.:น้ำผึ้งหยดที่ห้า:.
I was walking along looking for somebody and then suddenly I wasn’t anymore.
.
.
.
ฉันเดินทางมายาวไกลเพื่อตามหาใครบางคน และทันใดนั้นการตามหาก็สิ้นสุดลง
พูรินไม่มีพี่มีน้อง และด้วยความที่ทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างก็เป็นลูกคนเดียว เขาเลยไม่มีแม้แต่ลูกพี่ลูกน้อง จะมีก็เพียงแค่ญาติห่างๆที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนัก กับปู่ย่าตายายที่อยู่ต่างจังหวัด จะได้เจอกันก็เฉพาะวันหยุดยาวเป็นครั้งคราว
ดังนั้นตั้งแต่เด็ก ความรักที่ได้รับและรู้จักดีที่สุดก็คือความรักจากพ่อแม่ แต่นอกจากว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกขาดเหลืออะไร เขากลับรู้สึกว่าความรักที่เขาได้รับมันช่างมากหมายเหลือล้น จนในชีวิตนี้เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องการความรักในรูปแบบไหนเพิ่มเติมอีก
แต่พอโตขึ้นมาหน่อย
เขาก็ได้เรียนรู้ความรักในอีกหนึ่งรูปแบบ แน่นอนว่ามันก็ยังเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากสองคนที่เขารักมากที่สุดเหมือนเดิม
มันคือความรักที่พ่อมีให้แม่
และความรักที่แม่มีให้พ่อ
เขาเฝ้ามองสองไอดอลของเขาด้วยความอิ่มใจ สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กันได้อย่างลึกซึ้ง มันเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดที่เขาเคยเจอ
สองคนที่ต่างใส่ใจความรู้สึก
สองคนที่ทำให้กันและกันหัวเราะได้เสมอ
สองคนที่เข้าใจในความเป็นตัวตนโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงกัน
สองคนที่เห็นอีกฝ่ายสำคัญกว่าใคร
ไม่ว่าจะการ์ตูนดิสนีย์ เทพนิยาย นิทานอีสป หรือเรื่องเล่าขานเรื่องใด ก็ไม่มีคู่ไหนเลยจริงๆที่จะทำให้เขาประทับใจได้เท่ากับคู่ที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุด
พ่อกับแม่คือเจ้าชายกับเจ้าหญิงในนิยายที่สมบูรณ์แบบที่สุด
นิยายที่เป็นเรื่องจริง...
พูรินจำได้ว่าตอนนั้นอายุประมาณ 15..
ตอนที่รู้ตัวว่าชอบผู้ชายครั้งแรก
เพียงเพราะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าชายแอริคที่ยื่นมือมาหาเจ้าหญิงแอเรียล
ตอนที่ได้เห็นสีหน้าจริงจังของเจ้าชายฟิลิปที่ต่อสู้กับเจ้ามังกรตัวยักษ์เพื่อเข้ามาช่วยเจ้าหญิงออโรร่า
และตอนที่ได้แต่จ้องสายตาของเจ้าชายที่มองสโนไวท์ที่ลืมตาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังได้รับการจุมพิตอ่อนนุ่ม
ในตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าเขาชอบผู้ชาย..
ไม่ใช่สิ..
จะบอกว่าชอบ ‘ผู้ชาย’ ก็ไม่ถูกนัก
เพราะที่ชอบจริงๆคือ ‘เจ้าชาย’ ต่างหาก
เจ้าชายที่เขาเฝ้าตามหามาทั้งชีวิต
เจ้าชายที่เขาหวังว่าสักวัน จะเข้ามาทำให้โลกของเขามีสดใส มามอบความสุขอย่างที่พ่อกับแม่ของเขาได้รับ...
