ตอนที่ 23 (ครึ่งแรก)
หลังจากเชษฐ์เปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่กางเกงสำหรับอยู่บ้านกับเสื้อยืดแขนสั้น เขาก็เดินลงบันไดไปยังห้องนั่งเล่นชั้นล่าง และพบว่าในห้องมีเพียงบิดาคนเดียวที่นั่งรออยู่ที่โซฟา
"มาแล้วครับพ่อ ขอโทษที่ให้รอ"
"ไม่เป็นไรหรอก นั่งสิ"
คุณชาญหยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ที่เมื่อครู่นั่งดูฆ่าเวลา ผู้สูงวัยมองบุตรชายคนเล็กที่หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามเงียบๆ ครู่หนึ่ง ถึงแม้จะมีลูกแฝด แต่บุตรชายทั้งสองเกิดจากไข่คนละใบ ทำให้แม้หน้าตาจะคล้ายกันแต่ก็ยังสามารถแยกแยะกันได้อย่างชัดเจน สำหรับชินรุจน์ แฝดพี่จะค่อนข้างหน้าตาคล้ายเขาแต่มีนัยน์ตาคล้ายแม่ก็คือเพียงมาศ ในขณะที่เชษฐ์กลับมีประพิมประพายคล้ายพ่อของเขาหรือก็คือปู่ของเจ้าตัวมากกว่า ไม่นับนิสัยใจคอที่ค่อนข้างสุขุมคล้ายกันอีกด้วย
"พ่อมีอะไรเหรอครับ?"
เมื่อเห็นบิดานั่งจ้องหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร เชษฐ์ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบให้ก่อน เขาคาดเดาได้จากแววตาของผู้ให้กำเนิดว่าเรื่องที่ถึงกับต้องเรียกมาคุยกลางดึกคงเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรเท่านั้น
"งานตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? เห็นว่าก่อนเข้าโรงพยาบาลนี่ไปอยู่เวียดนามไม่ใช่รึ?"
เชษฐ์ยักไหล่ "งานค่อนข้างยุ่งครับ คุณปรีชาคงเล่าให้พ่อฟังแล้วเรื่องที่สำนักงานใหญ่อยากเจาะตลาดที่นั่น ก็เลยจะตั้งสำนักงานแล้วให้คนของเราไปดูแลในช่วงแรก"
"คุณปรีชาบอกแล้ว แล้วก็บอกพ่อด้วยว่าเขาอยากให้แกไปอยู่ที่นั่น เพราะว่าเทียบกับคนอื่นแล้วแกคล่องตัวที่สุด แล้วทางสำนักงานใหญ่ก็เห็นชอบด้วย"
"ก็แค่เบื้องบนคุยกันแต่ยังไม่มีอะไรชัดเจน อีกอย่างถึงไม่ส่งผมไป คุณปรีชาก็ยังมีคุณอั๋นเหลืออีกคน แกไปเวียดนามสลับกับผมหลายครั้งแล้ว ก็รู้จักตลาดที่นั่นดีพอสมควร"
ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงดูเผินๆ เรียบนิ่ง ส่วนคำตอบก็ไม่ใช่ทั้งเชิงรับหรือปฏิเสธ ทว่าจากอาการที่คนพูดเอนหลังพิงพนักมากขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกก็บ่งบอกเป็นนัยว่ากำลัง 'เตรียมตั้งรับ'สิ่งที่บิดากำลังจะพูดต่อจากนี้ ซึ่งคงเป็นความเคยชินจากการทำงานเป็นผู้บริหารที่ต้องเจรจากับคนหลายระดับมาหลายปี ทำให้ต้องคอยสังเกตท่าทางและคำพูดของคู่สนทนาเพื่อประเมินการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปอยู่ตลอดเวลา
มีชั้นเชิงสมกับเป็นนักธุรกิจ...คุณชาญคิดในใจ แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังเลือดร้อนพอจะทำอะไรบ้าบิ่นอย่างเอาตัวเข้าไปบังคนอื่นตอนหน้าสิ่วหน้าขวานโดยไม่คิดสักนิดว่าตัวเองจะต้องเจ็บตัว...
