แจ้งข่าว (Pre order) หนังสือทำมือน้องหมีกับพี่แทนค่ะ ตอนพิเศษเยอะมากๆๆๆ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าว (Pre order) หนังสือทำมือน้องหมีกับพี่แทนค่ะ ตอนพิเศษเยอะมากๆๆๆ  (อ่าน 10635 ครั้ง)

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เพื่อลูกนะแม่นะ ดันๆหน่อย พี่แทนน่ารักเหมือนกันนะเนี้ยทำเพื่อหมีพูห์

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:น้ำผึ้งหยดที่หก:.

The things that make me different are the things that make me
.
.


สิ่งที่สร้างให้ฉันแตกต่างจากสิ่งอื่น คือสิ่งที่สร้างฉัน







“พ่อกับแม่ตกลงกันแล้วว่าจะหย่า”




พูรินพยายามนึก...

เขาจำได้ว่าไม่มีนิทานเรื่องไหนที่พระราชากับพระมเหสีจะไม่รักเจ้าหญิง
และมันก็ไม่มีเรื่องไหนที่ทั้งสองพระองค์จะไม่รักกัน
มันอาจจะมีบางเรื่องที่ความตายเข้ามาแยกทั้งสองให้พรากจาก
มีแม่เลี้ยงใจร้ายเข้ามาแทนที่ เข้ามาทำร้ายเจ้าหญิงตัวน้อย
และในงานเลี้ยงสังสรรค์เอง
ก็จะมีเพียงเวทมนต์ดำของแม่มดที่โหดร้ายเท่านั้นที่มาทำลายความสุข สร้างความทุกข์ให้แผ่กระจาย
คิด
คิด
คิด
และไม่ว่าจะลองคิดดูเท่าไหร่
มันก็ไม่มีเลยในสักเรื่องที่อ่าน
ที่ตอนจบมันกลายเป็นแบบนี้...




พูรินเม้มกัดปากล่างด้วยความเกร็ง สองตาจดจ่ออยู่กับเค้กชอคโกแลตก้อนโตตรงหน้า ใจเต้นตุ่มต่อมไม่เป็นจังหวะ พยายามบังคับมือที่สั่นไหวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และในที่สุดเมื่อเขาสามารถตัดมันเป็นหกส่วนเท่าๆกันได้ ปากเรียวนุ่มก็โค้งขึ้นยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“Perfect!”
เขาตะโกนร้องเสียงดัง ตบมือดังเปาะแปะให้กับตัวเองในฝีมือการตักแบ่งเค้ก รีบเปิดชั้นด้านบนหยิบจานพอร์ซิแลนออกมาสามใบ ค่อยๆละเลียดตักเค้กใส่จานอย่างเป็นระเบียบ
ยอดเยี่ยมที่สุด!
ช่วงนี้เขารู้สึกดีเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูจะได้ดั่งใจไปเสียหมด เริ่มจากได้งานสอนที่โรงเรียน แล้วพอเปิดร้านขายชุดเจ้าหญิงออนไลน์ก็มีลูกค้าเข้ามาทันทีทันใด
แล้วยังเหตุการณ์เมื่อวานนี้อีก...
“You've got a friend in me.... You've got a friend in me”
เหตุการณ์เมื่อวานที่บ้านพี่แทนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวให้ใจเต้นตึกตัก ตั้งแต่เมื่อเช้าที่กลับมาบ้านเขาก็เปิดฟังเพลงนี้เป็นรอบที่ร้อยได้แล้ว แล้วยังเจ้าตุ๊กตาที่พี่แทนให้อีก ตอนนี้มันตั้งเรียงกันบนหมอนอีกใบข้างหัวเขาเรียบร้อย
มันรู้สึกอิ่ม..อิ่มแบบคนที่กินความสุขเข้าไปก้อนโตมโหฬาร
และยังจะวันนี้อีก..
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสามคนพ่อแม่ลูกแบบนี้ พูรินไม่เคยคิดจะทำตัวเอาแต่ใจ เขาเข้าใจดีว่าท่านทั้งสองมีงานยุ่งมากแค่ไหน ทั้งหมดมันก็เพื่อความสุขสบายของเขาทั้งนั้น อย่างวันนี้เองก็เหมือนกัน เขารู้ดีว่าทั้งคู่ต้องเคลียร์ตารางงานกันเจ้าละวันกว่าจะมารวมตัวกันได้
“เอาล่ะ” เมื่อวางส้อมลงบนจานเรียบร้อย เขาก็หยิบทิชชู่ออกมาจากชั้น จัดทั้งหมดใส่ลงถาดอย่างระมัดระวัง ค่อยๆยกมันขึ้นก่อนที่จะเดินไปเสริ์ฟที่ห้องนั่งเล่น
“ไม่ใช่วันนี้!” เสียงแม่ที่ดังดุแว่วมาให้เขาชะงักเท้า เพราะประตูห้องนั่งเล่นเปิดกว้าง เขาถึงได้ยินมันค่อนข้างชัดเจน
“ก็ไหนคุณบอกให้น้องอายุ 20 เต็มก่อนถึงจะบอก” คราวนี้เป็นเสียงของพ่อเขาที่ตอบโต้ขึ้นมาบ้าง
“มันก็ใช่ แต่คุณไม่คิดว่ามันใจร้ายไปหน่อยหรอ วันนี้วันเกิดลูกนะ” เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับตัวเองพูรินยิ่งชะงักเกร็ง แนบแผ่นหลังติดกับผนัง พยายามเขยิบเข้าไปใกล้ประตูให้มากที่สุด
“มันก็ใช่ แต่คุณคิดว่าเราสองคนจะมาเจอกันได้อีกเมื่อไหร่ เมื่อมีโอกาสผมก็อยากจัดการให้มันเรียบร้อย”
“เหอะ” แม่ของเขาหลุดหัวเราะ แต่เขาสัมผัสได้ว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูไร้ความสุขที่สุดที่เขาเคยได้ยินจากอีกคน
“ทำไม อยากจะหย่าจนทนไม่ไหวขนาดนี้เลย?”
เพล้ง!
แม้จะพอจับใจความได้จากบทสนทนาได้ แต่เมื่อได้ยินคำนั้นหลุดออกมาเต็มสองหู พูรินก็ไม่อาจห้ามความตกใจ เผลอทำถาดในมือหลุดร่วงลงพื้น
“น้องหมีพูห์..”
คนที่อยู่ด้านในรีบรุดมาดู ตาเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นลูกชายคนเดียวยืนตัวสั่นหน้าซืดอยู่หลังประตู
“พ่อ..แม่...” กลืนน้ำไหลเหนียวฝืดลงคออย่างยากเย็น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ยะ..หย่าหรอ”












“พี่แทนหวัดดีครับ” พุธโธที่กำลังสูดเส้นก๊วยเตี๋ยวเข้าปากรีบกลืนมันลงคออย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรุ่นพี่ที่รู้จักเดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกัน ตบไหล่ธงชัยเบาๆหนึ่งครั้งเมื่อมันยกมือไหว้
“มาหาหมีมันหรอพี่ มันไปแล้วอ่ะ วันนี้มันมีสอนตอนบ่าย”
“อืม กูรู้แล้ว กูมาหามึงต่างหาก”
“ผมหรอ มีไรหรือเปล่าครับ” หนุ่มร่างสูงถามอย่างงงๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยคุยกัน เจ้าตัวเอามือชี้หน้าตัวเองเลิ่กลั่ก
“ผมเปล่าไปยุ่งกับพี่กีเลยนะ” ธงชัยหลุดขำให้กับความร้อนตัวของเพื่อนสนิท อดที่จะด่าให้มันรู้จักฟังพี่เขาก่อนไม่ได้ ไม่รู้มึงจะตื่นตูมไปไหน
“หมีพูห์..มันเป็นอะไรหรือเปล่าว่ะ” คนมาใหม่ค่อยๆเอ่ยถามอย่างพยายามรักษามาดขึมไว้ ทำตาขวางใส่เมื่อเห็นไอ้รุ่นน้องสองคนหรี่ตามองกระยิ้มกระย่อง
“กูก็แค่เห็นมันเหม่อๆ ใจลอยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว กลัวมันจะไปตกท่อตายที่ไหน”
เขาเอ่ยสิ่งที่คิดออกไป ก็ไอ้หมีพูห์มันเหม่อไม่ธรรมดาจริงๆ วันก่อนทั้งๆที่เขาตั้งใจเดินไปขวางให้เห็นกันโต้งๆตอนที่เจอกันหน้าห้องเรียน มันถึงกับเหม่อเดินมาชนเขา แถมเอ่ยขอโทษแล้วเดินเหม่อต่อไปซะงั้น เขาเห็นน้องมันเป็นแบบนี้มาสองอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่วันที่เขาร้องเพลงให้ ใจนึงแอบกังวลว่าสาเหตุมันอาจจะเป็นเพราะเขาหรือเปล่า บางทีน้องมันอาจจะอึดอัดไปกับความรู้สึกที่มากเกินไปที่เขามอบให้ก็ได้
“ครับพี่ มันก็..มีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ” รูมเมทของคนที่ถูกกล่าวถึงเป็นคนเอ่ยขึ้น
“เรื่ิองเรียนหรอ?”
“เปล่าครับ..”
“เรื่องที่ไปสอน?”
“เอ่อ..ก็ไม่ใช่อะครับ”
“แล้ว?” คนที่ไม่ได้คำตอบสักทีเริ่มตาขวาง จ้องคนที่ตัวสูงที่สุดแต่ตอนนี้น้องมันตัวลีบหดจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเสียแล้ว
“คือ...” หันไปมองตาเพื่อนอีกคน หวังจะให้มันช่วย แต่มันกลับนั่งเคี้ยวน้ำแข็งเล่นกรุบๆ หันไปด้านอื่นทำเป็นไม่ยอมสนใจใยดีเขา
แหม๋ ~ คุณชายธง ~
“ยังไงพี่ก็เจอมันแทบทุกวันอยู่แล้วนี่ ผมว่าพี่ไปถามมันเองดีกว่าครับ” พุทธโธตัดบทในที่สุด เขาพยายามจะตอบอ้อมๆเท่าที่จะทำได้เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อน
แทนคุณกระสับกระส่าย เขาอยากรู้มากกว่านี้ ก็ถ้าอีกคนยอมบอกเขาจะมาดักถามเพื่อนมันแบบนี้หรอ คิดแล้วก็ทนไม่ไหว ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนที่ทำให้เขาวุ่นวายใจ ยังไงก็ต้องถามให้รู้เรื่อง
[ครับพี่แทน] ไม่ต้องรอนาน อีกคนรับสายแทบจะทันที
“เอ่อ คุยได้หรือเปล่า” เขาพยายามเอามือป้องปาก พูดให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้สึกถึงสายตาอีกสองคู่ที่กำลังจับจ้องอยู่
[ก็ได้แป๊ปนึงครับ เดี๋ยวจะเริ่มคลาสใหม่แล้ว พี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ]
‘ต้องมีธุระด้วยหรอถึงจะโทรมาได้’ อยากจะลองพูดแบบพระเอกเวลาที่งอนนางเอกในนิยายดูบ้างแต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เวลา
“เลิกกี่โมงวันนี้”
[ก็ตามปกติครับ ประมาณห้าโมงครึ่ง]
“งั้นเดี๋ยวกูไปรับ”
[เอ่อ วันนี้ไม่มีติวนี่พี่ พี่มีอะไรหรือเปล่า]
“เอ่อ..” สมองพยายามคิดหาเหตุผลแต่ตอนนี้แทบไม่มีสมาธิ เพราะไอ้สายตากรุ่มกริ่มของสองคนตรงหน้า
“แม่กูอยากเจอ ใช่ๆ แม่กูให้มึงไปหา”
[ผมนัดกับแม่กุ้งพรุ่งนี้นะพี่] เหมือนเขาจะเปิดเสียงโทรศัพท์ดังไปหน่อย เพราะทันทีที่ได้ยินคำตอบ ไอ้สองคนที่ฟังอยู่ก็หัวเราะคิกคักออกมา
“เออ ก็แกบอกอยากเจอวันนี้ ทำไม มึงไม่ว่างหรือไง ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ”
[เปล่า ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย โธ่~ งั้นพี่มาประมาณหกโมงนะครับ จะได้ไม่ต้องรอนาน]
ในที่สุดอีกคนก็ยกยิ้ม มันไม่ใช่อย่างที่เขาเคยกังวล น้องมันไม่ได้หลบหน้าเขา แถมยังอุตส่าห์เป็นห่วง ไม่อยากให้เขารอนานอีก
“เออ เจอกันตอนเย็นนะมึง”
[คร้าบ เจอกันตอนเย็นนะพี่แทน]
“มองหาพ่อ-มึงหรอ”
หลังจากวางโทรศัพท์ลง แทนคุณก็ทำตาขึงดุน้องมันออกไป กระแอ่มไอเล็กน้อยทำหน้าไร้ความรู้สึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะกระชับกระเป๋าสะพายแล้วลุกขึ้นยืนตรง
“กูไปล่ะ” น้องทั้งสองยกมือไหว้ พยายามกลั้นไม่เผลอยิ้มออกไป ไม่กล้าไปวัดด้วยหรอ ใครๆก็รู้ว่าพี่แทนน่ะหมัดหนักแค่ไหน กล้ามโตขนาดนี้ บอกตรงๆแค่เชคแฮนด์ยังไม่กล้าทำเลย
ทั้งสองหันมามองหน้ากันเมื่อรุ่นพี่ลุกออกไปจากโต๊ะแล้ว ค่อยๆยกมุมปากขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจอกันตอนเย็นนะพี่แทน” ธงชัยทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบเพื่อนตัวเล็ก
“กูว่าใส่ใจอ่ะ” พุทธโธเอ่ยขึ้นเสียงเย้าหยอก ตายังมองหลังรุ่นพี่ที่ไอ้หมีเคยกร่นด่าว่าไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก
“มันคือความรักหรือเปล่ามึง”
“คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆเลยวะ”
“มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้หมีแก้อ่ะมึง”
ตุ้บ!
“โอ้ย”
“โอ้ย”
ไม่ทันได้ต่อเพลงจนจบก็มีลูกบอลจากไหนไม่รู้มากระแทกหัวพุทธโธอย่างจัง แถมยังกระเด้งต่อไปโดนแก้มธงชัยอีกที ทั้งคู่ลุกขึ้นกำลังจะร้องหาต้นเหตุแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นไกลๆว่ามันคือรุ่นพี่ที่เขานึกว่าเดินไปแล้ว
“แน่จริงมึงร้องต่อสิไอ้พุทธ!”
~ เชี่ยกล้ามแน่น แล้วยังหูดีอีก











“สวัสดีครับครูพูริน”
“สวัสดีครับคุณณัติ รอแป๊ปนึงนะครับ”
เมื่อเปิดประตูออกมา พูรินก็ยิ้มทักทายผู้ปกครองนักเรียนก่อนที่จะเดินเข้าไปรับนักเรียนมาส่ง ที่จริงเขาเป็นแค่ครูสอนพิเศษ มีหน้าที่แค่สอนเต้นกับสอนภาษาอังกฤษพื้นฐาน พอหมดชั่วโมงเรียนก็สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่ใช่ครูประจำที่มีเวรต้องมาอยู่จนเย็นย่ำแบบนี้ แต่เพราะความสมัครใจส่วนตัว เขาเลยอาสาตัวเองอยู่ช่วยในวันที่มาสอน ทั้งนักเรียนทั้งครูที่นี่น่ารักกับเขามาก พูรินอยากตอบแทนทุกคนให้เต็มที่
“น้องหมี คุณอามาแล้ว” เอ่ยเรียกก่อนจะช่วยจัดแจงและตรวจสอบข้าวของในกระเป๋าให้อีกรอบ คอยสังเกตการเวลาน้องสวมรองเท้า ก่อนที่จะจูงมือกันไปส่งถึงหน้าประตู
“อาณัตตตตตติ” เด็กชายวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของคนเป็นอาที่ย่อตัวนั่งชันเข่ารออยู่แล้ว
“เป็นยังไงบ้างครับน้องหมี วันนี้เรียนสนุกไหม”
“สนุกมากเลยครับ คุณครูสอนเต้นสนุกมากเลย” เด็กชายเอ่ยเล่าอย่างตื่นเต้น เขาชอบวันพุทธกับวันศุกร์ที่สุด เพราะมันเป็นวันที่จะได้เจอกับครูพูรินที่แสนใจดีของเขา
“อาณัติ อารู้หรือเปล่าว่าผมกับคุณครูเป็นญาติกัน” เด็กชายทำท่าป้องปาก กระซิบบอกเหมือนมันเป็นความลับสุดยอด
“ยังไงล่ะครับ” คนเป็นอาแอบงง เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าคุณครูที่หัวเราะคิกคักกับความไร้เดียงสาแสนน่ารักของเด็กน้อย
“ก็คุณครูบอกว่าคุณครูชื่อหมีพูห์ ผมก็ชื่อหมี เราเป็นหมีเหมือนกัน ก็ต้องเป็นญาติกันสิครับ” อาหนุ่มหัวเราะร่วนให้กับความน่ารักของหลาน ขยี้หัวเจ้าตัวอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มเท้าอีกครั้ง
“คุณครูพูรินชื่อว่าหมีพูห์หรอครับ น่ารักดีจัง” คนได้รับคำชมพยักหน้ายิ้มตอบกลับมาให้ณัติดีใจ ชื่อหมีพูห็ก็น่ารักอยู่หรอก แต่ถึงจะไม่ได้ชื่อนี้ เขาก็คิดว่าคุณครูน่ารักมากอยู่แล้ว
“คุณครูกลับด้วยกันไหมครับ อาณัติบอกว่ารถเราผ่านหน้ามหา’ลัยคุณครูด้วย” พูรินก้มมองเด็กน้อยที่มาจับมือเขาแล้วเอ่ยถาม ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่ยืนยิ้มมองกันอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ผมเป็นคนให้น้องหมีชวนเอง” ตัวณัติเองก็ไม่คิดจะปิดซ้อนความรู้สึก ในหนึ่งอาทิตย์เขาได้เจอคุณครูแค่สองวัน วันละไม่ถึงสิบนาที ถ้าไม่ลุยเต็มที่แบบนี้ เขาก็คิดว่าโอกาสของเขาก็แทบจะเป็นศูนย์
“ขอบคุณจริงๆครับ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ ผมเกรงใจ” เอ่ยปฎิเสธออกไปอย่างสุภาพ สายตาพาดผ่านไปเห็นใครอีกคนที่ยืนพิงมอเตอร์ไซค์ กอดอกแน่นหันหน้ามามองกันอยู่
“แล้วอีกอย่างวันนี้คุณครูมีรถมารับแล้วครับ อาทิตย์หน้าค่อยเจอกันใหม่เนอะ” ย่อตัวลงไปคุยกับน้องหมีที่แอบหน้าบึ้งไปแล้วเพราะโดนครูปฎิเสธ แต่เจ้าตัวก็ยังเป็นเด็กดี ไม่ตื้อต่อให้เขาลำบากใจ ยกมือไหว้ก่อนจะเดินไปขึ้นคาร์ซีทบนรถอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย
พูรินรอจนรถออกจึงรีบเดินกลับเข้าไปด้านในโรงเรียน ตอนนี้ไม่มีเด็กๆเหลือแล้ว เขาหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมา กล่าวลาทุกคนก่อนจะรีบรุดไปหาคนที่ยืนรอกันอยู่

“รอนานไหมครับพี่แทน” พูรินกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหาคนหน้าบึ้งที่ยืนกอดอกรออยู่ ใจพองฟูที่อีกคนอุตส่าห์มารับถึงที่
“นาน” ตอบออกมาสั้นๆพร้อมขยับตัว หยิบหมวกกันน๊อคมายื่นให้เขา ก่อนที่จะสวมใส่ของตัวเอง เขารีบทำตามอีกฝ่ายทันที
“โธ่ ก็ผมบอกแล้วว่าให้มาหกโมง พี่มาเร็วเอง”
“พูดมาก” ว่าแล้วก็ลงนั่งประจำตำแหน่ง ให้เขารีบขึ้นซ้อนตาม ตอนนี้เขาชินกับคำพูดแบบนี้ของพี่แทนแล้ว ไม่ว่าพี่แกจะทำท่าเกรี้ยวกราดแค่ไหน แต่ภาพที่พี่แกเล่นกีต้าร์ร้องเพลงให้เขาฟังมันฝังแน่นจนไม่ว่ายังไงเขาคงไม่มีวันโกรธพี่แกลงอีกแล้ว
เพราะพี่แทนของเขาดีที่สุด!
“วันนี้จะกลับบ้านหรือเปล่า” คนขับเอ้ี้ยวตัวมาถามก่อนที่จะสตาร์ทรถให้คนที่กำลังยิ้มย่องชะงัก
“เอ่อ..ไม่ครับวันนี้ผมจะนอนหอ”
“โอเค เดี๋ยวกูไปส่ง” ว่าแล้วก็ขับรถออกมาจากหน้าโรงเรียนตรงกลับบ้าน พูรินรู้สึกขอบคุณและโล่งใจสุดๆที่อีกคนที่ไม่ซักไซร้อะไรต่อ หลายวันนี้ มีหลายครัั้งที่เขาอยากเล่าให้พี่แทนฟัง แต่ที่ยังลังเลก็เพราะไม่รู้ว่าพี่แทนจะมีความเห็นอย่างไรกลับสิ่งที่เขาทำลงไป
ตั้งแต่วันเกิด เขายังไม่กลับบ้านอีกเลย ไม่แม้กระทั่งคุยโทรศัพท์ มีเพียงส่งข้อความโต้ตอบไปบ้างไม่ให้อีกฝ่ายกังวลเกินไป เพราะถ้าหายไปเลยเดี๋ยวจะวุ่นวายตามหาเขากันไปทั่ว เขาก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ไปนานแค่ไหน แต่รู้แค่ว่าตอนนี้ยังรู้สึกไม่พร้อมกับอะไรเลยสักอย่าง
ไม่พร้อมที่จะคุย
ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า
ไม่พร้อมที่จะเข้าใจอะไรทั้งนั้น

“อ้าว ทำไมบ้านมืดแบบนี้ล่ะพี่” เมื่อขยับลงจากรถเขาก็เอ่ยถาม เมื่อไม่เห็นไฟสักดวงเปิดอยู่เลย
“วันนี้แม่กูไม่อยู่”
“อ้าว ไหนบอกแม่กุ้งอยากเจอผม”
“กูอ้างไปงั้นแหละ กูมีเรื่องจะคุยกับมึง” อีกคนเอ่ยออกมาตรงๆให้เขาตาโตอย่างแปลกใจ
“เรื่องอะไรอ่ะพี่” เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“เดี๋ยวค่อยคุย กูหิว อยากกินยำปลากระป๋องไหม” เมื่ออีกคนยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฎิเสธ พูรินก็ปรบมือดีใจ รีบเสนอตัวอยากช่วยพี่แทนทันที เรื่องอื่นค่อยว่ากัน เรื่องยำปลากระป๋องต้องมาก่อน!


