ตอนที่ 13
Part 2
เข้าวันที่สามแล้วที่ผมหนีหน้าไอ้ปอทั้งๆ ที่ยังไม่เลิกกัน ผมก็มาเรียนตามปกติ แต่เลือกที่จะไปในที่ที่มันคิดว่าจะไม่ไป เลือกที่จะหลบหน้าเพื่อนๆ ของมันด้วย
เสียงของเพื่อนๆ พูดคุยกันและตะโกนโหวกเหวกโวยวายตามทางเดินยามออกมาจากโรงเรียนเป็นแบบนี้ทุกวัน ผมเดินเอื่อยๆ มาหยุดยืนอยู่หน้าป้ายรถเมล์ ทำไมถึงไม่รู้สึกชินกับการมายืนรอรถกับคนอื่นแบบนี้นะ ทั้งๆ ก็ไม่ได้ขึ้นมาแค่ไม่กี่วัน ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
ผมคงต้องพยายามทำใจให้ชินซะแล้ว เดี๋ยวก็กลับมาขึ้นรถเมล์เหมือนเดิมแล้ว อีกไม่กี่วัน ไม่ถึงอาทิตย์แล้วนี่ ผมกับปอกำลังจะจบกัน
รถคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าแทนรถเมล์ พวกเรามองกันงงๆ กระทั่งมันเปิดกระจกแสดงให้เห็นว่าเป็นใครที่กล้ามาจอดที่ที่รถเมล์จอดได้ ผมมองมันด้วยความสงสัยพร้อมกับดวงตาคมๆ ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้นมองมายังผมเช่นกัน
“ขึ้นมา” มันว่า ผมชี้หน้าตัวเองย้อนถาม “เออ มึงนั่นแหละไอ้ภีม!”
เรียกขนาดนี่คงใช่กูแล้วแหละ
ผมถอนใจเดินขึ้นไปบนรถท่ามกลางสายตาคนทั้งโรงเรียน นี่แม่งจะเอากูไปนินทาว่าร้ายรึเปล่าก็ไม่รู้ ผมถอนใจมองคนขับว่ามันต้องการอะไร
“พาผมไปส่งที่บ้าน ผมไม่ไปโรงแรม” ผมว่าเมื่อมันพาไปยังแยกไฟแดงที่มันเป็นแยกระหว่างบ้านผมกับโรงแรมว่าไปคนละทาง พลางชี้นิ้วไปอีกฝั่ง
กูไม่อยากเจอไอ้ปอ
มันเปิดไฟเลี้ยวตามที่ผมบอก ร่างกายมันสวมชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัด ชั้นปีที่สอง รุ่นเดียวกับไอ้ปอ ก็เพื่อนกลุ่มเดียวกันแค่ไม่ได้เรียนที่เดียวกันเท่านั้น
“พี่ธามรู้เรื่องพี่ไหม?” ผมว่าผ่านความเงียบ
“ไปคุยที่บ้านมึง”
“ไม่เอา คุยบนรถ ที่บ้านพ่อกับแม่อยู่”
ผมปฏิเสธ ในหัวก็คิดว้าวุ่นในใจว่ามันจะเอาอะไรกันแน่ สีหน้าโคตรเครียด แล้วทำไมผมต้องร้อนรน ก็เพราะกลัวว่ามันจะเข้าใจผิดเหมือนไอ้ต้นไง โยนความผิดมาให้ผมทั้งๆ ที่ความจริงน่ะออกมาจากปากไอ้ปอ
“มันไม่โกรธกู มันโกรธไอ้ต้น!” ผมนิ่งมองคนขับ
“ก็มันความผิดไอ้ต้นนี่พี่พี ถึงพี่จะเป็นคนเข้าหามันก่อนแต่มันไม่ควรตอบรับพี่”
“กูจะเอามันแต่มันไม่ยอม มันรักไอ้ธาม! วันนั้นกูบังคับมันแล้วมันก็สู้แรงกูไม่ไหวมึงเข้าใจไหม!?”
