Chapter 11: ใจจะขาดแล้วเอย
การเผชิญหน้ากับพี่อินทร์เริ่มยากเย็นขึ้นทุกวัน แรกๆ ผมไม่อยากเจอหน้าเขาเพราะกลัวว่าจะถูกเขาแกล้ง แต่หลังจากที่ทั้งถูกจูบ ทั้งถูกกอด แถมยังถูกขอคบเป็นแฟน...
เออ ผมว่าผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ ที่เขาบอกว่าให้ลองมาเป็นอะไรกันนั่น มันเป็นการขอคบชัดๆ ถึงจะไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง แต่มันก็ทำให้ผมกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย จากที่กลัวว่าจะถูกแกล้งอย่างเดียว ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ากลัวทั้งถูกแกล้ง กลัวทั้งถูกขอคบเป็นแฟนด้วยแล้ว
ก็บอกแล้วไง... อิเหนาจะมาชอบจรกาไม่ได้เว้ย!
ไม่ใช่แค่อิเหนา คนอื่นๆ ที่เคยมีอดีตชาติร่วมกันก็เหมือนกัน แน่นอนว่ารวมถึงวิหยาสะกำที่ตอนนี้ไม่รู้หายหน้าหายหัวไปไหนแล้ว เว้นเสียแต่บุษบาที่ผมยินดีและเต็มใจถ้าชาตินี้จะมีใจให้
หัวใจของพี่จรกาผู้นี้จะมอบให้แก่น้องบุษบาผู้เดียวเท่านั้น...
ผมได้ให้สัตย์สาบานไว้ตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
ส่วนอิเหนา... ผมคงจะต้องห่างๆ มันไว้จะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ได้ปวดหัวทุกครั้งที่เจอหน้าแน่ๆ
แต่ทว่า...หนียังไงก็หนีไม่พ้นตราบใดที่ผมยังเกาะติดพี่บุศย์แจเป็นตังเมอย่างนี้ ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันนะว่าทำไมพี่บุศย์ถึงได้สนิทกับรูมเมตของเขามาก แต่ก็ไม่กล้าไปถามเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป จริงๆ แล้วผมก็กลัวคำตอบที่จะได้รับเหมือนกัน ถ้าคำตอบออกมาประมาณว่า 'อ๋อ พี่กับไอ้อินทร์เป็นคู่ขากันน่ะ ก็เลยสนิทกัน' ผมไม่ช็อกหงายหลังไปเลยเหรอ ชาติก่อนยิ่งเป็นคู่ผัวตัวเมียกันอยู่ด้วย เรื่องแบบนี้โคตรจะมีความเป็นไปได้เลย
ผมพยายามไม่คิดอะไร บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เลยวางตัวปกติ ตามติดพี่บุศย์อย่างเคย แต่วันนี้แปลกไปหน่อยตรงที่เขาเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเอง พอผมรับสาย เขาก็โพล่งขึ้นทันที
[จิระ พี่ขอถามอะไรหน่อย]
“ครับพี่บุศย์?”
[จิร้อยมาลัยเป็นไหม]
ผมนิ่งไปครู่ “พี่บุศย์หมายถึงร้อยพวงมาลัยที่ใช้ไหว้พระแบบนั้นน่ะเหรอครับ”
[อืม ใช่ ทำเป็นใช่ไหม เหมือนตอนที่รับเพื่อนใหม่แล้วให้บอกความสามารถพิเศษ จิบอกว่าร้อยมาลัย]
ผมนึกถึงวันนั้นทันที และใช่... ตอนนั้นมีรุ่นพี่ให้แนะนำตัวพร้อมกับบอกความสามารถพิเศษ ผมบอกไปว่าร้อยมาลัย ซึ่งผมก็ทำได้จริงๆ มันเป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่ชาติก่อนน่ะ เพราะดันหลงรักคนชื่อบุษบา บุษบามีความหมายว่าดอกไม้ ก็เลยบ้าคลั่งดอกไม้ เก็บมาร้อยเป็นมาลัยอยู่ช่วงหนึ่ง
“ครับ จิทำเป็น”
พอผมตอบไปอย่างนั้น น้ำเสียงของพี่บุศย์ก็ฟังดูดีใจทันที
[เหรอ ดีจังเลย งั้นช่วยอะไรพี่หน่อยได้ไหม]
“อะไรเหรอครับ”
[ช่วยสอนพี่ร้อยมาลัยหน่อยสิ]
ขอร้องมาอย่างนี้ มีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ รีบตอบรับทันควัน
“ได้สิครับ เมื่อไรดี”
[วันนี้เลยได้ไหม รีบกลับหรือเปล่า ถ้าไม่รีบ ไปสอนพี่ที่ห้องหน่อย พอดีต้องรีบใช้]
เท่านั้นผมก็เบิกตาโตทันที
“ได้เลยครับ งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนแล้ว ให้จิรอที่หน้า...”
