Episode 30: You are my children’s father[1]
มิน่าล่ะทำไมถึงได้คุ้นชื่อซีเลนาตาอะไรนี่ตอนที่เจเนซิสพูดเหลือเกิน ก็มันคล้ายกับชื่อไอ้ซีเลนเหมือนเป็นชื่อเต็มอะไรประมาณนั้นเลยน่ะสิ ดูคีธสิ ชื่อเต็มคือคีทาเย ชื่อสั้นๆ คือคีธ แอสตันก็เหมือนกัน ชื่อเต็มๆ คือแอสโซซิโน ของซีเลนนี่ชื่อเต็มคงจะเป็นซีเลนาตาล่ะสินะ
ผมคิดเองเออเองไปเรื่อยเปื่อย หากแต่พอได้สติคิดทบทวนดูแล้วก็ไม่น่าใช่
ก็มันจะไปใช่ป้าแอสตันได้ยังไงในเมื่อมันเป็นผู้ชาย ที่สำคัญ เจเนซิสบอกว่าเจ้าหญิง เจ้าหญิงก็คงจะไม่หนวดเฟิ้มแถมหื่นกามอย่างนี้หรอก ตอนที่คิดว่ามันเป็นป้าของแอสตันนี่คือไม่ทันคิดไง เอ... หรือว่าจะเป็นผัวคนที่สองของเจ้าหญิง? แต่มันยังหนุ่มเกินไปนะ รู้สึกว่าในประวัติมันที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ มันบอกว่ามันอายุยี่สิบสองเท่ากับผม ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่ผัวป้าแอสตันเพราะตอนที่ป้าแอสตันถูกยกให้พวกเซนไทน์ แอสตันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ มันก็น่าจะยังไม่เกิดเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นลูก? ไม่สิ ถ้าเป็นลูกก็เท่ากับว่ามันต้องเป็นเจ้าชายของยูนิกม่าด้วย แต่นี่พวกคีธไม่รู้จักมันก็ไม่น่าจะใช่
ตกลงมันเป็นใครกันแน่วะ!?
ยิ่งคิด หัวก็เหมือนจะระเบิด ความสงสัยพร่างพรายขึ้นในใจผมไม่หยุดหย่อนขณะที่ซีเลนก็เอาแต่เดินหน้าตั้ง โบกรถแท็กซี่แล้วจับผมยัดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะแทรกตัวเข้ามา ร้องสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังเพนท์เฮ้าส์มันทันใด
พอได้ยินว่าจุดมุ่งหมายที่จะไปคือห้องของมัน ผมก็รีบหันไปแหวใส่คนข้างๆ โดยพลัน
“ทำไมฉันต้องไปที่ห้องนายด้วย”
“ฉันก็แค่พานายไปที่ที่ปลอดภัยที่สุด อย่าเพิ่งถามมากน่า”
กูต้องถามสิก็ในเมื่อไอ้ที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่มึงว่าคือที่ที่กูเคยเกือบถูกมึงปล้ำมาหลายต่อหลายครั้งน่ะ!
ผมอยากจะท้วงชะมัดแต่พอได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซีเลนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ผมก็ต้องกลืนคำก่นด่ามันลงไป เปลี่ยนไปเป็นการตั้งคำถามแทน
“แล้วทำไมนายต้องหนีคนพวกนั้น”
ซีเลนชะงัก รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“คนพวกไหน”
“ก็ไอ้พวกเจ้าพ่อมาเฟียพวกนั้นน่ะ นายหนีทำไม”
“ก็นายทำรถมันเป็นรอยนี่หว่า ถึงฉันจะมีตังค์จ่ายค่าเสียหายให้นายได้ แต่ฉันก็ไม่ยอมถูกพวกมันจับไปทรมานแทนนายหรอกนะ” ซีเลนทำเป็นว่าติดตลก
ผมรู้ว่ามันไม่ได้หนีเพราะเรื่องนั้น ผมเลยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดชื่อที่เจ้าพ่อนั่นพูดออกมา
“ซีเลนาตา” ซีเลนสะดุ้งเลย ทำเอาผมที่เหลือบมองอยู่ยิ้มเผล่ “นายหนีพวกมันเพราะหัวหน้ามันพูดชื่อนี้”
“ชื่ออะไรประหลาดชะมัด ไม่เคยเห็นจะได้ยิน” ซีเลนเอนตัวพิงเบาะแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่ผม
มึงไม่ต้องมาทำไก๋เลย! กูจับพิรุธมึงได้!