พูรินลงรถสองแถวตรงหน้าบ้านรุ่นพี่ที่มาหาพอดี พอมองดูเวลาในโทรศัพท์ก็พบว่ากว่าเขาจะมาถึงก็ปาไปเกือบสองทุ่มแล้ว
หึ
จะโทษใครได้ ก็พี่แทนน่ะสิ ดันโทรมาบอกเขาว่าแม่กุ้งอยากกินขนมจีบเจ้าที่เขาเคยเอามาฝาก ก็เล่นมาบอกซะตอนบ่ายแก่ๆแบบนี้ กว่าจะไปถึงร้านแล้วต่อแถวรอคิว แถมยังต้องฝ่ารถติดของวันเสาร์เย็นที่คนออกมาเที่ยวกันคึกคัก มาถึงนี้จริงๆ ก็เล่นเอาเหนื่อยอ่อนไปทั้งตัว
หิว!
ตอนนี้เขาแสบท้องไส้ไปหมดแล้ว ตอนอยู่บนรถ ขนมจีบที่อยู่ในกล่องก็ส่งกลิ่นโชยจนอยากจะเปิดออกมาชิมให้รู้แล้วรู้รอด เสียงท้องร้องโครกครากดังออกมาจนคนที่นั่งข้างกันทนไม่ไหวยื่นขนมปังให้เขากิน
แต่ก็เพราะพี่แทนอีกนี่แหละ กำชับนักกำชับหนาว่าไม่ให้กินอะไรมาก่อนเพราะวันนี้แม่กุ้งอุตส่าห์ลงมือทำกับข้าวรอไว้ เขาถึงได้ยอมปฎิเสธอีกฝ่ายไปอย่างสุภาพ ทั้งๆที่ไอ้ขนมปังหน้าหมูหยองที่ว่ามันล่ออกล่อใจจนต้องกลืนน้ำไหลลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พอเข้ามาถึงหน้าบ้านก็ต้องแปลกใจ ที่แม้ตะวันจะลับขอบฟ้าไปนานแล้วแต่บ้านทั้งหลังยังมืดสนิท ไม่มีแสงของไฟนีออนเลยซักดวงอย่างที่เคยเป็นปกติ เขาลองกดออดเรียก แต่ไม่ว่าจะรอยังไงก็ไม่มีคนมาเปิดประตูสักที
พูรินเริ่มตะหนก ตอนที่ตัดสินใจจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมาโทรหาลูกชายเจ้าของบ้าน ตาก็เผลอไปมองเห็นบานประตูที่เปิดแง้มอยู่เล็กน้อย
แม่กุ้ง!
เขาเสียวสันหลังวาบ อยู่ๆใจก็นึกกลัวขึ้นมา ในหัวเริ่มคิดแต่เรื่องไม่ดี
ทำไมประตูบ้านถึงล๊อคไม่สนิท
หรือจะมีโจรบุกขึ้นบ้านกันแน่นะ
เขาหันซ้ายหันขวาเจอพรั่วอันเล็กสีเขียวที่เขาเคยใช้พรวนต้นไม้ในสวนกับแม่ หยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะย่องเบาเข้าไปใน ตัวบ้านมืดสนิท ทุกอย่างดูเงียบงันจนความกลัวครอบงำทั่วทั้งหัวใจ เขารู้สึกตื่นเต้นจนรู้สึกว่าอาจจะเป็นลมไปวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้
“พี่แทน..” พูรินเม้มปากแน่น ก่อนจะกลั้นหายใจเรียกคนที่เขามาหาเสียงสั่น
“แม่กุ้ง~ มีใครอยู่ไหม~ “
ตุ้บ!
ร่างบางสะดุ้ง รีบหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของหล่นดังมาจากห้องรับแขก เขารีบวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยใจที่ร้อนรน
“แม่กุ้ง!”
ทันทีที่เข้ามาในห้องรับแขกตากลมโตต้องเบิกกว้าง ก่อนที่จะหรี่ลงอย่างฉับพลันเมื่อกระทบเข้ากับแสงสีเหลืองนวลที่ปรากฎเป็นจุดประปรายในความมืดอย่างมึนงง
เหมือนจู่ๆเสียงรอบด้านโดนกดปิด เวลาดูเลื่อนไหลเชื่องช้ากว่าปกติ แสงไฟเล็กๆที่อยู่ในความมืดสะท้อนภาพของหญิงวัยกลางคน กำลังอ้าปากพึมพำบางอย่างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พูรินจับต้นชนปลายไม่ถูก จนเมื่อโสตประสาทกลับมาทำงานอีกครั้ง เขาถึงได้ยินเพลงสากลที่ทุกคนแสนคุ้นเคย
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...”