ผมอ้าปากค้างมองมันที่ว่า นี่หมายความว่า เป็นไอ้ปอคนเดียวที่ได้ซิงไอ้ต้นไปจากการยินยอมสินะ ทำไมต้นมันยอมไอ้ปอวะ ผมได้แต่สงสัยกับตัวเองใบหน้าเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ
แต่คิดไปคิดมาแล้ว เวลาผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มาได้ยินคำหวานๆ เว้าวอนของไอ้ปอ ใจผมก็กระเจิงไปไหนต่อไหน แทบจะยอมให้มันทำง่ายๆ เหมือนกันแฮะ
หรือต้นมันเองก็หลงไปกับความปากหวานออดอ้อนของไอ้ปอนะ แถมแม่งก็ประสบการณ์เยอะ ปอมันอาจมีวิธีที่ทำให้ไอ้ต้นมีความสุขก็ได้ ปอมันคงจะเก่ง เพราะตอนที่ผมเห็นมันสองคน ต้นมันไม่ทำหน้าเหมือนเจ็บเลยนี่นะ
รายกาจ ไอ้นี่มันร้ายกาจ
“ทุกอย่างเป็นความมผิดมึง ถ้ามึงไม่ไปบอกไอ้ธามมันก็จะไม่เกิด จนกว่าไอ้ธามมันจะเห็นค่าในตัวไอ้ต้น แต่มึงมาเสือกไงภีม”
กูว่าแล้วไงงานต้องเข้ากู
“ผมไม่เกี่ยวนะเว้ย”
“มึงน่ะตัวดี ถ้ามึงไม่บอกเรื่องกูกับไอ้ต้นแล้วหมาที่ไหนมันบอก”
หมาในปากไอ้ปอไง ผมล่ะอยากจะตะโกนใส่หน้ามันแบบนี้จริงๆ แต่ไม่อยากจะเป็นต้นเหตุให้มันกับพี่พีต้องทะเลาะกัน แล้วผมเป็นบ้าอะไรวะ ทำไมต้องแคร์ชีวิตมันขนาดนั้นด้วย
“แล้วแต่จะคิดก็แล้วกันถ้าไม่ยอมเชื่อที่ผมบอก”
“เออ แล้วมึงกับกูจะได้เห็นดีกัน มึงเห็นไหมไอ้ต้นมันเสียใจขนาดไหนที่ไอ้ธามไม่ยอมง้อมัน”
“พี่เองก็ผิด ไปตามเซ้าซี้บังคับเขาทำไม!?”
“เออ เพราะกูชอบไอต้นไง”
ชิบหายละ!
ผมหันไปมองหน้ามันที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดมองทางต่อหน้า คนอย่างมึงรักคนเป็นด้วยเหรอ นี่มันอะไรอีกกันวะเนี่ย
“มึงจะให้กูอดทนตอนที่ต้นมันอ่อนแอเพราะไอ้ธามเหรอ กูแค่คิดว่าอยากจะช่วยมัน อยากปลดปล่อยมัน แต่มึงก็ดันเอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้ธาม มึงเป็นอะไรไปวะภีม”
“ผมเปล่า พี่เลิกคิดว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วมันถูกซักทีเถอะ พี่เป็นเพื่อนพี่ธามไม่ควรไปบังคับมันแบบนั้น! ถ้ามันไปทำกับคนอื่นค่อยว่ากันอีกที”
มันหันมามองหน้า “ไอ้ภีม มึงอย่าปากหมา”
“จริงๆ ผมว่าจะไม่พูดแล้วนะแต่พี่ไม่ได้เรียนอยู่ที่เดียวกันกับมัน พี่คิดได้ไงว่ามันยอมพี่คนเดียว”
“มึงหุบปาก!”
ผมกลั้นสิ่งที่ต้องการว่าทันทีเมื่อรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป แต่ผมไม่อยากทนถูกกล่าวหาโดยที่ไร้การตอบโต้ออกไปแบบนี้ จะบอกว่ารักไอ้ต้นแต่ก็ยังเห็นแก่ตัวเอาความผิดมาโยนให้ ไม่ยอมรับว่ามันผิดจริงๆ
“กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ภีม มึงเป็นเมียไอ้ปอได้ไงวะ เชี่ยเอ๊ย!”