“เหม่ออีกแล้ว” ใครอีกคนว่าแบมือส่ายไปส่ายมาตรงหน้าคนที่เหม่อตาลอย พูรินได้สติกลับมาอีกครั้ง หันไปมองดูจอทีวีที่ตอนนี้กำลังฉายเครดิตตอนจบของการ์ตูนเรื่องที่เปิดค้างไว้
“อ้าว จบแล้วหรอครับ” เอ่ยถามพร้อมมือที่ยื่นไปรับไอศครีมแท่งที่รุ่นพี่ส่งมาให้ พี่แทนหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเขา สองตามองจ้องมาให้จนรู้สึกประหม่า เขาเลี่ยงหลบ ยกไอ้ติมในมือขึ้นมาเริ่มกัดกิน
“มึง..” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น ให้หันไปมองจ้องกันอีกครั้ง “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงใจดี หรือแววตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย เพียงแค่ได้ยินคำถาม จู่ๆพูรินก็รู้สึกหน้าชา กระบอกตาร้อนผ่าว
“ถ้ามึงอยากเล่า กูฟังได้นะ”
“คือ..” เขายังลังเล ไม่รู้จะทำอย่างไร ใจอยากเล่าแต่อีกใจก็ยังรู้สึกกลัว
“มึงไม่กลับบ้านมาสองอาทิตย์แล้ว มีปัญหาอะไรที่บ้านหรอ” เมื่อโดนจับจุดได้ ก็เหมือนความรู้สึกที่เก็บกดจะพังทลาย เขากลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว ร้องไห้ออกมาแทนคำตอบว่าสิ่งที่อีกคนมันถูกต้อง
“มานี่” คนพี่ว่าแล้วกางแขนออก เรียกให้น้องมันพุ่งตัวเข้าไปหา กอดเขาปล่อยโฮออกมา
“พี่แทน..ผม...อึก”
“หืม..มึงเป็นอะไร”
“ผมมัน..อึก..เป็นเด็กไม่ดี..อึก” เล่าไปร้องไห้ไปให้อีกฝ่ายทำได้แต่ลูบหลังขึ้นลงเป็นการปลอบ เมื่อเห็นว่าน้องมันร้องจนพูดไม่รู้เรื่องแล้ว แทนคุณก็เลยไม่อยากถามอะไรต่อ ได้แต่กระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม ทำตัวเป็นหมอนรองน้ำตาให้ใครอีกคน

ทั้งสองย้ายออกมานั่งอยู่ตรงระเบียงห้อง อากาศยามค่ำคืนที่เริ่มหนาวเย็น ทำให้ใครบางคนที่หน้าร้อนตัวแดงเพราะร้องไห้หนักรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง ใครอีกคนที่ได้แต่เฝ้ามองอยู่ยังไม่พูดอะไร เขาไม่คิดจะเร่งรัด ให้เวลาคนร้องไห้ได้ปลดปล่อยอารมณ์ได้เต็มที่จนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ
“พ่อกับแม่ผมจะหย่ากันพี่แทน” ในที่สุดเมื่อน้ำตาทำท่าเหมือนจะหยุดไหล พูรินก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาอีกครั้ง ทำลายความเงียบที่แสนยาวนานให้จบลง
“...”
“ผม..วันนั้น..ผมบอกพ่อกับแม่ว่า ผมเกลียดเขา” น้ำตาที่ปริ่มล้นร่วงหล่นอีกครั้ง หันมองรุ่นพี่ที่มองมา สายตาที่ส่งมาไม่ได้แสดงความรู้สึก ไม่ว่าจะด้านดีหรือร้ายอีกคนแค่ยังรับฟัง
“...”
“ผม..” พยายามกล้ำกลืนน้ำลายที่มันเหนียวฝืดลงคอ “ผม..ผมรับไม่ได้”
“...”
“ไม่ว่าเหตุผลของทั้งสองคนจะดีแค่ไหน ผมจำเป็นต้องเข้าใจไหม” เอ่ยคำถามออกมา แต่แทนคุณรู้ดีว่าเจ้าตัวไม่ได้ถามเขา
“ผมจำเป็นต้องมารู้มันในวันเกิดผมไหม”
“...”
“ผมเคยคิดมาตลอดว่าความรักที่ผมได้เพียงพอ ถึงจะไม่มีพี่น้อง ถึงจะไม่มีญาติ หรือครอบครัวใหญ่เหมือนใครๆ ผมก็ยังมีเขาทั้งสองคน เป็นสองคนในโลกที่รักผม เป็นสองคนในโลกที่รักกัน”
“...”
“แล้วในวันนี้เขาทั้งสองก็มาทำลายทุกอย่าง แล้ววันนี้ผมจะเหลืออะไร มันไม่แฟร์กับผมเลยสักนิด”
เสียงสั่นเครือยังเอ่ยเล่าเรื่องราว หัวใจเด็กน้อยสั่นไหว เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันเห็นแก่ตัว เพราะรู้ดีว่าเด็กดีควรจะเป็นฝ่ายที่เข้าใจ เขาจึงเลือกที่เก็บสิ่งที่ก้นบึงของหัวใจคิดไว้ให้มิดชิดที่สุด เขาไม่อยากโดนใครตัดสิน แต่วันนี้เขาเลือกที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนคนนี้ฟัง
“...”
“พี่แทน..บอกผมสิ ผมคิดแบบนี้ ผมเป็นเด็กไม่ดีใช่ไหม” เมื่อพูดจบพูรินก็กระชับกอดเข่าตัวเองแน่น ซบหัวลงบนเข่า เขาสับสน เขารู้ตัวดีว่าพ่อกับแม่รักและห่วงใยเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ยังอยากโกรธ อยากให้อีกคนรู้สึกเจ็บปวดบ้างเหมือนที่เขาเป็น

ฟุบ!
ความร้อนที่มากระทบผมนุ่มทำให้พูรินเผลอเอียงหน้ามอง แก้มนิ่มเปลี่ยนมาแนบสัมผัสกับเข่าที่ตั้งชัน สองตาสบเข้ากับตาคมที่มองมาอยู่ก่อน
“มึงเป็นเด็กดี” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาอย่างปลอบประโลม
“แต่ผมพูดจาไม่ดีกับพ่อแม่”
“มึงก็แค่ไม่ทันตั้งตัว”
“และผมก็ยังไม่อยากไปคุยกับพวกเขา”
“มึงก็แค่ต้องการเวลา”
“แต่..” นิ้วชี้ของใครอีกคนแนบลงบนริมฝีปากนุ่มจนคำพูดที่ต้องการเอ่ยลอยหลุดหาย
“พอ..เลิกว่าตัวเองได้แล้ว” แทนคุณว่าเสียงเข้มเบาๆ
“ที่มึงมานั่งรู้สึกผิดแบบนี้ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามึงแคร์พ่อกับแม่มึงแค่ไหน”
“...” พูรินไม่ได้ว่าอะไร รู้ว่าอีกคนพยายามปลอบใจเขา แต่ใจที่สับสนมันก็ยังสับสนอยู่ดี

“พ่อกูทิ้งกูกับแม่ไปตั้งแต่กูอายุได้สองขวบ” พูรินตัวนิ่งแข็งเมื้อจู่ๆก็ได้ยินเรื่องราวที่ไม่คาดคิดจากปากอีกคน พี่แทนเอนตัวเท้าแขนสองข้างไปด้านหลัง หน้าเชิดขึ้นสูง ตาคมมองจ้องไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิท ไร้ซึ่งดวงดาวและแสงจันทร์
“เพราะกูต้องลำบากมาตลอด อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้ เห็นเพื่อนมีอะไรก็รู้สึกอิจฉา”
“...” พูรินนิ่งเงียบ ตอนนี้เป็นเขาที่กลายมาเป็นคนฟัง
“กูเลยเริ่มโกรธพ่อที่เห็นแก่ตัวทิ้งพวกกูไป แต่ไม่ว่ากูจะโกรธแค่ไหนเขาก็ไม่มารับรู้ กูก็เลยหันไปโทษแม่ เพราะใจแค่อยากด่าระบายอารมณ์ อยากให้ใครสักคนเจ็บปวดเหมือนที่กูเป็น”
“...”
“กูถามเขาว่าทำไมเราต้องจน ทำไมครอบครัวเราถึงไม่สมบูรณ์แบบ ทำไมมีแต่กูที่ต้องดิ้นรนกว่าใคร”
“...” พี่แทนหันหน้ามามองเขา ตาคมเรื่อน้ำใส เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเล่า มันเป็นสิ่งที่ฝังใจอีกคนมาตลอด
“และวันนั้นก็เป็นครั้งแรกที่กูได้เห็นน้ำตาของแม่ กูทำให้เขาเสียใจ คนที่ทั้งรักและทุ่มเทให้กูมาโดยตลอด มึงรู้ไหมวันนั้นเป็นวันที่กูเสียใจที่สุดในชีวิต กูสัญญากับตัวเองว่ากูจะไม่มีวันทำให้แม่เสียน้ำตาอีก หลังจากนั้นไม่ว่าแม่ขออะไรกู กูไม่เคยคิดจะขัดเลยสักครั้ง”
พูรินมองเสี้ยวหน้าของคนที่เอ่ยความใน เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอีกคนพูดเยอะขนาดนี้เมื่อไหร่ รู้สึกอบอุ่นในใจที่พี่แทนยอมเอ่ยเล่าเรื่องสำคัญแบบนี้ให้เขาฟัง
“แต่ตอนนี้แม่กุ้งภูมิใจในตัวพี่แทนมากเลยนะ” พูรินเอ่ยออกไปบ้าง
“กูก็เหมือนกัน กูชอบตัวเองในตอนนี้มากเหมือนกัน”
“กูที่ทำให้แม่ยิ้มได้ กูที่ไม่เคยละทิ้งความฝัน กูที่รู้จักผิดชอบชั่วดี กูที่เป็นกู” แทนคุณยกยิ้มหัวหันหน้ามาสบตากัน
“และมึงรู้ไหม สิ่งที่ทำให้กูเป็นกูในวันนี้ มันก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่กูเคยเผชิญมานั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นกูที่โดนพ่อทิ้ง กูที่โดนเพื่อนล้อเพราะไม่มีตังค์ซื้อหุ่นยนต์ หรือกูที่เคยทำให้แม่เสียใจ”
เป็นอีกครั้งที่ความอุ่นร้อนกลับมาที่กลุ่มผมนุ่ม มือหนาลูบปลอบประโลมไปมา
“แล้วมึงล่ะ”
“มึงชอบตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ไหม”
“...”
“หมีพูห์..ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบหรอกนะ ทุกคนก็ต่างมีปัญหาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือมึงต้องไม่ปล่อยให้ปัญหาที่ผ่านเข้ามา เปลี่ยนแปลงตัวมึงไปเป็นอีกคนที่มึงไม่ชอบ”
“...”
“ถามตัวเองว่าตอนนี้มึงมีความสุขหรือเปล่า เป็นแบบนี้มันดีแล้วหรอ ถ้าคำตอบคือไม่ มึงก็ต้องถามตัวเองว่าจริงๆแล้วมึงอยากทำอะไรกันแน่”
“...”
“ทำในสิ่งที่คิดว่าดี เป็นในสิ่งที่คิดว่าจะไม่ทำให้ตัวเองเสียใจ”
“...”
“เพราะสำหรับกู หมีพูห์ที่รักตัวเอง หมีพูห์ที่ยิ้มได้ มันดีที่สุดแล้วจริงๆ”
“...”
ความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้งเมื่อแทนคุณพูดจบ พูรินทำได้แค่เพียงนิ่งมองคนพี่ไม่วางตา เขากำลังคิดตามในทุกอย่างที่พี่พยายามสอน เป็นอีกครั้งที่พี่แทนช่วยเรียกสติเขากลับมา เป็นคนที่ชี้ทางสว่างให้กับเขาในวันที่กำลังเดินหลง เขาไม่รู้จะขอบคุณพี่แทนยังไงดี ตอนนี้ได้แต่ดีใจเหลือเกินที่มีคนคนนี้อยู่ตรงหน้า
“พี่แทน ขอกอดอีกทีได้ไหม” พูรินเอ่ยอ้อนเสียงเบา “ตอนนี้ผมกำลังอ่อนแอ”
แทนคุณหัวเราะในลำคอ อ้าแขนกว้างรับอีกคนที่น้ำตาปริ่มล้นขอบตาเข้ามาในอ้อมอก
“ทำไมมึงขี้แงแบบนี้นะ” พูรินได้แต่ยิ้ม เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติเขาไม่เคยร้องไห้กับใครเยอะเท่านี้มาก่อน
“พี่ว่าพ่อกับแม่จะโกรธผมไหม”
อีกคนยกยิ้มเมื่อได้ยินคำถาม
“มึงคิดว่าไงล่ะ”
“...” พูรินไม่ได้ตอบ เขารู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดมา ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไร พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโกรธเขาเลยสักครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน ตอนนี้พูรินรู้สึกสบายใจ ความหนักอึ้งในหัวที่มีมาตลอดสองสัปดาห์หายไปแล้ว ได้แต่กดหน้าลงไปบนอกอุ่นของใครอีกคน ปลายจมูกสัมผัสแผ่วเบาผ่านเนื้อผ้าสาก กลิ่นหอมของใครบางคนลอยมาแตะจมูก
“พี่แทน~”
“อะไรของมึงอีก”
“พี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรอ่ะ”
“หึ ทำไม มึงชอบหรือไง” แทนคุณไม่คิดว่ากลิ่นที่เขาใช้มันเหมาะกับอีกคนสักเท่าไหร่
“อืม..ชอบ” พูรินเอ่ยตอบเสียงเบา ขยับตัวหามุมสบายในอกกว้างที่เขาเริ่มจะคุ้นเคยเสียแล้ว
“กลิ่นมันอุ่นดีเนอะพี่”

กลิ่นหอมที่ทำให้ความกังวลหมดสิ้น กลิ่นที่เปลี่ยนทุกความเศร้าของเขาให้กลายเป็นความสุขใจ

*********************
#หมีแทนที่รัก

ยาววววววววววได้อีก 5555 เรื่องนี้บอกแล้วว่าปมมันจะเล็กๆน้อยๆ แก้ง่าย แก้เร็ว อยากให้มันเป็นธีมอุ่นใจมากกว่าดราม่าอะเนอะ อ่านง่ายๆสบายๆจ้า

สารภาพว่าช่วงนี้ท้อแล้ว ท้อมาก ~ อ่อนแอก็แพ้ไปอ่ะเนอะ พอจบเรื่องฝาแฝดก็อาจจะต้องหายไปหากำลังใจจริงๆแล้ว ฮือออ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:น้ำผึ้งหยดที่เจ็ด:.

Sometimes the smallest things take up the most room in your hearts
.
.
บางครั้ง สิ่งที่ดูไม่สำคัญ กลับมีความหมายมากมายที่สุดในหัวใจ







“พี่แทน ตกลงวันสอบโทอิคนี่วันไหนนะ” พูรินชะโงกหน้าถามคนที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ วันนี้เขามีนัดติวให้พี่แทนที่บ้านเหมือนเคย ก่อนจะกลับพี่เลยชวนเขาแวะซื้อราดหน้าข้างมอที่เคยมากินด้วยกันกลับไปกินที่บ้าน
รถมอเตอร์ไซค์คันโตจอดลงเมื่อถึงที่หมาย เขาก้าวลงจากรถก่อนที่อีกฝ่ายจะจัดการจอดรถจนสนิทดี เมื่อถอดหมวกกันน๊อคออกเรียบร้อยก็เอ่ยตอบเขา
“จันทร์หน้าตอนบ่าย”
คือเรื่องของเรื่อง เขาขยั้นขะยอให้พี่แทนไปลองสมัครสอบข้อสอบโทอิคดู โทอิคคือการทดสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษในระดับการสื่อสารทั่วๆไป มันจะง่ายกว่าข้อสอบที่ใช้ในการสอบยื่นขอเรียนต่อ เพราะข้อสอบจะมีแค่ข้อสอบการฟังและการอ่านเท่านั้น ไม่ต้องเขียนเรียงความยาวๆหรือการสนทนา และแถมผลสอบยังเอาไปใช้ประกอบเวลายื่นสมัครงานได้ด้วย ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับอีกฝ่ายไม่มากก็น้อย
“ให้ผมไปเป็นเพื่อนเปล่าพี่” พูรินถามอีกคนอย่างกระตือรือร้น ให้คนตัวโตเลิกคิ้วซ้ายขึ้นมองทำหน้างงงวย
“เพื่อ?”
“ก็เผื่อพี่ตื่นเต้นไง”
“มึงนึกว่ากูกี่ขวบกันว่ะ” ร่างใหญ่หัวเราะในลำคอก่อนที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาแม่ค้าด้านในรถเข็น
“ราดหน้าทะเลเส้นใหญ่สามถุงครับ” ว่าแล้วก็หันหน้ามาหาเขา
“แล้วถ้ากูตื่นเต้นจริง มึงคิดว่ามึงจะทำอะไรได้”
“...” พูรินไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่ทำหน้างอด้วยความน้อยใจ เขาก็รู้หรอกว่าในจังหวะนั้นเขาคงช่วยอะไรไม่ได้ เขาก็แค่อยากไปให้กำลังใจนี่น่า
“เออๆ มึงอยากมาก็มา”
“เย้ งั้นผมรอพี่ใต้คณะนะ” พูรินปรบมือชอบใจ เขารู้อยู่แล้ว ถึงจะทำหน้าเบื่อหน่ายยังไง สุดท้ายพี่แทนของเขาก็ช่างตามใจเขาเหมือนเคย
“เออ...แล้วตกลงพรุ่งนี้มึงเอาไง”
“...” รอยยิ้มของคนที่กำลังลิงโลดหายไปทันที พูรินพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยิ้มเจื่อนแทนคำตอบกลับไปให้รุ่นพี่
พรุ่งนี้แล้วสินะ
หลังจากที่เขาไม่ได้กลับบ้านมาสามอาทิตย์ ในที่สุดพูรินก็คิดว่ามันถึงเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับพ่อและแม่ตรงๆสักที มาถึงตอนนี้ เขาก็ได้คิดและทบทวนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนความรู้สึกโกรธที่เคยมีในตอนแรก ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย แต่สิ่งที่ยังทำให้ลังเล ก็เพราะยังคงหวาดกลัวที่จะต้องเจอกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น
“ให้กูไปส่งไหมล่ะ”
“หืม?” คนที่กำลังคิดหนักว่าจะทำอย่างไร เงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยื่นข้อเสนอมาให้
“ถ้าไม่อยากไปคนเดียว กูไปเป็นเพื่อนได้นะ”
เจ้าตัวว่าแล้วก็ส่งยิ้มบางมาให้
ใช่ ก็ไอ้ยิ้มอบอุ่นที่ไม่ค่อยได้เห็นนั่นแหละ
ถึงพักหลังรู้สึกว่าจะเห็นมันบ่อยกว่าเดิมขึ้นเยอะก็เถอะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นกี่ครั้งที่ได้เห็น
มันก็ทำให้หัวใจเขาเต้นรัวเร็วกว่าปกติอยู่ดี
พี่แทนแม่ง..
 ‘ไม่ไปเป็นเพื่อน แต่ไปในฐานะอื่นได้ไหมล่ะ’
ใจที่คิดเกินเลยอยากจะพูดออกไป แต่เพราะรู้ดีว่าผลจะเป็นอย่างไรถึงได้แต่นิ่งงัน
รู้ดีกว่าใครว่าเขามันเป็นได้แค่น้อง
แต่ก็เพราะอีกคนใจดีแบบนี้ ถึงเขาอยากจะถอนตัวก็ทำไม่ได้หรอกนะ
และนั่นละปัญหา เขาไม่ได้คิดอยากจะถอนตัวด้วยน่ะสิ
“โอ๊ย” พูรินร้องดัง เมื่อจู่ๆถูกความร้อนแผ่วมาทาบทับหน้า พอผละออกมามองดีๆ ก็เห็นว่ามันคือถุงพลาสติกที่ใส่ถุงราดหน้าที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆสามถุง
“พี่เล่นอะไรอะ มันร้อนนะ~”
“เหม่อเหลือเกินนะมึงน่ะ ป่ะ กลับกัน” พูรินที่ลูบหน้าปอยๆหน้ามุ่ยมองอีกคน นี่กะจะลวกกันเลยหรือไงนะ นี่ถ้าไม่รักไม่ชอบนี่ต่อยกลับแล้วนะครับบอกเลย
เห็นอย่างนี้ก็สู้คนนะเว้ย~
ห๊ะ! เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ
รักหรอ ชอบหรอ
ไอ้หมีพูห์~ มึงมัน~
~ มึงมันไม่หน้าไม่อาย
คิดอะไรของมึงเนี้ย~
แทนคุณกอดอกยืนมองคนที่เอาหัวโขกกับเสาไฟฟ้าไปมาอยู่ไกลๆ ไม่รู้ในหัวมันคิดหรือจินตนาการอะไรไปถึงไหน เขาล่ะอายแทนมันเหลือเกิน คนมองเยอะแยะไปหมดแล้ว อยากจะเข้าไปห้าม แต่ก็กลัวคนจะรู้ว่ารู้จักกัน ได้แต่ส่ายหัวกลั้นขำอยู่แบบนี้
หึ
สรุปว่ามันบ้าหรือมันเพี้ยนกันแน่วะเนี้ย