ผู้สูงวัยจงใจเว้นจังหวะด้วยการยกน้ำชาขึ้นจิบ ตอนบุตรชายทั้งสองยังเล็กนั้นพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกสนิทสนมกันมาก แต่นับตั้งแต่เชษฐ์ไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ แถมหลังจากกลับมาทำงานที่เมืองไทยได้ไม่นาน เขากับภรรยาก็ตัดสินใจไปทำธุรกิจกับเพื่อนที่ต่างประเทศอีก ทำให้ห่างเหินกับบุตรชายคนเล็กไปพอสมควร ไม่เหมือนชินรุจน์ที่ติดตามพวกเขาไปด้วยและช่วยทำงานที่นั่นมาตลอด
"ถ้าหากตอบรับไปเวียดนาม แกก็จะได้ตำแหน่งกับเงินเดือนสูงขึ้นนะ"
ผู้สูงวัยโยนหินถามทาง แม้จะพอวิเคราะห์ได้จากคำตอบเมื่อครู่ว่าบุตรชายมีเป้าหมายอื่นในใจอยู่แล้ว
"เรื่องนั้นผมรู้ แต่ถึงไม่ไปเวียดนามก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งเสียหน่อย อีกอย่างถึงไปก็คงไม่ได้อยู่ที่นั่นถาวรอยู่ดี ถ้าระบบทางนั้นอยู่ตัวแล้วเขาก็คงให้คนในท้องที่ดูแลกันเอง"
"ยิ่งไม่จำเป็นต้องไปอยู่ถาวรก็ยิ่งแปลว่าแกไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธโอกาสแบบนี้นี่นา หรือที่พ่อพูดนี่ไม่จริง?"
คิ้วดกหนามุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เพราะเริ่มจับได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มใช้ฐานะ 'พ่อ' มาหว่านล้อมเขาเรื่องงาน
"ความจริงผมเคยคุยเรื่องนี้กับคุณปรีชาไปแล้ว หรือคุณปรีชาฝากให้พ่อมาคุยกับผมใหม่?"
เพราะก่อนหน้าที่จะบินด่วนกลับมาเมืองไทยและเกิดเหตุให้ต้องเข้าโรงพยาบาล เขาโทรศัพท์คุยกับท่านประธานเรียบร้อยแล้วว่าผู้ที่สมควรได้โอกาสนี้มากกว่าคือคุณอั๋นที่อาวุโสและทำงานมานานกว่าเขา และให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าเขามีโครงการใหม่อยากนำเสนอมากมายที่จะดำเนินการได้ยากหากต้องไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นคุณปรีชาก็รับรู้และยอมรับการตัดสินใจของเขากลายๆ แล้ว
ชาญส่ายศีรษะพลางวางแก้วชาลง "เปล่า แต่อย่าลืมสิว่าคุณแพทริกเป็นลูกค้าประจำของร้านเรา เขาบอกว่าได้เจอแกตอนที่ไปอบรมที่สำนักงานใหญ่แล้วถูกใจ บอกว่าถ้าแกได้ไปทำงานที่เวียดนามแล้วผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ อาจจะทำเรื่องดึงแกไปประจำที่สำนักงานใหญ่เลยก็ได้"
เชษฐ์เลิกคิ้ว แต่หาใช่เพราะความแปลกใจที่บิดารู้จักกับหัวเรือใหญ่ของบริษัท เพราะก่อนจะออกไปทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับร้านอาหารและนำเข้าสินค้าจากเมืองไทย พ่อของเขาก็เป็นคนที่ร่วมปลุกปั้นบริษัทในเมืองไทยกับคุณปรีชาจนเติบโตมาถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้บริหารอาวุโสยอมรับความสามารถของเขาทั้งที่ได้ทำงานร่วมกันไม่กี่วันถึงเพียงนั้น
เกิดความเงียบขึ้นในห้องนั่งเล่นครู่ใหญ่ ทว่าสีหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนไปทำให้ผู้สูงวัยยากจะเดาว่าบุตรชายคิดอะไรอยู่ จึงรีบถือโอกาสตีเหล็กขณะที่ยังร้อน