ผมหันไปมองมันสบถหน้าถมึงทึง “เพราะพี่มันไม่รู้เรื่อง คิดแก้ไขปัญหาแบบเด็กๆ ไง”
“มึงหุบปาก!”
มันหันมามองหน้าผม เบรกรถกะทันหันแล้วเดินลงมากระชากตัวผมออกจากรถ ร่างของมันโน้มตัวลงไปหยิบหนังสือที่ผมถือติดมือมาโยนให้ รวมทั้งกระเป๋าเหวี่ยงมาใส่หน้า ผมยกมือป้องใบหน้าและหัวก่อนจะก้มลงมองสิ่งของของตัวเองนิ่งใจหายกับความเจ้าอารมณ์ของมันที่หันมาจ้องตาด้วยความเคียดแค้น
“แล้วมึงจะได้เห็นดีกับกู!”
เสียงปิดประตูรถดังปังพร้อมกับเคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว
ผมกลืนน้ำลายเก็บของมาถือไว้ มองทางรอบตัวที่เป็นป่ารก ใจสั่นอย่างตั้งตัวไม่ติด ตรงนี้มีรถวิ่งเข้าออกเพราะเป็นเส้นทางใหญ่ แต่ใจของผมหวิวเมื่อร่างกายตัวเองยืนโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง กลัวโจร กลัวคนโรคจิต ผมจะทำยังไงดี ผมจะไปต่อยังไงดี
ดวงตามองหาแท็กซี่ทว่าไม่มีเลย ผมยืนกอดกระเป๋าตัวเองนิ่งด้วยความใจหายกับสิ่งที่ต้องเจอและไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไง รอรถเมล์วิ่งผ่านก็ยังไม่เห็นมาเพราะมาตามเวลา มือยกกุมหน้า มันสั่นระริกด้วยความกลัวผมรู้ดี
ในช่วงเวลาหนึ่งของความคิด ผมนึกถึงภาพใครสักคนลอยขึ้นมา ใจมันสั่นไหวและร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปเสียเฉยๆ ผมคิดถึงมัน ผมอยากถูกมันปลอบโยนใจจะขาด
มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กดไล่หาเบอร์บนโทรศัพท์ บ้าชิบหาย! มือผมสั่นจนแทบจะควบคุมไม่ได้
ปอ…
ผมมองเบอร์มันนิ่ง มองรูปตอนมันยิ้มส่งมาให้
ผมต้องการปอ!
ก่อนจะยกมือขึ้นเอามาแนบกับหูฟังเสียงรอสาย มันดังอยู่นานสองนาน ผมกดโทรซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายสะดุ้งกับเสียงแตรใครบางคนบีบแซว รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ
รับสิปอ รับสายสิ
น้ำตาผมไหล ร่างกายทรุดตัวนั่งยองๆ ไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนต่อ มองเงาตัวเองที่ถูกแดดอาบไปทั้งร่าง เจ็บปวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผมรอมัน ผมหวังว่ามันจะรีบกดรับสาย แต่ไม่เลย มันเป็นสิบสายที่ผมโทรไป
ผมฟังเสียงรอสายครั้งแล้วครั้งเล่าและคิดว่าสายนี้เป็นสายสุดท้าย ผมจะเดินกลับไปบ้านเองแบบนี้ ทว่ามีเสียงคนกดรับสาย ใจผมหายและกลั้นสะอื้นรีบกรอกเสียงลงไปทันที
“ปอ…มารับกูที”
มันฟังเสียงของผม ภายในสายเงียบ
“พี่ปอ ฮึก…”
หลังมือผมเช็ดน้ำตา ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้เรียกร้องความสนใจมัน แต่มันไม่ตอบผมเลย ผมหลุดสะอื้นและไม่เข้าใจว่าทำไมมันนิ่งกับผม มันเงียบกับผมและไม่ตอบสนองอย่างเคย เฉยชากับผมทำไม
ผมเคยทำแบบนี้กับมันและเข้าใจเลยว่าแม่งโคตรเจ็บ
“ฮึก…ปอ มารับกูหน่อย กูกลัว…”
ผมก้มหน้าลงพื้น ไม่ชอบแบบนี้เลย ไม่สนุกเลย
“พี่กำลังออกไป ไอ้พีมันโทรมาบอกแล้ว”
ผมนิ่งฟังเสียงมัน ใจชื้นขึ้นมา เงียบฟังเสียงจากสายของมันที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียงอากาศหลังจากมันตอบกลับมา คาดว่ามันจะวางทิ้งไว้ที่เดิมและไม่ได้กดวาง ผมก้มหน้าลงมองพื้น ฟังเสียงรถคันแล้วคันเล่าแล่นผ่านด้วยใจที่โหวงเหวง
ที่มากกว่าการมารับคือเสียงของมัน ผมอยากได้ยินเสียงของมัน
“ฮึก!”
