15
เราต่างมีความกลัวสะท้อนอยู่ในแววตา
...นานนับชั่วโมงกว่าผมจะหาเจอว่าความกลัวของเขาคืออะไร ทั้งที่ความกลัวของผมปรากฏชัดง่ายดาย...ความรู้สึกที่อยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้
...ผมกลัวเขาหายไป
แต่ชั่วขณะที่รู้นัยน์ตาของอีกฝ่ายซ่อนอะไรไว้ ความหวาดหวั่นก็อันตรธานหายในพริบตา
ดวงตาที่ราวกับจะกักขังผมเอาไว้ในนั้น... ตอกตรึงดึงดูดสู่ความล้ำลึกเกินหยั่งถึงของสีรัตติกาล
...ต่างไม่อยากปล่อยมือกันและกัน
แต่เกมยังคงดำเนินต่อไป...
“ตีสามแล้ว” ผมมองนาฬิกา ย่นหน้าเมื่อไม่มีใครยอมรามือให้กัน “แบบนี้มันน่าเบื่อเกินไป”
เขาหัวเราะเบาๆ เห็นด้วยแม้ไม่เอ่ยย้ำ เราใช้เวลาในการนอนมองหน้ากันโดยไร้บทสนทนานานเกินไป
“เป็นคนเสนอเอง” เขาโทษผม มือข้างที่ไม่ได้สละให้รองคอเลื่อนจากเอวขึ้นมาสางเรือนผมเล่นแผ่วเบา
ไม่คิดเถียงว่าคำท้าของตัวเองช่างไรสาระ
ใครหลับก่อนแพ้...
เหมือนคนว่างงาน... ทั้งที่พรุ่งนี้ผมมีนัด และเขายังต้องอ่านสอบอีกหลายวิชา
“พี่ท้าบ้างสิ” ผมว่า โยนหน้าที่ให้
พี่เตเลิกคิ้วนิ่งไปสักพัก มองผมเหมือนหาคำท้าบนใบหน้า ก่อนยกยิ้มมุมปากได้คำตอบ เรียกให้ผมเลิกคิ้วมองใบหน้าคมที่ขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกัน
ดวงตาสีรัตติกาลพราวระยับจ้องนิ่งก่อนเอ่ยคำท้าแสนสั้น
“ห้ามจูบ”
“...”
ให้ตาย... นี่มันยากเกินไป
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ผมเหลือบสายตาต่ำลงจ้องริมฝีปากบางที่ยกยิ้มนิดๆ อย่างท้าทาย
ปลายจมูกที่อยู่ใกล้ทำให้ลมหายใจอุ่นไล้ปลายจมูกยิ่งล่อลวง เผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัวจนต้องรีบสูดลมลึกอดกลั้นใจ
“หึ” แต่ไม่ทันไร...
ไม่ทันคิดว่าน่าจะทนไหว เขาก็ทำผมแพ้ราบคาบด้วยรอยยิ้มง่ายๆ
แค่รอยยิ้มเดียว...
เพียงเปิดปากอวดฟันขาวที่เรียงตัวสวยอย่างน่าอิจฉา รอยยิ้มกว้างๆ ที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักทำให้ผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปงับริมฝีปากเขาราวละเมอ
บดเบียดอย่างคนพาลที่แพ้เขาจนได้... ก่อนเป็นฝ่ายถูกครอบครองจากริมฝีปากที่ช่ำชองกว่า อ้อมแขนแกร่งยกร่างผมขึ้นไปนอนทับ หัวเราะในลำคออย่างพอใจที่ผมเผยอปากรับเรียวลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาอย่างเต็มใจ ปล่อยให้เขาชักนำ... มอมเมาสู่ความหวานลึกล้ำ
ก่อนค่อยๆ เร่งเร้า... กลายเป็นจูบร้อนแรงจนจิลที่ลิ้นแทบละลาย
“ผมจะทำให้พี่แพ้บ้าง” พูดจาอวดดีทั้งที่หายใจเหนื่อยหอบ ย่นหน้ามองคนใจร้ายที่ทำผมเกือบขาดอากาศหายใจ
คำท้าแรกยังไม่รู้ผล... และผมมีวิธีเอาชนะ
“ก็ลองดู” พี่เตเลิกคิ้วท้าทาย ผมสบตากลับ พยายามตีหน้าขรึมแต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มจนได้ ก้มลงกดจูบที่ริมฝีปากบางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยอย่างได้ใจ