“ตกลงนายเป็นใครกันแน่ซีเลน เมื่อคืนที่คีธถามก็ยังไม่บอกเลยนะ”
“อ๋อ ที่แท้หมอนั่นก็ชื่อคีธ” ซีเลนคราง ก่อนจะหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “ถ้านายอยากรู้ว่าฉันเป็นใครก็มาให้ฉันกินก่อนสิแล้วฉันจะบอก”
เอาอีกละ มันเอาอีกละ! มึงนี่หาโอกาสปล้ำกูตลอดเลยนะ!
“ไม่ตลกเลยซีเลน บอกมาซะที เล่นลิ้นอยู่ได้” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ซีเลนยกมือขึ้นขยี้หูแล้วว่าอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็เคยบอกแล้วไงว่าฉันเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์ ชื่อชาติพันธุ์ไม่มี”
“ไม่จริง ฉันว่านายต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงซีเลนาตาแน่ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่รีบลากฉันเดินหนีคนพวกนั้นมาอย่างนี้หรอก ก่อนหน้านี้กระสันอยากจะพาฉันเข้าโรงแรมมากไม่ใช่หรือไง”
สิ้นเสียง ซีเลนก็เหลือบมามองหน้าผม ความขี้เล่นบนใบหน้าไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ก่อนมันจะว่ายาว
“ที่ฉันหนีเพราะฉันรู้ว่าพวกมันเป็นพวกเซนไทน์ต่างหาก แล้วนายก็เป็นคนที่ชาวยูนิกม่าที่ชื่อคีธอะไรนี่ผูกพันด้วย ถ้าพวกมันได้กลิ่นไอ้คีธจากตัวนาย พวกมันคงจะจับนายไปล่อไอ้บ้านั่นแน่ถึงนายจะไม่มีกลิ่นของยูนิกม่าแล้วก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้กลิ่นเลย ยังมีกลิ่นอยู่จางๆ ส่วนเรื่องเจ้าหญิงซีเลนาตาอะไรนั่นน่ะ เค้ารู้กันทั้งจักรวาล เล่าลือกันมานานละ ใครไม่รู้สิแปลก”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงพิรุธจากซีเลนแม้ว่าสิ่งที่มันพูดจะมีเหตุและผลเหมาะสมก็ตาม และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ ผมเลยหันหน้าไปหามัน ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ซีเลน บอกมาว่านายเป็นใคร”
ซีเลนชำเลืองมองผมเล็กน้อยก่อนจะหยักยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่เคยเห็น หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเหยียดๆ ยังไงไม่รู้ ทว่าก็ไม่มีอะไรทำให้ผมสนใจได้เท่ากับสิ่งที่มันพูดออกมา
“เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ”
“นายหมายความว่า...”