[ไปที่หอเลย พี่อาจจะไปช้าหน่อย ต้องแวะไปซื้อของก่อน เดี๋ยวให้ไอ้อินทร์ลงมารับนะ]
เป็นแบบนี้อีกแล้ว...
เป็นครั้งแรกที่อยากจะปฏิเสธ แต่พี่บุศย์ก็พูดอยู่คนเดียวแล้วก็ตัดสายไป ปล่อยให้ผมมองหน้าจอโทรศัพท์นิ่งๆ แล้วถอนหายใจออกมา
ช่างเถอะ คิดเสียว่าเป็นโอกาสทองที่จะได้อยู่กับพี่บุศย์แล้วกัน อย่าไปใส่ใจอะไรมากเลย
แต่...ผมว่าผมควรใส่ใจ เพราะเอาเข้าจริง ไอ้ที่พี่บุศย์โทรมาขอร้องให้ผมช่วยสอนร้อยมาลัย มันคือการสอนให้พี่อินทร์ร้อยต่างหาก ไม่ใช่เขา เพราะอาทิตย์หน้า พี่อินทร์มีสอบควิซร้อยมาลัยในวิชาอะไรสักอย่างของคณะที่เขาเรียน ผมเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าเขาเรียนสาขาวิชาการละคอน และการร้อยมาลัยก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเลือกในคณะซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่เขาอธิบายหรอก ขุ่นใจมากกว่าที่พี่บุศย์ไม่ยอมบอกว่าที่ขอให้ผมมาสอนคือสอนพี่อินทร์ ไม่ใช่เขา
ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกนะว่าเป็นเพราะถ้าเอ่ยชื่อพี่อินทร์แล้วผมจะไม่มาสอน ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งจุ้มปุ้ก สอนให้พี่อินทร์ร้อยมาลัยในห้องของเขาแบบสองต่อสอง
ใช่! สองต่อสอง พี่บุศย์บอกว่าจะไปซื้อของ จริงๆ คือนัดเพื่อนไปคุยงานกลุ่มแล้วหลอกให้ผมมาที่นี่
น้องบุษบานะ น้องบุษบา ทำไมทำกับพี่จรกาอย่างนี้!
เป็นครั้งแรกเลยที่เคืองพี่บุศย์ แต่ก็พยายามเก็บอาการเพราะคนตรงหน้าทำให้ผมเคืองกว่า
คือ...จริงๆ พี่อินทร์ก็ยังไม่ได้ทำอะไรหรอก นั่งฟังผมอธิบายอย่างตั้งใจนั่นแหละ แต่แค่ผมเห็นหน้าเขาแล้วก็หงุดหงิดอะ
เอาเถอะ รีบสอนๆ ให้จบๆ จะได้รีบกลับหอ
“มาลัยกลมมันมีอยู่สองแบบครับพี่อินทร์ มีมาลัยเกลี้ยง คือแบบที่ไม่มีลาย กับมาลัยกลมยกดอก อันนี้จะมีลาย จิจะสอนทำแบบเกลี้ยงนะเพราะง่ายกว่า พี่อินทร์ต้องเลือกเอาดอกให้ขนาดเท่าๆ กันก่อน เวลาร้อยมันจะได้สวย ก้านดอกก็ต้องยาวให้เท่ากันด้วย ส่วนเวลาร้อยก็ร้อยแถวแรกให้เป็นวงกลมก่อน เว้นระยะห่างแต่ละดอกให้เท่ากัน เรียงจากซ้ายวนไปขวา”
ผมอธิบายพลางหยิบเข็มร้อยมาลัยกับดอกพุดตูมที่คัดไว้แล้วมาร้อยให้ดู พอร้อยเสร็จก็ยื่นไปตรงหน้า
“แบบนี้น่ะครับ เห็นไหมว่ามันจะเรียงกัน”
พี่อินทร์เหลือบมองแล้วพยักหน้า ก่อนจะหยิบดอกพุดตูมขึ้นมาร้อยบ้าง แล้วยื่นให้ผมดู
“แบบนี้เหรอ”
ผมคว้ามาวางในอุ้งมือแล้วพินิจ “ครับ แบบนี้แหละ สวยแล้วล่ะ”
พี่อินทร์ยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าร้อยมาลัยต่อ ผมเห็นแล้วก็โล่งใจอยู่เหมือนกันที่วันนี้เขาดูจริงจังกว่าปกติ ไม่แกล้งหรือทำอะไรบ้าๆ บอๆ แต่ทว่า...เหมือนผมจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อยล่ะมั้ง เพราะพอเขาร้อยไปได้อีกสักพัก พอเริ่มคล่องมือ ก็มีเสียประหลาดๆ ดังมาให้ได้ยิน
“อื้อ...”