“โธ่ แม่กุ้ง ผมตกใจหมดเลย~” ความรู้สึกเครียดเกร็งผ่อนตัวเมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นไป
“แฮปปี้เบิ๊ร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์...”
สายตาคู่เดิมเลื่อนไปมองด้านข้างของอีกคน เป็นอีกครั้งที่แสงเทียนบนเค้กก้อนเล็กวาบไหว ก่อให้ใบหน้าของใครบางคนที่ถือเค้กปรากฎชัดแก่สายตาในที่สุด ตาคมที่มองกันช่างดูลึกล้ำเร่งอุณหภูมิบนใบหน้าให้สูงเกินปกติ มุมปากเรียวที่ขยับร้องเพลงยกขึ้นอย่างมีความหมายทำให้จิตใจของใครบางคนสั่นไหว
“แฮปปี้...เบิร์ดเดย์...ทูยู....”
ในโลกใบนี้
เขาไม่เคยเห็นใครที่ถือเค้กได้น่ารักแบบนี้เลย
พูรินสะดุ้งเมื่อแม่กุ้งสะกิดให้เขาอธิฐาน เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเจ้าตัวเป่าเทียนเล่มสุดท้ายจนดับสนิท
“น้องหมีพูห์ สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้านะครับลูก” หญิงใจดีผายมือรับเขาเข้าไปในอก ลูบผมนุ่มไปมาอย่างรักใคร่เอ็นดู
“แม่กุ้ง~ ขอบคุณมากเลยนะครับ ไม่น่าลำบากเลย”
“ไม่ต้องขอบคุณแม่หรอก โน้น คนต้นคิด” เขาหันไปมองทางที่แม่พยักเพยิดอย่างช้าๆ สบตาเข้ากับคนที่กลับมาทำหน้าเรียบเฉยจนอดใจแป้วไม่ได้เลยว่า ไอ้รอยยิ้มที่เห็นเมื่อกี้อาจจะเป็นแค่เงาสะท้อนของเทียนไขเล่มเล็กก็ได้
“ขอบคุณมากนะครับพี่แทน” พึมพำออกไปเบาๆให้อีกฝ่ายพอได้ยิน
“ไม่เป็นไร แต่มึงวางพรั่วในมือก่อนไหม” อีกคนทำทีเป็นกล่าวเสียงเข้ม เอ่ยแซวคนที่ยังกำพรั่วในมือแน่นไม่ยอมปล่อย ยกนิ้วเรียวยาวขึ้นมาเกาแก้มแก้เขิน
“อ่ะ ผมลืม~ ก็เมื่อกี้แอบกลัวจริงๆนี่น่า” พูรินว่าพร้อมหันไปค้อนอีกคน
“พี่แทนนี่ผมชินแล้ว แม่กุ้งร่วมมือแกล้งผมแบบนี้ได้ยังไง” ต่อพ้ออย่างไม่จริงจังพร้อมเข้าไปซุกอยู่ในอกอุ่นของแม่กุ้งอีกครั้ง คนเป็นแม่หัวเราะออกมา ใจนึกรักอีกฝ่ายเหมือนลูกแท้ๆอีกคน เพราะอยู่กับเจ้าแทนมาทั้งชีวิต ถึงมันจะเป็นคนกตัญญูคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่มันก็ไม่เคยเข้ามาออดอ้อนคลอเคลียให้ชื่นใจแบบนี้เลยสักครั้ง
“ไป แม่ทำกับข้าวที่น้องหมีพูห์ชอบไว้เยอะแยะเลย” พูรินตาวาววับ เอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีพร้อมทัั้งโน้มตัวไปจุ๊บหนึ่งทีให้เธอหัวเราะคิกคัก
“รางวัลสำหรับแม่ครัวคนเก่งของผม~”