“คอยดู” ผละออกมาจูบปลายคาง ซอกคอ... แกล้งทำรอยไว้ ก่อนจะไล่ต่ำลงทั่วร่างกายทนบนที่เปล่าเปลือยไม่ต่างกัน
เน้นหนักที่รอยแผลของเขา... ร่องรอยปริแตกที่ผ่ากลางร่างถูกผมรุกล้ำด้วยริมฝีปาก พรมจูบลากจุดต่อจุด... จากเริ่มต้นสู่สุดท้าย... เงยหน้าสบดวงตาสีรัตติกาลอีกครั้งและพบว่านัยน์ตานั้นพราวระยับกว่าครั้งไหนๆ
...เขารู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร
หลุดหัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าของร่างไม่คิดห้าม ก้มหน้าลงกดจูบที่หน้าท้องเขาอีกครั้ง แกล้งกัดลอนกล้ามอย่างมันเขี้ยว ก่อนเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่ง... ละเลียดชิมผิวเนื้อกำยำเชื่องช้า...พร้อมกับขยับเรียวนิ้ว... เกี่ยวเอาปราการเพียงชิ้นเดียวให้ต่ำลง
“...” ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นความเป็นชายที่เริ่มขยายอยู่ตรงหน้า
ความร้อนฉ่าแล่นอาบไปทั้งร่าง เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังเหยียบย่างสู่พื้นที่อันตราย...
หัวใจเต้นตุบชั่งน้ำหนักความต้องการ... อยากครอบครองทั้งหมด... แต่ผมอาจขาดอากาศหายใจตาย
“หึ” สุดท้ายเขาเป็นฝ่ายเลือกหิ้วปีกดึงผมกลับขึ้นไป พลิกตัวขึ้นคร่อม งับปลายจมูกจูบจิลสีเงินอย่างหมั่นไส้
“ซนจัง”
“ฮื่ออ” หลุดร้องเสียงดัง ยกมือปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอาย เรียกให้เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ อีกครั้งพร้อมพรมจูบใบหูสลับกับหลังมือเรียกร้องให้ผมลดปราการ
“มองหน้าพี่หน่อย” สุดท้ายพ่ายแพ้กับน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งอ้อน ปล่อยให้เขาดึงมือออก ยอมสบตาทั้งที่ใบหน้าร้อนและคงขึ้นสีจัด
“คราวหน้า...” พูดจาอวดเก่งสวนทางความรู้สึกที่อยากจะกัดลิ้นตายทันทีที่เห็นรอยยิ้มร้าย “เตรียมใจไว้เลย เตวิชญ์”
“หึ...” อีกฝ่ายไม่สะทกคำขู่ ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว ก่อนก้มหน้าลงมางับริมฝีปากล่างผม ดูดดุนอย่างมันเขี้ยวแล้วเลื่อนจูบไปทั่วหน้า
“คุณพิชญ์...”
“...”
“อย่าน่ารักให้มากนัก”
ยอมรับว่าพลาดเองที่คิดว่าจะชนะ ทั้งที่เห็นชัดว่ายังต่างชั้น แพ้ภัยตัวเองเมื่อแผนการรีดน้ำกลับย้อนมาทำร้าย... แท่งราคะถูกฝ่ามือใหญ่ปลุกปั่น ก่อนรวบรัดแนบนาบเข้ากับส่วนแข็งขืนร้อนจัด...
กลายเป็นฝ่ายถูกรีดไปพร้อมกัน
...
และไม่รู้ว่าเพราะเสียเหงื่อจนเหนื่อยอ่อน หรือเพราะอ้อมกอดอุ่นของเขา...
แขนกำยำที่ใช้รองคอพร้อมฝ่ามือลูบไล้บนเส้นผมแผ่วเบา อาจเป็นจังหวะฝ่ามือที่ตบสะโพกเบาๆ ราวกล่อมกัน
สุดท้ายคืนนั้น... ผมแพ้ราบคาบทั้งสองเกม
ช่วงสอบผมกลับไปอ่านหนังสือที่บ้าน เพราะต้องการความสงบบวกกับอยากประจบพ่อกับแม่ด้วยการอวดความตั้งใจ จะว่าเนิร์ดหน่อยๆ ก็ได้ที่ผมไม่ยอมปล่อยให้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่าสาม...