"ที่พ่อแยกออกมาทำธุรกิจส่วนตัวเพราะอยากทำอะไรที่เป็นของตัวเองแล้วก็เข้ากับนิสัยมากกว่า ตาชินเองก็คิดเหมือนกัน แต่แกไม่เหมือนพ่อกับตาชิน นิสัยแกเหมาะจะแสดงฝีมือในองค์กรใหญ่เพื่อเลื่อนสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สำนักงานที่เมืองไทยมันเล็กไปสำหรับแกนะเชษฐ์ พ่ออยากให้แกคิดถึงความมั่นคงในอนาคตมากกว่าพอใจแค่กับอะไรใกล้ตัว ยิ่งมาเห็นแกต้องล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้พ่อยิ่งไม่สบายใจ"
สำหรับอะไรใกล้ตัวที่ว่านั้น คนพูดเจตนาละไว้โดยไม่ระบุออกมาให้ชัดเจน ซึ่งเชษฐ์ก็เข้าใจได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องทวนถามบิดาว่าต้องการจะหมายถึงอะไร
หรือในบริบทนี้...หมายถึง ‘ใคร’
ตลอดเวลาหลายวันที่ได้อยู่ในโรงพยาบาล เขารับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับภัทรอยู่ในสายตาของผู้สูงวัยทั้งสองโดยตลอด ซึ่งเขาก็จงใจแสดงออกเท่าที่ทำได้ให้ทั้งคู่รับรู้ว่านี่คือคนที่เขาเลือก เพราะเชื่อว่าบิดาและมารดาผ่านโลกมามากพอที่จะเข้าใจและยอมรับคนที่เขามอบหัวใจให้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่การยอมรับนั้นดูเหมือนจะไม่ได้หมายรวมว่าความเป็นห่วงในอนาคตของเขาจะลดลง ต่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่อายุสามสิบกว่าเช่นนี้แล้วก็ตาม
ประกายลึกล้ำพาดผ่านแววตาคมเข้มขณะร่างสูงใหญ่ยกนิ้วชี้ขึ้นดันแว่น
"ที่พ่อพูดมาก็ถูกครับ คุณปรีชาก็เคยสอนผมตั้งแต่เริ่มทำงานแล้วว่าเราไม่ควรทิ้งทุกโอกาสที่ก้าวเข้ามาหาหรือมีคนหยิบยื่นให้ เรื่องไปสำนักงานใหญ่ผมจะเก็บไปคิดดู"
"อ้าว พ่อลูกมัวคุยอะไรกันจ๊ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปสนามบินแต่เช้ามืดไม่ไหวนะ"
เพราะเห็นว่าสามียังไม่เข้าห้องมาพักผ่อน คุณเพียงมาศจึงตั้งใจจะมาตาม แต่ไม่นึกว่าจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังสนทนากับบุตรชายอยู่ในบรรยากาศที่ค่อนข้างเคร่งเครียด
เธอหาได้ตระหนักว่าการปรากฏตัวของตนเปรียบเสมือนระฆังที่ช่วยพักยกได้พอดิบพอดี
"คุยสัพเพเหระกันเสร็จแล้วล่ะครับแม่ นี่กำลังจะพากันไปนอนพอดีเลย เมื่อกี้พ่อก็บ่นว่าง่วงแล้วเหมือนกันนี่ครับ"
ท้ายประโยคเชษฐ์หันไปโกหกตาใสใส่ผู้เป็นพ่อ ฝ่ายคุณชาญเพียงแต่หัวเราะหึหึเพราะรู้ว่าเจ้าลูกคนนี้คงไม่อยากให้มารดารู้ว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร เพราะดีไม่ดีเพียงมาศอาจยิ่งคะยั้นคะยอลูกหากรู้ว่าเชษฐ์มีโอกาสได้ไปอยู่สำนักงานใหญ่ เนื่องจากใจคนเป็นแม่ก็ย่อมอยากให้เลือดเนื้อเชื้อไขย้ายไปอยู่ใกล้ตัวมากกว่าอยู่แล้ว เขายังจำได้ว่าตอนได้รับโทรศัพท์ว่าบุตรชายบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล ภรรยาร้องห่มร้องไห้อย่างเสียขวัญเพียงใด