เสียงรถที่ผมคุ้นชินแล่นเข้ามาจอดตรงหน้า เสียงปิดประตูและร่างของเจ้าของเดินลงมา กลิ่นน้ำมันเครื่องผสมกลิ่นน้ำหอมโชยมายังผมที่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงนี้
“ภีม…”
ร่างผมกำลังนั่งยองๆ กอดกระเป๋าตัวเองแบบนี้เมื่อได้ยินเสียง ใบหน้าฟุบลงบนกระเป๋าไม่มองหน้ามัน ในที่สุดมันก็มา ในที่สุดพี่ปอก็มา
ผมกลัวแทบตาย!
“ภีม ไม่เป็นไรนะ”
“มึงแม่งใจร้าย! ไอ้เหี้ยปอ!” ผมว่าอย่างสุดทน เงยใบหน้าขึ้นไปต่อว่ามันมือก็ทุบตัวมันระรัวให้สาสมกับความกลัวในใจตอนนี้ เสียงมันดังตุบตับพร้อมกับมือของมันที่พยายามจับแขนผมไว้
“มึงมันไม่เคยสงสารกู! โคตรเหี้ยเลยพี่ปอ! ไอ้สัด ไอ้เลว แกล้งกูสนุกไหม ฮึก!?”
“กูขอโทษ”
“ทำไมไม่ไม่พูดอะไรเลย มึงก็รู้ว่ากูกลัว มึงก็น่าจะบอกกูให้กูสบายใจ พูดกับกู…”
มือผมทุบมันระรัวด้วยความเอาแต่ใจ ผมรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองงี่เง่า พยายามเรียกร้องให้มันสนใจมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่เริ่มเดิมทีที่ไม่เคยรู้สึกกับมัน เริ่มก่อตัวและมากขึ้นเรื่อย ต่างกันกับมันที่ให้ผมเต็มร้อยและลดลงสวนทางกัน มันลดลงไปจนไม่เหลือในที่สุด
“พี่ขอโทษภีม พี่ขอโทษ…”
มันจับผมเข้าไปกอด ดึงให้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าผมซุกกับอกของมันแน่นพร้อมกับทั้งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมให้มันรู้สึกผิด และการแสดงตอบสนองของมันเป็นแบบนั้น มือมันลูบหัวผมปอยๆ และจูบลงขมับซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่ร้องนะภีม ไอ้เหม่งพี่มันเก่งจะตาย”
แต่กูอยากอ่อนแอตอนอยู่กับมึง
กับมึงคนเดียวพี่ปอ
ผมฟังมันว่าเสียงเบา กอดผมปลอบในคราวเดียวกัน ผมกอดมันแน่น เอาหน้าเช็ดเสื้อมันไปด้วย ตอนนี้คือกูต้องถูกทุกอย่าง ห้ามทำอะไรขัดใจกู
“กลับบ้านกัน” มันว่า ผมซบหน้าลงซ่อนความรู้สึกแล้วกอดมันแน่น
“กลับบ้านภีมนะ ไม่ไปโรงแรม”
มันผละมากุมแก้มผมทั้งสองข้าง ดวงตาผมมองมือที่หักของมัน มันไปผ่าเฝือกมาแล้วและไม่ได้เป็นอะไรมาก ใจผมชื้นขึ้นและเลยมาจ้องตามันผ่านม่านน้ำตา ตอนนี้ผมโคตรอ่อนแอ ผมยอมรับ
“พี่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน”
“ไม่” ผมรีบตอบ
มันละหน้าไปมองทางอื่น ราวกับต้องการควบคุมอารมณ์และผมมองไม่ออกว่ามันโมโหไหม มันเลิกโวยวายเอาแต่ใจกับผมตั้งแต่เมื่อไร ผมจำไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีปอมันเปลี่ยนไปเยอะมากจริง เป็นฝ่ายผมเองที่งี่เง่ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ได้ ไปขึ้นรถสิ” มันบอกเสียงเบา ยกมือขึ้นยีหัว โน้มมาจูบหน้าผากและเดินนำไป ใจผมที่ว่าร้อนรนนั้นก็เป็นมากกว่าเดิมที่มันไม่ยอมแสดงท่าทางอะไรเลยนอกจากนิ่ง
โอย ผมเดาปอมันไม่ออกอย่างเคย มันเป็นอะไรของมัน
มันควรจะบังคับผมสิหลังจากผมไม่ยอมดีๆ มันทำแบบนี้มาตลอดนะ
ผมใจสั่นจริงๆ
“พรุ่งนี้พ่อกับแม่บิน” ผมว่าผ่านความเงียบ มันหันมามองผมละจากถนน
“จะให้ไปรับไหม?”
