“พี่ทิวาคุยอะไรกับจริงใจเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อขึ้นมานั่งในรถ ก่อนจะแยกกันหลังทานข้าวเสร็จ เห็นทิวาไปพูดอะไรกับจริงใจไม่รู้ จากนิ่ง ๆ น้องก็ยิ้มกริ่มขึ้นมา เพราะต้องไปเรียนต่อเลยไม่ได้ถาม เก็บความสงสัยเอาไว้จนเลิกเรียนเลยเนี่ย อยากรู้จะตายอยู่แล้ว ฮือ!
“ชวนไปฉลองด้วยกันคืนนี้”
“จริงใจยังเด็กอยู่นะครับ เข้าได้เหรอ?” เพราะทุกวันสำคัญทิวากาลจะต้องกลับไปทานข้าวกับครอบครัว และตอนกลางคืนจะไปดื่มฉลองกับเพื่อนที่ผับประจำ ทุกคนตกลงไปกันหมด รวมถึงจันทร์เจ้าเองด้วย(โดยบังคับและกึ่งเต็มใจกึ่งขืนใจ) แต่ข้องใจที่จริงใจนี่แหละ อายุแค่สิบเจ็ดเองนะ ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าผับได้เลย แต่ถ้าจะไปก็ไม่ห้าม
“เข้าได้อยู่แล้ว นี่ใคร?”
“ใช้เส้นเหรอ?”
“ทำนองนั้น” จันทร์เจ้าพยักหน้ารับ ทิวากาลเลิกคิ้ว ยอมง่ายกว่าที่คิด “นอนไปก่อนก็ได้ ถึงแล้วจะปลุก”
และแล้วลูกหมูก็ปิดเปลือกตาลงโดยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มพรายบนใบหน้าหล่อของทิวากาล...
“เตี้ย ตื่นเร็ว ถึงแล้ว”
“...”
“เตี้ยครับ ...จันทร์เจ้า”
“....”
ทิวากาลยิ้มขำ ภายใต้เปลือกตาบางนั้นขยับกลอกกลิ้งไปมา แล้วริมฝีปากเล็กยังพยายามเม้มให้ไม่ยิ้ม นั่นแปลว่าเด็กแก้มกลมของเขาตื่นนอนแล้วแต่ยังแกล้งหลับอยู่
“ถ้าไม่ตื่นพี่จะจูบนะครับ”
“....”
“อยากเป็นเจ้าหญิงนิทราเหรอ หือ?”
“คิ...” เด็กน้อยลืมตาขึ้น พอเห็นหน้าคนนิสัยไม่ดีในระยะประชิดก็หัวเราะออกมาเสียงดังก้องรถ หน้าทิวาตลกจัง คิคิ
“ป่ะ ลงรถ”
“พี่จะเข้าบ้านด้วยเหรอครับ?”
“เข้าสิ” ลูกหมูยกคิ้วสูง เห็นรอยยิ้มทิวากาลแล้วชักสังหรณ์ใจไม่ดี ลุกขึ้นนั่งตัวตรง กลอกตามองรอบ ๆ เมื่อเห็นที่ไม่คุ้นเคยก็เบิกตากว้าง เม้มปากมองหน้าคนนิสัยไม่ดี
“พาเรามาทำไม...”
“มาทานข้าว ไปกันเถอะ” อยากงอแงก็กลัวทิวาจะหาว่างี่เง่า เพราะฉะนั้นจึงยอมลงรถตามร่างสูงไปแม้จะอิดออดอยู่มากก็ตาม
พอรู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร หัวใจก็ฉูบฉีด เลือดในกายพลันเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าจันทร์เจ้าที่มั่นใจในตัวเองหายไปไหน ทิวากาลเองก็พอจับอาการได้ เขาส่งยิ้มไปให้กำลังใจและคว้ามือเล็กมากุม ผิดที่เขาเองก็ไม่ได้บอกก่อนว่าวันนี้จะพาเด็กแก้มกลมมาทานอาหารกับครอบครัวของเขา
เพียงแค่ก้าวเข้ามาในบ้านจันทร์เจ้าก็เหงื่อแตกพลั่ก มือชื้นจนทิวาหันมามองแล้วยิ้มขำ มันมีอะไรน่าตลกกัน จู่ ๆ ก็พามาบ้านแบบไม่บอกกล่าวเนี่ย คอยดูนะ เราจะโป้ง!!!