“เดี๋ยวเปลี่ยนเส้นทางดีกว่า ไปทางถนนสายตะวันตกนะ ฉันเปลี่ยนใจละ”
ผมถามยังไม่ทันจบ ซีเลนก็โพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าคนขับรถทำท่าจะเลี้ยวไปทางขวาเมื่อถึงแยกแห่งหนึ่ง และทางที่มันบอกให้คนขับรถเลี้ยวไปก็คือทางที่มุ่งหน้าไปยังอพาร์ตเม้นต์ของผม ผมรู้เลยว่ามันกำลังพยายามหนี
หนีแบบนี้มันจะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่
แน่นอนว่าตลอดทางที่รถมุ่งหน้ามาที่อพาร์ตเม้นต์ ผมก็เค้นถามซีเลนเรื่องเดิมไม่หยุดปาก โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมันกับเจ้าหญิงซีเลนาตา ทว่ามันก็ไม่หลุดปากออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ไม่บอกด้วยว่ามันเป็นใคร กระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดยังหน้าอพาร์ตเม้นต์ ทำให้ผมต้องหุบปากฉับทันทีเมื่อมันขัดขึ้น
“ถึงแล้ว ลงไปซะ แล้วอย่าออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืน มันอันตราย พวกเซนไทน์แห่กันมาขนาดนี้แล้ว มันต้องมาตามหาชาวยูนิกม่าแน่”
“แต่นายยังไม่บอกเลยนะเว้ยว่านายเป็นใคร” ผมโวยวายเมื่อถูกมันดันออกจากรถแท็กซี่มายืนบนพื้นหน้าอพาร์ตเม้นต์ตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ต้องรู้หรอกน่า กลับเข้าห้องไปซะ” มันไม่สนใจ ยังดันผมไม่เลิก แถมยังจะดึงประตูปิดด้วย
ผมเลยรีบสะบัดตัวออก คว้าประตูรถเอาไว้ก่อนที่มันจะปิดทันควัน
“ถ้านายไม่บอก ฉันก็ไม่ไป”
ซีเลนมองผมนิ่ง สายตาวูบหนึ่งของมันประกายความรำคาญขึ้นมาแต่ก็ไม่พูดอะไร ล้วงกระเป๋าเงินออกมาจ่ายค่าแท็กซี่แล้วทิ้งตัวลงมายืนประจันหน้าผม
“ดื้อจริงเลยนะนายเนี่ย” แล้วมันก็บ่นพึมพำเมื่อรถแท็กซี่เคลื่อนที่ออกไปแล้ว
กูต้องดื้อสิวะ ก็มึงเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ แถมยังมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงซีเลนาตาจากการคาดเดาของกูอีก กูอยากรู้ บอกกูหน่อยเถอะ!
“ตกลงจะบอกได้หรือยัง” ผมถามย้ำขึ้นมาอีก
“เอ... บอกดีมั้ยน้า” ซีเลนทำท่าคิดแล้วยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์ ผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันต้องเล่นลิ้นอีกแน่ แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อมันพูดขึ้นมา “หอมแก้มก่อนสิ แล้วจะบอก”
มึงอย่ามาตลกหื่นไอ้ซีเลน!
“เดี๋ยวถีบ อย่ามาเล่นลิ้น” ผมขู่ฟ่อ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรจะรำคาญมันเลย ไม่ขู่อย่างเดียว ยกขาขึ้นทำท่าจะถีบมันด้วย มันเลยทำหน้าเบื่อโลกทันใด
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
อารมณ์ขันหื่นๆ นี่มึงไม่ต้องเอามาใช้กับกูเลย!
“จะบอกหรือไม่บอก” ผมถามเสียงต่ำอีกครั้ง กะว่าถ้ามันไม่บอกก็จะหนีขึ้นห้อง ไม่สนใจมันละ
ซึ่งมันก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีนั่นแหละ เอาแต่พูดว่า...
“อย่ารู้เลย มันไม่มีประโยชน์กับนาย”
งั้นก็ช่างหัวมึงเถอะ!
ผมพ่นลมหายใจใส่หน้ามันแรงๆ ก่อนจะหมุนตัว ทำท่าจะเดินเข้ามาข้างในอพาร์ตเม้นต์ หากแต่ไม่ทันจะได้เดินถึงประตู มือใหญ่ก็คว้าต้นแขนผมไว้มั่นก่อนจะดึงให้ผมหันไปมองหน้าเจ้าของ
“ที่ไม่บอกเป็นเพราะฉันเป็นห่วงนายหรอกกวินทร์ ไม่ใช่ไม่อยากบอก”
“จะมาไม้ไหนอีก” ผมว่าอย่างไม่ไว้ใจ แสดงออกทางสีหน้าด้วยว่าไม่ไว้ใจมันอย่างที่พูด
ก็ควรไม่ไว้ใจอยู่หรอก จู่ๆ มาบอกว่าเป็นห่วงอย่างนี้ มึงกำลังพัฒนาแผนการลากกูไปปล้ำอยู่ใช่มั้ย!?