“ยังถามโง่ๆ อีก” ผมหันไปว่ามัน ความขัดใจเกิดขึ้นมาน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของมัน
“เออ นั่นสิ ถามอะไรโง่ๆ” มันว่าพลางหันมามอง มืออีกข้างก็ยกขึ้นมาจับแก้มหยอก ผมหันไปมองมันเอ็ดใจด้วยสีหน้า ปอมันยิ้มแล้วกล่าวต่อ “เมียกูมันคิดถึงกูขนาดนี้ จะไม่ไปรับก็กระไรอยู่”
“รู้แล้วก็รีบมารับกูด้วย”
ไม่ปฏิเสธแม่งหรอก ให้มันรู้ไปสิว่าผมคิดถึงมัน
ผมยกแขนกอดอกนิ่งๆ คนเดียววางฟอร์ม ปอมันหัวเราะหึในลำคอและเงียบไปเสียเฉยๆ บรรยากาศแบบนี้ผมไม่ชอบเลย ชอบตอนที่เถียงกับมัน ทะเลาะกับมันมากกว่าอีก
ผมอยากถามว่าทำไมถึงทิ้งผมไปแบบนั้น ผมอยากรู้จริงๆ
ปอมันไปส่งผมที่บ้าน แวะคุยกับพ่อแม่และท่านก็ฝากผมไว้กับมันตามเคย ก่อนไปมันจูบผมซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธมันเลยสักครั้ง เพราะไม่ถึงอาทิตย์เราก็ต้องแยกจากกัน ทำราวกับพรุ่งนี้ผมกับมันจะไม่ได้เจอกันอย่างงั้นแหละ มันทำให้ผมรู้สึกกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นมา
ผมกลัวจริงๆ
อีกครั้งที่ตอนนี้ผมนั่งเหม่อ ชามข้าวที่อยู่รงหน้ายั่วยวนจนไอ้สันติกับสมปองเอร็ดอร่อยไม่พูดไม่จา ทว่าผมกินไม่ลง อีกไม่กี่วันเท่านั้นที่ผมกับมันจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นมันเป็นคนแรก จะไม่ถูกมันปลุกให้ตื่นมาโรงเรียน นึกแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมา ผมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มก่อนจะเงยหน้ามองคนที่วางชามข้าวแรงๆ ต่อหน้าด้วยความตกใจ
ไอ้บอย
มันยิ้มเหยียดๆ มายังผมก่อนจะทรุดตัวนั่งต่อหน้า
“มึงมาทำไมอีบอย ใครจุดธูปเชิญมึงยะ?” สันติมันว่า บอยมันยกยิ้มแล้วว่าเสียงเรียบ
“กูมาทำความรู้จักกับว่าที่อดีตเมีย ที่สุดท้ายจะเป็นเมียเก่าพี่ปอด้วยกันน่ะ”
ใจผมหายมองหน้ามันไม่ละ มันยกยิ้มกับแล้วทำหน้าแสแสร้งประหลาดใจว่า “อ้าว! ก็ไหนว่าเป็นคนปากดีอวดดีจังเลยล่ะ ไม่เห็นตอบโต้อะไรสักอย่าง เสียใจที่ผัวกำลังจะทิ้งเหรอจ๊ะพ่อคุณ”
“มึงเงียบไปเลยอีนี่ โดนเขาทิ้งแล้วมาพาล” สมปองมันว่า
“มึงน่ะไม่เหมือนภีมหรอกเว้ยเพราะพี่ปอเขาคบกับมันครบเดือน ไม่ใช่โดนเขี่ยทิ้งตั้งแต่สองอาทิตย์แรก อิอิ” สันติมันว่าเสริมพร้อมทั้งหัวเราะไปด้วย บอยมันขบกรามตัวเองแน่นหันมามองหน้า
“มึงไม่มีใครคบด้วยสินะถึงมาคบพวกอีตุ๊ดปากหมานี่ เหอะ!”