“พี่แทนก็ทำยำปลากระป๋องให้เราด้วยนะ” เขาหยุดกึกเมื่อแม่ว่าออกมาอย่างอารมณ์ดี เจ้าจินตนาการตัวดีดันฉายภาพตอนที่เขาจุ๊บแก้มคนตัวโตเข้ามาในสมองจนหน้าแดงก่ำอย่างไร้เหตุผล เมื่อเผลอลอบมองอีกฝ่าย สายตาดันไปสบเข้ากันอย่างจังกับคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้วจนต้องหลุบตาลงแทบจะทันที
“หิว!” จู่ๆก็ตะโกนออกมาจนตัวเองตกใจ
“ผมหิวแล้ว กินกันเลยไหมครับ” ว่าแล้วก็รีบดันหลังแม่กุ้งไปที่โต๊ะอาหาร กระวีกระวาดตักข้าวใส่จานทุกใบ จนเมื่อทุกคนนั่งลงพร้อมกันก็เริ่มต้นตักกับข้าวที่เรียงกันอยู่บนโต๊ะอย่างละลานตาโดยไม่ยอมสบตากับอีกคนที่ยังจ้องกันอยู่
“เห็นพี่เขาบอกว่าเราได้งานแล้วหรอ” แม่กุ้งว่าพร้อมกับตักกุ้งชุบแป้งทอดใส่จานเขา
“ครับ เป็นเพราะแม่แท้ๆเลย ผมถึงได้งานนี้ ขอบคุณมากเลยนะครับ ไม่รู้จะตอบแทนแม่ยังไงไหวแล้ว~” เขาเผยสิ่งที่คิดออกไป รู้จักกันไม่เท่าไหร่ แต่แม่กุ้งใจดีกับเขามากมายเหลือเกิน
“ไม่จำเป็นเลยลูก แม่ขอให้หนูตั้งใจทำงานก็พอ ได้โอกาสมาแล้วต้องทำให้เต็มที่นะรู้ไหม”
“ครับแม่! ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังเลย” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น พร้อมยื่นจานข้าวให้คนพี่ที่ได้แต่นั่งฟังไม่ได้พูดอะไรเลยมาตั้งแต่เริ่มกินข้าวไปตักข้าวจานที่สามให้เขา
“อิ่มที่สุดเลยครับ~” พูรินลูบพุงแน่น บ่นออกมาเสียงดัง ให้ผู้ใหญ่อีกสองคนมองตากัน ก่อนจะขำให้กับคนทีี่กินข้าวหมดจานที่สี่
ถ้าไม่อิ่ม แม่คงต้องไปซื้อข้าวสารเพิ่ม..
“ผมมีข่าวดีมาบอกแม่กุ้งด้วย” พูรินพูดขึ้นตอนที่ตักบัวลอยไข่หวานเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ชุดที่ผมขอให้แม่ทำ ผมลองเอาไปลงขายในเวบเมื่อคืน พอตื่นเช้ามา แม่เชื่อไหมผมขายไปแล้วสองชุด”
เมื่อเห็นแม่กุ้งมีท่าทางตื่นเต้นไปด้วย คนเล่าก็ยิ่งได้ใจเล่ารายละเอียดไปเรื่อย จนทั้งโต๊ะอาหารมีแต่เสียงของเจ้าตัวดังเจื้อยแจ้ว
ไม่นานคนที่กลายเป็นหมาหัวเน่าเต็มตัวก็ลุกขึ้นเก็บจานบนโต๊ะ ทำตาดุเป็นการปฎิเสธคนที่พยายามจะลุกมาช่วย เขาถือถ้วยชามทั้งหมดเดินเข้าไปในครัว ล้างทำความสะอาดทั้งจานและห้องครัวจนเกลี้ยงเกลาอย่างรวดเร็วแบบคนที่ทำประจำ
เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งก็ต้องส่ายหัวอย่างจำยอมเมื่อเห็นสองคนลุกจากโต๊ะอาหาร ลงไปนั่งเล่นบนพื้นหน้าทีวี รอบตัวมีชุดเจ้าหญิงสีชมพูที่แม่เพิ่งทำเสร็จวันนี้ ดูท่าแล้วแม่คงกำลังสอนอีกคนเย็บกระดุมติดชุด
“ใช่แล้วลูก แทงลงตรงนั้นแหละ ระวังนิ้วด้วยนะ”
“ครับๆๆ โอ๊ย! ฮือ อีกแผลแล้ว..”