ทว่าซีเลนไม่ตอบ เอาแต่มองผมนิ่งๆ ดวงตาสีเทาเข้มที่ฉายแววเจ้าเล่ห์และขี้เล่นตลอดเวลาดูจริงจังอย่างผิดปกติ ก่อนที่มันจะขยับริมฝีปากหนาเล็กน้อย
“เป็นห่วงจริงๆ”
“จะมาเป็นห่วงฉันเรื่องอะไรวะ”
“เรื่องที่นายใกล้ชิดพวกยูนิกม่า ระวังตัวไว้ พวกเซนไทน์ตามล่าพวกมันอยู่ ถ้านายยังใกล้ชิดกับชาวยูนิกม่าไม่เลิก วันข้างหน้านายจะเดือดร้อนเหมือนคืนนั้นอีก” มันหมายถึงคืนที่ผมถูกพวกเซนไทน์ตามล่าแล้วมันมาช่วยไว้ได้ทันนั่นแหละ
“เออ ขอบใจแล้วกัน” ผมตัดบทส่งๆ ดึงแขนออกจากการเกาะกุม แต่ซีเลนไม่ยอมปล่อย จับผมไว้อย่างเดิมให้ผมได้เลิกคิ้วสูงถามเสียงขุ่น
“อะไรอีก”
“ที่เป็นห่วงนี่เป็นเพราะฉันชอบนายหรอกนะ รู้เอาไว้ด้วย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันบอกชอบผม แต่ครั้งนี้กลับทำให้ผมใจเต้นขึ้นมา คงเป็นเพราะสายตาและสีหน้าจริงจังที่ไม่เคยเห็นของมันด้วยล่ะมั้งที่ทำให้ผมหวั่นไหวไปเล็กน้อย
“พะ...พูดอะไรของนายวะ” ผมเบือนหน้าหนี ย่นคิ้วถาม พยายามสงบใจที่เต้นระรัวเต็มที่
แม่ง... ทำไมถึงได้ใจเต้นไปกับไอ้มนุษย์ต่างดาวหนวดเฟิ้มหื่นๆ อย่างนี้ขึ้นมาได้วะ
แล้วมันก็ทำให้ผมใจเต้นหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แล้วโน้มหน้าเข้าชิด
“ก็บอกว่าชอบเฉยๆ ตกใจอะไร”
กูต้องตกใจสิเว้ย! อยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกมึงด้วยชื่อเจ้าหญิงแห่งยูนิกม่า แล้วมึงก็มาสารภาพรักกู แถมยังมาจูบกูอีก จะไม่ให้กูตกใจได้ยังไง!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายว่าตกใจอะไร ซีเลนก็ประกบปากจูบผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมลืมตาโพลง ผลักมันออกทันที แต่ซีเลนไม่ยอมปล่อย ดันผมถอยหลังไปจนชิดกำแพงแล้วจูบหนักหน่วงมากขึ้น จูบครั้งนี้ผมไม่ได้รังเกียจมันหรอก ออกจะเป็นจูบที่ดีด้วยซ้ำ แต่ผมมีคีธอยู่แล้วไง มาจูบกับไอ้บ้านี่อย่างนี้มันไม่โอเคเลยเว้ย และที่โคตรจะไม่โอเคยิ่งกว่าคือ...กูจะไปหวั่นไหวกับมึงทำไมเนี่ย!
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพุ่งเข้ามาทั่วจิตใต้สำนึกผมเลย ผมได้สติก็รีบผลักซีเลนออกห่างเต็มแรงทันควัน
“ยะ...หยุด!”
คราวนี้มันยอมปล่อยผมแต่โดยดี ผละออกมาเลียริมฝีปาก ทำหน้าเหมือนเพิ่งได้กินของอร่อยแล้วหยักยิ้ม
“พยศแบบนี้แหละถึงได้ชอบ”
แต่กูมีคู่ตุนาหงันของกูอยู่แล้วนะเว้ย!