“โหยอีบอย มึงน่ะดีตายแหละ อีขี้อิจฉา อีนางร้ายไม่มีทะเบียน อีกสังคเวศ” สันติมันว่า ผมเบิกตา
“มึงนั่นแหละอีตุ๊ดสัมพเวศี อีพวกหูรูดเสื่อม!”
“หนอย มึงว่าเหมารวมเลยเหรอหา มึงอยากโดนตุ๊ดตบไหมละหา!” สันติมันร้องว่าพลางง้างมือ ผมรีบลุกขึ้นห้าม
“จะทะเลาะกันทำไมวะ ทะเลาะกันให้ได้อะไร?” ผมว่า
“กูก็ไม่ได้อยากทะเลาะกับอีกตุ๊ดหัวโปกนี่นักหรอก”
“อีบอย!” ไอ้สันติมันว่า “มึงมาหาเรื่องภีมแล้วมาด่าพวกกูก่อนนะอีนี่ อีขี้อิจฉา”
“พอเถอะซันนี่ กูไม่ได้เป็นอะไร มันพูดถูก ยังไงกูก็ต้องเลิกกับไอ้ปออยู่ดี”
“แต่พี่ปอยังไม่ได้ว่าจะเลิกนะ”
“ยังไงมันก็ต้องเลิก มันไม่เลิกกูก็จะเลิก กูอยากจบ!” ผมว่าเสียงเบาพลางผละเดินกระแทกเท้าออกมาท่ามกลางคนรุมมุงดูกลุ่มเรา ผมแหวกคนเดินออกมาด้วยหลายหลากความรู้สึก สิ่งหนึ่งคือเจ็บปวดที่พูดออกมาแบบนั้น
ดวงตาผมชะงักเมื่อเห็นใครยืนอยู่ตรงหน้า
ปอ…
ใจผมหายและอ่อนยวบเมื่อเห็นสีหน้า แววตาของมัน แต่ผมไม่อยากแสดงท่าทีที่อาลัยอาวรณ์มันให้มันได้ใจและให้คนอื่นนินทาขนาดนั้น ผมอยากปกป้องความรู้สึกตัวเองไม่ให้เจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว ร่างผมชาดิกเมื่อกะว่าจะเดินสวนมันออกไปแต่กลับถูกมืออุ่นๆ นั้นรั้งไว้
มันไม่ได้พูดอะไรฝ่าความเงียบตอนที่เราหันมาสบตา ท่ามกลางคนทั้งโรงเรียนที่หันมามอง ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบแบบนี้เลย
“มาคุยกับกูให้รู้เรื่อง” มันว่าเสียงเบา ลากผมเดินแท่ดๆๆ ออกไปท่ามกล่างสายตาคนอื่น ทำไมช่วงนี้ผมหาเรื่องมันบ่อยจังวะ
“พอแล้ว คุยกันตรงนี้” ผมว่าพลางดึงมือกลับ คือหน้าโรงอาหาร มันยกมือสองข้างเท้าสะเอวหันมามองผมนิ่ง
“ไปพูดแบบนั้นทำไม!”