แทนคุณยกยิ้ม
สองคนเหมือนอยู่ในอาณาเขตที่มีป้ายห้ามเข้าแปะไว้
แต่ถึงจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
แต่ภาพที่ทั้งสองเข้ากันได้ดีมันทำให้เขาอุ่นใจ
“งั้นผมขึ้นห้องแล้วนะแม่” เมื่อจู่ๆทั้งสองหันมาสบตาเขาเลยเอ่ยออกไป พยายามห้ามตัวเองไม่ให้อมยิ้มเมื่อเหลือบมองร่างบางที่ส่งยิ้มมาให้เขาก่อนที่จะหันไปสนใจกิจกรรมตรงหน้าอีกครั้งอย่างขะมักขะเม้น
“เสร็จแล้วครับแม่ มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ” พูรินยื่นชุดเจ้าหญิงชุดสุดท้ายที่เขาเย็บกระดุมเสร็จส่งให้แม่กุ้ง แอบอมยิ้มเมื่อเห็นแม่รับงานของเขาแล้วพยักหน้าพร้อมชมว่าสวยไม่หยุด จากที่ตอนแรกโดนแม่แก้บ้าง พอทำไปสักสี่ห้าชุดเขาก็เริ่มทำคล่องขึ้นแล้ว
“ไม่มีแล้วจ้ะ แม่ขอบใจเรามากเลยนะ ช่วยแม่ได้เยอะเลย”
“แม่อย่าพูดแบบนี้สิครับ ผมเต็มใจ ผมซะอีกที่มากวนใจแม่ตลอด ทั้งๆที่แม่ยุ่งยังต้องมาสอนนั่นสอนนี่ผมอีก” ว่าแล้วก็เข้าไปกอดออดอ้อน เอาคางแนบลงไหล่ผู้ใหญ่ที่เขาแสนรัก แต่พอตาเลื่อนไปดูนาฬิกาก็ต้องสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนในทันที
“โอ้โห ดึกขนาดนี้เชียว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับแม่” เมื่อเห็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเที่ยงคืนแล้ว เขาเลยรีบลุกขึ้นเตรียมเก็บของเข้ากระเป๋า
“ไม่เอาน้องหมีพูห์ คืนนี้นอนนี่นะ มันดึกแล้ว แม่ไม่อยากให้กลับ มันอันตราย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเรียกแท๊กซี่มารับได้ครับ สบายมาก”
“ไม่เอาๆ วันนี้แม่เป็นคนเรียกเรามา แม่รับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะถ้าเราเป็นอะไรไป” อีกคนยังยืนยัน
“หรือว่ารังเกียจบ้านแม่”
“ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่ โธ่~ ผมจะคิดอย่างนั้นได้อย่างไงครับ แม่ก็~” พูรินตาโตรีบปฎิเสธทันควัน
“ไม่แปลกหรอก บ้านแม่มันคงไม่ค่อยสะดวกสบาย ถ้าเราไม่อยากอยู่จริงๆ งั้นก็ไปเรียกให้พี่แทนไปส่งนะ ยังไงแม่ก็ไม่ให้เรากลับเอง” พูรินอึกอัก เขาเสียใจที่ทำให้ผู้ใหญ่เข้าใจผิด เขาก็แค่เกรงใจอีกฝ่ายเท่านั้น ความที่กลัวอีกฝ่ายน้อยใจบวกกับที่ถ้าพี่แทนต้องไปส่งเขา พี่แกก็ต้องย้อนไปย้อนมา น่าเป็นห่วงกว่าเดิมไปอีก
“โอเคครับแม่ งั้นผมขอรบกวนนอนนี่นะครับ”
“รบกงรบกวนอะไร ถ้าพูดแบบนี้อีกแม่จะโกรธแล้วนะ ไปๆ รีบขึ้นไปบอกพี่เขาซะ มันดึกแล้ว”
พูรินพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เดินขึ้นไปชั้นสองแต่โดยดี คนเป็นแม่มองตามหลังเด็กดีที่เขาแสนเอ็นจะดู แอบส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้
“เจ้าตัวดี ถ้าเลิกปากแข็ง แม่ก็คงไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้หรอก”
พูรินเคาะประตูห้องนอนสองครั้ง เพราะมันปิดไม่สนิทดีเขาจึงถือวิสาสะค่อยๆดันแง้มมันออก เสียงสายกีต้าร์ที่ถูกดีดลอยออกมาตามสายลม เมื่อประตูเปิดกว้างจนสามารถเห็นด้านในได้ชัด สองตาก็สังเกตเห็นพี่แทนนั่งอยู่บนเตียง ขาข้างหนึ่งกึ่งขัดสมาธิอยู่บนฟูก ขาอีกข้างเหยียดออกยันพื้น บนตักมีกีต้าร์โปร่งตัวใหญ่ที่ดูเล็กลงทันทีที่อยู่ในอ้อมกอดของอีกคน
“พี่แทน..”
“จะกลับแล้วหรอ” แทนคุณเอ่ยทักพร้อมวางกีต้าร์ไว้ข้างตัว เมื่อเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของร่างบาง เขาจึงตบฟูกเบาๆเป็นสัญญาณให้อีกคนมานั่งลงข้างๆ
พูรินนิ่งไปนิดก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปนั่งข้างๆอีกคน เมื่อก่อนเข้ามาอยู่ในห้องนี้ด้วยกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งไม่เห็นจะเป็นอะไร ตอนนี้คนมันใจไม่ซื่อ พอได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้มันถึงกับไปไม่เป็นเลยจริงๆ
“แป๊ปนะ” ไม่ทันได้พูดอะไร คนแก่กว่าก็เอี้ยวตัวไปหยิบถุงกระดาษที่ตั้งหลบอยู่ปลายเตียง
“อ่ะ” กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะยื่นมันมาตรงหน้า พูรินจำถุงกระดาษใบนี้ได้ดี มันน่าจะเป็นใบเดียวกับที่เขาเห็นอีกคนมอบให้เพื่อนสาว
“ไม่รู้ว่ามึงจะชอบไหม กูก็เลือกได้แค่นี้ล่ะนะ” เอ่ยออกมาทัั้งที่ตาไม่ยอมสบกัน
“จะเอาไม่เอา” หน้าเริ่มชาเมื่ออีกคนมัวแต่มองตาเขาปริบๆ ไม่ยอมรับของขวัญไปสักที เตรียมตัวจะดึงมือกลับมา แต่ไม่ทันพูรินที่ได้สติคว้ามันไปก่อน ตากลมโตทั้งสองเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่แสนคุ้นเคยนอนรออยู่ในถุง
“อ่า~ น่ารักจังเลยยยย” พูรินยื่นมือไปจับหูกระเป๋ายกขึ้นมาดู ตัวกระเป๋าเป็นหมีพูห์ซูมซูมที่อยู่ในชุดผึ้งน้อย มีปีกสีฟ้ากลางหลัง มีหนวดผึ้งน่ารักๆสองอันชี้ตั้งขึ้นระหว่างหู เขาเคยเห็นมันมาก่อนจึงนึกรู้ว่าจะเจออะไรเมื่อเปิดกระเป๋าออกดู
“พี่แทน~” พูรินน้ำตาคลอ ด้านในกระเป๋ามีตุ๊กตาซูมซูมตัวเล็กนอนเบียดแน่นกันอยู่อีกสี่ตัว
“ขอบคุณนะครับ ผมชอบที่สุดเลย” เขาดึงมันขึ้นไปทาบกับแก้มกับคนให้ทีละตัวทันที
“หมีพูห์ พิกเลต ทิกเกอร์ อียอร์ พี่แทนเป็นตัวไหนดี”
“ลามปามนะมึงน่ะ”
“โธ่~ พี่แทนเล่นกับผมสักวันเถอะ วันเกิดผมนะ~”
“...”