เป็นเงื่อนไขที่ผมใช้เพื่อคว้าบางอย่างซึ่งยากเอาการ
ก่อนหน้านี้การกลับบ้านมีแต่ข้อดี ผมมีห้องหนังสือส่วนตัวที่เข้าไปฝังอยู่ได้ทั้งวัน มีคุณแม่ยกอาหารมาให้แทบไม่ต้องขยับตัวทำอะไร
แต่คราวนี้ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวกลับทำผมร้อนลน เกือบจะทนให้เวลาผ่านไปไม่ไหว
...คิดถึงแทบบ้า
ผมเดินผ่านชั้นวางของล็อกแล้วล็อกเล่าเพื่อมองหาร่างสูงที่ระบุมาในสายโทรศัพท์ว่ากำลังเลือกอาหารสุนัขอยู่ที่ซุปเปอร์ฯ ล่างของคอนโด
ไม่นานแผ่นหลังแสนคุ้นเคยก็ปรากฏ ผมสาวเท้าเขาไปด้วยความรู้สึกโหยหาที่ฉายชัด แต่แล้วรอยยิ้มกลับอันตรธานหาย เมื่อตรงหน้าอีกฝ่ายมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักกำลังพูดคุยเนื้อหาที่ผมไม่ได้ยิน
“เตวิชญ์” เร็วเท่าความคิด ผมเอ่ยเรียก ดังพอแค่ให้เจ้าของชื่อและคู่สนทนาแปลกหน้าหันมา
เธอทำท่าประหลากใจ ในขณะที่อีกคนเพียงเลิกคิ้วสั้นๆ แล้วหันกลับไป ท่าทางไม่ใส่ใจทำให้ผมขมวดคิ้วเดินเข้าไปหาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ขอบคุณนะคะ” แต่พอผมถึงตัวใครอีกคนก็ผละจากไปพอดี
“ใครอ่ะ” ผมถาม มองตามร่างสะโอดสะองอย่างข้องใจ
“ไม่ใช่ใคร” ตอบอย่างเฉยเมย แล้วหันกลับไปเลือกอาหารสุนัขบนชั้นวาง
ผมกะพริบตาปริบๆ กับความเย็นชานั้น ไม่รู้ว่าควรทำยังไง เลยได้แต่มองนิ่งจนเจ้าของใบหน้าคมหันกลับมาเลิกคิ้วตั้งคำถาม
“พี่ทำผมหึง” สารภาพตามตรง ยกมือกอดอกให้รู้ว่ากำลังไม่พอใจ
“ไม่ยักรู้ว่าขี้หึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นพลางหัวเราะเบาๆ
ไม่แปลกที่เขาจะประหลาดใจ สมัยมัธยมผมไม่เคยแสดงอาการหึงหวงเขา ไม่ว่าจะคบตัวเองควบใครต่อใคร
พยายามไม่ทำตัวงี่เง่าให้เขารำคาญ
แต่ตอนนี้... ผมคิดว่ามันต่างกัน... ใช่ไหม?
“แล้วพิชญ์มีสิทธิ์หึงไหม” สุดท้ายเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ น้ำเสียงขึ้งเครียดกลับกลายเป็นหวั่นไหว
นึกกลัวคำตอบของเขา... กลัวความสัมพันธ์ของเรา
ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย
“มี” ก้อนหินหนักอึ้งหายไปเมื่อเขาตอบกลับมาทันที ตอบคำถามที่ผมข้องใจ “ผู้หญิงเมื่อกี้เขาขอให้แนะนำอาหารสัตว์ให้”
เงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนเอ่ยราวกับรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดคืออะไร
“พี่เหลือพิชญ์คนเดียว”
ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มกว้าง โล่งใจ ขณะที่เขาเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ
“ไม่เคยทำให้เชื่อใจเลยใช่ไหม” เขาขมวดคิ้ว ไม่ได้ตำหนิ แต่เพียงสงสัย
“อือ” ผมย่นคิ้วก่อนพยักหน้า ไม่กล้าตอบว่าไม่ใช่ ด้วยรู้ตัวว่าการกระทำในอดีตของเขาฝากรอยแผลที่ผมไม่ไม่เห็นเอาไว้
“ขอโทษ” เขาเอ่ย น้ำเสียงอ่อนโยนและแววตาแบบเดียวกันแผ่ความอบอุ่นให้ซ่านซึมจนสัมผัสได้
“...”