“พี่ทิวา....” จันทร์เจ้าเอ่ยเรียกเสียงงอแง อีกไม่กี่ก้าวข้างหน้านี้จะถึงส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่นแล้ว โสตประสาทได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วมา หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวไปพร้อม ๆ กัน
“ไม่ต้องกลัว”
“มาแล้วครับ” ทิวากาลพูดขึ้น บุคคลที่อยู่ในห้องนั่งเล่นจึงหันมาให้ความสนใจ ลูกหมูยกมือไหว้ก่อนจะเอนไปยืนหลบด้านหลังของคนนิสัยไม่ดีเมื่อถูกจ้องมอง
“น้องจันทร์จ้าววววววว~” เพียงคนเดียวที่จันทร์เจ้ารู้จักลุกจากที่นั่งเข้ามาหาแล้วกอดหมับ ไม่ถึงนาทีก็ถูกกระชากออกจากกันโดยทิวากาล ลูกหมูช้อนตามองคนตัวสูงสลับกับพี่สาวคนสวยผู้มีตำแหน่งเป็นน้องสาวของทิวากาล
“พาใครมาด้วยน่ะ?” จันทร์เจ้าเอียงคอมองสงสัย คาดเอาไว้ว่าอาจจะเป็นพี่สาวของทิวา เพราะทิวาเคยบอกว่ามีพี่น้องกี่คนบ้าง และอีกท่านที่นั่งอยู่นั้นคงเป็นคุณแม่
“นี่จันทร์เจ้าครับ”
“สวัสดีครับ” ลูกหมูเอ่ยพร้อมยกมือไหว้อีกครั้ง อาการเกร็งเริ่มผ่อนคลายเมื่อไม่มีสายตาคุกคามอย่างที่คิด ทิวากาลแนะนำว่าใครชื่ออะไรและเป็นใครพร้อมพาเด็กแก้มกลมไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกัน และคอยกีดกันไม่ให้รพินทร์ได้เข้าใกล้
RRRRRR
จันทร์เจ้าสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รนรานหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง เพราะกลัวว่าจะไปทำให้คนอื่นรำคาญ เมื่อเอาออกมาได้ก็กดปิดเสียงไปก่อน พอจะกดรับสายก็ถูกตัดไปแล้ว
ครืด ครืด Devil boy : อยู่ไหน
นี่จันทร์เจ้าเอง : บ้านทิวา
Devil boy : อยู่ตรงไหนวะ?
นี่จันทร์เจ้าเอง : พี่ก็ไม่รู้ ตอนมาเผลอหลับไป
นี่จันทร์เจ้าเอง : *ส่งโลเคชั่น*
Devil boy : อือ อยู่แถวบ้านคุณย่าเลยนี่หว่า
Devil boy : ไม่มีอะไรแล้ว จะไปไหนก็ไป
เบ้ปากใส่โทรศัพท์ เจ้าเด็กบ้านี่ แต่ช่างเถอะ พอจริงใจบอกว่าอยู่แถวบ้านคุณย่าลูกหมูจึงกดเข้าไปดูโลเคชั่นบ้าง แล้วก็พบว่าจริงอย่างที่เด็กปีศาจพูด ถัดจากบ้านทิวาไปสามสี่ซอยก็ถึงบ้านคุณย่าแล้ว...
“มีอะไรเตี้ย?”