“อ่ะๆ ให้เป็นเสือทิกเกอร์เลย อย่างเข้มอ่ะ”
“กูไม่ใช่เสือ”
“งั้น..” เขาหยิบอียอร์ขึ้นมา
“มึงว่ากูโง่หรอ” โธ่~ ลามันไม่ได้โง่สักหน่อย น่ารักจะตาย พูรินลังเลระหว่างพิกเกตกับหมีพูห์ ถ้าเขาให้ตุ๊กตาสีชมพูหวานแหววกับพี่แกตอนนี้ต้องโดนต่อยแน่ๆ งั้นคงต้องยอมสละ..
“ไม่เอา กูจะเป็นไอ้ตัวนั้น”
“ห๊ะ” เขาไม่อยากจะเชื่อ “พิกเลตเนี้ยนะ”
“ทำไม มีปัญหา?”
“เปล่าๆๆ”
“ก็มึงเป็นหมีพูห์” แทนคุณว่าพร้อมหยิบตุ๊กตาสีเหลืองมีหูขึ้นมา เอาหน้าจิ้มแก้มเขาเหมือนทำท่าหอมแก้ม จนคนโดนหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ
“ไอ้เสือนี่ต้องไอ้ต้น”
“พี่แทนอย่าบีบคอมันดิ~”
“ไอ้ดินคือไอ้ลาโง่ตัวนี้”
“จะดึงหางมันทำไมอ่ะพี่~”
“ส่วนตัวนี้ของกู” พูดแล้วก็หยิบพิกเลตตัวจิ๋วไปตั้งบนไหล่ตัวเอง
“ทำไมพี่ถึงอยากเป็นพิตเกตจังเลยล่ะ” อีกคนถาม มองสลับไปมาระหว่างวัตถุสองสิ่งตรงหน้าที่ดูไม่เข้ากันสักนิด
“มึงไปคิดเอาเอง”
“เอ้า~ ทำไมอ่ะ~”
“บางทีมึงก็โง่นะ”
“ยังไงอ่ะพี่~ ผมไม่เข้าใจ”
อีกคนไม่ตอบคำถาม เอื้อมไปหยิบกีต้าร์ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มต้นดีดเปลี่ยนคอร์ดไปมาเหมือนเพียงต้องการฝึกนิ้วไปเรื่อยอย่างไร้แก่นสาร พูรินที่รู้ดีว่าอีกคนคงไม่ยอมบอกเลิกคิดจะเซ้าซี้ ใจนึกกลับไปถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ขึ้นมาบนนี้
“เอ่อ พี่แทน..คือแม่กุ้งบอกให้ผมค้างที่นี่เพราะมันดึกแล้ว” เขาเอ่ยออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ผมอยู่ค้างที่นี่ได้ไหม ผมนอนที่ห้องรับแขกก็ได้นะ”
เหมือนเวลาที่มีกีต้าร์อยู่ในมืออีกคนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พี่แทนยังไม่ตอบอะไร ได้แต่บรรเลงทำนองเพลงช้าๆไปเรื่อย พูรินเองก็ไม่ได้เร่งจะเอาคำตอบ เจ้าตัวดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนตรงหน้า
“มึงนี่ชอบดิสนีย์มากเลยนะ”
คนร่างใหญ่ว่าขึ้นให้เขาพยักหน้ารับ ไม่ช้าเสียงที่ได้ยินก็กลายเป็นท่วงทำนองแสนคุ้นหู จนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง หันไปหาคนที่มองกันมาอยู่ก่อนแล้ว
“เพลงนี้...”