ผมเหลือบมองก็เห็นว่าเอาค่อยๆ เอาเข็มแทงก้านดอกพุดตูมช้าๆ ทำหน้าทำตาเหยเก พอร้อยเข้าไปได้ก็ส่งเสียง
“อา...”
จากนั้นก็ทำแบบเดิมอีก
“อ๊ะ...อือ...”
พอเข็มทะลุก็มีเสียง...
“อืม...”
กับดอกไม้ มึงก็เล่นสัปดนได้เนอะ!
ผมเห็นแล้วก็รำคาญ อดไม่ได้ที่จะพูด
“ทำดีๆ ได้ไหมพี่อินทร์ อย่าเล่น”
แล้วเขาฟังไหมล่ะ เหอะ! ฟังกับผีอะไร มองหน้าผมได้ก็ยิ้มกว้าง ส่งเสียงประหลาดๆ ออกมาอีก คราวนี้มีชื่อผมด้วย
“อื้อ...จิ...จิระ อ้าส์”
“พี่อินทร์ อย่าครับ”
ผมปราม ไม่ชอบให้เขาทำแบบนี้ แต่ไม่ได้ผลเลยสักนิด
“อ๊าง...จิระ ไม่นะ อือ...อา...”
“พี่อินทร์ พอ...”
“อื๊อ อิคึๆ”
กูบอกให้หยุดไงเว้ย!
ยิ่งแกล้งก็ยิ่งสนุกเขาล่ะ แต่อย่างที่บอกว่าผมไม่สนุกด้วย ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะถูกแกล้งแบบนี้อีก ผมก็ไม่มาหรอก ก่อนจะเผลอส่งเสียงดังอย่างลืมตัวเมื่อเห็นว่าเขายังหยอกไม่หยุดสักที
“พี่อินทร์! จิบอกให้พอได้แล้ว!”
พี่อินทร์ก็หุบปากฉับทันที เขาดูตกใจไปนิดๆ เหมือนกันที่จู่ๆ ผมก็ตะคอกใส่ แต่ก็ไม่ยอมหยุด
“โหดร้าย เจ้ากระรอกก้าวร้าว~ พี่อุตส่าห์รักอุตส่าห์หลง ทำไมใจร้ายกับพี่อินทร์อย่างนี้”
แล้วที่มึงทำมันน่าใจดีด้วยไหมเล่า!
ตัดพ้อต่อว่า ทำท่าสะดีดสะดิ้ง ผมเห็นแล้วเส้นความอดทนที่เต้นตุ้บๆ อยู่ข้างขมับถึงกับขาดดังผึง พลันวางเข็มร้อยมาลัยลงแล้วมองหน้าเขานิ่งอย่างเอาจริง
“แต่จิไม่ได้ชอบพี่อินทร์”
พูดไปอย่างนี้ก็หวังว่าเขาจะหยุดน่ะนะ แต่เขากลับทำหน้าระรื่น ว่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ไม่ชอบตอนนี้ เดี๋ยววันข้างหน้าก็ชอบ”
ไม่มีทางหรอกเว้ย! เพราะกูน่ะ...
“จิชอบพี่บุศย์ ไม่มีวันชอบพี่อินทร์หรอกครับ!”