“ต่อไปจะพยายาม”
...ว่าเขากำลังค่อยๆ เปิดใจ
“แล้วพี่เคยหึงผมไหม” หมดความขุ่นข้องผมถามกลับในประเด็นเดียวกัน
จะว่าไปผมไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการหึงหวงเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่พี่เจดเล่าเรื่องที่ผมขอจูบและอาจจะลากลามถึงเรื่องที่เคยจีบผมให้ฟัง เขาก็ไม่มีท่าทีอะไร
พี่เตเลิกคิ้วมองผม ก่อนส่ายหน้าขำๆ
“มึงน่ารักเกินไป” เอ่ยคำที่ไม่เข้าใจพลางเอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “ไล่หึงทุกคนคงเหนื่อยตาย”
คราวนี้ผมหัวเราะกับเหตุผลมึนๆ ของเขา ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องมาอย่างสื่อความหมายพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อีกอย่าง... กูไม่เคยเห็นสายตาคู่นี้มองใคร”
ประโยคแสนมั่นใจกลับทำให้ก้อนเนื้อที่อกซ้ายเต้นโครมคราม
“หลงตัวเองชะมัด” อดเหน็บไม่ได้
...แต่สุดท้ายก็แพ้เจ้าของรอยยิ้มร้ายอีกครั้ง
“มึงต่างหากที่หลงกู”
ผมหัวเราะเสียงดัง อยากจะหมั่นไส้แต่ความรู้สึกอื่นฉายชัดเรียกให้ผมขยับเข้าไปหาร่างสูงที่ยังคลี่ยิ้ม โอบแขนรอบคอเขา ซุกหน้ากับไหล่กว้างอย่างไม่คิดอาย ซุกซบกลิ่นกายที่ผมหลงใหลให้สมกับที่ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน
“ทำไงดี... ผมว่าผมตกหลุมรักพี่อีกรอบแล้ว เตวิชญ์”
บอกไปหรือยังว่าผมไม่ชอบสุนัขเท่าไหร่…
แต่ในกรณีนี้ผมว่าผมเป็นฝ่ายถูกเกลียดซะมากกว่า
โฮ่ง! โฮ่ง!
“เปียกปูนเป็นอัลไซเมอร์ป่ะ” ผมถามเมื่อเสียงเห่าดังลั่นก่อนเห็นตัวด้วยซ้ำ
อยู่ร่วมบ้านกันตั้งหลายวัน แถมชื่อผมก็เป็นคนตั้งให้ แต่เจ้าลูกหมาก็ยังไม่มีท่าทีจะจำผมได้ เห่าใส่ทุกครั้งที่เจอหน้าราวกับว่าผมเป็นคนแปลกหน้าตลอดเวลา
“มันทักทาย” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ก่อนดึงของในมือผมไปวางไว้ในครัวให้
“จริงดิ” เลิกคิ้วข้องใจ เดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ในบ้านหลังเล็กใกล้ระเบียง
แต่เสียงเห่ากลับยังดังต่อเนื่อง แถมยังกระถดหนีเหมือนไม่ไว้ใจ
“โอเคปูน คราวนี้เราไม่ยอมแล้ว” ผมขมวดคิ้วเอ่ยอย่างหมายมั่น ถอดแจ็กเกตโยนไว้ข้างตัว ดึงยางที่ข้อมือมารัดผมลวกๆ หยิบไม้ตายออกมาจากถุงพลาสติกข้างตัว
“เด็กดี” ในที่สุดเสียงเห่าก็หยุดลง เจ้าตัวเล็กยื่นหน้ามาดมฟุดฟิดกับขนมในมือผมก่อนงับไป ผมเลยอาศัยจังหวะที่มันกำลังง่วนกับการกินอุ้มขึ้นมานั่งบนตักพลางลูบหัวเบาๆ อย่างต้องการผูกมิตร