“แม่~..พ่อ~”
“น้องหมีพูห์~”
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ความรู้สึกสับสนปนหวาดกลัวที่เคยมีในหัวใจทั้งหมดก็ลบเลือนจางหายในทันทีทันใด
เพียงแค่มองตากัน พูรินก็วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของสองคนที่เขารักที่สุดในโลกอย่างไม่ลังเล น้ำตาที่เหมือนเตรียมตัวรออยู่แล้วไหลรินลงมาจนชุ่มหน้าเรียว
ความน้อยใจ ความโกรธ ความไม่เข้าใจ หรือไม่ว่าความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นมันจะเรียกว่าอะไร ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นมันสู้กับความคิดถึงที่เขามีไม่ได้เลย
เขาคิดถึงที่ตรงนี้เหลือเกิน ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้เท่าอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนสองคนนี้
“ผมขอโทษ..ที่ผมบอกว่าเกลียดพ่อกับแม่ มันไม่จริงเลยสักนิด”
พูรินพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกไปเป็นอย่างแรก คำพูดเลวร้ายที่เคยเอ่ยออกไปมันทิ่งแทงหัวใจเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจก็เหมือนได้รับการปลดปล่อยในมันใดเมื่ออ้อมกอดที่โอบรอบกระชับแน่นขึ้น
“พ่อกับแม่รู้ครับ.. เราไม่เคยโกรธน้องหมีพูห์เลยนะ แต่พ่อขออย่างเดียว หมีพูห์อย่าหายไปแบบนี้อีกนะครับลูก”
“ครับพ่อ ผมขอโทษนะครับ”
“พ่อกับแม่เสียใจนะครับ ที่น้องต้องมารู้เรื่องแบบนี้ ขอโทษนะครับที่ทำให้เราต้องเสียใจ”
“แม่อย่าพูดแบบนี้สิครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็รักพ่อกับแม่มากที่สุด”
แทนคุณที่ค้างอยู่ตรงประตูทางเข้ายืนยิ้มให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาตั้งใจมาส่งน้องเพราะเห็นว่ามันยังลังเลและกังวลไม่หยุด เขาอยากมาให้เห็นกับตาว่ามันจะไม่ถอดใจหนีไปก่อนที่จะเข้าบ้าน หรือไม่ก็อย่างแย่ที่สุด ถ้ามันเกิดใจร้อนจนทะเลาะกับพ่อแม่และหนีออกมาอีกครั้ง เขาจะได้แน่ใจว่ามันจะไม่ต้องนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
แต่ภาพของสามคนที่กอดกันตัวกลมตรงหน้า ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า มันไม่มีอะไรสักนิดที่ต้องกังวล
เขาคิดว่าหน้าที่ของเขาหมดลงแล้ว
แทนคุณดึงประตูบ้านปิดลง เดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ตัวเองที่จอดนิ่งอยู่หน้ารั้วบ้าน พอดีกันกับที่กำลังเปิดประตูรั้ว ประตูที่เขาเพิ่งปิดลงไปก็เปิดออกอีกครั้ง
“พี่แทน~” พูรินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาเขา
“พี่แทนทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ”
“กูจะเข้าไปทำไม มึงปรับความเข้าใจกับพ่อแม่แล้วนิ”
“มันก็ใช่..แต่...” พูรินลังเลว่าควรจะบอกว่าอะไรดีเพื่อรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ
ที่จริง ใจลึกๆรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็คงคืนดีกับที่บ้านแน่ๆ ดังนั้นนอกจากเรื่องที่ผิดใจกัน เขายังเตรียมเรื่องมาคุยมาเล่าให้พ่อแม่ฟังอีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของคนตรงหน้า
เขาอยากแนะนำพี่แทนให้พ่อกับแม่รู้จัก
ใช่ เขารู้ดีว่าสำหรับพี่แทนเขาเป็นเพียงรุ่นน้องคนหนึ่ง และที่พี่แกใจดีขนาดนี้ก็เพราะเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเท่านั้น
มันไม่ใช่ว่าเขาพิเศษกว่าใคร
พอได้มาสนิทกันจริงๆ จากที่เคยเห็นอีกคนเป็นเพียงคนเย็นชา ปากร้าย เอาแต่ว่าคนอื่น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจริงๆแล้วพี่แทนใส่ใจคนรอบข้างมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นแม่กุ้งมี่พี่แทนรักกว่าใคร หรือจะเป็นเพื่อนๆอย่างพี่ต้น พี่ดิน หรือแม้แต่แฟนเพื่อนอย่างพี่กีกับพี่อินก็ยังได้รับความใจดีนั้น
รุ่นน้องอย่างเขาก็เหมือนกัน
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงสิ่งที่เขาคิดกับพี่แทนมันออกจะเกินเลยกว่าคำว่าพี่น้องไปไกล ถึงสิ่งที่เขาหวังมันจะไม่มีวันเป็นจริง เขาก็ยังอยากแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักพี่แทนอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพี่รหัส พี่ในคณะ เพื่อนสนิท คนติว หรือในฐานะใดก็ตาม
เพราะสำหรับเขา ยังไงพี่แทนก็คือคนสำคัญ
“งั้นกูกลับล่ะ เจอกันวันจันทร์นะ” เมื่อไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้าง เขาก็เลยได้แต่พยักหน้าตกลงเมื่ออีกคนกล่าวลาอีกครั้ง
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ” อีกเสียงที่ดังมาจากในบ้านเรียกให้ทั้งสองหันไปมอง เป็นธวัช พ่อของพูรินที่ยืนพิงกรอบประตู กอดอกส่งยิ้มมองมาที่เขาทั้งสองคน
“มาตั้งไกลแบบนี้ จะให้แม่ส่งแขกตั้งแต่หน้าประตูก็คงไม่เหมาะล่ะมั้ง” กานดา เอ่ยเสริมขึ้นมา พูรินหันไปสบตาเข้ากับแม่ที่ยิ้มกรุ่มกริ่มมองมา และทันใดนั้นก็ตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นมือเรียวของแม่เกาะเกี่ยวอยู่กับแขนของพ่อ
หรือว่า...~
แทนคุณยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง เมื่อเห็นทั้งคู่ออกปากชวนเขาแบบนี้ ก็เลยได้แต่พยักหน้าให้น้อง ก่อนที่จะเดินตามมันเข้าไปในบ้าน พูรินและแม่ขอตัวแยกออกไปจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ปล่อยให้เขาและคุณอาธวัชนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นกันตามลำพัง
“แม่~” เมื่ออยู่ในครัวกันสองคน พูรินก็โผเข้ากอดผู้เป็นแม่ทันทีทันใด ถึงจะอยากบอกว่ารักทั้งพ่อและแม่เท่ากัน แต่ในความเป็นจริงคนที่เขารักมากที่สุดก็คือผู้หญิงคนนี้ คนที่เป็นทั้งแม่และเพื่อนที่สนิทที่เขาไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องใดเลยสักเรื่องในชีวิต
“ผมคิดถึงแม่ที่สุดเลย” จมูกเรียวกดลงไปบนแก้มหอมของผู้เป็นแม่ย้ำๆหลายครั้งสลับกันไปทั้งซ้ายและขวา
“แม่ก็คิดถึงหมีพูห์ที่สุด รู้ไหมว่าแม่ใจหายใจคว่ำแค่ไหนที่เห็นเราวิ่งออกไปแบบนั้น แม่นึกว่าเราจะเกลียดแม่ไปจริงๆเสียแล้ว”
“โธ่~ ผมจะเกลียดแม่ได้ยังไง ผมขอโทษนะครับ ผมปากพล่อยเอง”
“ให้มันแล้วกันไปเนอะ มันก็เป็นความผิดของพ่อกับแม่เองที่ไม่ยอมบอกเราสักที”
“...”
กานดายกมือลูบผมนุ่มของลูกชายสุดที่รักอย่างเอ็นดู ความกังวลใจทั้งหมดเลือนหายเมื่อได้อีกคนเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนเธอไม่เคยหวาดหวั่น ขอเพียงยังมีลูกน้อยของเธออยู่ตรงนี้ ให้เจอเรื่องใหญ่กว่านี้เธอก็สู้ไหว
“หมีพูห์ยังโกรธพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่าครับ”
“...”
“พ่อกับแม่ทำให้เราผิดหวังมากเลยใช่ไหม”
“เปล่านะครับ!” พูรินรีบพูดแทรกขึ้นมาไม่อยากให้อีกคนเข้าใจผิด
“แต่ผมถามได้ไหม ว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่..” เขาเอ่ยถามเสียงอ่อย เขาอยากรู้จริงๆว่ามันเริ่มต้นยังไง มันตั้งแต่เมื่อไหร่..
ที่พ่อกับแม่ตัดสินใจที่จะไม่รักกัน
“ก็ตั้งแต่เราขึ้นมอปลายนั้นแหละครับ” หญิงวัยกลางคนผละออกจากอ้อมกอด หันไปจัดเตรียมจานและช้อนส้อมสำหรับสี่คน ก่อนจะบรรจงตักอาหารที่อยู่บนเตาใส่ถ้วยกลาง พร้อมตอบคำถามด้วยท่าทางสบายๆ
“จะว่ายังไงดีล่ะ พ่อกับแม่ต่างก็ยุ่งกับงานของตัวเอง จนไม่ค่อยมีเวลาให้กัน จนเมื่อเวลามันผ่านไป เราทั้งสองก็ค้นพบว่าความสำคัญของอีกฝ่ายมันลดระดับลงมาตอนไหนก็ไม่รู้ จากที่เคยคิดเรื่องของเขาเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้กลับไม่มีเขาในหัวอีกเลยซักนิด”
“...”
“แม่ก็คิดว่าแม่เป็นอยู่ฝ่ายเดียว ตอนแรกก็รู้สึกผิดกับพ่อมากเหมือนกัน แต่พอเปิดใจกันก็ปรากฎว่าพ่อก็เห็นตรงกันซะงั้น” เธอว่ากลั้วหัวเราะ แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่เขาไม่เคยชอบเลย
“มันน่าเศร้านะ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าความรักที่เคยมี ถ้าเราไม่รักษา ไม่ใส่ใจ วันนึงมันหายไปได้จริงๆ”
“...” กานดาละมือจากสิ่งที่ทำ หันหน้ามาสบตากับลูกชายคนเดียวที่ทั้งรักทั้งห่วงกว่าใคร
“แต่เราอย่ากังวลไปนะ ห้ามคิดอะไรฟุ้งซ่านเด็ดขาด สำหรับพ่อและแม่ สิ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนไปคือความสำคัญของเรานะครับ หมีพูห์คือคนสำคัญที่สุด คือความรักที่จะได้รับการรักษา การใส่ใจไปทั้งชีวิต หมีพูห์เชื่อแม่นะครับ”
คนเป็นแม่กล่าวเสียงเข้ม เพราะรู้ดีว่าลูกชายเป็นจอมจินตนาการขนาดไหน กลัวเหลือเกินว่าจะคิดไปถึงไหนต่อไหนให้ตัวเองเสียใจเล่น พูรินซบลงบนไหล่มนของคนเป็นแม่อีกครัั้ง เอ่ยสิ่งที่ใจแอบวาดหวัง
“มันไม่มีทางเลยหรอครับ สักนิดก็ไม่มีเลยหรอที่พ่อกับแม่จะกลับมาคืนดีกัน”
เมื่อได้ฟังคำถาม คนเป็นแม่ก็ผละอีกฝ่ายให้มาสบตากัน แม้ปากเรียวจะยกยิ้มบางส่งมาให้ แต่เขาสังเกตเห็นในแววตาวาววับที่สบมา สิ่งที่เขาคิดมันไม่มีวันจะเกิดขึ้น
“หมีพูห์ครับ..”
“แต่ผมเห็น..ผมเห็นพ่อกับแม่จับมือกัน” พูรินรีบแทรก ยังอยากดื้อรั้นหาหนทางไปต่อ
“...”
“ผมว่าพ่อกับแม่ก็ยังรักกัน ไม่ได้เกลียดกันสักหน่อย” ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งดูร้อนรน จนคนเป็นแม่ใช้มือเรียวลูบไหล่ทั้งสองขึ้นลงพยายามปลอบประโลม
“หมีพูห์ครับ เราฟังแม่นะ”
“...”
“ใช่ครับ พ่อกับแม่ยังรักกัน”
“ถ้างั้น..”
“ฟังแม่ก่อนนะครับ”
“...”
“พ่อกับแม่เรายังรักกัน แต่มันแค่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเท่านั้น แม่ยังมีความหวังดี ความรัก ยังอยากให้พ่อของหมีพูห์มีความสุขเสมอ และแม่คิดว่าพ่อเองก็คิดไม่ต่างกัน แต่เพียงแค่นอกจากความรู้สึกนั้น เราก็ยังอยากมีพื้นที่เป็นของตัวเอง ยังอยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเมื่อเราตัดสินใจว่าสิ่งเหล่านั้นมันสำคัญกว่าความรักที่เคยมี เราก็เลยต้องให้เกียรติการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย”
“...” พูรินเงียบ เขาอาจจะยังเด็ก เขายังไม่เข้าใจในหลายๆสิ่งที่แม่พยายามจะบอก และทั้งไม่สามารถจะตัดสินได้ว่าความคิดของพ่อกับแม่มันถูกหรือผิด แต่สิ่งนึงที่เขาเข้าใจและทำได้ คือเขาเองก็อยากให้เกียรติการตัดสินใจของคนที่เขารักเหมือนกัน
“ตลอดหลายปีมานี้ แม่ทำให้เรารู้สึกขาดอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ ไม่เลย” เขารีบปฎิเสธอีกครั้ง
“แม่ดีใจนะครับที่ได้ยินแบบนี้ แม่ขอให้เราเชื่อนะครับ ว่าเมื่อก่อนเป็นเช่นไร หลังจากนี้ความรักที่พ่อกับแม่มีให้หมีพูห์มันจะยังเหมือนเดิม”
“...”
“ส่วนเรื่องของพ่อกับแม่ แม่รู้ว่ามันเข้าใจยาก แม่เองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่แม่ขอกำลังใจจากเราได้ไหม” เธอว่ากลั้วหัวเราะ
“เดี๋ยวแม่เป็นโสดเต็มตัวเมื่อไหร่ พาแม่ไปเที่ยวส่องหนุ่มกันสองคนเนอะ”
“โธ่ แม่น่ะแม่” พูรินโผกอดผู้หญิงคนสำคัญของเขา เขารู้ว่าเธอเองก็คงเจ็บปวดไม่น้อย แต่ก็ยังพยายามทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าเขา
“แต่ก็ถ้าบางคนยังโสดอยู่น่ะนะ” เขาผละมามองหน้าแม่อีกครั้ง มองอย่างไม่แน่ใจว่าแม่หมายความว่ายังไง
“กับพี่แทนนี่ยังไง” เอ่ยถามพร้อมกับยิ้มอย่างรู้ทัน พูรินเข้าใจในทันที แม่รู้ว่าเขาชอบผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นอีกคนคงดูออกในทันทีกับความรู้สึกที่เขามีให้คนที่มาด้วย
“รุ่นพี่ครับ เพื่อนพี่ดินไงที่ผมเคยบอก”
“แต่แม่ว่าไม่ใช่ละมั้ง ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญยังไงไม่รู้” กานดาเอ่ยแซว
“ก็ใช่ครับ พี่แทนคือคนสำคัญ”
“งั้นแสดงว่า..” เขารีบส่ายหน้าปฎิเสธเมื่อแม่เริ่มคิดไปไกล
“เป็นแค่พี่น้องกันจริงๆครับ”
“...” พูรินที่แอบซึมไปนิดเมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ยกยิ้มขึ้น
“แต่อย่างที่แม่บอก ไม่ว่าความรักแบบไหนก็ดีทั้งนั้น จะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนอย่างที่เป็นอยู่ ผมก็มีความสุขแล้ว”
“...”
“แค่มีพี่แทนอยู่ด้วย ผมก็มีความสุขแล้วครับ” กานดายืนมองหน้าลูกชายอย่างพิจารณา เธอได้แต่ยิ้มให้กับคนที่ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆในสายตาเธอเสมอ วันนี้ลูกชายของเขาเริ่มเรียนรู้ เจ้าตัวเริ่มที่จะเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ
“ไม่ว่ายังไงแม่ก็อยู่ตรงนี้นะครับ”
พูรินโผเข้ากอดอีกฝ่ายอีกครั้ง จนคนเป็นแม่ยกกำปั้นขึ้นเขกกระโหลกเบาๆ
“ไป พอๆ เดี๋ยวอาหารเย็นหมด ไปตามพ่อกับพี่เขามากินข้าวไป”
พูรินอดไม่ได้ แทรกตัวไปในอกอุ่นอีกครั้งก่อนจะผละไปทางห้องนั่งเล่นที่อีกสองคนนั่งอยู่
“ผมเป็นเพื่อนกับพี่รหัสของหมีพูห์น่ะครับ น้องเขามาช่วยติวภาษาอังกฤษให้” เมื่อถึงหน้าประตูพูรินได้ยินเสียงพี่แทนลอยมา ตอบคำถามเมื่ออีกคนถามว่ารู้จักกันกับลูกชายตัวได้ยังไง
“อ่อ อาจำได้แล้ว ใช่ที่แม่เราเป็นช่างเย็บผ้าหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
แทนคุณตอบไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง เขาไม่คิดจะปิดบัง ตอนเด็กๆมีหลายครั้งที่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับอาชีพของแม่ มันดูไม่โก้หรูและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้โดนเพื่อนล้อบ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็ไม่เคยคิดจะสนใจ เพื่อจะเลี้ยงดูเขาแม่ต้องลำบากทำงานทั้งเช้าค่ำ ดังนั้นในทุกครั้งที่ต้องตอบคำถามนี้ เขาถึงตอบออกไปด้วยความภูมิใจทุกครั้ง ใครอยากดูถูกดูแคลนเขาไม่เคยสน
“งั้นก็เป็นเรานี่เอง ที่น้องหมีพูห์ไปกวนอยู่บ่อยๆ” ธวัชว่ากลั้วหัวเราะ “มันออกจะขี้เพ้อหน่อยนะ พอดีเป็นกันทั้งบ้าน”
“ไม่เลยครับเป็นผมต่างหากที่ทำให้น้องเสียเวลา แถมน้องยังมาช่วยงานแม่ผมอีกด้วย”
พูรินเผลอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำตอบ
“หืม ช่วยป่วนนะสิ น้องไม่ได้ไปรบกวนอะไรแม่เราใช่ไหม”
พ่อนะพ่อ นี่ลูกนะ เห็นเขาเป็นอะไรเนี่ย!
“เปล่าเลยครับ แม่ผมมีความสุขจะตายเวลาน้องมา บางครัั้งผมก็คิดจริงๆว่าแม่รักน้องมากกว่าผมแล้วละมั้ง”
พูรินยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หลังประตู
~แม่กุ้ง
เขาเองก็รักแม่กุ้งมากเหมือนกัน
“แล้วเราล่ะ”
“..ครับ?”
“อาถามว่าแล้วเราล่ะ”
ดะ..เดี๋ยว...พ่อ..พ่อ..ถามอะไรน่ะ (.////.)
“น้องไปกวนอะไรเราหรือเปล่า”
“อะ..อ่ออ ไม่เลยครับ ผมบอกแล้วผมเป็นฝ่ายกวนน้องมากกว่า”
พูรินอยากจะเอาหัวโขกกำแพง เขารู้นะว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจจะถามคำถามนี้ จะกวนไม่กวน พ่อก็ถามไปแล้วรอบนึงนี่น่า!!
“เอ่อ พ่อ! พี่แทน! แม่เรียกให้ไปกินข้าวครับ” พูรินรีบเข้าไปขัดบทสนทนา เขาไม่อยากให้พ่อเขาซักไซ้พี่แทนไปมากกว่านี้
ทั้งสามพากันมานั่งที่โต๊ะอาหาร ทั้งๆที่เป็นมื้อแรกหลังจากที่ปรับความเข้าใจกัน แต่แทนที่ความสนใจจะมาอยู่ที่เขา ผู้ปกครองทั้งสองกลับพุ่งความสนใจทั้งหมดไปหาอีกคน
เขามั่นใจว่าพ่อกับแม่ต้องมองออกเรื่องที่เขาแอบชอบพี่แทน แต่เขาก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ กลัวเหลือเกินว่าทั้งสองจะทำให้พี่แทนอึดอัด แต่พี่แทนเองก็ดีแสนดี เรียกว่าสุภาพที่สุดตั้งแต่เคยเห็นกันมาเลยก็ว่าได้ ทั้งตอบคำถาม ทั้งชวนคุยไม่หยุด ได้เห็นพี่แทนลุคนี้รู้สึกเป็นบุญตาตัวเองเหลือเกิน
นั่งคุยกันหลังมื้ออาหารได้สักพัก พูรินก็เดินออกมาส่งอีกคนที่หน้าบ้าน วันนี้ความรู้สึกหนักอึ้งภายในหัวใจไม่มีหลงเหลือเลยสักนิด เหมือนเขากลายเป็นหมีพูห์ที่ได้กินน้ำผึ้งจนหมดกระปุกคนเดียว มันชุ่มช่ำ มันหวาน และมันก็แสนจะอุ่นที่ใจ และทั้งหมดเขาอยากจะยกความดีความชอบให้กับคนที่อยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด
คนตรงหน้าเขา
“กูไปนะ” แทนคุณหันมากล่าวลา หยิบหมวกกันน๊อคขึ้นมาเตรียมจะสวม
“พี่แทน~ ผม..ผมขอบคุณมากเลยนะครับ”
“เรื่อง?” เขาย่อตัวนั่งพิงกับมอเตอร์ไซต์จนตอนนี้ระดับตาของทั้งสองเสมออยู่ในระดับเดียวกัน
“สำหรับทุกอย่างเลย” พูรินว่า “ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้”
“กูไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นใครเขาก็ต้องทำแบบกูทั้งนั้น” อีกคนว่าอย่างถ่อมตัว
“ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครๆเขาจะทำกันไหม” เมื่อพี่แทนว่าอย่างนั้น เขาก็เลยเอ่ยสิ่งที่เขาคิด “แต่ผมรู้แค่ว่าคนที่อยู่ข้างผมมาตลอดคือพี่”
“...”
“เพราะงั้นขอบคุณนะครับ”
แทนคุณยกยิ้ม เอื้อมมือมากดลงบนหัวอีกคนหนักๆ ก่อนจะขยี้ไปมาอย่างนึกเอ็นดู
“พี่แทนอ่ะ~”
“บ่นอะไรเยอะแยะ”
“...”
“...”
“คือผม...” พูรินรู้สึกอยากกอดอีกฝ่ายขึ้นมา อยากสัมผัสความอบอุ่นที่เขาคุ้นเคยจนเคยตัวอีกครั้ง แต่เหมือนวันนี้เขาไม่มีข้ออ้างที่ดีพอที่จะทำได้ตามที่ใจคิด
“มานี่มา..” แต่ก็เหมือนมีใครอีกคนที่รู้ใจเขาดีเสียยิ่งกว่า เจ้าตัวเอ่ยเรียกพร้อมอ้าแขนให้เขาเดินเข้าไปหา ท่อนแขนแกร่งโอบรับเขาเข้าไป พูรินหลับตาแน่นในนาทีที่ความอบอุ่นซึมผ่านหัวใจ
“ผม..เฮ้อ..~”
“หืม?”
“ผมมันเป็นคนโลภมาก”
“อะไรของมึงอีก”
ทั้งๆที่คิดว่าได้อยู่ในฐานะใดก็ไม่สำคัญเท่ายังได้อยู่ใกล้ๆกัน
“ผมมันไม่รู้จักพอน่ะพี่”
“มึงมันบ้า”
แต่ยิ่งได้ใกล้เข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเข้าไปใกล้กว่าเดิม
และยังแอบหวัง ทั้งที่ไม่ควรหวัง
ว่าสุดท้าย..จะได้กลายเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด


*************
#หมีแทนที่รัก
หมีพูห์คนโลภภภภภ เรื่องสาเหตุที่พ่อกับแม่เลิกกันมันงงไหมค่ะ เรื่องจริงของเพื่อนเลยนะ มันมีจริงๆความสัมพันธ์แบบนี้ ถ้างงๆเดี๋ยวเรียบเรียงดีๆแล้วรีไรท์ให้เน้อ
เรื่องนี้ชอบโดนแทรกตลอด แต่ว่าหลังจากอาทิตย์นี้จะมาเขียนรัวๆแล้วนะคะ ขอเขียนเรื่อง 2 in 1 ให้ครบสี่ตอนก่อน พอครบสี่ตอนปั๊ป หมีพูห์จะมาพร้อมกับตั้งต้น สลับกันไปมา พอจบทั้งสองเรื่องก็จะต่อ 2 in 1 ให้จบ แล้วก็จะลาแล้วเด้อ!!!
เป้าหมายชัดเจน เหลือเพียงความขยัน 555
ใครยังไม่ได้อ่าน 2 in 1 ไปลองอ่านดูน้า เค้าว่านายเอกของเค้าน่ารักอยู่นะ เรื่องนั้นตั้งแต่เปิดมายังไม่ค่อยมีคนอ่านเลยอ่ะ เสียใจ T_T ยังไงฝากด้วยนะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้องหมีนะรักกกก พี่แทนมีอะไรก็บอกน้องไปเลยยย  :กอด1:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:น้ำผึ้งหยดที่แปด:.

People say nothing is impossible, but I do nothing everyday
.
.
คนมากมายพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทุกวัน




แทนคุณนั่งจ้องซองจดหมายในมืออย่างลังเล มันเป็นผลสอบโทอิคที่เขาไปสอบเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ใจนึงอยากเปิดออกดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะสัญญากับน้องมันไว้ว่าจะดูด้วยกัน เขาถึงยังนั่งลังเลอยู่แบบนี้
ไม่ใช่ว่าไม่อยากดูพร้อมกันหรอกนะ เขาแค่กลัวว่าถ้าคะแนนออกมาไม่ดี น้องมันจะผิดหวังในตัวเขามากกว่า สู้เปิดดูตอนนี้ ถ้าเกิดคะแนนมันแย่เกินเยียวยาจริงๆ เขาจะได้ทำเป็นเนียนลืมซองจดหมายไว้ที่ไหนสักแห่ง หรือกลบมันให้มิดลงดิน

“นั่งด้วยได้ไหมครับสุดหล่อ”
เฮ้อ..
แทนคุณทำหน้าเคร่งขรึมปนเบื่อหน่ายในตอนที่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงหวาน เขาตั้งใจจะเอ่ยปฎิเสธและบอกว่าเพื่อนเขาอีกสองคนที่ไปซื้อข้าวกำลังจะมา
ถึงแม้จะยังมีที่ว่างเหลือก็เถอะ แต่คนอย่างเขาไม่ใช่พวกชอบสร้างเพื่อนใหม่หรอกนะ โดยเฉพาะกับคนที่เข้ามาอย่างมีจุดประสงค์ชัดเจนแบบนี้
“...”
“กินจุดเลยสิ พี่แทนของหมีจะดุไปไหน” กีรติเอ่ยแซวคนที่ตอนแรกทำหน้าเหมือนจะกินคนเพราะคิดว่าโดนจีบ แต่เหรอหราในทันทีที่เห็นว่าเป็นเขากับอิน แทนคุณตกใจจริงๆ เขาไม่รู้มาก่อนว่าสองคนนี้จะมานั่งกินข้าวด้วย
“เล่นอะไรกันเนี้ย” เขาถามเสียงขุ่น โดนเพื่อนแกล้งไม่พอ แฟนเพื่อนก็ขี้แกล้งพอกัน
อินทัชวางถาดที่มีแก้วน้ำปั่นอยู่ห้าใบลงบนโต๊ะ ทิ้งตัวนั่งลงข้างกี เขาไม่แปลกใจหรอกที่อีกคนจะตกใจที่เห็นพวกเขา เพราะวันนี้อาจารย์งดคลาสกระทันหัน เขาเพิ่งจะโทรบอกดินเมื่อกี้ว่าจะมาหาที่นี่ ให้ดินซื้อข้าวเผื่อพวกเขาด้วย พอมาถึงเขาสองคนก็ไปซื้อน้ำปั่นแทนเจ้าตัว
“โดนจีบนี่ต้องเครียดขนาดนั้นเลย กลัวน้องหมีเข้าใจผิดหรอ”
“อิน..เราต้องไม่เป็นไปกับเขาสิ” อินทัชหัวเราะร่าเมื่อคนโดนแซวทำเป็นเสียงเข้มกลับมา
“อะไร เราพูดความจริงทั้งนั้น” ว่าแล้วก็แซวกันต่ออย่างไม่สนว่าคนตัวหนาจะนั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงไปแล้ว
“แล้วตกลงกับน้องหมีนี่เป็นแฟนกันหรือยัง” กีรติยังซักไซ้
“ใช่ๆ เราอยากเห็นพี่แทนตอนหวานๆบ้างอ่ะ ดุจนเขากลัวกันทั้งคณะแล้วมั้ง” อินว่าบ้าง
“ติดเชื้อกวน-ีนของไอ้ต้นกันมาถ้วนหน้าเลยนะ ให้พาไปฉีดวัคซีนไหม” แทนคุณส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์รักษามารยาทไม่พูดคำหยาบใส่แฟนเพื่อน
“มึงนินทาอะไรกู”
เขากลอกตามองบน เพราะทันทีที่เอาชื่อใครอีกคนเข้าปาก มันก็มากระซิบข้างหูให้ชวนขนลุก
“ตายยากฉิบหาย” แน่นอนว่ากับเพื่อน เขาไม่คิดจะเกรงใจ ถ้าหาคำได้หยาบมากกว่านี้เขาคงทำไปแล้ว
ตั้งต้นกับบดินทร์ที่เดิมตามมาติดๆ วางถาดอาหารที่ถือมา จัดการแจกจ่ายให้กับคนในโต๊ะจนครบ ก่อนที่จะบดินทร์จะนั่งลงข้างแฟนตัวเอง ส่วนตั้งต้นทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามกี
“แล้วคุยอะไรกันอยู่เอ่ย” เสียงหวานๆชวนขนลุกของบดินทร์ถูกใช้ขึ้น เมื่อเจ้าตัวหันหน้าไปถามอินทัช อีกคนก็ยิ้มหวานทักทาย เบียดตัวเข้าไปในแขนแกร่งที่โอบรอบเอวบางอยู่ เพราะคบกันมานานพอสมควร ตอนนี้อินจึงทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เก้ๆกังๆแบบเมื่อก่อนแล้ว
“ก็กำลังพยายามซักฟอกเพื่อนดินอยู่นั่นแหละ สรุปกับน้องหมีนี่ยังไง”
“เนี้ย ไม่รู้ว่ากับหมีก็ปากแข็งแบบนี้หรือเปล่า อย่างงี้เมื่อไหร่จะคืบหน้าก็็ไม่รู้” กีรติเอ่ยเสริม
“ดินก็บอกมันแล้ว แต่มันก็ไม่ทำอะไรสักที ส่องน้องมาจะสามปีแล้ว”
“จะเรียนจบแล้วนะมึง ชอบก็บอกเขาไปตรงๆ”
“เดี๋ยวๆ พวกคุณแน่ใจนะครับว่าคุยกับผมทำไมเหมือนมีแต่ผมที่คุยไม่รู้เรื่อง” เมื่อตั้งต้นพูดจบ แทนคุณที่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวถามออกมา
“ผมว่าเรื่องของคุณ ในโลกนี้ก็มีแค่สองคนที่ไม่รู้แหละครับ” ต้นตบไหล่เพื่อนรักให้ช่วยรับมุข
“ก็คุณกับไอ้หมีไง” ว่าแล้วก็หัวเราะก๊าก แปะมือกันอย่างสนุกสนาน จนอินทัชที่เป็นคนเริ่มแซวแอบรู้สึกผิดในใจ
“พอแล้วไหม ก็เพราะเป็นกันอย่างนี้ เพื่อนถึงไม่อยากเล่าให้ฟังไง”
เมื่อโดนปรามบดินทร์ก็หุบยิ้มฉับ ทำเป็นตั้งหน้าตั้งตากินข้าวในจานให้ตั้งต้นหัวเราะร่ากับท่าทางกลัวเมียของเพื่อน ก่อนที่จะต้องยิ้มแห้งเมื่อสายตาไปสบเข้ากับตากลมที่มองเขม็งมาของใครอีกคน
“นายนั่นแหละตัวดี ยังจะมายิ้มอีก” กีว่าก่อนจะหยิบน้ำปั่นขึ้นมาดูด
“ก็เล่นด้วยกันหมด ทำไมเป็นต้นที่โดนด่าอยู่คนเดียว” ตั้งต้นทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ หน้างุ้มงอทำเป็นงอนใส่แฟน น่ารักน่าชังจนแทนคุณแทบจะอยากเอาเท้ายันหน้า
“คือกูจะไม่แซวมึงอีกก็ได้ และนี่คือครั้งสุดท้ายที่กูจะเตือนมึงเรื่องนี้ คือนี่มันก็จะหมดเทอมแล้ว มึงมีเวลาอีกแค่เทอมเดียวที่จะได้ใช้เวลาด้วยกัน กล้าๆหน่อยมึง”
บดินทร์เอ่ยซ้ำอีกครั้ง เพราะอยากให้มันได้คิด ซักที เขาเห็นว่าความรักของมันสองคนไม่ได้มีอุปสรรคอะไรให้ต้องกังวลเลย มีแต่มันสองคนนี่ล่ะที่ทำให้เรื่องมันยากเกินเหตุ
“เออ...” ในที่สุดคนปากหนักก็พึมพำออกมา ให้คนทั้งโต๊ะหันไปมอง จดจ่อรอว่ามันจะว่ายังไงต่อ
“กูจะ..กูจะเก็บเอาไปคิด...ขอบใจนะมึง”
บดินทร์หันไปสบตากับตั้งต้น ทั้งคู่ยกยิ้มให้กันก่อนจะกลอกตามองบนพร้อมถอนหายใจหนักอย่างแสนจะโล่งใจ
กว่าจะเข้าหัว นี่พวกเขาพูดจนปากเปียกปากแฉะมาจะสามปีแล้ว!!



วันนี้วันพุทธ แทนคุณขับรถตรงไปที่โรงเรียนอนุบาลที่อีกคนมีสอน เขาตั้งใจจะไปเซอร์ไพร์เจ้าตัวด้วยการไปรับแล้วจะพาออกไปหาอะไรกินกัน จากนั้นตั้งใจว่าค่อยโชว์ผลสอบที่เขาได้รับมาวันนี้ให้มันดู
จากที่เคยลังเล เขาตัดสินใจที่จะดูคะแนนสอบพร้อมกับน้องมัน ถึงแม้ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ตามเขาคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดมันไม่ใช่คะแนนสอบ แต่มันคือความรู้สึกที่ได้ลุ้น ได้ดีใจหรือเสียใจไปด้วยกันต่างหาก
นอกจากนั้นเขาตั้งใจจะตอบแทนน้องมันที่ช่วยติวให้เขา เขาจองตั๋วหนังดิสนีย์เรื่องใหม่ที่จะเข้าอาทิตย์หน้าไว้แล้ว และหลังจากดูหนังเขาก็ตั้งใจจะจองโต๊ะในร้านอาหารบนโรงแรมของบ้านไอ้ต้น มันเคยพาเขาไปที่นั่นหลายครั้ง เขายังจำบรรยากาศในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินได้ดี แล้วไหนจะวิวของแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนนั่นอีก เขาคิดว่ามันน่าจะเหมาะ...
ถ้าเขาจะสารภาพความรู้สึกของเขาที่นั่น
เขาคิดว่าไอ้ดินพูดถูก ความรู้สึกของเขามันแน่นอนมานานแล้ว สามปีที่คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา เก็บกลั้นความรู้สึกที่มีเพราะคิดว่าไม่อยากทำให้น้องมันอึดอัด เขารู้แล้วว่าเขาชอบน้องมันมากจริงๆ
และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกันกับมัน ทั้งที่คอยบอกตัวเองให้ระวัง แต่มีหลายครั้งที่ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้เลย ความรู้สึกที่เคยคิดว่ามากแล้ว มันเทียบอะไรไม่ได้เลยสักนิดกับความรู้สึกตอนนี้
และเขาก็คิดว่าเขาพร้อมแล้ว
เขาไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้อีกต่อไป
ไอ้ต้นพูดถูก เขาไม่อยากมานั่งเสียดายทีหลัง ยังไงเขาก็อยากลองบอกมันออกไปสักครั้ง
ถ้าน้องมันจะอึดอัดจนไม่อยากมาสอน ไม่อยากเจอหน้ากันอีก เขาก็จะยอมรับแต่โดยดี ไม่ฝืน ไม่ตื้อให้มันลำบากใจ
อย่างน้อย...เขาจะได้เลิกฝันลมๆแล้งๆสักที
แต่ก่อนอื่นต้องหาวิธีจองโต๊ะโดยไม่ให้ไอ้ต้นรู้ก่อนเป็นอันดับแรก
แทนคุณจอดรถไว้บริเวณด้านข้างโรงเรียน เพราะตอนนี้ด้านหน้ามีรถรับส่งของโรงเรียนและรถของผู้ปกครองจอดกันอยู่แน่นขนัดเต็มพื้นที่ เขาแขวนหมวกกันน๊อคไว้กับกระจกรถ ตั้งใจจะเดินไปรอน้องมันที่หน้าโรงเรียนเหมือนที่เคยทำ
“แงงงงงงงงงง..” ตอนที่อยู่ตรงหัวมุมรั้ว เสียงร้องของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นให้เขาหันไปมอง แอบยิ้มเมื่อเห็นคนที่เขามาหากำลังทรุดนั่งชันเข่าพยายามปลอบใจเด็กตัวน้อย แต่สองขาก็มาชะงักลงเมื่อสายตาดันเลื่อนไปเห็นชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาจำได้ว่าคนคนนี้คือผู้ปกครองเด็กที่เคยอาสาไปส่งหมีพูห์
“โอ๋ๆๆ น้องหมีอย่างร้องนะครับ”
“แต่วันนี้...ฮีึก..คุณครูก็ไม่ยอมกลับ..ฮึก...กับผมอีกแล้ว” เด็กชายตัวน้อยสะอื้น น้ำตาร่วงเผาะให้คนเป็นครูทั้งสงสารทั้งเอ็นดู
“น้องหมีอย่าทำให้คุณครูลำบากใจสิครับ” คนเป็นอากล่าวเตือนเบาๆ เอามือลูบหัวหลานคนโปรดเมื่อเห็นว่าไม่ยอมหยุดร้องสักที
“แต่อาณัติก็อยากให้คุณครูกลับด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอครับ ทำไมไม่ช่วยน้องหมีพูดเลย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นพูรินก็เงยหน้าไปมองคนที่โดนโบ๊ยใส่ อาณัติของน้องหมียิ้มเจื่อนมาให้ ก่อนจะเกาแก้มเป็นการแก้เขินเบาๆให้พูรินอดขำไม่ได้ เขาหันมามองหน้าน้องหมีที่พยายามเช็ดน้ำตาไปมา จนน้ำมูกเปื้อนแก้มนิ่มสองข้างเต็มไปหมด เขาอดจะใจอ่อนไม่ได้
“งั้น..” แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวคงไม่เป็นไร
“หมีพูห์”
“พี่แทน!” ตอนที่กำลังจะกล่าวตกลง เขาได้ยินเสียงหนึ่งเรียกชื่อจนต้องหันไปดู ร้องออกไปอย่างตกใจที่เห็นคนคุ้นเคยมายืนอยู่ตรงหน้า ใจจริงเขาอยากเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที แต่ก็ไม่สามารถจะทิ้งน้องหมีที่มองจ้องมาที่เขาด้วยแววตาเว้าวอนได้
“งั้นครั้งหน้าคุณครูสัญญาว่าจะกลับด้วยแน่นอนครับ”
เขายื่นนิ้วก้อยไปหาเด็กชาย ให้เด็กน้อยยิ้มกว้างออกมา รีบเอานิ้วก้อยป้อมๆมาเกี่ยวกัน พูรินใช้มืออีกข้างทำเป็นป้องปาก ก่อนจะเอ่ยกระซิบเสียงดัง
“แล้วถ้าอาณัติอนุญาต คุณครูจะพาน้องหมีไปกินไอติมร้านอร่อยด้วย เดี๋ยวคุณครูเลี้ยงเอง!”
น้องหมีพยักหน้ารับอย่างดีใจสุดขีด ก่อนจะยกมือไหว้เป็นการบอกลาแล้วเดินไปขึ้นรถนั่งประจำที่ของตัวเอง เมื่อรถออกไปแล้ว พูรินก็รีบไปหยิบกระเป๋าที่คล้องไว้หน้าประตู เดินเร็วๆมาหาคนที่ยืนรอเขาอยู่
“พี่แทนมาได้ไง ทำไมไม่เห็นโทรมาบอกเลยว่าจะมา” พูรินยิ้มร่า เขาดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคนที่เขาคิดถึงโดยไม่คาดคิด
“กูผ่านมาแถวนี้ เลยแวะมารับ” อีกคนตอบเสียงเรียบ หันหลังเดินดุ่มๆกลับไปที่รถโดยไม่คิดจะรอกันจนพูรินต้องวิ่งตาม
“ขอบคุณนะพี่แทน วันนี้ไปกินราดหน้ากันไหม”
“...” แทนคุณไม่แม้แต่จะมองหน้า แค่ยื่นหมวกกันน๊อคจากใต้ท้องรถให้น้อง
“นะพี่นะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
“มึงชอบเลี้ยงจังเลยนะ”
“หืม..? พี่ว่าอะไรนะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” พี่แทนตอบแค่นั้นก่อนจะสตาร์ทและออกรถเมื่อเขานั่งเรียบร้อยแล้ว วันนี้พี่แทนขับรถเร็วจนเขาต้องจับสองเอวหนาไว้แน่น เขาสังเกตเห็นความปกติบางอย่าง
“พี่แทน มีอะไรหรือเปล่า” พูรินยังพยายามชะเง้อคอไปถามอีกคนขณะที่รถติดไฟแดง
“...”
เขาขมวดคิ้วแน่นเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจเมื่อพี่แทนยังไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง เมื่อลองถามไปอีกสองสามครั้งแล้วเจ้าตัวยังเงียบ เขาก็เลยได้แต่นั่งเงียบๆไม่อยากให้อีกคนอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม

“เส้นใหญ่ทะเลสองครับ” เมื่อสั่งอาหารกับแม่ค้าเสร็จ แทนคุณก็เดินไปนั่งที่ประจำโดยไม่ยอมรอเขาที่เพิ่งจะถอดหมวกกันน๊อคเสร็จ พูรินถอนหายใจอย่างแสนเหนื่อย ถึงปกติพี่แทนจะไม่ใช่คนอ่อนหวาน ชอบพูดจาห้วนๆ แต่มันไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่แทนทำท่าทางแบบนี้กับเขาเลย
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ว่ะเนี่ย
ตึง..
พูรินวางแก้วน้ำเปล่าที่ไปตักมาบนโต๊ะเสียงดัง คนที่นั่งอยู่ก่อนมองตามมือเรียวขึ้นมา สบตากับเขาที่ตั้งใจมองอยู่ก่อนแล้วแปปนึง ก่อนจะหลุบวูบกลับไปมองโทรศัพท์ในมือต่อ
“พี่แทน~”
“...”
“พี่แทน~”
“...” พูรินเม้มปากแน่น เขาเริ่มทนไม่ไหวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์อีกคนออกจากมือ
“มึงทำอะไร เอามานี่นะ”
“ไม่ให้..พี่บอกมาก่อนว่าพี่เป็นอะไร”
“หมีพูห์ กูบอกให้เอามา”
“...”
“...”
“พี่แม่งดื้อ” ในที่สุดพูรินก็ยื่นโทรศัพท์กลับไปคืนอีกคน เพราะเขาก็รู้ว่าเขาทำตัวเสียมารยาทจริงๆ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอิบออกมา
“ลามปามนะมึง” พอรับโทรศัพท์จากมือเขาก็รีบปลดล๊อคหน้าจอ กลับไปไถมันอยู่นั่นแหละ อยากถามเหลือเกิน ไถเร็วซะขนาดนั้น อ่านทันบ้างหรือเปล่าเหอะ
“...”
“...”
เฮ้อ~
“แล้วจะมารับทำไม ถ้าจะเป็นแบบนี้”
“อ่อ นี่สรุปว่ากูผิด ที่กูไปรับ”
“เอ้า ไปกันใหญ่แล้ว”
“...”
“...”
เราทั้งสองนั่งเงียบไม่พูดไม่จากัน เขานั่งมองพี่แทนที่ยังนั่งจ้องจอมือถือในมือ ไม่คิดจะเงยหน้ามามองกันเลยสักนิด จนในที่สุดป้าร้านราดหน้าก็เดินมาเสิร์ฟราดหน้าทะเลของพวกเขา เพราะมากินด้วยกันหลายครั้ง พูรินถึงรู้ว่าพี่แทนชอบกินปลาหมึกที่สุด
“อ่ะ” เขาหยิบปลาหมึกในจานให้พี่แทนหนึ่งชิ้น เจ้าตัวมองหน้าเขาแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร
“อ่ะ” พอยื่นให้ชิ้นที่สองเขาก็สังเกตเห็นมุมปากของคนหน้าบึ้งบางคนเริ่มยกขึ้นให้ใจชื้น
“พอแล้ว” เมื่อกำลังจะตักชิ้นที่สามให้ อีกคนก็เอ่ยขัดเสียงเข้ม แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะวางมันลงในจานอีกฝ่ายอย่างไม่ฟัง
“ก็ถ้าจะทำให้คนงอแงยิ้มได้ ผมยอมให้ปลาหมึกหมดจานเลย”
“ใครงอแง เดี๋ยวเถอะมึง” แทนคุณที่พยายามกลั้นยิ้มโวยวายกลับเสียงดังให้อีกคนใจเสีย
“แล้วพี่เป็นอะไร บอกผมไม่ได้เลยหรอ”
“...”
“เห็นพี่เป็นแบบนี้ ผมไม่สบายใจเลยนะ”
“...”
เมื่อคนปากหนักยังไม่ยอมเอ่ยอะไร เหมือนในที่สุดพูรินก็ยอมตัดใจ เขาถอนหายใจหนักก่อนจะเริ่มตักอาหารในจานเข้าปาก นั่งกินเงียบๆ โดยไม่ได้คิดจะหันมามองหน้าหรือพูดถามอะไรอีกฝ่ายให้โดนด่าอีก
อะไรก็ไม่รู้...จู่ๆก็มารับให้เขาดีใจเล่น แต่พอมาถึงก็ไม่ยอมพูดด้วยเลยสักคำ ทำหน้าบึ้งหน้างอเหมือนโกรธกันมาเป็นชาติ เขาทำอะไรให้ไม่พอใจก็ไม่ยอมบอก ง้อก็ไม่ยอมคืนดี เห็นเขาแบบนี้เขาก็น้อยใจเป็นนะ
“...”
“...”
“งั้นเดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า ผมต้องไปซื้อของต่อน่ะพี่” เขาว่าพร้อมวางช้อนส้อมลงในจานราดหน้าที่ได้กินไปแค่นิดหน่อย ไม่กงไม่กินมันแล้ว
“ซื้ออะไร”
“เครื่องเขียนนิดหน่อย”
“เดี๋ยวกูไปด้วย แล้วกลับพร้อมกัน กินให้หมดก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงผมยังไม่ค่อยหิว ไม่อยากจะรบกวนพี่ไปมากกว่านี้ด้วย”
พูดจบเขารีบยกน้ำขึ้นมาดื่ม ที่จริงเขาใช้มันบังหน้าตัวเอง เพราะจู่ๆน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาล้นขอบตาอีกแล้ว ถ้าร้องตอนนี้ต้องโดนด่าอีกแน่ๆ
“งั้นผมไปนะครับ” ทันทีวางแก้วน้ำลง เขาก็ยกมือไหว้รุ่นพี่ เตรียมควักกระเป๋าตังค์จ่ายตังค์ค่าอาหาร
“เดี๋ยว” ทันทีที่ลุกขึ้นก็โดนมือสากคว้าข้อมือไว้ให้เขาชะงัก
“นั่งลง”
เจ้าตัวพูดเสียงเข้ม พูรินเม้มปากแน่นเบือนหน้าไปทางอื่น ถ้าเป็นปกติเขาคงทำตามที่อีกฝ่ายบอกทันที แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะเชื่อฟังอะไรทั้งนั้น
“กูขอโทษ นั่งลงก่อนได้ไหม”
อีกคนที่จับแขนเขาอยู่เอ่ยเสียงอ่อนออกมาให้ใจกระตุก เขารีบเอามือเช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาลวกๆ
“ปล่อย..”
“หมีพูห์..”
เฮ้อ~
“ปล่อยพี่..ผมจะนั่ง”
เมื่อพูรินว่าอย่างนั้น คนตัวโตก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี เจ้าตัวนั่งกอดอกไม่ยอมมองกัน จนแทนคุณตัดสินใจลุกหยิบเก้าอี้ตัวเองขยับเข้าไปนั่งข้างใครอีกคน
“กูขอโทษ..”
“ผมไม่ได้อยากให้พี่ขอโทษ ผมอยากรู้ว่าพี่เป็นอะไร”
เจ้าตัวเอ่ยประโยคที่เขาเคยใช้ในอดีตขึ้นมา จนทำให้แทนคุณรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ใจอยากพูดบอกไปตรงๆ แต่เขาจะบอกมันได้ยังไง ว่าที่เป็นอยู่เพราะหึงมันกับผู้ปกครองคนนั้น
ก็เขาไม่มีสิทธิ์อะไรสักหน่อยนี่น่า
“อ่ะ”
พูรินก้มลงมองเมื่อพี่แทนยื่นซองสีขาวใส่มือ เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายเป็นเชิงถามว่ามันคืออะไร
“ผลสอบ”
“อ่า จริงดิ มาแล้วหรอ” พูรินเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มอย่างตื่นเต้นจนลืมไปแล้วว่าเคยงอนใครอยู่
“นี่พี่เปิดดูหรือยัง ผลเป็นไงบ้าง”
“ยัง ก็สัญญากับมึงแล้วนี่ ว่าจะดูพร้อมกัน” พูรินยิ้มแป้นอย่างอิ่มอกอิ่มใจที่อีกคนจำสิ่งที่เขาเคยขอร้องได้ แต่จู่ๆก็นึกเอ๊ะใจอะไรขึ้นมาบางอย่าง
“ที่พี่หน้าบึ้งแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะผลสอบนะ”
“อืม กูกลัวได้น้อย แล้วจะทำให้มึงผิดหวัง” ก็ที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่เขาก็กังวลอยู่เหมือนกันนี่น่า เอามาใช้เป็นข้ออ้างก็คงไม่เสียหาย
“โธ่..พี่แทน...พี่ไม่เห็นต้องคิดมากเลย” เมื่อในที่สุดก็ได้รับรู้เหตุผลที่คนตรงหน้าทำตัวผิดปกติแบบนี้ พูรินก็แสนจะโล่งใจ
“แต่ผมมั่นใจว่ามันจะไม่แย่อย่างที่พี่คิด เปิดดูกันเลยไหม” เมื่อพี่แทนพยักหน้าอนุญาตเขาก็ค่อยๆแกะซองอย่างระมัดระวัง ดึงผลข้อสอบออกมาไล่อ่าน
“พี่แทน! พี่ได้คะแนนรวม 630 อ่ะ!!” พูรินตะโกนบอกยิ้มหน้าบาน
“แล้วมันดีหรือเปล่า”
“ปกติเวลาไปสมัครงานเขาก็จะรับที่ 600อัพอ่ะพี่ สุดยอดไปเลย” เขาพูดพร้อมรวบมือหนามาเขย่าไปมาอย่างลืมตัว พี่แทนก้มลงมองผลสอบตัวเองอีกหลายครั้ง จนในที่สุดก็ยกยิ้มออกมา สายตาเต็มไปด้วยความพอใจ
“พี่แทนผมรู้อยู่แล้ว ว่าพี่ต้องทำได้ เห็นเปล่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ผมบอกพี่แล้ว”
คนที่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่คล้องสองแขนเรียวรอบแขนเขาอย่างไม่สนว่าใครจะมอง กลุ่มผมนุ่มทิ้งลงมาบนหัวไหล่เฝ้ามองผลสอบไปยิ้มไป
“ขอบใจมึงมากเลยนะ”
“...”
“ถ้าไม่มีมึง กูคงทำไม่ได้แบบนี้”
คนที่ลืมอายเพิ่งได้สติเมื่อโดนกล่าวชม รีบทำหลังตรงผละมือออกจากอีกคนทันทีทันใด พูรินอยากแทรกแผ่นดินหนี พอลืมตัวทีไรก็เผลอทำอะไรน่าไม่อายได้ทุกทีสินะ
“ไม่ใช่หรอกพี่.. ผมแค่ช่วยนิดๆหน่อยๆ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะความพยายามของพี่ต่างหาก” พึมพำออกไปแก้เขิน หลุบตาลงเมื่อเห็นอีกคนมองมาด้วยสายตาอบอุ่นในระยะประชิด
“พี่กลับไปกินให้หมดสิ เย็นหมดแล้ว” ว่าให้อีกคนหัวเราะในคอ มึงจะมาทำเขินอะไร เมื่อกี้ยังกอดแขนเขาแน่นอยู่เลย ถึงจะอยากแซวแต่แทนคุณก็ได้แต่คิดในใจ ยอมยกเก้าอี้กลับไปนั่งที่เดิม หยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักอาหารเข้าปาก
“อาทิตย์หน้าถ้ามึงว่างกูอยากเลี้ยงขอบคุณมึง”
“เห้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่ไ..”
“ไปดูหนังกันนะ”
พูรินที่กำลังจะกล่าวปฎิเสธชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดฝันออกจากปากอีกคน เขาอยากจะหยิกตัวเองดูสักครั้งให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังอยู่ในฝัน
“แล้วก็กูอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนมึงด้วย”
“...”
“ก็ถ้ามึงอยากน่ะนะ หรือถ้ามึงอยากได้อย่างอื่น ก็บอ..”
“ไปพี่!” พูรินรีบตอบตกลงทันที เขาไม่ยอมลังเลให้ใครอีกคนเปลี่ยนใจหรอกนะ
“อะ..อืม...งั้นก็กินซะ แป้งเส้นใหญ่อืดหมดแล้วมึง” พูรินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตักราดหน้าเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ถึงวันนี้จะเริ่มต้นกันแย่ไปหน่อย เหมือนมันเป็นครั้งแรกที่ไม่เข้าใจกันเลยมั้ง แต่จะยังไงก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อตอนจบก็ยังแฮปปี้เอนดิ้งนี่น่า
“แทน”
“อ้าว..มาไง นั่งก่อนดิ”
ที่บอกว่าจบดี เขาท่าจะด่วนตัดสินไปหน่อย
“พี่นิ้งหวัดดีครับ” พูรินยิ้งแห้งเอ่ยทักทาย คนมาใหม่ยกมือรับไหว้เขา ก่อนจะนั่งลงข้างพี่แทนอย่างคุ้นเคย
“จะไปกันยัง ขอนั่งรอข้าวด้วยนะ” พี่นิ้งเอ่ยขึ้นให้เขากับพี่แทนพยักหน้ารับ เจ้าตัวกำลังรอข้าวที่ซื้อใส่ถุงกลับไปกินหอ
“ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันล่ะ วันนี้มีติวภาษาอังกฤษกันหรอ” เจ้าตัวชี้นิ้วมาที่เขากับพี่แทนสลับกัน ยกยิ้มนิดๆให้เขารู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา
“เปล่า วันนี้เราเอาผลสอบมาให้น้องดู นิ้งดูคะแนนเราดิ”
พูรินมองคนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หยิบซองคะแนนสอบบนโต๊ะยื่นให้เพื่อนสาวดู อีกคนที่เปิดออกดูตาโต เอามือตีหลังคนตัวใหญ่เบาๆสองสามครั้ง กล่าวชมเปราะ
“คุณแทนคุณนี่สุดยอดไปเลย”
คนที่โดนสัมผัสเองก็ฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงหู ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสัมผัสของเธออย่างที่เขาเป็น พูรินไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะเอาตาไปวางไว้ตรงไหน รู้แค่ว่าไม่อยากทนเห็นภาพบาดตาตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาพิมพ์ข้อความหาเพื่อนสนิท
“ตั้งใจแบบนี้ งั้นอย่างนี้สรุปแทนก็จะไปอเมริกาอ่ะดิ” พูรินเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินคำถามของพี่นิ้ง เขาเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงที่พี่แทนมาอยู่รอบตัวเขาแบบนี้มันคืออะไร
“ก็...กำลังตัดสินใจอยู่น่ะ” พี่แทนทำท่าเลิ่กลั่ก พูดไปมองหน้าเขาไป พูรินเผลอเม้มกัดริมฝีปากแน่นอย่างอดน้อยใจไม่ได้ เพราะมีเขาอยู่พี่แทนถึงดูไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องสำคัญแบบนี้ออกมาสินะ
“แล้วนี่นิ้งมาไง”
“เพื่อนมาส่ง แต่เดี๋ยวนั่งรถสองแถวกลับ”
“มันอันตรายนะ วันหลังฝากเราซื้อก็ได้”
“ได้ไงอ่ะ แล้วใครจะรู้ได้ว่าแทนอยู่แถวนี้หรือเปล่า ปกติก็เห็นกลับบ้านเร็วตลอด” นิ้งว่ากลั้วหัวเราะ
“ไม่อยู่แถวนี้ก็มาซื้อให้ได้ ขอให้นิ้งบอกมาคำเดียว”
“โธ่ อยากนี้ก็รักเลยดิ”
พูรินนั่งหน้าชา เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกลายเป็นส่วนเกินไปแล้ว เขาอยากจะออกไปจากที่ตรงนี้เหลือเกิน
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“ว่าไงไอ้พุทธ” เมื่อในที่สุดสายที่รอก็โทรมาสักที เขาก็รีบกดรับทันที
[ว่าไงอะไรมึงบอกให้กูโทรมานี่]
“อ้าว มึงอยู่แถวนี้หรอ ร้านไหนนะ”
[ร้านอะไร มึงพูดอะไรเนี้ย]
“หนักมากเลยหรอมึง งั้นเดี๋ยวกูไปช่วยขน อือๆ กินเสร็จแล้ว ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
[มึงพูดเรื่องเหี้-]
ไม่ทันที่จะให้พุุทธโธพูดจบ พูรินก็กดปิดโทรศัพท์ ก่อนที่จะยืดตัวยืนขึ้น
“งั้นพี่แทนไปส่งพี่นิ้งเถอะครับ ผมต้องไปช่วยไอ้พุทธถือของ มันมาซื้อของแถวนี้พอดี” ว่ารัวๆก่อนจะยกมือไหว้ลารุ่นพี่ทั้งสองคนโดยไม่มองสบตา เขาเดินจ้ำไปจ่ายค่าราดหน้าสองจาน ก่อนที่จะเดินออกมาจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก็รู้หรอกนะ ว่าเรื่องของเขามันเป็นไปไม่ได้
แต่ไม่ต้องมาย้ำกันได้ไหม
จะให้มานั่งดูเขาพรอดรักกันต่อหน้าแบบนี้ มันก็ดูจะแกร่งเกินยอดมนุษย์ไปหน่อยไหมล่ะ
เฮ้อ~
พูรินได้แต่เดินแหงนหน้ามองฟ้า
เพราะถึงแม้มันจะมืดไร้ดาว
แต่มันก็เป็นวิธีเดียว
ที่จะช่วยให้ตากลมกักขังน้ำตาที่เอ่อล้นได้นานขึ้นอีกนิดก็แล้วกัน


*********
#หมีแทนที่รัก










ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่แทนเร็วๆๆๆๆๆหน่อย น้องหมีเข้าใจผิดเเล้ว
ไหนจะอาณัติที่ดูจะแิบๆมองน้องอีก
ช้าอดแน่ๆๆ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:น้ำผึ้งหยดที่เก้า:.

A thank you is nicer than sunshining days and just as sweet as honey

.

.

คำขอบคุณ มันดียิ่งกว่าแสงอาทิตย์อบอุ่น และหวานเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า



พูรินยืนปาดเหงื่อพร้อมมองรายการสิ่งของที่ต้องซื้ออีกครั้ง เขาตรวจดูของในถุงให้แน่ใจก่อนที่จะบรรจงขีดฆ่าสิ่งที่ซื้อไปเรียบร้อยแล้วทีละข้อทีละข้อ ร่างเล็กยิ้มอย่างพอใจ ตลอดสองชั่วโมงที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินลัดเลาะไปมาในย่านพาหุรัด ในที่สุดเขาก็สามารถจัดการกับรายการของผ้าที่ต้องซื้อจนครบ ที่เห็นจะมีเหลือก็แต่ของกระจุกกระจิกจำพวก ลูกปัด กระดุม ริบบิ้น ด้ายหลากหลายสีสันและของจำเป็นอื่นๆ สำหรับงานเย็บผ้าที่ตั้งใจจะเก็บไว้ไปดูที่ร้านแถวสำเพ็งอีกที

“อ่ะ กินน้ำก่อน”

พูรินหันไปมองตามเสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคย คนพูดยื่นแก้วน้ำมะพร้าวปั่นในมือมาให้ เขายิ้มกว้างอย่างดีใจเป็นที่สุด กล่าวคำขอบคุณพร้อมทั้งรีบคว้ามันมาดูดรวดเดียวจนเกือบหมดแก้วดับกระหาย

“พี่แทน หาข้าวกินกันก่อนไหม ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ”

เมื่อเห็นว่างานเดินหน้ามามากกว่าครึ่งทาง และรวมกับอากาศยามเที่ยงที่ร้อนแรงไม่เกรงใจใครของพาหุรัดในวันฟ้าใส แล้วไหนจะท้องไส้ที่ส่งเสียงร้องระงมอย่างกับกบหน้าฝนนั่นอีก พูรินคิดว่ามันถึงเวลาต้องพักกันแล้ว

“อือ แล้วตอนนี้เหลืออะไรบ้างล่ะ”

ว่าแล้วคนตัวโตก็เดินมายืนซ้อนหลัง ชะโงกหน้าข้ามหัวไหล่เขาก้มมองรายการที่เขาถืออยู่ในมืออย่างพินิจพิจารณา เขาเผลอกลั้นหายใจ เมื่อจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่มาปะทะแก้มอย่างแผ่วเบา ร่างเล็กกัดเม้มริมฝีปากบางแน่น พยายามเก็บกั้นอาการเลิ่กลั่กที่เกิดขึ้นจากความใกล้ชิดกะทันหันให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขากลัวเหลือเกินว่าอีกคนจะจับได้

เพราะตั้งแต่วันนั้นที่หนีกลับหอเอง เขาก็ได้ใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างพี่แทนกับเขาอีกครั้ง

ถ้าให้พูดกันแบบไม่อาย

จะว่าเขาเข้าข้างตัวเองก็ได้

แต่เขาก็เข้าข้างตัวเองจริงๆ นั่นแหละ

ในหลายครั้ง เขาเองก็เคยคิดว่าพี่แทนก็รู้สึกกับเขาเหมือนที่เขารู้สึกกับอีกฝ่ายเหมือนกัน

ก็รู้แหละว่าตัวเองจินตนาการเก่ง แต่พฤติกรรมหลายอย่างของพี่มันก็ชวนให้คิดนี่น่า ไม่ว่าจะเป็นการที่พี่แทนที่มาร้องเพลงให้ในวันเกิด พี่แทนที่คอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนในเรื่องของเขา หรือแม้แต่พี่แทนที่โอบกอดเขาแน่นในวันที่เขาท้อแท้ที่สุด

กอดเลยนะกอด แบบตัวแนบตัวสนิท หน้าเหน่อนี่จะซุกเข้าไปในซอกคออยู่แล้ว เขาว่ามันก็ไม่ธรรมดาจริงๆ นะเว้ยเฮ้ย

ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงแม้จะเคยท่องพุทธโธในใจ บอกตัวเองว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็รู้ดีว่าที่จริงในซอกหลืบหนึ่งของหัวใจ เขายังคิดและหวังอะไรที่มากกว่าความเป็นพี่น้องอยู่ดี

แต่ก็อย่างที่ใครๆ เขาพูดกันนั่นแหละ

ถ้าไม่ได้เจ็บ ไม่ได้เจอกับตัว ให้บอกให้เตือนแค่ไหน สุดท้ายคนเรามันก็ไม่รู้จักเข็ดหรอก

และก็เป็นวันนั้นที่ได้เจอพี่นิ้งเขาถึงได้รู้

ไอ้เรื่องถูกเนื้อต้องตัว ลูบหัว กอดคอ ที่เคยคิดว่ามันแสนพิเศษกว่าใคร เขาก็ได้เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่แค่เขาที่ได้รับสิทธิพิเศษนั้น

แต่คำพูดต่างหากล่ะ ที่มันทำให้ทุกอย่างแตกต่าง

‘ไม่อยู่แถวนี้ก็มาซื้อให้ได้ ขอให้นิ้งบอกมาคำเดียว’