ผมเผลอตัวโพล่งออกไปเพราะกลัวว่าเดี๋ยวเขาจะยอกย้อนแล้วต่อปากต่อคำอีก แล้วก็มาสำนึกขึ้นได้ว่าหลุดปากพูดอะไรไปตอนที่เห็นสีหน้าอึ้งงันของพี่อินทร์ ชั่วขณะนั้นผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่พูดความจริงออกไป
“จิ...ชอบไอ้บุศย์จริงๆ เหรอ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อ ผมเองก็ไม่อยากตอบ แต่ในเมื่อหลุดปากออกไปแล้ว ก็คงจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยแล้วล่ะ
“ครับ จิชอบพี่บุศย์”
ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งแผ่ว ผมไม่กล้าสบตาเขาเลยเพราะรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ได้รู้สึกผิดต่อบุษบา ไม่ได้กลัวว่าจะถูกแย่งบุษบาไป แต่เป็นเพราะ...สงสารคนตรงหน้ามากกว่า ก็พี่อินทร์น่ะ สลดไปเลยนี่นา สลดแบบว่าจ๋อยไปทันตาเห็น ใบหน้าที่ยิ้มๆ กับท่าทางทะเล้นในตอนแรก ตอนนี้ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แม้แต่แววตาก็หม่นแสงลง ดูก็รู้เลยว่าเจ็บปวดแค่ไหน
ทำไมผมถึงเข้าใจน่ะเหรอ?
ก็ผมเคยรักคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมองผมมาก่อนนี่นา ทำไมผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้กัน
พลันก็รู้สึกผิดขึ้นมาเต็มอกยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นมือทั้งสองข้างของพี่อินทร์ดูไร้เรี่ยวแรง ทิ้งเข็มร้อยมาลัยลงพื้น ก่อนที่เขาจะนั่งก้มหน้านิ่ง
ปะ...เป็นเรื่องแล้วมั้งเนี่ย
“พี่อินทร์ครับ...”
ผมเลยร้องเรียกออกไป เขายังคงก้มหน้าเหมือนเดิมอยู่ ทำให้ผมรีบคิดหาคำปลอบใจเขาเป็นพัลวัน
“ถึงจิจะชอบพี่บุศย์ แต่จิก็ไม่ได้รังเกียจพี่อินทร์หรอกนะครับ ถึงพี่อินทร์จะชอบแกล้งจิ แต่เราก็ยังเป็นพี่น้องกันได้นะ”
เท่านี้พี่อินทร์ก็เหลือบตาขึ้นมามองผม ทวนคำพูดที่ผมพูดไปเมื่อกี้ออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“พี่น้อง?”
ผมเม้มริมฝีปากแน่น...
คำว่า ‘พี่น้อง’ ก็เจ็บปวดพอๆ กับได้ยินว่าผมชอบพี่บุศย์นั่นแหละ ผมเลยรู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป เลยขยับเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบใจเขา
“พี่อินทร์...”
ทว่าพี่อินทร์ก็ล้มฮวบลงไปนอนกองกับพื้น ผมเห็นแล้วก็ตกใจสุดขีดเลย รีบถลาเข้าไปประคองเขาอย่างรวดเร็ว
“พี่อินทร์! เป็นอะไรไหม!”
รีบพยุงให้เขานอนหงายด้วย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเขานอนหนุนตักผมอยู่ สีหน้าดูไม่ดีเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าจะไม่ซีดก็เถอะ
“เดี๋ยวจิโทรเรียกพี่บุศย์ให้นะ”
ผมลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ตั้งใจว่าจะให้พี่บุศย์มาช่วย แต่พอผมพูดประโยคนั้น พี่อินทร์ก็กระอักลมออกมาเฮือกใหญ่
“เอื้อ~”
แล้วผมก็เอะใจ... เอ๊ะ ทำไมสถานการณ์แบบนี้มันคุ้นๆ
พอผมเหลือบมองคนที่นอนตักอยู่ เขาก็เอื้อมมือขึ้นมาประคองซีกหน้าผม พึมพำอะไรบางอย่าง พอผมเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินว่า...
“มองเขาดับไฟนอน กอดหมอนนึกแล้วนอนหลับตา”
“...”
“ตรงนั้นนวล ตรงนี้นิ่ม ตรงนั้นขาว โอ๊ย ใจจะบ้า แล้วต่อมาจะมีอะไร”
“...”
“ใจจะขาดแล้วเอ๊ยยย~”
“...”
“ใจจะขาดแล้วเอยยย~”
จู่ๆ ก็ร้องเพลง ใจจะขาด ของ ศรเพชร ศรสุพรรณ ขึ้นมา เท่านี้ผมก็รู้เลย...