“ไม่ตลกเลยซีเลน หยุดทำบ้าๆ แบบนี้ซะที นายก็รู้ว่าฉันกับคีธเป็นอะไรกัน ฉันมีคีธอยู่แล้วนะเว้ย” ผมว่าเสียงเครียด ข่มความร้อนรุ่มบนใบหน้าจากการจูบเมื่อครู่เป็นพัลวัน
หากแต่ซีเลนไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดสักนิด ยักไหล่ไม่ยี่หระน้อยๆ
“แต่นายก็ไม่มีกลิ่นของหมอนั่นแล้วนี่ ไม่มีกลิ่นก็แปลว่าไม่ได้ผูกพัน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”
มึงมันหน้าด้านโคตร! กูก็บอกอยู่นี่ไงว่ากูมีคีธอยู่แล้ว มึงนี่มัน…!
ผมทำท่าจะด่ามัน ทว่าไม่ทันจะได้พูดสักแอะ เสียงของแขกไม่ได้รับเชิญก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“ถึงจะไม่มีกลิ่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน อย่ามายุ่งจะดีกว่านายน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน คนที่นายยุ่งด้วยไม่ใช่แม่พันธุ์ของชาวยูนิกม่าธรรมดา แต่เป็นถึงผู้พิทักษ์ อย่าเอาตัวเองมาเสี่ยงเจ็บตัวจะดีกว่า”
ทั้งผมทั้งซีเลนหันไปทางต้นเสียงทันที ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้าของคนที่กอดอกยืนมองผมกับซีเลนด้วยสีหน้านิ่งเฉย
อะ...ไอ้เจเนซิส! มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?
ผมใจสั่นเลย ไม่รู้ว่าเจเนซิสจะเห็นตอนที่ผมถูกซีเลนจูบหรือเปล่า ถ้ามันเห็น รับรองเลยว่ามันต้องเอาไปบอกคีธแน่
ทว่าซีเลนไม่สนใจเรื่องนั้น มองหน้าเจเนซิสแล้วดวงตาก็ประกายวาว ก่อนจะครางออกมา
“นาย...” ครางอย่างเดียวไม่พอ ผละออกจากผม เดินเร็วๆ เข้าไปหาเจเนซิสด้วย แล้วถือวิสาสะคว้าแขนเจเนซิสหมับพลางยิ้มเผล่ “นายก็เป็นชาวยูนิกม่าสินะ น่ารักจัง ไปนอนกับฉันมั้ย”
เมื่อกี้มึงเพิ่งจะบอกว่าชอบกูอยู่แหม็บๆ พอมึงเห็นหน้าเมียเก่าไอ้คีธ มึงก็ชวนมันไปนอนด้วยทันทีเลยนะไอ้ซีเลน! แล้วเมื่อกี้กูจะหวั่นไหวกับมึงไปเพื่ออะไรวะ อารมณ์ชั่ววูบชัดๆ!
เจเนซิสดูเหวอไปนิดก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วคว้าข้อมือซีเลนพลิกไปอีกทางจนมือของหมอนั่นหลุดออกจากแขน
“อย่ามาวุ่นวาย”
“ฮู้ว แรงดีนี่ชาวยูนิกม่า ไม่คิดว่าพวกรักสงบจะแรงเยอะขนาดนี้” ซีเลนยอมปล่อยมือแต่โดยดี ทว่าไม่วายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“แล้วนายเป็นใคร” เจเนซิสย่นคิ้ว ไม่ได้สงสัยว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่
ก็มันทักมาว่าเจเนซิสเป็นชาวยูนิกม่าขนาดนี้ก็คงจะรู้แล้วล่ะว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว
“เป็นผัวนายไง ไปที่ห้องฉันสิ” ส่วนซีเลนแม่งก็กวนตีน ไปย้อนอย่างนั้น หัวคิ้วเจเนซิสก็ย่นจนผูกกันเป็นโบว์ทันใด
“ระวังปากไว้ด้วย ชาวยูนิกม่าไม่ใช่คนที่นายจะมาพูดเล่นด้วยได้” นี่ก็คงจะหมายถึงความสูงศักดิ์ของชาติพันธุ์แหง
