไงวันรุ่งขึ้นก็รีบพาผมไปส่งบ้านเร็วๆด้วย.....ฟังมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มคิดว่าปะไป๊คงเป็นห่วงสวัสดิภาพผมอยู่ไม่น้อย แต่ที่ไว้ใจเอดูก็คงเพราะมันเสนอหน้าไปให้ที่บ้านผมเห็นหน้าบ่อยๆนั่นแหละ
ขากลับผมนั่งได้มารยาทงามตามคำอนุญาตของไอ้คนพาเที่ยวด้วยการเลื่อนเบาะไปด้านหลังจนสุด แล้วไถลตัวเอนเกือบนอนยกขาติดเฝือกพาดแหมะไปกับคอนโซลหน้ารถ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ นั่งห้อยขานานๆรู้สึกนิ้วเท้าที่ลอดจากเฝือกมาตากอากาศมันจะหน้าตาเหมือนไส้กรอกเข้าทุกที
ในที่สุดเอดูมันก็เลี้ยวรถเข้าโมเต็ลริมทางครับ
เอ่อ.....นี่เอดูมันจะช่วงชิงความเป็นเพื่อนในทุกประสบการณ์ครั้งแรกของผมไปหมดเลยใช่มั้ยครับ มันกะเก็บแต้มใช่มั้ย?
กอดแรก นั่งตักแรก หอมแก้มแรก อ่า......ชิมปากคนแรก แล้วนี่ยังการนอนในโมเต็ลเป็นครั้งแรกอีก
มันขับรถเข้าไปจอด จัดการจ่ายค่าที่พักโน่นนี่อะไรไม่รู้ที่เคาน์เตอร์ระหว่างให้ผมนั่งรออยู่ในรถ โมเต็ลนี้เป็นโมเต็ลริมทางเล็กๆครับ ลักษณะเหมือนบ้านใหญ่ๆชั้นเดียว ผมเห็นรถคันอื่นจอดอยู่อีกแค่สองคันเท่านั้นเอง นี่ถ้าไม่มีป้ายไฟเขียนไว้ก็คงขับรถผ่านไปเฉยๆโดยไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของสถานที่นี้เลยด้วยซ้ำ
เอดูมันจัดการอะไรเรียบร้อยก็มาพาผมเดินตามหลังคุณพนักงานที่คาดว่าคงมีอยู่คนเดียวนั่นแหละไปเปิดห้องครับ ผมก็เห็นนะว่าคุณพนักงานแกมองผมสลับกับไอ้คนจูงไปมา สงสัยเห็นหน้าตาแปลกมั้งครับ ฮ่าๆๆๆ
อืม.....ห้องในโมเต็ล มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
พอเปิดประตูเข้าไปคุณพนักงานก็จัดการเปิดไฟแล้วก็ส่งยิ้มให้ผมกะเอดูคนละทีก่อนจะเดินออกไปครับ ทิ้งผมไว้กับห้องสี่เหลี่ยมผนังสีชมพูอ่อนกับเพดานสีขาวที่......เหมือนสีจะหมดกระป๋องก่อนเลยทาไม่เสร็จ กับเตียงคู่ไม่ใหญ่นักที่หัวเตียงชิดริมด้านในของห้อง กับผ้าปูที่นอนสีขาว หมอนสีขาว มีผ้าห่มสีขาวเหน็บชายไว้เรียบร้อย แล้วก็.......ผู้ชายอีกคนที่หอบหิ้วกันมาผจญภัยในโมเต็ล
แค่นั้นจริงๆครับ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีตู้เย็น เอ่อ....มีตู้เสื้อผ้าไม้สีเข้มหน้าตาตลกอยู่อีกตู้ กับประตูสีขาวอีกบานที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงจะเป็นห้องน้ำแน่นอน
“ขอโทษนะ เงินเหลือพอให้นอนแค่ที่แบบนี้”
นี่มันคงคิดว่าไอ้ท่ากราดสายตามองไปทั่วห้องของผมเป็นสายตาแสดงความไม่พอใจแหงเลยนะครับ ใครว่าไม่พอใจเล่า ผมแค่กำลังเปิดตารับประสบการณ์การเข้าโมเต็ลริมถนนบ้านนอกบราซิลต่างหาก
อีกอย่าง ผมว่าสวัสดิภาพของบางสิ่งมันน่าเป็นห่วงมากกว่าชนิดห้องพักเยอะนะครับเวลาแบบนี้เนี่ย
“เอดู” ผมลากตัวเองไปนั่งที่ปลายเตียงโดยดึงมือมันมาด้วย
“ที่แบบไหน นายนอนได้ เราก็นอนได้ทั้งนั้นแหละ.....ถ้าหากเราจะนอนไม่ได้ ก็ไม่ใช่เพราะที่นอนถูกหรือแพง....”
“......?......”
“เราสองคนจะนอนเตียงเดียวกันโดยที่เช้าตื่นขึ้นมาแล้วเราจะยังเหมือนเดิมใช่มั้ย?”
“.....Com certeza, confie em mim.”ก็เท่านั้นแหละครับ แค่มันตกปากรับคำว่า แน่นอน ให้ผมเชื่อใจมัน แค่นั้นสำหรับผมก็พอจะให้นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกับมันได้สนิทใจแล้ว
ผมถือสิทธิ์เจ้าของวันเกิดใช้ห้องน้ำก่อน อาบน้ำเร็วๆลวกๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอีกชุดที่ไอ้คนพามามันเตรียมให้ แล้วก็ขึ้นไปยึดเตียงซีกขวา พยายามนอนชิดขอบเตียงที่สุดแล้วก็ทำท่าหลับสนิทให้สมจริงก่อนอีกคนที่คืนนี้ต้องใช้เตียงร่วมกันจะทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วออกมาจากห้องน้ำ
จัดท่าตัวเองได้สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู แล้วสักพักก็รู้สึกว่าชายผ้าห่มอีกด้านถูกขยับ แล้วเตียงที่ไม่ได้หนานักก็ยวบลงพร้อมเสียงลั่นเอี๊ยดเบาๆ
ผมไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองเกร็ง จนกระทั่งรู้สึกว่ามีมือมาดึงให้หัวไปวางอยู่ตรงซอกไหล่ พร้อมกับเสียงทุ้มๆนุ่มๆพร้อมลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดอยู่แถวใบหู ดังกว่ากระซิบนิดเดียว
“Boa noite, meu bem.”
บัวอา นอยทิ เมว เบง........ราตรีสวัสดิ์ คนดีของผม
ผมขยับหามุมสบายอีกนิด ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ให้คนดีที่สุดของผมกลับไปบ้าง
“Boa noite, Edu….”
………………………………..
……………………………….. ..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.เขินจริงอะไรจริง เขินจนเขียนนานเวอร์เลยทีเดียว