ที่มึงทำเป็นจะตายแหล่ไม่ตายแหล่นี่แกล้งเหรอไอ้อิเหนา!
แกล้งแน่นอน ไม่งั้นจะมาร้องเพลงโหยหวนทำไม ผมเห็นแล้วก็อยากจะทุบ
เดี๋ยวมึงได้ขาดใจตอนนี้แหละ!
ผมโมโหแล้ว ผลักหัวเขาออกจากตัก ส่งผลให้หัวพี่อินทร์โขกกับพื้นดังตึงเบาๆ พี่อินทร์ร้องโอ๊ยออกมา ดันตัวขึ้นนั่ง ลูบท้ายทอยตัวเองป้อยๆ
“เจ็บนะเนี่ย เล่นแรงนะเรา”
ผมค้อนเขาขวับทันที “แล้วใครใช้ให้มาแกล้งจิแบบนี้ล่ะ คนอุตส่าห์เป็นห่วง มัวแกล้งอยู่ได้ พี่อินทร์เป็นแบบนี้นี่ไง จิถึงได้ไม่ชอบ คิดว่าแกล้งจิแบบนี้แล้วจิจะชอบเหรอ มันโคตรน่ารำคาญเลยรู้ไหม หัดทำตัวดีๆ เหมือนพี่บุศย์บ้างเถอะครับ!”
แล้วก็ดันเผลอตัวโพล่งออกไปด้วยความหงุดหงิดอีก คราวนี้พี่อินทร์ไม่ได้ทำหน้าสลด เขายังยิ้มอยู่ แต่ประโยคที่หลุดออกจากปากเขาแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ขอโทษนะ”
ผมชะงัก ค่อยๆ ผ่อนความโกรธลง ขณะที่พี่อินทร์ว่ายิ้มๆ
“งั้นต่อไปนี้ พี่จะไม่แกล้งแล้ว”
ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าแววตาของเขาดูเจ็บปวดแปลกๆ ผมไม่อยากคิดหรอกว่าเป็นเพราะผมพูดไปอย่างนั้น เขาถึงได้สลด แต่ดูจากทรงแล้วคงจะใช่ เพราะหลังจากนั้น เราสองคนก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย นอกจากนั่งร้อยมาลัยกันเงียบๆ
ผมเหลือบมองเขาเป็นระยะ พี่อินทร์มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ดูทะเล้นเหมือนอย่างเคย แต่พอเขาจับได้ว่าผมแอบมองอยู่ เขาก็ยิ้มให้ จนเป็นผมเองที่ต้องหลบสายตา
บรรยากาศแบบนี้มันโคตรจะน่าอึดอัดเลย...
อึดอัดจริงๆ นะ มันอึดอัดเพราะผมรู้ว่าตัวเองทำอะไร แล้วก็รู้ด้วยว่าพี่อินทร์รู้สึกยังไง จะให้ทำตัวตามปกติก็ทำไม่ได้ พี่บุศย์ก็ไม่กลับมาสักที จนผมแทบจะเป็นฝ่ายขาดใจตายเพราะอึดอัดเกินจะรับไหวแล้ว!
“ถ้าจิอยากกลับ ก็กลับได้นะ” จู่ๆ พี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเขายิ้มให้อยู่ “พี่ร้อยเป็นแล้ว ไม่ต้องสอนแล้วล่ะ”
ผมชำเลืองมองมาลัยในมือเขา เขาก็...ร้อยเป็นแล้วอย่างที่บอกนั่นแหละแม้ว่ามันจะไม่เนี้ยบสักเท่าไรก็เถอะ
“แต่ว่าจิยังไม่ได้สอนให้เก็บปลาย...”
“ไม่เป็นไร พี่รบกวนเวลาเรามามากแล้ว รีบกลับเถอะ เดี๋ยวมันจะดึก”
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจเลย ถึงจะอยากกลับแต่ก็เกรงใจพี่อินทร์ขึ้นมาแปลกๆ เลยอึกๆ อักๆ อยู่อย่างนั้น
“แต่ว่า...”