“จริงใจถามว่าอยู่ไหน”
“หวงอะไรขนาดนั้น” ทิวาพูดพร้อมมุ่นคิ้วหน้าบึ้งเล็กน้อย
“คงกลัวเราจะถูกหลอกไปทำไม่ดีไม่ร้ายแน่เลย” พูดจบก็หัวเราะเสียงใสเมื่อทิวากาลทำหน้างอแง ก่อนจะค่อย ๆ เงียบเสียงลงหลังจากได้ยินเสียงกระแอมไอจากใครสักคน ลูกหมูยิ้มเจื่อน
“ทำไมน้องจันทร์เจ้าถึงมาได้ล่ะคะ?” กะพริบตาปริบ ๆ มองคนถาม “เฮ้ย! พี่ไม่ได้หมายถึงอะไรไม่ดีนะ แค่สงสัยเฉย ๆ ค่ะ”
“โดนหลอกมาครับ” ทุกคนเลิกคิ้ว “พี่ทิวาบอกจะไปส่งเราที่บ้านหลังเลิกเรียน พอขึ้นรถก็บอกให้เรานอนได้เลยถึงแล้วพี่จะปลุก ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่นี่แล้วครับ”
“อ้าว พี่ไปหลอกน้องทำไมอ่ะ”
“ไม่ได้หลอก แต่ไม่ได้บอกก่อน”
“ถ้าบอกก่อนคงกลัวเราจะไม่มามั้งครับ”
“อย่างนี้นี่เอง” รพินทร์ลูบคาง ก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้คล้ายจะกระซิบแต่พูดในระดับเสียงที่ได้ยินทุกคน “แต่พี่กาลก็ไม่น่าไว้ใจจริง ๆ นั่นแหละค่ะ”
จันทร์เจ้าหัวเราะ และกระซิบกลับในแบบเดียวกัน “ใช่ไหมล่ะฮะ ทิวากาลนะ ร้ายกาจมาก”
โป๊ก!
“โอ๊ย!!” รพินทร์กับจันทร์เจ้าร้องขึ้นพร้อมกันหลังจากโดนประทุร้ายจากบุคคลที่กล่าวถึงในบทสนทนา ด้วยความหมั่นไส้ทิวากาลจึงจัดการผลักหัวของทั้งคู่ให้โขกกัน
“กาลไปทำน้องทำไมลูก”
“หมั่นไส้ครับ” ปากตอบแม่แต่ตามองเด็กน้อยที่พามาด้วย มือก็ยื่นไปดึงแก้มนิ่ม จันทร์เจ้าปัดออกและจิกตามองแล้วก็กลับไปเล่นกับรพินทร์ จะเอาแบบนี้ใช่ไหม ได้จันทร์เจ้า ได้
“พี่มาศมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“พี่มาถึงตั้งแต่กลางวันแล้ว”
“อ๋อ แล้วไลลาล่ะ?”
“พี่แดนพาขึ้นไปอาบน้ำ ก่อนกาลมาตัวแสบไปวิ่งเล่น มอมแมมไปหมด” ทิวากาลพยักหน้ารับ เดี๋ยวสักพักคงลงมา เขาอยากฟัดไลลาจะแย่แล้ว
“น้องจันทร์เจ้าสนิทกับพี่กาลมากหรือเปล่าจ๊ะ?”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตา คุณหญิงรัตติกาลแย้มยิ้มอ่อนโยน ลูกหมูจึงไม่กลัวแล้วส่งยิ้มกลับ
“ไม่แน่ใจครับ” ตอบแล้วหันมองหน้าทิวากาล “เราสนิทกันไหม?”
“อ้าว แล้วที่ผ่านมาไม่สนิทหรือไง”
“ก็เราไม่รู้นี่ ถ้าเราบอกว่าเราสนิท แต่พี่ไม่สนิทกับเรา แปลว่าเราคิดไปเองน่ะสิ เราหน้าแตกเพล้งเลยนะ!”
“เพ้อเจ้อ”
“ทำไมพี่กาลชอบว่าน้องจันทร์เจ้าจังเลยคะ!?”
“นั่นน่ะสิ ทำไมถึงได้ว่าน้องแบบนั้น”
“นิสัยไม่ดีเลยนะกาล”
ทิวากาลกลอกตา อะไรวะ ทำไมเขาถึงโดนรุมแบบนี้ แล้วดู ดูเจ้าเด็กแสบนั่น แลบลิ้นใส่เขาอีก เดี๋ยวพ่อดูดให้ลิ้นขาด
“พ่อกับไอ้กรจะกลับกี่โมงครับ?” เปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย ไม่อย่างนั้นเขานั่นแหละจะโดนด่า
“คงราว ๆ หกโมงเย็นนั่นแหละลูก …. แล้วน้องจะอยู่ทานข้าวกับเราหรือเปล่า?”