ทว่าซีเลนไม่แยแส หัวเราะในลำคอ แถมยังเอื้อมไปจับปลายคางเจเนซิสให้เชิดขึ้นสบตาอีก
“แค่หยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นซีเรียสไปได้ ถ้าจะซีเรียสก็ไว้ไปซีเรียสตอนอยู่บนเตียงฉันเถอะ“
“นาย...” เจเนซิสสะบัดหน้าหนี กัดฟันกรอดจนสันกรามนูน หากแต่ซีเลนไม่สนใจ หันมาทางผมที่ยืนมองอยู่แทน
“งั้นฉันส่งนายแค่นี้แล้วกันกวินทร์ กลับก่อน พรุ่งนี้มีถ่ายงานเช้า อย่าออกมาเพ่นพ่านล่ะ ระวังตัวไว้ด้วย” ว่าจบ มันก็เดินไปเลย ทิ้งให้ผมกับเจเนซิสมองไล่หลัง พอซีเลนหายไปลับสายตา เจเนซิสก็หันมาถามผมเสียงขุ่นทันที
“ไอ้บ้านั่นเป็นใคร”
“มนุษย์ต่างดาวชื่อซีเลน” ผมว่า
“รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ฉันหมายถึงมันเป็นพวกไหน”
“ถ้าฉันรู้ ฉันก็บอกคีธไปนานแล้ว” ผมพึมพำใส่เจเนซิส ก่อนจะเป็นฝ่ายถามมันบ้าง “ว่าแต่นายเถอะ มาที่นี่ทำไม”
“มารับว่าที่พระชายาไปที่บ้านของบูลิโอ คำสั่งองค์ชายน่ะ องค์ชายติดประชุมกับเหล่าผู้พิทักษ์ มารับด้วยพระองค์เองไม่ได้ แล้วก็มารับนายด้วย คีทาเยฝากมา” มันว่า หัวคิ้วเริ่มคลายแล้ว เปลี่ยนมาเป็นกอดอกแทน “แต่บังเอิญมาเห็นนายนอกใจคีทาเยซะได้”
นี่มึงเห็นฉากจูบนั่นจริงๆ ด้วยสินะ!
ใจผมร่วงไปอยู่ตาตุ่มเลย ยิ่งเห็นสายตาจับผิดของมันที่มองมาด้วยแล้ว ประกอบกับมันเป็นแฟนเก่าคีธด้วย ผมก็สังหรณ์ใจขึ้นมาเลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องเอาเรื่องที่เห็นไปฟ้องคีธแน่ เลยรีบหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวันทันใด
“นะ...นายก็เห็นใช่มั้ยว่าฉันไม่ได้ยอมให้มันจูบ ไอ้บ้านั่นมันบังคับ”
“เห็น” เจเนซิสตอบรับเสียงเรียบ ผมเกือบจะโล่งใจอยู่แล้วเชียวถ้ามันไม่พูดประโยคถัดไปออกมา “แล้วก็เห็นนายหน้าแดงตอนมันบอกว่าชอบนายด้วย หวั่นไหวล่ะสิ”
มึงอย่ามารู้ดีไอ้เจเนซิส! นั่นมันอารมณ์ชั่ววูบเว้ย!
แทนที่ผมจะแก้ตัวว่าไม่ใช่ แต่ดูท่าจะเหนื่อยการเปล่า ผมก็เลยก้มหน้ายอมรับผิดไปแล้วขอร้องมันแทน
“ยะ...อย่าบอกคีธนะ ขอเลย”
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันไม่บอกหรอก”
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ทุกอย่างดูเหมือนง่าย จริงๆ เจเนซิสนี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ นึกว่าจะเป็นแฟนเก่าจำพวกชอบยุแยงซะอีก ทว่าก็โล่งใจได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละเมื่อประโยคต่อไปหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบนั่น
“แต่คีทาเยคงจะรู้ กลิ่นหมอนั่นในตัวนายนี่หึ่งเชียว”
ไอ้ซีเลน! มึงจะปล่อยกลิ่นใส่กูหาพระแสงของ้าวเหรอ! มึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือตัวสกั๊งค์วะ!?