“นี่ดิสนีย์ที่สุดในชีวิตกูแล้วนะ” แทนคุณเอ่ยออกไปให้อีกคนชะงัก นิ่งมองคนที่เขาเคยกังขาว่าเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ แต่วันนี้คนคนนั้นกลับทำให้ใจเขาหวั่นไหวกว่าที่เคยเป็น
พูรินคิดถึงความทรงจำในวัยเด็ก
สมองท่องคุณสมบัติของเจ้าชายที่เคยคิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุด
- - คนที่ใส่ใจความรู้สึก - -
“ก็นายมีฉันเป็นเพื่อน
จะเป็นเสมือนคู่ใจ
แม้เส้นทางที่นายเดินไป
มันไม่สวยดังหวัง
ถ้าหมดกำลังใจ
ก็ขออย่าลืมที่บอกกับนายเอาไว้
ว่าฉันนั้นคือเพื่อนคู่ใจ
นายมีเพื่อนที่แท้คือฉัน”
- - คนที่ทำให้เขาหัวเราะได้เสมอ - -
“You've got a friend in me”
“โห พี่แทนร้องเพลงภาษาอังกฤษ” เขาเอ่ยแซวให้นักร้องเขม่นมองตาขวาง จนเขาอดขำก๊ากให้กับหน้าตาตลกๆของพี่แกไม่ได้
“You've got a friend in me
If you've got troubles, I've got 'em too
There isn't anything I wouldn't do for you
We stick together and can see it through
'Cause you've got a friend in me
Yeah, you've got a friend in me”
- - คนที่เข้าใจในความเป็นตัวตนโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงกัน - -
“ตามึงแล้ว” พูดขึ้นพร้อมยื่นคางพยักเพยิดให้เขาร้องท่อนต่อไป พงกหัวเล็กน้อยเพื่อช่วยหาจังหวะให้ พูรินไม่ลังเลที่จะร้องออกไป เพราะเนื้อเพลงมันฝังแน่นอยู่ในใจเขาอยู่แล้ว
“Some other folks might be
A little bit smarter than I am
Bigger and stronger too, maybe
But none of them will ever love you
The way I do, it's me and you, boy
And as the years go by
Our friendship will never die
You're gonna see it's our destiny”
“You've got a friend in me
You've got a friend in me
Yeah, you've got a friend in me”
เมื่อสายกีต้าร์เส้นสุดท้ายหยุดสั่นไหว แทนคุณเอี้ยวตัวโน้มแขนเข้ามาใกล้ วางมือลงบนกลุ่มผมนุ่ม ยกยิ้มอบอุ่นที่ใครอีกคนไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้ง
- - คนที่เห็นอีกเขาสำคัญกว่าใคร..- -
“สุขสันต์วันเกิดนะหมีพูห์”
พูรินจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ เขารู้สึกเบาเบลอ ตัวลอยเหมือนอยู่ในฝัน ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้า กลัวเหลือเกินว่าถ้าเผลอกระพริบตาสักครั้ง ภาพที่เห็นทั้งหมดอาจจะเลือนหายไป
เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะใช่หรือเปล่า...
คนที่เขาตามหามาทั้งชีวิต...
แต่จู่ๆ...
เขาก็ไม่เห็นความจำเป็น...
ที่จะต้องตามหาใครคนนั้นอีกต่อไป...
*************************
ไม่ได้อู้น้าาาา มันไม่ได้จริงๆ ที่แก้ไปแก้มานี่รวมเป็นสามตอนได้แล้ว ตัดไปเยอะมากก น้องมันขี้เพ้ออ่ะ (><)
รูปตุ๊กตาที่พี่แทนให้อยู่ในทวิตเตอร์เด้อ อยากได้เอง อยากได้มาก อยากได้จนทนไม่ไหวต้องเอามาใส่ไว้ในเรื่อง 5555
และเพลงที่พี่แทนร้องในเรื่องก็คือ You’ve got friend in me เป็นเพลงประกอบ Toy story ลองไปฟังกันนะคะ แนะนำๆ คือเพลงเนื้อหาดี ดนตรีเพราะ ใครเคยดูจะอินมากๆบอกเลย ยิ่งตอนภาค 3 พอเพลงนี้ขึ้นทีไร ร้องไห้ทุกครั้งจริงๆ (แหะๆ อันนี้เราเว่อร์เอง)
#หมีแทนที่รัก