“เดี๋ยวให้อาหารเย็น” เสียงทุ้มเอ่ยเมื่อเดินมาเห็นผมป้อนขนมชิ้นที่สอง เงยหน้าขึ้นมองก็ร่างสูงกำลังยิ้มขำ
“แผลมันใกล้หายหรือยัง” ขาหน้าข้างหนึ่งของเปียกปูนยังพันผ้าไว้
“หมอบอกว่าอีกสองอาทิตย์” ผมพยักหน้ารับ มองเจ้าตัวเล็กที่ท่าทางร่าเริงกว่าวันแรกที่เจอกันแล้วอดเอ็นดูไม่ได้
คนที่ให้มาบอกว่ามันเป็นหมาจรที่ถูกหมาใหญ่ฟัดจนเหวอะหวะ เอามาประกาศหาบ้านให้เพราะสงสารที่ยังเล็ก ปล่อยไปคงไม่วายเจ็บอีก หรืออาจตาย
“พี่จะเอามันไปด้วยไหม” เอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ ร่างสูงชะงักไปนิดหน่อยก่อนส่ายหน้า
“กูไม่ใช่เจ้าของ”
อา... ลืมไปเลยว่าข้ออ้างที่ผมทิ้งไว้ คือให้เขาดูแลจนกว่ามันจะหาย
เพราะตอนนั้นเขาบังคับให้ผมรับคำท้าเรื่องเวลาห้าปี ผมเลยบังคับให้เขารับคำท้านี้เช่นกัน
อย่างที่เขาบอก... ผมจงใจสร้างความผูกพัน
และผมว่ามันได้ผล
“แต่พี่ดูแลมันดีกว่า” ผมยิ้ม ออดอ้อนให้เขารับหน้าที่ต่อไป แต่เจ้าของใบหน้าคมกลับส่ายหน้า ถอนหายใจ
“กูดูแลไม่ได้หรอก”
โกหก เห็นได้ชัดว่าเขารักหมาจะตาย
ผมยักไหล่ เอาเถอะ... ไม่ได้จะเร่งรัดอะไร
ผมอุ้มเปียกปูนกลับเข้าไปไว้ในบ้าน แล้วเอื้อมตัวไปหยิบแจ็กเกตที่วางไว้
“นั่นอะไร” ก่อนชะงักเมื่อเห็นใบหน้าคมขมวดคิ้ว มองลอดเข้ามาในเสื้อกล้ามคอกว้างที่พอก้มทีก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน
...โดยเฉพาะวัตถุวาววับสีเงินที่สังเกตง่ายๆ
ก่อนหน้านี้สวมแจ็กเกตทับเลยพอปกปิดได้ แต่เสื้อกล้ามขาวบางคงไม่อาจปกปิด ว่าหน้าอกข้างซ้ายมีสิ่งแปลกปลอมโผล่ขึ้นมา
“เจาะตั้งแต่เมื่อไหร่” คิ้วเข้มที่แทบขมวดโบว์ทำผมอ้ำอึ้งไป
“นานแล้ว” ตอบเลี่ยงๆ แล้วลุกเดินไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงข้างทีวี แกล้งเฉไฉ “เปิดเพลงได้ไหม”
แต่เสียงเพลงจากวงโปรดไม่ได้ช่วยให้ความกดดันน้อยลงเมื่อร่างสูงเดินตามมายืนกอดอกพิงโซฟา คาดคั้นเสียงต่ำ
“คุณพิชญ์ เจาะตั้งแต่เมื่อไหร่”
คราวนี้ผมยกมือขึ้นสองข้าง ยักไหล่ยอมแพ้ก่อนรับสารภาพ “อาทิตย์ที่แล้วครับ ก่อนกลับบ้าน”
ใช้น้ำเสียงออดอ้อนทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร พี่เตขมวดคิ้วนิ่งก่อนถอนใจ ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วกวักมือง่ายๆ เรียกให้ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าเขา
“พอดีร้านประจำอยู่แถวนั้น ก็เลย...!”
ไม่ทันพูดจบก็ถูกดึงลงไป บังคับให้นั่งคร่อมตักแล้วถามด้วยน้ำเสียงต่ำกว่าเดิม “ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“หือ?”