“นายมียาติดตัวมาอีกมั้ย ขอฉันหน่อย” ผมรีบร้องถามมันทันที เจเนซิสหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ถ้านายหมายถึงยากลบกลิ่นที่ฉันให้นายกินเมื่อคืนวานล่ะก็มี แต่มันกลบได้เฉพาะกลิ่นของชาวยูนิกม่า ของชาติพันธุ์อื่นกลบไม่ได้ เสียของเปล่า”
ความหวังที่จะปิดเรื่องถูกซีเลนจูบไม่ให้คีธรู้พังทลายไปต่อหน้า ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เจเนซิส ขณะที่เจเนซิสเอาแต่มองผมแล้วว่าขึ้นมาลอยๆ
“โทษของการหักหลังตามกฎของชาวยูนิกม่าคือความตาย นายรู้ใช่มั้ย”
ก็รู้ไง กูถึงได้ถามหายาจากมึงอยู่เนี่ย!
ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเนซิสก็ถอนหายใจแล้วก็ว่าลอยๆ ขึ้นมาอีกระลอก
“คีทาเยนี่โชคร้ายจริงๆ นะที่ได้แม่พันธุ์ไม่ซื่อสัตย์ รู้อย่างนี้ ฉันยอมให้คีทเยผูกพันไปตั้งแต่ตอนนั้นน่าจะดี จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเราติดภารกิจระหว่างอพยพกันทั้งคู่เลยทำให้ห่างกันไปจนความรู้สึกมันเลือนหาย ไม่อย่างนั้นฉันคงจะเป็นแม่พันธุ์แทนนายแล้ว” พูดแล้วก็เหลือบมามองผมเชิงตำหนิ แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่ากับการที่มันพูดถึงความหลังระหว่างมันกับคีธนี่แหละ
“นายไม่ต้องมารื้อฟื้นอดีตเลย เลิกกันแล้วก็คือเลิกเว้ย ส่วนไอ้จูบกับซีเลนนั่น ฉันก็ไม่ได้เต็มใจ นายก็เห็น!” ผมโพล่งใส่มันทันควัน แต่เจเนซิสยังทำนิ่ง แถมยังตอกหน้าผมด้วย
“แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนตั้งแต่แรกนี่ เห็นยืนให้หมอนั่นจูบนิ่งเชียว พอได้สติถึงเห็นว่านายผลักออก”
ผมเถียงไม่ออกเลยว่าจริงที่ผมไม่ได้ขัดขืนซีเลนตั้งแต่แรกเหมือนทุกครั้ง ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า จู่ๆ ไอ้บ้านั่นก็ทำตัวเหมือนเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมา จะเคลิ้มตามก็ไม่แปลก แต่สุดท้ายกูก็ไม่เคลิ้มหรือเปล่าวะ แม่ง มึงนี่ได้ทีทับถมกูใหญ่เลยนะ!
ถึงผมอยากจะด่าเจเนซิสแค่ไหนที่มันดันรู้ทันผมแบบทะลุปรุโปร่ง แต่สุดท้ายผมก็ได้แต่มองหน้ามันแล้วว่าออกมาเบาๆ
“แล้วฉันควรทำไงดี”
“หาข้อแก้ตัวดีๆ ตอนเจอหน้าคีทาเยก็แล้วกัน” มันบอกสั้นๆ ก่อนจะพยักปลายคางไปข้างในอพาร์ตเม้นต์ “แล้วนี่จะพาฉันเข้าไปข้างในได้หรือยัง”
ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะล้วงเอาคีย์การ์ดมาแตะที่ประตูทางเข้าให้เจเนซิสเข้าไปข้างใน เจเนซิสไม่ได้สนใจผมแล้ว เอาแต่เดินไปยังห้องของริชาร์ด มีแต่ผมนี่แหละที่คิดวุ่นไม่ตกว่าจะหาข้อแก้ตัวอะไรมาล้างความผิดนี้ดี
จริงๆ ผมก็ไม่ได้กลัวว่าจะถูกคีธฆ่าหรอกนะ แต่กลัวคีธจะรู้สึกไม่ดีเพราะผมต่างหาก ผมโคตรจะแคร์มันเลยนะ แต่ให้ตายเถอะ นิสัยเพลย์บอยประเภทหวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าทางร่างกายนี่เลิกยากชะมัด