จีบบอกตรงๆ เลยครับ ให้ความสำคัญกันโจ่งๆ ไม่ต้องมานั่งคิดเองเดาเองให้เสียเวลา

บอกเลยว่าตอนนั้นอยากขอตัวแสดงแทนมาก ดีนะที่ยังพอหัวไวพิมพ์ไปหาไอ้พุทธได้ก่อน ไม่งั้นนอกจากจะเสียใจที่ได้เห็นภาพบาดตา คงต้องเผลอร้องไห้จนโดนด่าให้บาดใจเล่นไปอีก

แต่ก็นะ ถึงจะน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ ท้อแท้ใจแค่ไหน แต่เขาก็ยังพอเป็นคนมีเหตุผลนะ เขารู้แหละว่าพี่แทนไม่ได้ผิดอะไร ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความรู้สึกเขาเองเมื่อมันเกิดขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เขาควรจัดการ จะให้พี่แทนมารับผิดชอบกับความไม่ได้ดั่งใจของเขา มันก็ดูจะไร้เหตุผลเกินไปสักหน่อย

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีงอนให้ง้อ หรือทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผล เขากับพี่แทนยังคุยกันเป็นปกติ มีเพียงแค่ตัวเขาที่มีหน้าที่ซ่อนเก็บทุกความรู้สึกเกินเลยที่เกิดขึ้นให้มิด บอกตัวเองว่ามันยังดีแค่ไหนที่วันนี้ยังมีพี่แทนอยู่เคียงข้าง ยังมีพี่แทนให้กอดในวันที่แสนทุกข์หรือสุขใจ

ถ้าบราเทอร์โซนคือพื้นที่ของเขา เขาก็จะขอเลือกยืนในมุมที่ได้ใกล้พี่แทนที่สุด

“ผ้าเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ของเล็กของน้อย” พี่แทนเอ่ยขึ้นเมื่อไล่อ่านลิสต์จนครบ

“งั้นเอาของไปเก็บที่รถกัน แล้วเดี๋ยวกูค่อยพามึงไปสำเพ็งหาข้าวกิน”

พี่แทนว่าต่อให้เขาพยักหน้ารับ เจ้าตัวยื่นแก้วน้ำมะพร้าวของตัวเองมาให้เขาถือ จัดการรวบถุงใส่ผ้าที่กองอยู่ที่พื้นกระจัดกระจายขึ้นมาไว้ในสองมือ เดินนำเขาไปที่ลานจอดรถ เพราะว่าวันนี้ตั้งใจมาซื้อของกันหลายอย่าง พี่แทนจึงยืมรถเก๋งของพี่ต้นมาใช้เฉพาะกิจ

วันหยุดนี้เขาตั้งใจจะไปค้างบ้านพี่แทนเพื่อช่วยงานแม่กุ้ง ช่วงนี้เขาเห็นว่าแม่ยุ่งจนหัวหมุน หนึ่งคือเพราะร้านออนไลน์ที่เขาเปิดขายชุดมันเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น ทำให้ตอนนี้มีออเดอร์เข้ามาแทบทุกวัน สองคืองานที่แม่รับมาจากโรงเรียนต่างๆ ซึ่งช่วงนี้จะเยอะเป็นพิเศษ เพราะใกล้จะปิดเทอมแรกแล้ว แต่ละโรงเรียนก็มักจะมีการจัดกิจกรรมก่อนปิดภาคเรียนกันทั้งนั้น

รวมถึงโรงเรียนที่เขาสอนด้วย

ในตอนที่กำลังตื่นเต้นว่าได้ออเดอร์มาใหม่มาให้แม่กุ้งจากโรงเรียน ปรากฏว่าสิ่งที่ได้มาเห็นกลับเป็นสภาพเหนื่อยล้าของแม่ เพราะงานมันมีเป็นช่วงๆ แม่ถึงไม่อยากปฏิเสธลูกค้าคนไหน ทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวัน เมื่อเห็นความตั้งใจของแม่แล้วเขาก็ไม่อยากห้าม เสาร์อาทิตย์นี้เขาเลยอยากมาช่วยแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างแรกก็คือการมาเดินเลือกซื้อวัสดุอุปกรณ์จำเป็นที่แม่กุ้งจดรายการมาให้

“หรือถ้ามึงร้อนมาก ไปกินข้าวในห้างกันไหม”

แทนคุณเอ่ยถามเมื่อใส่ของไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว เขาเหลือบมองรุ่นน้องตัวเล็กที่วันนี้มีหมวกบักเกตสีเขียวทหารกันแดดอยู่บนหัว เสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่ใส่มาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แก้มขาวขึ้นสีแดงจัดเพราะความร้อนของแดดยามเที่ยง เมื่อเห็นแบบนี้เขาก็อดจะสงสารมันไม่ได้ พ่อแม่เขาจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าพาลูกชายเขามาลำบากแบบนี้

“ไม่เป็นไร ผมกินอะไรก็ได้ครับพี่ ไม่อยากให้พี่ขับรถอ้อมไปอ้อมมาด้วย”

“...”

เขามองคนที่กระพือเสื้อตัวเองเรียกลม วันนี้ทั้งวันเขาได้แต่เดินตามมันเลือกผ้าอยู่หลายชั่วโมง เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไม่รู้จักหยุดหย่อน ต่อราคาแบบไม่คิดชีวิต นี่ถ้าไม่มีลูกอ้อนเขาว่ามันคงโดนแม่ค้าหลายร้านตบไปแล้ว

ทั้งที่ต้องมาลำบากลำบนแบบนี้

บ่นมันก็ไม่รู้จักบ่นสักคำ..



“แล้วอีกอย่าง ผมอยากซื้อของให้เสร็จเร็วๆ ผมอยากกลับไปช่วยแม่กุ้งแล้ว”



ทั้งๆ ที่เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่..ยังเป็นเดือดเป็นร้อนได้ขนาดนี้



“พี่แทน ซื้อของเสร็จ ก่อนกลับเราแวะซื้อเกาลัดให้แม่กุ้งกันเนอะ”



แถมยังมีหน้ามาห่วงแม่เขาออกหน้าออกตาเกินใครแบบนี้..



“งั้น มึงชอบกินข้าวหมูแดงหมูกรอบไหม กูมีร้านประจำอยู่”

“เย้ ข้าวหมูแดง~”



กับคนที่ดีใจเพราะข้าวหมูแดง

กับคนแบบนี้..



“งั้นก็จับมือกูไว้ คนเยอะฉิบหาย”

“...”

“...”

แค่พี่น้อง มันแม่งไม่พอจริงๆ












“มาแล้วหรอน้องหมีพูห์”

“มาแล้วครับแม่กุ้งงงงง”

พูรินวิ่งลงจากรถทันทีที่รถจอดสนิท สองมือถือของกินที่ตั้งใจจะซื้อมาฝากคนที่บ้าน เอ้ย ซื้อมากินกับคนที่บ้านพะรุงพะรัง จากตอนแรกที่จะซื้อแค่เกาลัด เดินไปเดินมากลับได้กระเพาะปลา ขนมจีบ ขนมปังนมเนย และอีกสารพัดของกินมาได้ยังไงก็ไม่รู้

“ผมซื้อของกินมาฝากแม่กุ้งเยอะแยะเลย ของที่แม่สั่งก็ได้ครบทุกอย่างเลยครับ” รีบรายงานความคืบหน้าพร้อมกับเดินเอาถุงกับข้าวไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร

“งั้นกินข้าวกันก่อน แล้วเดี๋ยวแม่ค่อยทำงานต่อ”

“ใช่แม่กุ้ง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง!”

พูรินตื่นเต้นรีบวิ่งไปในครัวเพื่อหยิบจานชามมาใส่อาหาร พี่แทนหิ้วถุงผ้าและของที่ซื้อมาไปวางไว้ในห้องทำงานของแม่กุ้ง ก่อนจะมานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน

“แม่กุ้ง วันก่อนผมคุยกับครูจันทร์มา ผมมีข้อเสนอสุดเจ๋งมาเสนอแม่กุ้งด้วย” พูรินพูดไปพลางกัดขนมปังนมเนยเคี่ยวตุ้ยๆ ให้แม่กุ้งหลุดขำ เจ้าตัวเหมือนจะพูดเรื่องจริงจังแต่หน้าตาไม่ให้เอาซะเลย

“ครูจันทร์บอกว่าปกติคือการแสดงประจำปีในแต่ละชั้น นักเรียนคนนึงอาจจะต้องมีชุดในการแสดงสี่ถึงห้าชุด แต่คือเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ ทางโรงเรียนจะให้ผู้ปกครองซื้อชุดแค่ชุดเดียวเพื่อเป็นที่ระลึก ที่เหลือก็ใช้จ่ายเพียงค่าเช่าชุด แม่เห็นไหม มันเจ๋งที่สุดไปเลยเนอะ”

แม่กุ้งโคลงหัวด้วยความงงงวย เจ้าตัวยังไม่เข้าใจว่าที่น้องหมีพูห์บอกว่าเจ๋งสุดมันคืออะไร

“ตอนที่ผมฝันว่าผมอยากมีโรงเรียนสอนการแสดง ตอนนั้นผมก็ยังฝันอีกว่าจะได้ตัดชุดน่ารักๆ ให้เด็กๆ ใส่ ตอนนี้ผมกำลังเก็บประสบการณ์การเป็นครูอยู่ ถึงผมจะยังไม่พร้อมแต่มันก็คงจะดีมากถ้าผมจะได้เริ่มทำอะไรสักอย่าง ผมลองปรึกษาพ่อผมดูแล้ว ถ้าแม่กุ้งเห็นด้วย เรามาเปิดร้านด้วยกันไหมครับ!”

“หืม..”

อีกสองคนบนโต๊ะอาหารครางออกมาเมื่อได้ยินข้อเสนอจากเขาแบบไม่ทันตั้งตัว พูรินเล่ารายละเอียดถึงสิ่งที่เขาคิดให้ทั้งคู่ฟัง มันอาจจะเป็นไอเดียที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน แต่ว่ามันก็ได้รับการกลั่นกรองและพิจารณาถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจจากพ่อและแม่ของเขาที่มีความรู้ด้านการลงทุนเป็นอย่างดี อีกทั้งทั้งคู่ก็ดูจะพอใจเป็นอย่างมากที่เห็นเขาเริ่มคิดที่จะลงมือทำในสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมานาน

ก็อย่างที่บอกว่าบ้านเขามันแนวการ์ตูน แล้วตัวเอกในการ์ตูนที่ดีก็ควรที่จะต้องไล่ล่าตามความฝัน

และอีกเหตุผลที่เขาอยากเริ่มลงมือทำอะไรสักที ก็เพราะว่าเขาเห็นแม่กุ้งเหนื่อยมามากแล้ว จะให้มานั่งตัดชุดหลังคดหลังแข็งทั้งวันเพื่อแลกกับเงินไม่กี่บาทเขาก็อดจะห่วงไม่ได้

เขาไม่ได้จะดูถูกนะ เงินที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงน่ะ มันสุดยอดที่สุดอยู่แล้ว

แต่เขาก็แค่อยากให้แม่กุ้งสบายขึ้นบ้าง แม่ทำงานมาแล้วตลอดทั้งชีวิต เขาอยากให้แม่ได้ทำงานแบบไม่ต้องหามรุ่งหามค่ำแบบทุกวันนี้บ้าง เขาตั้งใจจะให้แม่กุ้งตัดชุดตามที่เขาบอกไว้ให้เช่าในร้าน แรกๆ อาจจะเป็นชุดสัตว์ ชุดเจ้าหญิง หรือชุดซุปเปอร์ฮีโร่ของเด็กๆ ที่ไว้ใส่ในงานวันเกิด วันฮัลโลวีนหรือวันแสดงของโรงเรียนแบบนี้ และถ้ามันไปได้ดีเขาก็คิดถึงขั้นอยากจะจ้างคนมาช่วยแม่กุ้ง แล้วให้แม่กุ้งตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาเลยด้วย

และเมื่อเขาพร้อม เขาก็อยากจะชวนเพื่อนๆ ที่สนใจมาเปิดสอนการแสดง การร้องเพลง หรือเล่นดนตรีในร้านด้วยกัน เริ่มจากศูนย์ เขาว่าถ้าเราค่อยๆ ลงมือทำ มันก็น่าจะมีทางที่ทำให้มันสำเร็จได้จริงๆ

“แม่กุ้งลองไปคิดดูน้า แล้วผมจะเข้าไปคุยกับพ่อผมเอง” แน่นอน สปอนเซอร์ของเขาก็มีพร้อมแล้วเหมือนกัน

“ขอบคุณนะน้องหมีพูห์ เดี๋ยวแม่ขอไปคิดกับพี่แทนก่อนนะ ถ้าทำจริงๆ แม่ก็อยากร่วมทุนด้วย”

“ไม่ๆๆ ผมแค่อย..”

“พอๆ แม่กูพูดแล้ว ยังไงพวกกูปรึกษากันก่อน วันนี้พอแค่นี้ มัวแต่พูดแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำงานสักที”

พี่แทนเอ่ยเบรกให้เขาหน้ามุ่ย เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเก็บจานชามบนโต๊ะให้เขารีบยันตัวขึ้นช่วย เมื่อล้างจานเสร็จ พูรินก็รีบวิ่งฉิวไปห้องทำงานของแม่ เสียงจักรตัวเดิมร้องคำรามไม่หยุด เขาเห็นแม่มีสมาธิกับงานก็ไม่อยากจะไปกวน เดินตรงไปยังโต๊ะที่ใช้ตัดผ้าแล้วเริ่มลงมือทำอย่างชำนิชำนาญ สักพักพี่แทนก็เดินตามเข้ามา เราสามคนนั่งทำงานกันอยู่คนละมุมไม่พูดไม่จากันจนดึก จนในที่สุดเมื่อเหลือแต่งานเย็บกระดุมและงานปักผ้า แม่กับเขาก็ย้ายไปนั่งช่วยกันเย็บที่พื้นหน้าทีวี แทนคุณมองสองคนที่มือเป็นระวิง แต่ปากก็ไม่หยุดคุยจ้ออย่างสนิทสนม เขาจำไม่ได้ว่ามันเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เสียงหัวเราะของแม่กลับมาดังกังวานแบบนี้

อาจจะเป็นตั้งแต่ที่มีอีกคนเข้ามาในชีวิตของเรา

ในที่สุดเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรให้ช่วย เขาจึงขอตัวขึ้นห้องมาก่อน แอบเคืองนิดๆ ที่แม้แต่ตอนบอกลาก็ไม่มีใครสนใจ แม่ยกปัดมือไล่ลวกๆ ก่อนจะหันไปคุยกับน้องต่อ ร่างหนารู้สึกหมั่นไส้ เหมือนในที่สุดแผนที่หมีพูห์ตั้งใจจะขโมยแม่เขามันคงใกล้จะสำเร็จแล้วจริงๆ



“แม่” แทนคุณที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่ในห้องนอนยันหลังขึ้นตรงเมื่อเห็นแม่ของเขาเดินผ่านประตูเข้ามา หน้าตาอิดโรยที่เห็นมาแต่ไกลทำให้เขารีบลุกขึ้นไปประคองอีกคนในทันที

“เหลือเยอะไหมแม่ แม่ไปพักก่อนเถอะ”

“เสร็จหมดแล้ว แม่กำลังจะไปนอน” แม่เขาตีมือที่กุมกันไว้เบาๆ เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เราลงไปดูน้องให้แม่หน่อยเถอะ หลับคาโต๊ะไปแล้วรายนั้น”

เขาพยักหน้ารับ เดินไปส่งแม่ที่ห้องนอนก่อนจะเดินลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน ทันทีที่เดินพ้นบันได ภาพที่เห็นก็ทำให้เขาใจสั่น หมีพูห์ที่นอนเอาแก้มซบลงกับโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ข้างตัวมีผ้ากองโตที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบตั้งอยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ เขารอบมองตากลมโตที่ปิดสนิทส่งให้เห็นแพขนตายาวได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยกับเสียงหายใจเบาๆ ที่บอกให้รู้ว่าวันนี้เจ้าตัวเหนื่อยมากแค่ไหน

แทนคุณนั่งบนส้นเท้าเฝ้าพิจารณาคนตัวเล็กตรงหน้า อย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเขาเอื้อมหลังมือไปลูบแก้มเนียนใสของอีกฝ่าย มันเนียนและใสจนในที่สุดก็ไม่อาจห้ามใจ เผลอก้มลงกดจมูกแนบชิดลงไป สูดเอากลิ่นดอกไม้หอมๆ เข้าจนเต็มปอด ก่อนจะยอมผละออกมาทันที เมื่ออีกคนยกมือขึ้นตบแก้ม ทำหน้าตารำคาญเหลือทนเพราะคงคิดว่าโดนยุงกัด เปลือกตาขยับเคลื่อนไหวเหมือนเจ้าตัวเริ่มมีสติอีกครั้ง

“พี่แทน...” คนที่สะลึมสะลือยันตัวเองตั้งตรง บิดขี้เกียจไปมาก่อนจะสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อจำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

“ผมเผลอหลับไปได้ไงเนี้ย” ท่าทางตื่นตูมของอีกคนทำให้คนฉวยโอกาสยิ้มขำ ตื่นมาก็โวยวายว่าตัวเองว่าแย่จริงๆ ที่ปล่อยให้แม่กุ้งทำงานคนเดียว อย่างนี้งานจะทันส่งได้ยังไง

“เสร็จหมดแล้วมึง แม่กูก็ขึ้นไปนอนแล้ว”

“โธ่~ ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ”

พูดเองก็หน้างอเอง เขาไม่เห็นว่าจะมีใครด่ามันสักคำ แทนคุณส่ายหน้าคล้ายระอาเมื่อน้องมันบ่นไม่หยุด จนในที่สุดเขาก้เอื้อมยกมือไปวางบนกลุ่มผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะลูบไปมาอย่างที่เคยทำ

“แค่นี้มึงก็ช่วยได้เยอะแล้ว”

“...”

“ขอบใจมึงมากเลยนะหมีพูห์”

“...”

พูรินที่อ้าปากโวยวายไม่หยุดชะงักในทันที เมื่อหันไปมองเจ้าของความอบอุ่นบนหัวจึงได้เห็นว่าอีกคนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบ เขาคิดว่ารอยยิ้มของพี่แทนในตอนนี้เหมือนแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า มันสาดส่องเข้ามาสร้างความอบอุ่นทั่วพื้นที่ในหัวใจ และยังจะแววตานั่นอีก มันดูหวานเสียจนใจเขาสั่น เป็นอีกครั้งที่เขาอยากคิดเข้าข้างตัวเองเหลือเกิน

แค่มุม VIP ของบราเทอร์โซน มันไม่พอจริงๆ

“มะ..ไม่เป็นไรเลยพี่ แค่นี้สบายมาก”

“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันนะ” พูรินชะงักเมื่อจู่ๆ อีกคนก็พูดไปอีกเรื่อง

“เอ่อ..คือ..”

“ไม่ต้องโทรชวนไอ้พุทธ”

พี่แทนรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที ให้เขายิ้มแหยส่งไปให้ ก็เพราะตอนนั้นยังทำใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รอบที่แล้วที่พี่แทนชวนไปดูหนังเขาเลยลากไอ้พุทธไปด้วย วันนั้นยังจำได้ดีว่าพี่แทนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่จะพาไปเลี้ยงข้าวก็ไม่ได้ไป เขาไม่รู้มาก่อนว่านอกจากพี่ต้นแล้ว พี่แทนก็ไม่ค่อยชอบไอ้พุทธเหมือนกัน

“ตกลงไหม”

“งั้น..ชวนแม่กุ้ง..”

“ไม่ต้องชวน ทำไม ไปกับกูสองคนไม่ได้หรือไง”

“...”

“ว่าไง”

“ก็ได้ครับ” ในที่สุดพูรินก็เอ่ยรับคำอย่างจนใจ

ก็ไม่ใช่ว่าจะเล่นตัวอะไรหรอกนะ เขาแค่นึกสงสารหัวใจที่มันต้องทำงานหนักอีกแล้วแค่นั้นเอง

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
(ต่อ)



วันนี้พูรินตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษ หลังอาหารเช้าที่นั่งกินกันสามคน แม่กุ้งกับพี่แทนก็กลับเข้าไปที่ห้องทำงาน กันอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเร่งส่งแล้ว เขาจึงขอแยกตัวออกมาจัดการแพคชุดที่เพิ่งทำเสร็จสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนตามออเดอร์ที่ได้รับ เขียนจ่าไปรษณีย์หน้าซองเรียบร้อยก็ใส่ถุงเตรียมเอาไปส่งในวันทำการพรุ่งนี้

“ถึงไหนแล้วมึง” ตอนที่กำลังนั่งเขียนที่อยู่ของออเดอร์สุดท้าย พี่แทนก็เดินเข้ามาพอดี

“ใกล้แล้วพี่แทน ซองนี้ซองสุดท้าย เดี๋ยวผมขอตรวจความเรียบร้อยอีกทีแล้วจะเข้าไปช่วยนะครับ”

“ไม่ต้อง วันนี้พอแค่นี้ ไม่มีอะไรเร่งส่งแล้ว กูอยากให้แม่พักบ้าง” ผมพยักหน้ารับ เด็กๆ อย่างเรานอนดึกแค่วันสองวันมันก็ยังพอทนได้ แต่กับแม่กุ้งที่เริ่มมีอายุมากแล้ว ยังไงสุขภาพก็สำคัญที่สุด

“กูบอกแม่แล้วว่าจะไปดูหนังกับมึง”

“...”

“ถ้ามึงเสร็จแล้ว ก็ออกไปกันเลย ดูรอบแรกคนจะได้ไม่เยอะ”

พูรินพยักหน้ารับ เขาว่าเขามันคนแปลก ในทุกครั้งที่พี่แทนบอกว่าจะพาไปดูหนัง ทั้งๆ ที่พี่มันพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ทำไมเขาต้องคิดลึกตลอดเลยด้วยก็ไม่รู้

“หรือมึงไม่อยากไป” เมื่อเห็นว่าเขาก้มหน้างุด พี่แทนก็ถามเสียงฉุนออกมา ให้เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“ปะ..เปล่านะ คือ..”