“คนเจาะน่ะ” ผมชะงักไปสักพัก กว่าจะเข้าใจความหมายของสีหน้าไม่พอใจ
“ผู้ชาย...” หลุดอมยิ้มเมื่อคำตอบทำให้ดวงตาสีรัตติกาลฉายแววความงุ่นง่านชัดเจน “ไหนบอกไม่หึงไง” ยกแขนโอบรอบคอเขาพลางโน้มหน้าเข้าไปหา
“แต่ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาจับก็ได้ไง” หัวเราะเบาๆ เมื่อเขาไม่ปฏิเสธแถมยังทำหน้ายุ่งยากใจ พอเห็นว่าผมยิ่งได้ใจเขาเลยขมวดคิ้วตำหนิก่อนถอนใจ
“ไม่เจ็บหรือไง”
“อะ...!” หลุดสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เขาก็แตะนิ้วลงมา
“เจ็บเหรอ?”
“เปล่า แต่ห้ามโดน” ถึงปกติแผลผมจะสมานเร็ว หายเจ็บตั้งแต่สามวันแรก แถมดูแลอย่างดีก็เลยไม่มีอักเสบอะไร แต่จนกว่าจะหายสนิทก็ยังไว้ใจไม่ได้
ดวงตาสีรัตติกาฉายแววงุ่นง่านยิ่งกว่า พี่เตถอนหายใจอีกรอบก่อนจะยื่นหน้าเข้ามางับจมูกแรงๆ “แกล้งกันหรือไง”
ผมไม่เข้าใจความหมาย จนกระทั่งฝ่ามือหนาล้วงเข้ามาในสาบเสื้อแล้วปัดป่ายส่วนอ่อนไหวแผ่วเบา
“ถ้าไม่โดนแล้วจะทำยังไง”
“อะ! พะ... พี่เต!” หลุดผวาเรียกเสียงดังทั้งที่เขาไม่ได้จับตรงๆ ด้วยซ้ำ... เพียงไล้ผิวเผินไม่ต่างจากสาบเสื้อเสียดสี
เขาว่าเจาะแล้วจะไวต่อสัมผัส... เข้าใจชัดก็วันนี้
“คุณพิชญ์...” คราวนี้คนเจ้าเล่ห์ดันแผ่นหลังผมจนหน้าท้องชิดกันก่อนจะกระซิบถามด้วยดวงตาวาววับ “รู้ไหมเด็กดื้อต้องโดนอะไร”
“เฮ้ย!” ฉับพลันเขาปล่อยอ้อมแขนที่โอบรัด ผมร้องลั่นผงะหงายหลัง เมื่อแขนที่โอบรอบคอถูกจับให้ผละออก ไม่ยอมให้เกาะก่าย
...ก่อนค่อยๆ ปล่อยให้ร่างกายท่อนบนไหลราบลงไปบนพื้นพรม
“พะ...พี่เต” ผมยืดแขนส่งให้พยายามอ้อนให้เขาดึงกลัวจากท่ากลับหัวกลับหางน่าอาย
แต่เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกลับคลี่ยิ้มร้าย จับล็อกเอวผมให้หว่างขาแนบสนิทกับหน้าท้องกำยำ ก่อนโน้มตัวลงมาหาพลางใช้มือข้างที่ว่างไล้ตามผิวเปิดเปลือยจากชายเสื้อที่ร่นมากองที่ไหปลาร้า เอ่ยถามเสียงพร่า
“ดูหน่อย... เจาะตรงไหนอีก”
“ดะ...เดี๋ยว...อะ!” พยายามจะร้องห้าม แต่เสียงปรามกลับกลายเป็นเสียงครางเมื่อเขาสัมผัสนิ้มลงมาที่ยอดอกอีกข้าง... บีบเน้นราวกับจะควานหาร่องรอยของเครื่องประดับ
“จะเจาะอีกข้างไหม?” ส่ายหน้าหวือเมื่อเขาเอ่ยถาม
“อึก!... ฮื่อ...” ก่อนจะหลุดผวาอีกครั้งเมื่อเขาบดบี้จุดหวามไหว... รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ จนร่างกายหอบสะท้าน
หยาดน้ำตาเอ่อคลอก่อนไหลยอกย้อนขึ้นมาที่ขมับ
“ตรงนี้ล่ะ” ไม่ทันละมือจากตุ่มเนื้อที่ขึ้นสีแดงปลั่งชูชันด้วยความกระสันซ่าน ใบหน้าที่โน้มต่ำลงมาก็กดจูบลงหน้าท้องที่หดเกร็ง หวามไหวด้วยลิ้นร้อนที่เริ่มละเลง เล่นล้อกับแอ่งสะดือไปพร้อมกัน
...ความปรารถนาที่หลับไหลถูกปลุกขึ้นง่ายดาย ร่างกายปั่นป่วนจนสะท้านเมื่อคิดถึงระคนโหยหารสราคะที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายวัน
ร่างกายส่วนบนที่ถูกกระตุ้นด้วยเรียวลิ้นและนิ้วมืออุกอาจ ราวขับกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบไปทั้งร่าง ความร้อนแล่นหลั่นสู่กลางลำตัวจนอึดอัด
“ฮื่อ... พี่เต... พี่เตครับ” ความคับแน่นเกินต้านขับให้ส่งเสียงเว้าวอน
คนเจ้าเล่ห์หัวเราะในลำคอ ก่อนสบตาที่สั่นพร่าของผม กระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจพลางเลื่อนริมฝีปากต่ำลง... รูดรั้งปลดซิปกางเกงให้กัน
“ตรงนี้?” แกล้งเลิกคิ้วถาม มองอวัยวะที่เริ่มขยายใต้ร่มผ้า... ปลั่งราคะอัดแน่นจนทรมาน
“ให้พี่ดูไหม?”