“แม่ชวนสิครับ”
“จันทร์เจ้าอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะจ๊ะ” คนถูกชวนทำหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด อยากกลับบ้านตัวเองจัง… ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะวันนี้เป็นวันของทิวา เป็นวันที่ครอบครัวจะอยู่กันพร้อมหน้าและทานอาหารร่วมกัน แต่จันทร์เจ้าเป็นเพียงแค่คนนอก จะให้มาร่วมโต๊ะด้วยคงไม่เหมาะ…
“ผู้ใหญ่ชวนอย่าปฏิเสธให้เสียมารยาทสิ” นี่ก็อีกคน น่าหมั่นไส้จนอยากข่วน ตาคมวาว ๆ นั่นน่าจิ้มน้อยเสียเมื่อไหร่ ถ้าทิวาไม่บอกให้ท่านเอ่ยชวน ท่านจะชวนไหม
“ตกลงครับ ตอบไปดิ”
“ทิว้า!”
“ครับ” ทิวายิ้มบาง แต่มันยียวนจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิก คนอะไรทั้งกวนประสาท นิสัยไม่ดี และยังเผด็จการ!!
“น้องจันทร์เจ้าไม่อยากทานข้าวกับพวกเราเหรอคะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับพี่พินทร์”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นแปลว่าตกลง เดี๋ยวพินทร์ไปบอกป้าบัวทำอาหารเพิ่มนะคะ มีแขกมาด้วย คิคิ”
ลูกหมูมองพี่รพินทร์ตาละห้อย หยาดน้ำเอ่อคลอที่ดวงตา ไม่ได้จะร้องไห้ มันขึ้นมาเอง อะไรง่า… ทำไมถึงได้คิดเองเออเองกันแบบนี้
“แล้วจะถามเราทำไมอ่า…”
“หึหึ”
“น้องจันทร์เจ้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมจ๊ะ? ป้าจะได้บอกแม่ครัวเขาทำให้”
“ผมทานได้ทุกอย่างครับ”
“ผัดบล็อกโคลี่ครับแม่ เด็กนี่ชอบกิน”
“พี่อยากตายเหรอ?” ถามเสียงเย็นและมองหน้าทิวากาลด้วยสายตาคุกรุ่น
“องค์ท่านประทับแล้วเหรอ หึหึ”
“…….” ลูกหมูเงียบไม่ตอบทิวา หันไปส่งสายตาให้คุณรัตติกาล “ไม่เอาผัดบล็อกโคลี่นะครับ ผมไม่ชอบ…”
“แม่อย่ามองตาเด็กนี่นะครับ” ไม่พูดเปล่า ทิวากาลยื่นมือไปปิดตากลมที่กำลังออดอ้อนแม่ของเขาอย่างไม่รู้ตัวไปด้วย
“อะไรของพี่น่ะ เราไม่ใช่เมดูซ่านะ!”
“นั่นสิกาล ไปปิดตาน้องทำไม”
“โธ่ พี่มาศไม่เข้าใจ”
“กาลก็อธิบายมาสิ”
“ดูสายตาเด็กเตี้ยนี่สิครับ เขากำลังทำให้แม่เป็นทาสเขานะ”
“เพ้อเจ้อแล้วกาล”
“พี่เป็นบ้าเหรอ เราจะทำให้คุณป้าเป็นทาสอะไรเล่า ไร้สาระ”
“นั่นสิ เราเป็นอะไรของเรา หือ”
“เห็นไหม แค่เจอกันไม่นานทุกคนก็เข้าข้างเด็กนี่แล้ว”
ภาณุมาศและคุณรัตติกาลหรี่ตามองทิวากาล “กาลหวงน้องใช่ไหม?”
“ครับ”
“ก็แค่นั้น” ภาณุมาศส่ายหน้าเบา ๆ “กลัวแม่กับพี่จะหลงน้องแล้วลืมกาลเหรอ?”