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

ไม่ทันจะได้ตอบดีก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ของตัวเอง พูรินคว้ามันมาจากโต๊ะญี่ปุ่นข้างตัว เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่เพิ่งเมมเบอร์ไว้ล่าสุดก็รีบกดรับ

“ครับ คุณณัติ” เขาเอ่ยรับสายคุณอาของน้องหมี ตั้งแต่วันที่ไปกินไอติมด้วยกัน คุณณัติก็ขอเบอร์เขาไว้ คุณณัติบอกเขาว่าแรกๆ น้องหมีไม่ค่อยชอบไปโรงเรียนเท่าไหร่ แต่พอมีวิชาเสริมของเขาขึ้นมา น้องหมีดูกระตือรือร้นอยากไปโรงเรียนมากขึ้นกว่าเดิม แถมยังชอบร้องชอบเต้นเป็นพิเศษ เจ้าตัวจึงขอเบอร์ติดต่อเขาไว้ เผื่อว่าจะขอจ้างให้เขาไปสอนพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ พูรินนิ่งคิดอยู่นานว่าควรจะให้เบอร์ดีไหม เขาเองก็รู้ว่าการมาสนิทกับเด็กคนใดคนหนึ่งมากเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี เพราะมันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความสำคัญกับเด็กในห้องไม่เท่ากัน เขาก็เลยคิดว่าเขาเองก็ควรรักษาระยะห่างเอาไว้ แต่ด้วยที่คุณณัติบอกจะโทรมาแค่เรื่องงานจริงๆ พอโดนคะยั้นคะยอหลายๆ ครั้งเข้า เลยตัดสินใจให้เบอร์ตัวเองไป

“ครับ อย่างที่บอก วันนี้ผมมาช่วยแม่กุ้งเย็บผ้าที่บ้านน่ะครับ”

แทนคุณที่นั่งอยู่ข้างคนคุยโทรศัพท์คิ้วกระตุก ตั้งแต่ได้ยินชื่อเขาก็รู้แล้วว่ามันเป็นใคร หมีพูห์เล่าเรื่องที่ไปกินไอติมกับนักเรียนให้ฟังแล้ว ตอนที่ได้ฟังก็หัวเสียแทบเป็นแทบตายเพราะรู้เจตนาไม่ซื่อของไอ้ผู้ปกครองคนนั้น แต่ก็พยายามเก็บกลั้นความรู้สึกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์จะไปพูดอะไร แล้ววันที่ตั้งใจจะสมัครขอใช้สิทธิ์ หมีพูห์มันก็ดันชวนไอ้พุทธมาเป็นก้างขวางคอซะงั้น

แล้ววันนี้ยังมาได้รู้ว่าไอ้บ้านั่นได้เบอร์น้องไป แถมยังสนิทกันถึงขั้นเล่าเรื่องของที่บ้านเขาให้มันฟัง ความรู้สึกหงุดหงิดมันจึงยากที่จะควบคุมเต็มทน

“ดูหนัง? วันนี้หรอครับ” พูรินพูดทวนในสิ่งที่ได้ยิน เขาหันไปมองข้างตัวเมื่อเห็นใครอีกคนสบถอะไรออกมาก็ไม่รู้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“วันนี้คงไม่ได้น่ะครับ ผมมีนัดแล้ว”

“...” แล้วก็แปลว่าวันอื่นได้หรือไงวะ

“ครับ ฝากขอบคุณน้องหมีด้วยนะครับที่ชวน”

แมนสุดแล้วมึงน่ะ ใช้หลานมาอ้างตลอด

พูรินกล่าวลาอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท กดวางแล้วทิ้งโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม ก่อนจะหันไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ

“ใกล้เสร็จแล้วนะพี่แทน”

“...”

“พี่แทน? ”

“ถ้ามึงไม่อยากไปดูหนังกับกู ก็ไม่เป็นไรนะ” พูรินชะงักไปเมื่อได้ยินคำจากอีกฝ่าย เหลือบตาไปมองคนที่ทำหน้าบึ้งหันไปมองทางอื่นไม่ยอมสบตากัน

“ไปดิพี่ ใกล้เสร็จแล้ว รอแป๊บเดียวนะครับ” คนที่ยังวุ่นอยู่กับงานตรงหน้า คิดว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายรอนานจนหงุดหงิด สองมือเร่งเก็บซองพัสดุใส่ถุงอย่างรวดเร็ว ปากก็พยายามชวนคุยไม่อยากให้อีกคนเบื่อ

“พี่แทนว่าร้านที่ผมบอกแม่กุ้งไปจะเวิร์คไหม ผมอยากให้แม่ตกลงทำกับผมจังเลย”

“ก็ดี”

“โธ่ แค่ก็ดีหรอ คนอุตส่าห์เล่าตั้งยืดยาวทั้งคืน ความเห็นมีแค่เนี้ย” เขาแกล้งทำเป็นบ่นน้อยใจ ที่จริงแค่คนพูดน้อยแบบพี่แทนบอกว่าก็ดีเขาก็ดีใจจะตายแล้ว

“ผมเล่าให้คุณณัติฟัง เขาช่วยแนะนำผมหลายอย่างเลย เขาเองก็มีร้านอาหารอยู่ พอจะรู้เรื่องการบริหารอยู่บ้าง เขายังบอกเลยว่าไอเดียผมดี อยากลงทุนร่วมกับผม”

“งั้นมึงก็ไปทำกับมันสิ” คนที่ความอดทนลดลงเหลือขีดแดงพลั้งปาก ทั้งๆ ที่พยายามเพิกเฉยเรื่องที่มันจะไปดูหนังกับไอ้บ้านั่นเมื่อกี้ มันยังจะมาพูดชื่ออีกคนให้อารมณ์ขึ้นอีก

“ไหงงั้นอ่ะ ผมจะทำกับแม่กุ้ง” พูรินว่ากลั้วหัวเราะ ยังคงไม่รับรู้ถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของอีกคน

“ผมอยากให้แม่กุ้งสบายสักที แม่กุ้งเหนื่อยมาเยอะแล้ว” พูรินที่ตอนนี้เก็บของเสร็จเรียบร้อย เดินเอาถุงทั้งหมดไปเรียงริมกำแพง ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว “เมื่อคืนผมสัญญากับแม่กุ้งไว้แล้ว ว่าเมื่อไหร่ที่พี่แทนจะไปอเมริกา ผมจะเป็นคนดูแลแม่เอง”

“ห๊ะ มึงว่าไงนะ มึงบอกแม่กูหรอว่ากูจะไป”

“อืม ผมบอกเมื่อคืนอ่ะ”

“ถ้ามึงจะพูดเรื่องของกู มึงก็ควรขออนุญาตกูก่อนไหม”

จู่ๆ น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาของอีกคน ทำให้พูรินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาหันไปมองหน้าคนที่ทำตาแข็งจ้องมองมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกหน้าชายังไงไม่รู้

“เอ่อ..คือ.. พี่แทน...ผม..”

“กูเคยขอให้มึงบอกหรอ” เหมือนคนที่โกรธสะสมจะสามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมให้ตัวเองในการโกรธคนตรงหน้าได้ในที่สุด ที่จริงเขาเองก็เคยคิดไว้เหมือนกัน ว่าถ้าเขาไปจริงๆ เขาจะขอให้มันช่วยมาเล่นกับแม่เขาบ้าง แค่เพียงตอนนี้ความโมโหที่มีมากกว่า มันพาให้เขานึกอยากพูดอะไรให้อีกคนช้ำใจเหมือนที่เขากำลังเป็นบ้าง

“พี่แทน ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าแม่กุ้งยังไม่รู้นี่น่า ผมก็แค่อยากให้แม่กุ้งสบายใจเฉยๆ”

“...”

“อ๋อ ผมรู้แล้วว่าที่พี่ลังเล เพราะพี่กังวลที่จะปล่อยแม่กุ้งไว้ที่นี่คนเดียวใช่ไหม ผมช่วยดูแม่กุ้งให้ได้นะ พี่ไม่ต้องกังวลเลย เนี่ยพอทำร้านด้วยกัน แม่กุ้งก็จะได้ยุ่งๆ ไม่มีเวลาเหงา แปปเดียวพี่ก็กลับมาแล้ว”

“มันก็เรื่องของกูไหมหมีพูห์” คนที่พยายามพูดอธิบายชะงักเมื่อแทนคุณพูดเสียงดังขึ้นเหมือนตะคอก

“กูเคยขอให้มึงช่วยหรือไง”

“...”

“จะบอกหรือไม่บอก จะอยู่กันได้หรือไม่ได้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมึงเลยสักนิด”

“...”

“แล้วถ้ามึงมีใครที่มึงอยากทำร้านด้วย มึงก็ไปทำกับเขา ไม่ต้องมาปฎิเสธเพราะสงสารพวกกู”

พูรินยืนนิ่งทบทวนสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เขาเพิ่งรู้ว่าคำพูดของใครบางคนมีอิทธิฤทธิ์ทำลายล้างได้มากมายเพียงนี้ ในชีวิตของพูริน เขามีคนสำคัญที่สุดเพียงไม่กี่คน เขาก็เพียงแค่อยากจะดูแลสิ่งที่เขารักให้ดีที่สุดแค่นั้น ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรเลย แต่มันกลับกลายเป็นว่า สิ่งที่เขาพยายามทำเพราะคิดว่ามันดี กลับทำให้ใครอีกคนรู้สึกอึดอัดใจ

“ผม..ผมขอโทษ..ผมแค่คิดว่าแม่กุ้ง คิดว่าพี่แทน เป็นคนสำคัญของผม..ผมก็เลยอยากช่วย..ผมแค่หวังดี”

เหมือนพอได้ระเบิดอารมณ์ไป ใครอีกคนก็หัวเย็นลง เมื่อได้ยินเสียงสั่นไหวของรุ่นน้อง เจ้าตัวก็หันหน้าไปมองคนที่ตอนนี้ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาปอยๆ

“หมีพูห์คือกู...”

“แต่พี่พูดถูก..ผมมันเสือกเอง ผมเข้ามายุ่งเอง ในทุกเรื่อง ผมขอโทษนะพี่แทน..ขอโทษจริงๆ ” พูรินรีบคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองมาถือไว้

“ผมจัดการพัสดุเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็แค่ต้องรบกวนพี่ช่วยเอาไปส่ง ผมกลับล่ะ ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ”

พูรินพูดรัวๆ แม้แต่ในเวลาแบบนี้เด็กดีก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้อีกคนเป็นการกล่าวลา เขารีบหันหลังวิ่งออกมาทันทีแม้จะมีเสียงเรียกชื่อรั้งไว้

เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเขา เพราะการที่คนตรงหน้าเป็นคนสำคัญลำดับต้นๆ ในชีวิตของเขา มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นสิ่งเดียวกันในชีวิตของอีกฝ่าย พี่แทนพูดถูกทุกอย่าง ไม่มีใครเคยขอร้อง ขอความช่วยเหลือจากเขาเลยสักคน มีแต่เขาที่เข้ามายุ่งวุ่นวาย ยกคำว่าหวังดีมาเป็นข้ออ้างในการไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น

“ฮึก”

เรื่องที่จะไปอเมริกา พี่แทนเองก็ไม่เคยปริปากเล่าให้เขาฟังเลยสักครั้ง เขายังจำวันที่พี่นิ้งถามแล้วพี่แทนบ่ายเบี่ยง พี่แทนไม่ได้อยากให้เขารู้ พี่เขาแค่อยากเล่าให้คนสำคัญฟังเท่านั้น

พูรินขึ้นมานั่งบนแท็กซี่ พยายามปัดป่ายน้ำตาที่ร่วงไหลไม่หยุดไปมา เขาไม่อยากร้องไห้อีกต่อไปแล้ว

เพราะต่อจากนี้...

ในทุกครั้งที่ร้องไห้ มันจะไม่มีอ้อมกอดที่แสนคุ้นเคยมาคอยคุ้มกันเขาอีกต่อไป....



****************

#หมีแทนที่รัก

เคยบอกไปแล้วหลายครั้งว่าหมีพูห์มันเป็นคนเยอะ แถมมันยังเป็นคนซื่อ หนึ่งคือเห็นได้จากที่น้องมันไม่รู้จริงๆว่าโดนคุณณัติจีบ แล้วนอกจากนั้นคือมันทุ่มเทอะ รักมาก เสียใจมาก คิดเองเก่งมาก เพราะว่าดูแต่การ์ตูนมาตลอด โลกของน้องมันจะมีแค่สีขาวกับสีดำ คือคิดว่าดีก็ทำให้ โดยที่บางทีมันก็ลืมความพอดีไปบ้าง

ตั้งแต่เขียนนิยายมา หมีพูห์เป็นตัวละครที่มีนิสัยเหมือนเราตอนเด็กๆมากที่สุด คนที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกให้เป็นไปในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี ปัญหาคือ เราเปลี่ยนโลกไม่ได้ และ สิ่งที่เราเคยคิดว่าดีว่าดีที่สุดสำหรับเรา ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่นเสมอไป ดังนั้นคนประเภทนี้ก็จะค่อนข้างพบกับความผิดหวังบ่อยๆ เพราะมีความคาดหวังกับทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา

แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ น้องจะโตขึ้น

เหมือนเราทุกคนที่เจ็บ ที่เรียนรู้ และในที่สุดก็เข้าใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่แท๊นนนนนนน กดโกรธๆๆๆๆๆๆ
น้องร้องแล้วนะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้โห โมโหอ่ะ ถ้ารู้ว่าอารมณ์ร้อนแล้วเป็นแบบนี้ก็เงียบเถอะ
น้องเด็กกว่ายังไม่งี่เง่าขนาดนายเลยอ่ะแทนคุณ
งงมาก ทำไมต้องพาลมาพูดทำร้ายจิตใจขนาดนี้
 :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ยังไม่บอกรักเขา ดันมาหึงมานอย ไม่เป็นผู้ใหญ่ซะเลยแทน
สงสารหมูพีเลย

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
.:น้ำผึ้งหยดที่สิบ:.

A day spent with you is my favorite day. So today is my new favorite day.

.

.

วันที่ได้อยู่กับคุณคือวันโปรดของฉัน ดังนั้นวันนี้มันจึงเป็นวันที่ฉันโปรดปรานที่สุด

















“เฮ้ออออ”

พูรินพรูลมหายใจออกอย่างเหนื่อยอ่อน ซบแก้มลงบนแขนเรียวที่วางพาดยาวอยู่บนโต๊ะไม้ในห้องสมุดของมหา’ลัย ตากลมไล่มองหนังสือที่กองซ้อนกันอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาวๆซ้ำอีกครั้ง เขาสงสัยเหลือเกินว่า ทำยังไงถึงจะสามารถยัดทุกอย่างเข้าไปในหัวให้ทันวันสอบที่จะมาถึงอาทิตย์หน้าได้

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ตั้งใจอ่านหนังสือนะ อาทิตย์นี้เขาอ่านมันทุกวัน แต่แค่มันไม่เข้าหัวเลยสักนิดต่างหาก

ตั้งแต่เปิดเทอมแรกของปีสามมา ชีวิตของพูรินแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีคำว่าวันว่างเลยด้วยซ้ำ เขาจำไม่ได้เลยจริงๆ ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีเวลาย้อนกลับไปดูการ์ตูนเรื่องเก่าๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่เคยชอบทำเป็นประจำเมื่อก่อน

เพราะเวลาที่ว่างหลังเลิกเรียน ส่วนหนึ่งเขาใช้มันเพื่อทบทวนบทเรียนและเตรียมการเรียนการสอนที่โรงเรียนอนุบาล ส่วนเวลาที่เหลือถ้าเขาไม่ใช้มันสอนภาษาอังกฤษพี่แทน เขาก็จะไปขลุกอยู่กับแม่กุ้งให้แม่ช่วยสอนเขาเย็บผ้า ขนาดแม่กับพ่อที่ไม่ค่อยอยู่บ้านให้เขาบ่นคิดถึง ตอนนี้ทั้งสองกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าหาตัวเขาไม่ค่อยเจอ

ตอนนี้พ่อกับแม่เขาหย่าขาดกันเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับชีวิตประจำวันของเขามันไม่มีผลกระทบอะไรเลยสักนิดแบบที่แม่เคยบอก ด้วยความที่ทั้งคู่ก็ต่างเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองเลยตกลงกันว่าจะยกบ้านหลังนี้เป็นชื่อเขา อาจจะแยกกันคนละห้อง แต่ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มาได้ทุกเมื่อเมื่ออยากมาเจอเขา ถึงจะยากไปสักหน่อย แต่เขาว่าเขาก็เริ่มทำใจได้มากขึ้นแล้วจริงๆ

ถึงช่วงหนึ่งเทอมที่ผ่านมาจะวุ่นๆอยู่ตลอด แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งช่วงชีวิตที่เขาใช้เวลาในแต่ละวินาทีได้คุ้มค่าที่สุด ถึงแม้จะเหนื่อยไปบ้าง แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้ทั้งความสุขและทุกข์ จนเขาคิดว่าเขาคงจะไม่สามารถลืมมันได้เลยตลอดทั้งชีวิต

แต่มันก็คงไม่มีอีกแล้ว..

ตั้งแต่วันที่พี่แทนโกรธ เขาก็มานั่งคิดพิจารณากับเรื่องที่ทำให้เราทะเลาะกัน เขายอมรับว่าวันนั้นทั้งกลัวทั้งตกใจ ถึงจะรู้ว่าพี่แทนปากร้าย แต่จริงๆ แล้วพี่แทนไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพูดจาทำร้ายจิตใจกันแบบนั้น เขาคงทำให้พี่แทนโกรธและเกลียดเขาไปแล้วจริงๆ

แม่กุ้ง...

เขาคิดถึงแม่กุ้ง~

อย่างจำใจ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจปิดร้านออนไลน์ที่เปิดให้แม่กุ้งเป็นการชั่วคราว พอมาคิดดู จริงๆ ที่ช่วงหลังแม่กุ้งทำงานจนหามรุ่งหามค่ำส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะเขา ถ้าเขาไม่รับงานมาให้แม่เพิ่ม แม่คงไม่ต้องมาลำบากลำบนอะไรแบบนี้ เขาโทรไปบอกแม่แล้วว่ามันเป็นช่วงใกล้สอบ เขาคงไม่มีเวลาได้ดูร้านให้ และคงไม่ได้ไปช่วยติวหนังสือให้พี่แทนอีกแล้ว แม่กุ้งไม่ว่าอะไรเลยสักคำ แถมยังบอกว่าถ้าเขาว่างๆ ให้ไปหาแม่บ้าง อย่าปล่อยให้แม่คิดถึงนาน

พูรินหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบ กดเปิดแอปฟังเพลงในโทรศัพท์ เลือกธีมเพลงดิสนีย์ที่เขาเป็นคนจัดไว้ กดเล่นเพลงแบบแรนดอมก่อนที่จะปิดเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขอตัวเองลง เขาขอพักสักหน่อย ขอแค่สักครึ่งชั่วโมงก็พอ เขาอยากหลุดลอยเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ที่เขาชื่นชอบที่สุดโดยไม่คิดเรื่องอื่น มันเป็นวิธีที่เขาใช้บ่อยๆ มันเคยได้ผลเสมอเวลาเขามีเรื่องทุกข์ใจ

‘You've got a friend in me...’

เมื่อท้วงทำนองที่คาดไม่ถึงลอดผ่านหูฟังออกมา เขาก็ได้แต่หัวเราะหึในลำคอ ปลายจมูกร้อนผ่าว น้ำใสชื้นเอ่อล้นตากลมที่ยังปิดสนิท

ในยามที่พยายามจะไม่คิดถึงใครบางคน ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้กลับพยายามช่วยกันส่งสัญญาณความมีตัวตนของใครคนนั้นให้เด่นชัดขึ้นทุกครั้ง

พี่แทนไม่ได้ติดต่อเขามาอีกเลย และเขาก็ไม่คิดจะติดต่อพี่แทนไปอีกแล้ว ไม่อยากโดนรำคาญ ไม่อยากทำให้พี่เขาลำบากใจ เขาไม่อยากรับรู้เลยว่าถ้าเขาเผลอโผล่หน้าไปให้อีกฝ่ายเห็นอีก รอบนี้ไม่รู้ว่าเขาจะโดนคำพูดอะไรให้ช้ำใจมากกว่าเดิมอีกบ้าง

เขารู้หรอกนะว่าตัวเองก็มีส่วนผิด แต่ก็ยังขอยืนยัน ที่ทำไปทั้งหมดมันก็เพราะเขาหวังดีทั้งนั้น พี่แทนจะไม่เห็นเลยจริงๆหรอ ความดีของเขาน่ะ สักนิดก็ไม่เห็นเลยจริงๆหรอ

ตุ้บๆๆ ~

พูรินเอาหัวโขกกับพื้นโต๊ะซ้ำๆ อยากจะเคาะอีกคนให้หลุดออกไปจากหัวสมองให้มันรู้แล้วรู้รอด

เขาน่ะ

ไม่เข้าใจจริงๆ

ว่าตลอดเวลา 18 ปีก่อนหน้านี้ เขาใช้ชีวิตอยู่มาได้ยังไง

เพราะตอนนี้แค่หายใจยังรู้สึกว่ามันยากลำบากเหลือเกิน

ชีวิตที่ไม่มีพี่แทน...เขาเคยอยู่มาได้ยังไงกันนะ

แต่ละวันมันช่างผ่านไปอย่างว่างเปล่า เหมือนเวลา 24 ชั่วโมง มันเยอะเกินไปสำหรับหนึ่งวันยังไงไม่รู้

เขาอดคิดถึงวันพิเศษที่แสนธรรมดาของเขาไม่ได้

วันที่เขาชื่นชอบที่สุด วันที่มีพี่แทนอยู่ข้างๆ กัน

ป๊อก!