"อื้อ..." ผมกัดริมฝีปากแน่น พยักหน้าไร้ละอาย ไม่สนแม้เขาจะยิ่งย่ามใจ ส่งเสียงเรียกร้องให้ช่วยปลดเปลื้องทรมาน
...เสียงร้องแปร่งประหลาดแผดลั่นอีกครั้งเมื่อเขายอมสัมผัสดั่งใจ
ส่วนคับแน่นถูกครอบครองด้วยริมฝีปากช่ำชอง...ลิ้นร้อนร้าย... ปรนเปรอในความนุ่มหยุ่นที่รูดรั้งกระทั่งถึงฝั่งฝัน สบดวงตาสีรัตติกาลหวานล้ำผ่านม่านน้ำ
เห็นเขากลืนกิน... ละเลียดลิ้นไล้เลียกระทั่งคราบข้นที่เลอะเรียวปากบาง ยิ่งถาโถมความต้องการจนไม่อาจกลั้น
“พี่เต...” พยายามเรียกร้องให้เขาดึงกลับขึ้นไปอีกครั้ง แต่คนด้านบนกลับคลี่ยิ้มร้าย เพียงเอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือผมไว้
ก่อนปลุกร่างกายที่เพิ่งสงบด้วยฝ่ามือใหญ่... รูดรั้งเชื่องช้า ยังเสียงเหนอะหนะเนิบนาบหยาบโลน แกล้งยั่วให้ผมทรมาน... บิดร่างร้องเรียกให้เร่งเร้าเขาจึงยอมเปลี่ยนจังหวะสลับรัวเร็ว สาดซัดความกระสันซ่านระคนทรมานให้แล่นพล่านทั่วร่าง... กระทั่งปลดปล่อยอีกครั้ง...
“ฮึก...” น้ำตาไหลอาบเหงื่อไล้ชุ่มไรผมเมื่อถูกระบายความใคร่คลายอึดอัด
แต่เพียงไม่นานก็ถูกปลุกอีกครั้ง... ด้วยนิ้วเรียวที่ชำแรกลึกเข้ามาทีละขั้นหลังปลดเปลื้องสิ่งห่อคลุมเบื้องล่างทั้งที่ยังคงค้างในท่าพิสดาร จากหนึ่งเป็นสอง... สามก่อนชาดิกจนไม่อาจนับได้อีกต่อไป...
ช่องทางด้านหลังถูกขยายพร้อมปรนเปรอแก่นกายจนเสร็จสมครั้งแล้วครั้งเล่า... หยาดราคะขุ่นข้นล้นทะลักอาบร่าง ไหลย้อนตามระนาบร่างกายที่กลับหัวกลับหาง
เมื่อฝ่ามือหนาขยับครั้งสุกท้ายผมคล้ายจะหมดแรงร้องคราง... กระทั่งถูกส่วนร้อนจัดรุกล้ำช่องทางที่ถูกขยายแทนนิ้วมือ... ลำคอแห้งผากจึงฉ่ำชื้นด้วยเสียงแปร่งประหลาดอีกครั้ง ลั่นร้องตามจังหวะเนิบนาบ ทวีความดังเมื่อเข้าสู่จังหวะกระแทกกระทั้น... กระทบหนัก หน่วงเน้น... บดขยี้ซ้ำๆ ราวกับจะฉีกร่างด้วยความเสียวกระสัน
"พี่เต..."