“เปล่า ผมกลัวพี่กับแม่จะหลงแล้วแย่งเด็กแก้มกลมไปต่างหาก”
คนถูกพูดถึงตัวแข็งทื่อ กะพริบตาปริบ ๆ พูดไม่ออก แก้มใสขึ้นริ้วแดงระเรื่อและร้อนผ่าว ทิวากาลต้องเป็นบ้าแน่เลย พูดจาอะไรก็ไม่รู้ และเราคงบ้ามากกว่า เพราะดันไปเขินอายกับคำพูดบ้าบอของคนนิสัยไม่ดี แล้วดูสายตาของพี่สาวกับคุณแม่ของทิวามองสิ งื่อ… น่าอายจัง
“ผมขอพาน้องขึ้นข้างบนนะครับ ถ้าถึงเวลาอาหารเย็นแล้วก็เรียกด้วยแล้วกัน”
ทิวากาลจูงมือเด็กแก้มกลมของเขาเข้ามาในห้องนอน พื้นที่ส่วนตัวที่ห้ามใครรุกล้ำหากไม่ได้รับอนุญาต ตากลมมองสำรวจ โดยมีทิวากาลสำรวจเด็กน้อยที่กำลังตื่นเต้นอีกที ตาโต ๆ ที่กำลังส่องประกายนั่นมองเพลินชะมัด
“ห้องสวย”
“ขอบคุณ … อยากทานอะไรไหม เดี๋ยวบอกแม่บ้านเอาขึ้นมาให้”
“อะไรก็ได้ครับ” ตอบโดยไม่มองหน้า เพราะเจอสิ่งที่น่าสนใจเข้าแล้ว ลูกหมูเดินตรงไปยังทิศทางที่ตั้งของตู้โชว์ขนาดใหญ่ติดผนัง ในนั้นมีโมเดลแบบต่าง ๆ วางเรียงรายอยู่ ทั้งรถ เครื่องบิน เรือ หรือแม้แต่โมเดลการ์ตูน หรือหุ่นยนต์ ไม่คิดว่าทิวาจะชอบของแบบนี้แฮะ…
“พี่ต่อเองเหรอครับ?” ชี้นิ้วไปที่เหล่าหุ่นยนต์และโมเดลบางประเภท
“ใช่ อยากต่อไหม?”
จันทร์เจ้าตาวาวและพยักหน้าทันที ร่างสูงระบายยิ้ม เดินไปถือกล่องโมเดลที่ยังไม่ได้แกะออกมา ขณะนั้นจันทร์เจ้าก็มาสนใจโมเดลในตู้ ถ้าพี่ฟ้ามาเห็นต้องกรี๊ดหมดภาพคนแมนแน่ ๆ เลย ถ่ายรูปไปอวดดีกว่า คิคิ นอกจากตู้โชว์ของสะสมแล้ว ข้าง ๆ กันนั้นยังมีตู้ที่ใช้เก็บประกาศนียบัตร ถ้วยรางวัลหรือโล่รางวัลต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งจากด้านวิชาการและด้านกีฬา ทุกอย่างต่างมีชื่อ ‘เด็กชาย ทิวากาล ธนภูมิเมธี’ และ ‘นาย ทิวากาล ธนภูมิเมธี’ เขียนเอาไว้
“พี่ทิวาเก่งจัง ได้รางวัลและเกียรติบัตรเยอะมาก” ทิวากาลยิ้มรับคำชม จันทร์เจ้าเองก็ยิ้มเสียจนตาปิด ปกติแล้วทิวากาลได้รับคำชมมาโดยตลอด แรก ๆ ก็ดีใจแต่พอนานวันเขาก็ชินจนรู้สึกเฉย ๆ แต่เมื่อเด็กแก้มกลมเอ่ยชม หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างตื่นเต้นดีใจเหมือนกลับได้ย้อนไปยังวันที่ได้รับคำชมครั้งแรก
เกินไปแล้วพลังของเด็กเตี้ยนี่
“เตี้ย”
“หือ?”
“เมื่อไหร่จะให้ของขวัญ?” จันทร์เจ้าเงยหน้าจากชิ้นส่วนโมเดล แก้มกลมบวมตุ่ยเป็นกระรอกเพราะจุอาหารเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งยิ้มมาให้เขา
“คืนนี้ครับ”
“ตอนนี้ไม่ได้เหรอ? อยากเห็นแล้วนะเว้ย”
“ตอนนี้ก็ได้ เรายังไม่อยากให้ตอนนี้เลย”
“ให้เถอะ อยากแกะ”
ไม่ชิน บอกเลยว่าไม่ชิน การที่ต้องมาเห็นทิวากาลทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ส่งสายตาออดอ้อน ยังไงก็ไม่มีทางชิน ถึงแม้จะเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง รับมือยากจริง ๆ
“พี่แกะของจริงใจไปพลาง ๆ ก่อนไม่ได้เหรอ…?”