เรื่องที่ต้องพูดเขาก็ได้พูดไปแล้วในฐานะพ่อและผู้ใหญ่ที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อน หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ที่เจ้าตัวจะต้องไปคิดชั่งน้ำหนักเอาเองว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะทำ หรือทางเลือกไหนที่ควรจะเลือกเพื่ออนาคตของตัวเอง ดังนั้นเขาคิดว่าหยุดบทสนทนาไว้ตรงนี้ก็เหมาะสมดี
"อืม ใช่ ขอโทษนะ คุณเลยต้องลำบากลุกจากเตียงมาตาม"
ผู้สูงวัยเอ่ยพลางลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปกุมมือของภรรยา ทำให้โดนคนที่เดินมาตามค้อนควัก
"พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ ถ้าพรุ่งนี้เช้าคุณตื่นไม่ไหวมาศก็ตกเครื่องสิ"
ประโยคหยอกเย้าของผู้สูงวัยทำให้เชษฐ์ยิ้มออกมาได้ สิ่งหนึ่งที่เขาภูมิใจก็คือได้เติบโตมาในครอบครัวที่บิดาและมารดารักใคร่ห่วงใยกันด้วยดีมาตลอดอายุสามสิบกว่าปีของเขา
คุณชาญหันมาเอ่ยกับบุตรชายบ้าง "ถ้าอย่างนั้นแกก็ไปพักผ่อนเถอะไป ตัวเองเพิ่งออกจากโรงพยาบาลแท้ๆ แน่ใจแล้วรึว่าจะไม่โทรเรียกแท็กซี่ให้มารับพ่อกับแม่ตอนเช้าแทน?"
"เดี๋ยวขับรถไปส่งพ่อกับแม่ที่สนามบินแล้วผมก็กลับมานอนต่อได้ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนอยู่โรงพยาบาลผมนอนเยอะเกินโควต้าแล้วด้วยซ้ำไป"
ชายหนุ่มเอ่ยติดตลกขณะเดินตามไปส่งผู้สูงวัยทั้งสองที่ห้องนอนชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องของทั้งคู่มาตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ที่บ้านนี้ ส่วนเขากับพี่ชายมีห้องนอนชั้นบนกันคนละห้อง
"ถ้างั้นก็ฝันดีนะจ๊ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้า"
คุณเพียงมาศหันมาโอบลูกชายแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้ม ซึ่งหญิงสูงวัยทำเช่นนี้กับลูกๆ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอเข้าวัยรุ่นคู่แฝดก็เริ่มเขินและบ่ายเบี่ยงบ้าง แต่พออายุมากขึ้นและไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากอย่างเมื่อก่อน เวลาเจอกันเชษฐ์จะยอมให้มารดาปฏิบัติด้วยเหมือนสมัยยังเป็นเด็กแต่โดยดี
"ราตรีสวัสดิ์ครับ"
หลังจากส่งทั้งคู่เข้าห้องนอนแล้ว ชายหนุ่มก็เดินล็อกประตูหน้าต่างในบ้านและปิดไฟก่อนจะขึ้นไปชั้นบน ตอนนี้ความกระตือรือร้นที่จะสานต่อเรื่องในห้องน้ำก่อนที่จะถูกขัดจังหวะดับมอดไปแล้ว อีกอย่างเขาเองก็ต้องพักผ่อนเพื่อตื่นมาขับรถไปส่งบิดากับมารดาไปสนามบินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างอีกด้วย
ร่างสูงใหญ่ปิดไฟตรงโถงชั้นสองก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน เขาพบว่าภายในห้องมีเพียงโคมไฟหัวเตียงให้แสงสว่างอยู่ดวงเดียว ส่วนใครอีกคนที่นอนร่วมห้องกันได้นอนตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
"ภัทร? หลับแล้วเหรอ?"