มึงโกรธอะไรปอ กูพูดความจริง
“มันคือเรื่องจริงไง กูพูดไปตามใจที่ตัวเองคิด”
“มึงคิดอะไรอยู่หาภีม?” มันเอื้อมมือมาแตะ ดวงตามองผมนิ่ง ตัดพ้อ แลดูน่าสงสาร
“ก็คิดว่าอีกไม่กี่วันกูกับมึงจะได้เลิกกันไง”
“แต่มันยังไม่ถึงวันนั้น”
“ถึงหรือไม่ถึงมันก็เหมือนเดิมปะวะ ยังไงกูกับมึงก็เลิกกันอยู่ดี กูพูดออกมามันจะเป็นไร”
“มึงอยากเลิกขนาดนั้นเลยใช่ไหม!?” ผมชะงักเมื่อมันตะเบ็งเสียงใส่ มันไม่เคยทำแบบนี้ตั้งแต่สองสามวันแรกที่คบกับผม คราวนี้ดูมันเหมือนกำลังโกรธจริง
ผมนิ่งเมื่อหลายสายตาหันมามองตามเสียง
“ทำไมมึงต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วยวะ”
“กูถามว่ามึงอยากเลิกกับกูมากขนาดนั้นเลยเหรอ!” มันว่าพลางเอื้อมมือมาแตะ ผมนิ่งมองมัน ไม่กล้าตอบ เพราะผมไม่คิดอยากเลิกกับมันเลยไง แต่ผมไม่อยากรู้สึกเจ็บ ผมพูดไม่ออกว่าไม่อยากเลิก แต่ก็ไม่กล้ากล่าวคำว่าอยากจะเลิกกับมันเช่นกัน
เสียงออดเข้าเรียนช่วงบ่ายดังขึ้นคั่นกลางระหว่างเรา
ผมถอยตัวออกจากมันนิ่งพร้อมกับมันที่ส่ายหน้าว่า “ห้ามไป ตอบกูมาก่อน”
“ไม่” ผมว่า ส่ายหน้าตอบมันไปด้วย
“มาคุยกับกูให้รู้เรื่องก่อน!”
ไม่เอา กูตอบมึงไม่ได้ปอ กูรักมึง กูอยากอยู่ข้างๆ มึงตลอดไป แต่กูไม่อาจบอกมึงได้
“ภีม…ตอบพี่สิ!”
และนั่นเป็นเสียงร้องของมันที่ตามหลังมา ผมวิ่งไม่คิดชีวิตหนีมันออกมาดื้อๆ อย่างไม่กลัวใครว่าเลยว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ ไอ้อ่อนแอ ผมยอมโดนครหาทุกอย่าง
ผมทนมองหน้ามันต่อไปไม่ได้แล้ว
กลัวที่ตัวเองจะร้องไห้
อิอิ แอบหัวเราะเบาๆ
เรื่องฉาก NC คงมีทั้งคนสมใจและไม่สมใจ นิยายเรื่องนี้มีคนเชียร์สองฝั่ง เชียร์ให้ยอมแล้วได้กัน กับเชียร์ว่าอย่ายอมต้องดัดนิสัยพี่ปอก่อน ไรต์เขียนไว้อยู่แล้วไงคะไม่ได้เขียนสด แต่งจนจะจบแล้วไง ผลก็เลยออกมาเป็น น้องภีมยอมแต่ปอไม่ยอม กร๊ากกกกกก แต่ก็นะ ฉากนี้ก็ถือว่าเรียกเลือดได้อยู่ละน่า หยวนๆกันไปเหอะ น้องเขาอุตส่าห์ถวายตัวขนาดนี้เพื่อรีดที่น่ารักน้า
ประเด็นคือพี่ปอทำไมไม่ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำ พี่ปออดทนทำไม เหมือนพี่ธามเหรอ จงเดามาคนละหนึ่งข้อหรือสิบข้อก็ได้เดามาเหอะ 5555 เรื่องเข้มข้นขึ้นแล้วนะคะ เริ่มจะดราม่า แต่สอดแทรกความฮาความน่ารักของภีมมาอยู่หรอกไม่ต้องกลัว
ตอนหน้าก็ NC ค่ะ รอบไฟนอลล่ะ