“ไม่เป็นไรครับจิระ พี่โอเค”
‘พี่โอเค’…หมายถึงเรื่องร้อยมาลัยหรือเรื่องที่ผมพูดแรงๆ ใส่เขาก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ คือผมว่าผมควรจะกลับดีกว่า ขืนอยู่ต่อ มีหวังสถานการณ์มันจะอึดอัดมากกว่านี้
“งั้นเดี๋ยวจิกลับก่อนนะครับ”
พี่อินทร์พยักหน้า ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าตังค์ ควักเอาแบงก์ห้าร้อยมายื่นให้ผมขณะที่ผมกำลังเก็บข้าวของของตัวเองอยู่
“อะไรครับ”
พอเห็นก็อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้
“ค่าเหนื่อย จิจะได้เอาไว้ขึ้นแท็กซี่ ตอนนี้มันมืดแล้ว รอรถเมล์นาน”
ปกติแล้วถ้าเขาถ่วงเวลาให้ผมกลับมืดๆ แบบนี้ เขาจะเสนอตัวไปส่ง แต่ครั้งนี้เอาค่ารถมาให้แทน
หรือว่าจะไม่อยากเห็นหน้าผม?
แหงอยู่แล้ว ใครมันจะไปอยากเห็น เพิ่งหักอกเขาไปสดๆ ร้อนๆ นี่
“ไม่เป็นไรครับ จิ...”
ผมตั้งใจจะไม่รับ ไม่อยากให้มีอะไรติดค้างกัน แต่พี่อินทร์ก็คว้ามือผมไปจับก่อนจะยัดเงินลงมา
“รับไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”
ใจจริงผมไม่อยากรับเลย แต่ถ้าไม่รับ ดูท่าคงจะต้องต่อปากต่อคำกันอีกยาวแน่ ผมไม่อยากอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้นานสักเท่าไร คงต้องปล่อยเลยตามเลย
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมือไหว้ สะพายกระเป๋า เตรียมจะออกจากห้อง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อทันทีที่คว้ามือไปจับลูกบิด พี่อินทร์ก็คว้าข้อมือผมอีกข้างไว้ พอผมหันไปมอง ก็เห็นว่าเขายืนจ้องอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
พี่อินทร์ไม่ตอบ ขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังหนี
ถอย...จนแผ่นหลังไปติดกับประตู ใบหน้าของพี่อินทร์ก็อยู่ห่างแค่คืบ ผมพอจะรู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พูดอะไรไม่ออก จะผลักไสก็ไม่กล้าด้วยเพราะสายตาของเขาที่มองมายังผมในตอนนี้ มันดู...
...เจ็บปวด
ผมรู้สึกแย่ขึ้นมากกว่าเดิม ขณะที่พี่อินทร์ขมวดคิ้วน้อยๆ ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนกระทั่งลมหายใจอุ่นๆ ของเขาโลมเลียที่ใบหน้าผม วินาทีนี้ผมตัดสินใจขึ้นมาในชั่วแวบหนึ่งว่าจะยอมให้เขาทำตามใจอีกสักครั้งหนึ่ง เป็นการชดเชยที่ผมทำร้ายความรู้สึกเขาไปเมื่อกี้
แต่แล้ว...เขาก็ไม่ทำอะไรต่อ นอกจากจะว่าเสียงเบา
“กลับดีๆ นะจิระ”
จากนั้นก็ผละออกไป มือก็คลายออกจากข้อมือผม ปล่อยให้ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่อินทร์...”
เขาไม่พูดอะไร เอื้อมมือไปเปิดประตูให้ก่อนยกยิ้มบางๆ
“ขอบคุณที่มาช่วยสอนพี่ครับ”
เขาตัดบทอย่างนี้ แล้วผมจะไปพูดอะไรอีกได้ นอกจากจะพยักหน้าแล้วเดินออกมาจากห้อง เสียงปิดประตูดังตามหลังมา เขาไม่แม้แต่จะลงมาส่งผมที่ข้างล่างหอพักด้วย
ผมหันไปมองประตูที่ปิดสนิทแล้วก็ใจไม่ดีแปลกๆ
หวังว่าพี่อินทร์คงจะไม่เป็นอะไรนะ...
-------------------------------------
ปี้อินทร์โหมดจริงจัง+สลดค่ะ 555 โดนนว้องจิระเบิดตู้มเป็นโกโก้ครันช์ซะ สมควรโดนแล้ว (มั้ง?)
คนบ้าก็เจ็บปวดเป็นนะแกรรร ขอกำลังใจให้พี่เค้าหน่อยค่ะ XD