กระนั้นความต้องการยังถาโถม...มากขึ้น... มากขึ้นราวทะเลไร้ก้นที่ไม่อาจถม
ส่งเสียงละโมบร้อง... เรียกให้เร่งเร้ารุนแรง เว้าวอนให้ส่วนร้อนที่กำลังเสียดสีทวีหนักเน้น เติมเต็มเชื้อให้ไฟราคะโหมกระพือแผดเผา... เผาไหม้จนกว่าร่างจะแหลกด้วยร้อนเร่า... กระโจนจ้วงสู่ความทุรนทุราย...
“...!” กระทั่ง ความร้อนจากอีกฝ่ายถะถั่งเข้ามาจนสัมผัสได้ ร่างกายของผมก็ปล่อยความสุขสมกระเซ็นซ่านอาบร่างอีกครั้ง กระตุกรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ คล้ายจะแหลกสลายและประกอบร่างใหม่ไปพร้อมกัน
“ฮึก... พี่เต... พี่เต” น้ำตาไหลสะอื้นฮักราวจะขาดใจ เรียกชื่อเขาซ้ำๆ จนเจ้าของแขนกำยำเอื้อมมือมาคว้ากลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง หลุดเสียงครางแผ่วเมื่อนั่งทับความแข็งขืนที่ยังขยายคับอยู่ในร่าง กอดรัดเขาไว้แน่นกรงเล็บที่เคยจิกพรมกดลึกลงบนผิวเนื้อหลังลำคอกรีดยาวสู่แผ่นหลังอย่างหาที่ระบาย
“พิชญ์” เสียงเรียกแผ่วราวปลอบประโลมพร้อมพรมจูบซับทั่วใบหน้า แขนแกร่งกระชับกอดแนบสนิทอย่างไม่นึกรังเกียจคราบน้ำเหนอะหนะที่อาบร่าง
“เด็กดี” ปลอบจนสงบจึงตบรางวัลด้วยจูบหวานล้ำ ลูบหัวลูบหลังราวพร้อมพรมจูบซ้ำไปซ้ำมา แตะหน้าผากประสานลมหายใจ จับจ้องล้ำลึกด้วยนัยน์ตาที่สะท้อนความสุขสมไม่แพ้กัน
“แบบนี้...” ผมฝ่าเสียงหอบหายใจด้วยเสียงกระซิบแหบพร่าพึมพำ “อยู่แบบนี้อีกสักพักนะครับ”
ได้ยินดังนั้นเขาจึงหัวเราะเบาๆ กอดกระชับผมแน่น กดจูบริมฝีปากแผ่วเบา แล้วเลื่อนซับริมฝีปากทั่วใบหน้าซ้ำๆ
ผมกอดกลับซุกหน้าถูไถผิวแก้มที่ร้อนด้วยแรงอารมณ์กับใบหน้าเขาราวจะแผ่อุณหภูมิแห่งความสุขสม
หลับตาลง... ปล่อยให้ร่างกายได้ซึมซับทุกสัมผัส
ตัวตนที่ถูกบีบรัด... ของเหลวอุ่นร้อนที่คั่งค้างอยู่ในร่าง... ความสุขสมที่กระจายทั่วสรรพางค์กาย
“รัก...”
จูบแผ่วเบาที่ผิวแก้มเคล้าเสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูในห้วงสติสุดท้าย
“...พี่รักพิชญ์”
คล้ายโอบอุ้มให้ล่องลอยในห้วงฝันอุ่นที่ชวนอิ่มไปทั้งใจ
--------------------------------------------------------------------
ฮึก... ทำไมมีเอ็นซีสามตอนรวดคะน้องไม่เข้าใจ
ฮื่อออ เก็บกดมาจากไหนนนน
ตอนนี้พี่เตคือความมั่ยอ่อนโยนที่แท้อ่ะ 5555
น้องช้ำหมดแล้วจ้า รุนแรงละเกินน น้ำตาจะไหล ;-;
เราแพลนเรื่องนี้ไว้ประมาณ 20 ตอนนะคะ (อาจเกินมานิดหน่อย)
ดังนั้นก็ใกล้ถึงปลายทางแล้วล่ะ
ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิม
ติดขัดตรงไหนติติงได้เสมอเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