“ของจริงใจพี่แกะไปแล้วไง เราก็เห็น”
“ง่ะ…”
“นะ ให้พี่เถอะ เตี้ยครับ อยากรู้แล้วเนี่ย เตี้ยยยยยย”
ลูกหมูกัดริมฝีปากคิดหนัก ให้ตอนนี้เลยดีไหมนะ แต่จะให้ตอนไหนก็ต้องให้อยู่นี่นา
“ก็ได้… ถ้าไม่ถูกใจอย่าขว้างทิ้งนะ”
“ไม่แน่นอน!” ทิวากาลรับคำหนักแน่น จันทร์เจ้าเคลื่อนตัวเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าประจำกายมาก รูดซิปและหยิบถุงที่ซื้อเมื่อตอนสายออกมาส่งให้คนตัวสูง
“โห” ส่งเสียงร้องตั้งแต่เห็นถุงใส่และชื่อยี่ห้อที่ถูกพิมพ์ไว้บนถุง “ลงทุนจังวะ”
“ก็อยากเลือกของดี ๆ ให้นี่นา”
“ขอบคุณครับ” พูดพร้อมกับรับถุงจากมือเล็ก หยิบกล่องที่อยู่ด้านในออกมาแล้วเปิดออก “กำลังอยากได้กระเป๋าสตางค์ใหม่พอดี”
“เราเห็นของพี่มันขาดไง เลยซื้อมา ชอบใช่ไหมครับ?”
“ชอบครับ ขอบคุณนะ แต่ไม่เห็นต้องซื้อแพงแบบนี้เลย แค่ให้การ์ดโง่ ๆ ก็ดีใจละ”
“เอ๋า แล้วไม่บอก” พูดแล้วหัวเรา ก้มลงไปจัดการต่อโมเดล แต่สายตายังคอยชำเลืองมองว่าทิวากาลจะทำยังไงกับเจ้ากระเป๋าสตางค์ใบนั้น
“หึหึ เปลี่ยนใหม่เลยดีกว่า”
“เห่อ”
“แน่นอน!” ยอมรับแบบไม่แย้งใด ๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ “ถ่ายรูปอวดด้วยเลย ครบสูตร!”
บางทีทิวาก็เป็นคนตลก…
“หือ!?”
“อะไรเหรอครับ?” เอ่ยถามออกไป ใจเต้นตุ่ม ๆ ต่อม ๆ บัตรต่าง ๆ ของทิวาวางกองอยู่บนพื้นเพราะทั้งหมดถูกดึงออกมาเพื่อที่จะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่
“การ์ดอะไรวะ” เสียงทุ้มบ่นพลางดึงแผ่นกระดาษแข็งในช่องใส่การ์ดออก
“การ์ดที่ติดมากับกระเป๋า…หรือเปล่า” ท้ายประโยคแผ่วไปแทบหายไปในลำคอ ทิวากาลดึงมันออกมาแล้ว ตาคมเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่การ์ดในมือก่อนจะมองเด็กน้อยที่ก้มไปสนใจกับการต่อโมเดล
“เตี้ย…”
“……”
“เฮ้ยเตี้ย! เตี้ย! ไอ้เตี้ย!!”
“…….”
“เหี้ยเอ๊ย!!!!”
เสียงสบถดังลั่นพร้อมกับจันทร์เจ้าที่เม้มปากแน่น…
TBC
ฮาโล้ววววววววววววว พายัยหมูมาแล้ววววว
ทีแรกว่าจะไม่อัพแล้วนะเพราะไม่ได้อยู่บ้าน แต่ถ้าไม่อัพวันนี้ก็ต้องอัพอีกทีวันจันทร์เลย
นั่งรถไฟเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ก็เลยมาลงตอนใหม่ พอดีกับบนรถไฟมี Wi-Fi ด้วย แฮปปี้~
พี่กาลพาตะหมูเข้าบ้านแล้วนะคุณ ทำเป็นเล่นไป ในส่วนของของขวัญก็ไม่มีอะไรพิเศษ
ส่วนการ์ดโง่ ๆ นั่นคืออะไร ทำไมพี่พระเอกถึงได้เล่นใหญ่ขนาดนั้น รอติดตามตอนหน้านคะ~
อาจจะมีคำผิดอยู่เด้อ ไม่สะดวกที่จะตรวจ(อย่างจริงจัง)จริง ๆ
ขอบคุณทุกคนอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ ไว้เจอกันตอนหน้าครับผม
บั๊บบัย ♥