มีเพียงความเงียบงันที่เขาได้รับแทนคำตอบ ชายหนุ่มจึงปิดประตูอย่างเบามือก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ หลังจากถอดแว่นออกพับวางบนโต๊ะข้างเตียง เขาก็เลิกชายผ้าห่มแล้วสอดตัวเข้าไปนอนซ้อนหลังร่างเพรียวโดยพยายามระวังไม่ปลุกให้ตื่น เสียงหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าภัทรน่าจะหลับสนิทมาได้พักใหญ่
เชษฐ์ปิดโคมไฟก่อนจะยกแขนขึ้นโอบกระชับคนที่นอนหันข้างให้ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียเรือนผมนุ่มพลางสูดกลิ่นหอมอ่อนจางเข้าในปอด ตอนยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะนอนร่วมเตียงกันทุกคืนเหมือนตอนนี้ กระนั้นบรรยากาศก็ไม่ค่อยเป็นใจเพราะไหนภัทรจะคอยห่วงอาการของเขาจนไม่ยอมให้ทำอะไรมากกว่าจูบ ไหนจะหมอกับพยาบาลที่คอยเข้ามาตรวจวันละสองสามครั้ง ไหนจะพ่อแม่ของเขาเองและแขกคนอื่นที่มาเยี่ยมอีก ทำให้แม้จะได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกันสักเท่าไหร่
แต่หลังจากนี้...เขาจะไม่ปล่อยให้เวลาที่เสียไปต้องสูญเปล่าอีกแล้ว
เสียงลมหายใจเป็นจังหวะกับไออุ่นของร่างในอ้อมแขนขับกล่อมให้เชษฐ์หลับก่อนจะทันรู้ตัวว่าตนเหน็ดเหนื่อยกับวันนี้แค่ไหน ความอ่อนเพลียทำให้เขาหลับสนิทโดยไม่ทันรู้สึกว่าร่างที่กอดมีการเคลื่อนขยับ ภัทรลืมตาขึ้นช้าๆ และยกแขนที่พาดบนเอวออกอย่างระมัดระวังเมื่อจับได้ว่าอีกฝ่ายหลับแล้ว จากนั้นร่างเพรียวก็ลุกขึ้นนั่งพลางเหลียวลงมองใบหน้าคมคายที่เห็นได้รางเลือนภายใต้แสงจันทร์ผ่านหน้าต่าง แววตาที่ปกติสุกใสทอประกายอ่อนล้าขณะชันเข่าขึ้นแล้วซบหน้าลงไปโดยไม่มีน้ำตาหลั่งออกมาสักหยดเดียว
++---TBC---++
A/N: มาแล้วค่า ตอนใหม่ที่ทุกคนรอคอย ที่ต้องปล่อยครึ่งแรกออกมาก่อนเพราะสัปดาห์นี้งานยุ่งมากๆๆ แต่ไม่อยากให้คนอ่านค้างจากเนื้อหาตอนก่อนกันนานๆ ก็เลยเอามาลงให้ก่อน ยิ่งใกล้จบก็ยิ่งรู้สึกใจหาย แต่ก็ดีใจที่เขียนมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว ติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบด้วยนะคะ ขอบคุณค่า