ม้วนกระดาษสีขาวกระทบลงบนกลุ่มผมนุ่มเบาๆ พูรินเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง เลื่อนปิดเพลงที่กำลังฟังในทันที ยันหลังขึ้นตรงส่งยิ้มอ้อนให้คนที่มาใหม่

“ไง”

“พี่ดิน คิดถึงจังเลย” ว่าแล้วก็โอบเอวสอบของพี่รหัสที่เดินมาประชิดแน่น เมื่อวานตอนที่กำลังสติแตกเพราะแม้จะพยายามอ่านหนังสือยังไงมันก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด จู่ๆ พี่รหัสสุดหล่อก็โทรมาหา พอเขาบอกว่าอ่านไม่ทัน พี่ดินก็อาสาจะมาติวให้ เขาบอกแล้วพี่ดินของเขาน่ะ เป็นพี่รหัสยอดเยี่ยมแห่งปีชัดๆ!

“ทำไมอยู่คนเดียว ไอ้พุทธกับไอ้ธงไปไหน”

คนมาใหม่เอ่ยถามพร้อมกับทรุดนั่งลงข้างกัน หยิบชีทที่เตรียมมาติวให้น้องจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“มันเล่นเกมส์กันอยู่ที่ห้องน่ะพี่ มันว่ามันอ่านกันจบแล้ว”

“แล้วรอบนี้เราทำไมอ่านไม่ทัน เป็นเพราะงานพิเศษหรือเปล่า”

เพราะหมีพูห์มันเป็นเด็กตั้งใจเรียนมาโดยตลอด บดินทร์จึงค่อนข้างแปลกใจที่น้องมันมาร้องว่าอ่านหนังสือไม่ทัน เขาเลยคิดเองเออเองว่าสาเหตุน่าจะมาจากที่มันไปเริ่มสอนที่โรงเรียนอนุบาลจนไม่มีเวลา

“หรือว่าเพราะไปติวให้ไอ้แทน ช่วงนี้บอกยกเลิกมันไปก่อนสิ ปิดเทอมค่อยติวกันต่อ”

“ก็..เปล่าพี่ ที่จริงก็มีเวลาแหละ แต่ผมไม่ค่อยมีสมาธิ มันเลยไม่ค่อยเข้าหัวน่ะครับ”

พูรินเอ่ยอธิบายเสียงเบา หลุบตาลงมองนิ้วมือที่พันกันมั่วของตัวเอง แค่ได้ยินชื่อพี่แทนในประโยค น้ำตาก็พลันจะร่วงลงมาอีกแล้ว แน่นอนว่าคนที่เป็นพี่รหัสเจ้าตัวมาสามปีสังเกตเห็นอาการของน้องรหัสคนสนิทได้ในทันที

“งั้นเราเป็นอะไร..” ก้มช้อนมองหน้าน้องรหัสที่วันนี้ดูจะเศร้าซึมผิดปกติ

“ยังเศร้าเรื่องพ่อกับแม่หรือไง”

ถึงจะไม่ค่อยได้แสดงออก แต่ใครๆก็รู้ว่าบดินทร์ทั้งรักทั้งห่วงน้องรหัสคนนี้เสมอ แล้วยิ่งพอเขาได้รู้เรื่องว่าพ่อกับแม่น้องหย่ากัน เขาก็ยิ่งห่วงน้องมันมากขึ้น พอเห็นว่าช่วงนี้มันเงียบหายไป เขาถึงได้ตัดสินใจโทรไปหามันเมื่อวาน และปรากฎว่ามันก็กำลังแย่อย่างที่เขาคิดจริงๆ

“ก็นิดหน่อยน่ะพี่ ผมยังไม่ค่อยชิน”

ที่จริงอย่างที่บอกเรื่องของพ่อกับแม่เขาปรับตัวได้เร็วกว่าที่คิด สาเหตุก็เพราะพี่แทนที่เข้ามาคอยอยู่เคียงข้างกัน แต่จะให้บอกพี่ดินได้ยังไง ว่าคนที่เคยทำให้เขาดีขึ้น เป็นสาเหตุของความซึมเศร้าของเขาในตอนนี้

“งั้นวันนี้ไปร้านไหม เดี๋ยวพี่ชวนพี่อินไปนั่งเป็นเพื่อนเรา ไปผ่อนคลายบ้าง แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาติวให้อีก”

“ไม่เป็นไรครับพี่ คือผม...ผมไม่อยากรบกวน..”

พูรินรีบส่ายหน้าปฎิเสธ เขาแสนจะซึ้งใจในความหวังดีของพี่ดิน แต่เขาก็รู้ว่าการสอบและงานของปีสี่มันหนักยิ่งกว่าพวกเขามาก จะให้กวนกันบ่อยๆก็คงไม่ดี

“กวนอะไร น้องพี่ทั้งคน ถ้าพี่ไม่ดูแลจะให้ใครดูแลว่ะ”

พี่ดินยกมือขึ้นมาลูบหัวเข้าอีกครั้ง ความร้อนที่ส่งผ่านจากกลุ่มผมถูกส่งตรงถึงหัวใจ มันทำให้เขาเผลอคิดถึงไออุ่นของใครอีกคน

“พี่ดิน ถ้าไม่กลัวพี่อินเข้าใจผิด ผมขอกอดทีนึงได้ไหม”

บดินทร์หัวเราะร่า อดขำไม่ได้กับคำถามของมัน เขารวบตัวน้องรหัสตัวดีเข้ามาในอ้อมกอด มันที่เคยวิ่งร้อยเมตรกระโดดกอดเขาหน้าคณะ วันนี้ดันมาทำท่าเกรงอกเกรงใจเหมือนคนเพิ่งรู้จักกัน

ขวับๆ

“ส่ายหน้าทำไมอ่ะเรา”

พรึ่บพรั่บๆ

“เลิกกระดุกกระดิกสักทีดิ”

“มันไม่ใช่อะพี่”

“หืม”

“มันไม่เหมือนกันเลยอ่ะ พี่ดิน”

“อะไรไม่เหมือนวะ”

“ขอโทษนะพี่ดิน”

“อะไรของเราอ่ะหมี”

เฮ้อ~

ถึงจะเป็นอ้อมกอดของพี่ชายสุดที่รัก

ถึงแม้มันจะสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายได้เหมือนกัน

แต่สำหรับหัวใจของเด็กงี่เง่าคนนี้แล้ว

มันไม่มีอ้อมกอดไหนมาแทนที่อกอุ่นที่เขาแสนคุ้นเคยได้เลย





















“เมาเหมือนหมา”

“ไอ้สัดต้น”

“อือฮือ บางทีก็อยากลืมว่าเป็นเพื่อนกัน”

ตั้งต้นที่เพิ่งลงมาจากเวทีหัวเราะร่าเมื่อโดนเพื่อนด่าต้อนรับ วันนี้เขาอุตส่าห์ชวนไอ้แทนมากินเหล้าด้วยกันที่ร้าน เพราะมันเป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะรับงานในเทอมนี้เพราะมันใกล้สอบแล้ว แต่คือที่ชวนมาก็ตั้งใจจะให้มันมานั่งสังสรรค์กันคลายเครียดไง แต่มองมาจากเวทีทีไรคือแม่งกระดกเอา กระดกเอา ไม่รู้ว่าไปตายอดตายยากมาจากไหน

“สัดดิน ดูเพื่อนมึงสิ” ตั้งต้นว่าเมื่อบดินทร์เดินมานั่งลงบนโซฟา เขาเหลือบมองคนที่ปกติก็หน้าดุอยู่แล้วแต่ตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่ามนุษย์หมาป่าวันพระจันทร์เต็มดวงซะอีก

“เป็นไรวะมึง”

“เปล่า..”

“คือหน้ามึงไม่เปล่าไงไอ้แทน”

“เออ ช่างกูเถอะ กูแค่อยากกินเหล้า”

เมื่อมันว่าอย่างนั้น เขาสองคนก็ได้แต่มองหน้ากัน ส่ายหน้าอย่างจำยอม คนปากหนักอย่างมันถ้าไม่อยากเล่า ให้ถามแทบตายแม่งก็เงียบใส่อยู่ดี

“ช่วงนี้แม่งเป็นไรกันหมดว่ะ”

บดินทร์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ หยิบแก้วใสกลางโต๊ะมาชงเหล้าให้ตัวเอง

“วันนี้กูไปเจอน้องกูมา มันแม่งก็หงอยเป็นหมาเหงา”

“ไอ้หมีอะนะ”

“อือ แล้วมึงได้เจอมันมั่งป่ะไอ้แทน เห็นว่ามันไม่ได้ไปสอนมึงแล้วนี่ ช่วงนี้มันอ่านหนังสือไม่ทัน”

“...”

“ไอ้แทน?”

เมื่อถามก็ไม่ตอบ เรียกก็ไม่หัน บดินทร์ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย มองหน้าตั้งต้นสลับไปกับคนที่กระดกเหล้าหมดปุ๊บก็ตั้งหน้าตั้งตาชงแก้วใหม่ให้ตัวเองปั๊บ จนทำให้คนที่ตอนแรกรู้สึกเอะใจอยู่นิดๆ เริ่มมั่นใจขึ้นมาในทันที

“ไอ้ห่า คือมึงสองคนทะเลาะกัน?”

“สัดแทน พอๆๆ เชี่ยเดี๋ยวน๊อคหรอกมึง” ตั้งต้นรีบกระชากแก้วในมือมันออก คนที่โดนแย่งแก้วออกจากมือทำท่าทางฉุนเฉียว กระแทกแผ่นหลังลงบนโซฟานุ่มเสียงดัง เอาสองแขนพาดกอดอกแน่น

“กูก็ว่าแล้ว วันนี้เห็นมันจะฝากเงินค่าขายชุดให้แม่มึง แล้วพอกูบอกว่าเดี๋ยวฝากให้มึง มันก็อึกอัก บอกเดี๋ยวเอาไปให้แม่มึงเอง ถามกูอยู่นั่นว่าพรุ่งนี้พวกเรามีเรียนกันถึงกี่โมง อะไรยังไง”

“...”

“คือสรุปมันหลบหน้ามึงว่างั้น”

“...”

“เห้ย หรือมึงสารภาพไปแล้วว่ะ หรือว่าน้องมันไม่โอเคหรอมึง”

ตั้งต้นลองคาดเดาสถานการณ์ ถึงแม้เมื่อก่อนหมีพูห์มันอาจจะไม่ชอบหน้าเพื่อนเขาสักเท่าไหร่ แต่ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เขาเห็นมันสองคนตัวติดกันอย่างกับอะไร เขาถึงรู้สึกแปลกใจมากถ้าหมีพูห์มันจะปฏิเสธเพื่อนเขา

“เปล่า...”

“อ้าว แล้วมึงมีปัญหาอะไรกันว่ะ น้องมันดูไม่โอเคเลยนะ ตอนแรกกูนึกว่าเป็นเพราะเรื่องที่บ้านมันซะอีก”

“....”

“ไอ้ห่าแทน..” บดินทร์ขยับตัวเข้าไปนั่งข้างคนที่ได้ตานั่งนิ่ง สองคิ้วขมวดเข้าหาเหมือนคนกำลังคิดหนัก

“น้องมัน..มันดูแย่มากเลยหรอว่ะ” คนที่ปากหนักแต่ก็ยังอดห่วงอีกคนไม่ได้พึมพำถามออกมา

“เออ กูว่าแม่งน้ำหนักลดไปห้าโลได้มั้ง ตาโหลเลย แล้วแม่งกูสอนอะไรก็ไม่เข้าหัว นั่งเหม่อตลอด ไม่รู้มันจะอ่านหนังสือทันไหม ถ้าไม่ผ่านตัวนี้ไอ้หมีสี่ปีไม่จบแน่”

บดินทร์หันไปขยิบตาให้ตั้งต้นที่พยายามกลั้นขำกับคำพูดเว่อร์ๆของเขา ไอ้แทนมันคนปากแข็ง คนอย่างมันต้องคอยไซโคหนักๆ ไม่งั้นไม่ยอมขยับทำอะไรสักอย่าง

“คือกู..คือ..” แทนคุณลังเล “กูแม่งเหี้ยใส่น้องว่ะมึง”

“ไอ้สัด มึงอย่าบอกว่ามึงปล้ำน้องกู”

“เฮ้ย เปล่ามึงฟังกูก่อนสิว่ะ” เขารีบยกมือขึ้นห้ามไอ้ดินที่ตอนนี้กระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาอย่างโมโหสุดขีด

“ที่บอกว่าเหี้ย คือกูพูดจาเหี้ยๆ กับน้องมึงไอ้สัด กูก็ไม่ได้เลวขนาดนั้นไหม”

เขาว่าต่อ ก่อนจะเริ่มเอ่ยเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง ตั้งแต่ที่เขาตั้งใจจะหาโอกาสสารภาพรักน้อง แต่วันที่ชวนน้องมันไปดูหนัง หมีพูห์มันดันเอาไอ้พุทธโธมาด้วย แล้วพอจะพยายามรอบสอง ก็ดันมีเรื่องของไอ้ผู้ปกครองนั่นเข้ามาอีก พอกำลังโมโหจนหัวร้อนก็มีเรื่องที่น้องไปบอกแม่เขาว่าจะไปอเมริกา รวมๆกันไปมาเขาก็เลยเผลอพูดทำร้ายจิตใจน้องมันไปแล้ว

“...”

ตั้งต้นกับบดินทร์นิ่งฟังคนพูดน้อยที่เอ่ยเล่ายืดยาว พอมันเล่าจบ ตั้งต้นตัดสินใจยื่นแก้วเหล้าที่ยึดมาคืนให้มันยกกระดกรวดเดียวจนหมด

“สรุปคือมึงประชดไอ้หมีมัน?” บดินทร์เลิกคิ้วถามคนที่นั่งหน้างองุ้ม สายตามองเหม่อไปข้างหน้า แววตาของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“กูละเกลียดเหลือเกินไอ้พวกชอบประชดประชัน ไม่ยอมพูดยอมจากันตรงๆ”

“ไอ้ห่า คนทั้งโลกสามารถเตือนกูด้วยคำนี้ได้ แต่ต้องไม่ใช่มึง”

แทนคุณด่าให้ตั้งต้นหัวเราะร่า โดนคนเคยรักไม่เป็นอย่างมันมาสั่งสอนแบบนี้ เขาว่าเขาควรตายแล้วไปเกิดใหม่ดีกว่า

“แต่มึงหึงไงแทน หึงแบบไม่มีสิทธิ์ หึงแบบเขาไม่รู้ว่าหึง หึงแบบด่าไปอีกเรื่อง หึงแบบเหมือนเกลียดกัน หึงแบบทำให้เขานึกว่ามึงโกรธเพราะไปเสือกเรื่องของมึง” ตั้งต้นร่ายยาว เรื่องแบบนี้เขารู้ดีที่สุด ประสบการณ์ตรงทั้งนั้น

“...”

“แล้วคือทำไมมึงต้องฉุนเบอร์นั้นด้วยวะ แค่มันบอกแม่มึงเรื่องจะไปอเมริกา ดีซะอีก แม่มึงจะได้มีลูกสะใภ้ดูแล เวลามึงไม่อยู่ เออๆ กูไม่เล่นล่ะ ไอ้ห่า หมัดมึงหนัก กูไม่สู้” ตั้งต้นรีบพูดประโยคสุดท้ายอย่างรวดเร็วเมื่อโดนไอ้แทนมองมาตาเขียวปั๊ด

“...”

“เอาจริงๆนะ กี่ปีแล้วมึง มึงยังกังวลอะไรวะไอ้แทน บอกน้องมันไปตรงๆเลยไม่ได้หรือไง” บดินทร์เอ่ยถามบ้าง เขาแสนจะเหนื่อยใจกับพวกมันสองคน คนนึงก็เพื่อน คนนึงก็น้อง นิสัยไม่เหมือนกันสักนิดแต่ดันปากแข็งเหมือนกันเด๊ะ

“...”

“กูจน”

“ห๊ะ” บดินทร์ถามย้ำเมื่อได้ยินคำที่ไม่คาดคิดจากปากเพื่อน

“กูบอกว่ากูจนไง”

“แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรว่ะ”

“ไม่เกี่ยวได้ยังไง มึงไม่เห็นหรอ คือกูไม่มีเหี้ยอะไรเลยสักอย่าง แล้วมึงดูบ้านน้องมัน”

“โอ๊ยย ไอ้สัดแทน กูไม่เกท”

“เวลาเขามาอยู่กับกู กูต้องเห็นเขานั่งตากพัดลม นั่งมอเตอร์ไซค์ดมควันจนหัวเหม็น เห็นมันมานั่งช่วยแม่กูเย็บผ้า คือมึงเข้าใจไหม กูทำให้มันต้องลำบาก”

ถึงเขาจะพยายามไม่คิดเรื่องพวกนี้ แต่ในทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เขาก็อดที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับน้องมันไม่ได้ หมีพูห์มันเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง ถึงจะบอกว่ารักน้องมันยังไง แต่เขาก็รู้ว่าคนอย่างเขามันไม่เหมาะกับน้องเลยสักนิด แล้วยิ่งมาเห็นคู่แข่งที่ดีกว่าเขาหลายขุม มันเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากพาลเป็นหมาบ้าพูดจาทำร้ายจิตใจน้องมันแบบนั้น

“แล้วถ้าน้องมันไม่ได้แคร์ล่ะว่ะ เหมือนที่พวกกูก็ไม่ได้แคร์ ไม่ได้คบกับมึงเพราะมึงจนหรือรวย”

“มันไม่เหมือนกันไงไอ้ดิน”

“มันจะไม่เหมือนกันได้ยังไง”

“กูดูแลเขาไม่ได้ มึงเข้าใจไหมคนอย่างกู กูไม่มีอะไรเลย”

“ไอ้แทนกูว่ามึงคิดไปไกลเกินล่ะ”

“กูต้องคิดไกลไงมึง น้องมันพูดถึงเรื่องลงทุนทำร้านในขณะที่กูเป็นแค่นักศึกษากู้เงินเรียน มึงว่ากูจะเอาอะไรไปดูแลเขา”

“...”

“สัด กูงง จู่ๆนิยายรักวัยรุ่นของกูกลายเป็นนิยายดอกฟ้ากับหมาวัดได้ไงว่ะ”

“ไอ้ต้นมึงหยุดเล่นก่อน” บดินทร์กล่าวเตือน ทำตาขวางใส่เพื่อนสนิทที่ยังทำพูดเป็นเล่น

“ก็มันใช่เรื่องไหมว่ะ แล้วคือที่กูฟังมา คือมึงบอกว่ามึงไม่เหมาะกับมัน แล้วไงคือมึงจะยอมให้น้องไปคบกับคนอื่นที่เหมาะสมกว่าหรือไง”

“...”

“คือมึงก็ไม่ยอมไงแทน เพราะถ้ามึงยอมจริง มึงก็ต้องเงียบไปแล้ว ที่ไปด่าให้มันช้ำใจแบบนั้นก็เพราะอยากแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไม่ใช่หรอ ไอ้ห่า จะไปทางไหนก็เอาให้สุดสักทางสิว่ะ มึงไม่สงสารน้องมันหรือไง”

“...”

“แล้วไอ้แทนคือมึงก็ไม่ได้จะไปเกาะเขากินไหม แล้วคือมึงก็ยังเด็ก ยังเรียนไม่จบ ถ้ามึงจะยังไม่มีอนาคตมันก็เรื่องปกติไหม”

“...”

“แล้วคือไอ้หมีมันก็รู้ไหมว่ามึงเป็นยังไง ถ้ามันจะชอบมึงมันก็ชอบที่มึงเป็นมึงไง ไม่ใช่ว่าบ้านมึงจนหรือรวย แล้วถ้ามึงจะบอกว่าคนอย่างมึงที่รวยล้นฟ้าจะมาเข้าใจคนจนอย่างกูได้ยังไงล่ะก็ กูขอบอกมึงไว้ตรงนี้เลยว่า ชีวิตกูมันเหี้ยกว่าที่พวกมึงคิดเยอะ คนรวยๆอย่างกู เวลาที่มีคนเข้ามาในชีวิตคือกูต้องคิดแล้วคิดอีกว่าแม่งมาหากูเพราะอะไร แล้วแม่งร้อยละเก้าสิบก็เพื่อเงินพ่อเงินแม่กูทั้งนั้น”

“...”

”แล้วมึงแม่งจะทำเรื่องง่ายๆให้ยุ่งยากเพื่อ?”

แทนคุณที่นั่งฟังเพื่อนเทศนานั่งนิ่งอึ้ง หนึ่งคือเขาอึ้งไปกับคำพูดของเพื่อนที่ตรงจนกระแทกใจเข้ามาเต็มๆทุกคำ

“ไอ้ดินคือกูอาย...” เขาว่าขึ้นเอาสองมือลูบหน้าให้บดินทร์ที่นั่งขำให้กับความจริงจังเกินนิสัยของไอ้ต้นตบไหล่ปลอบ

“รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

สองคือเขาต้องเหี้ยเบอร์ไหนอ่ะ ถึงได้โดนคนอย่างมันมานั่งสั่งสอนแบบนี้!

















“แม่กุ้งงงง”

ทันทีที่ประตูไม้หน้าบ้านเปิดออก พูรินก็วิ่งเข้าไปสวมกอดคนที่เขาแสนคิดถึง วันนี้เขาตัดสินใจมาหาแม่กุ้ง เหตุผลหลักๆคือเพราะต้องเอาเงินค่าชุดที่ทางโรงเรียนสั่งตัดมาให้แม่ แล้วเหตุผลอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือวันสุดท้ายที่มาที่นี่ เขาวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่ได้บอกลาแม่ดีๆ ครั้งนี้เขาจึงอยากมาร่ำลากันให้ถูกกิจจะลักษณะ เพราะไม่รู้จริงๆว่าจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกเมื่อไหร่

เมื่อวานเขาลอบถามพี่ดินแล้ว วันนี้พวกพี่ดินมีเรียนตอนบ่ายถึงเย็น และนอกจากนั้นยังมีประชุมโปรเจกต์จบเกือบสองทุ่มอีกด้วย เขายังพอมีเวลา

“ผมคิดถึงแม่กุ้งจังเลย แบบมากๆๆ มากๆ จริงๆ” หญิงวัยกลางคนหัวเราะร่วน เธอแสนจะคิดถึงท่าทางน่ารักๆ ของเด็กขี้อ้อนคนนี้เหลือเกิน

“ถ้าคิดถึงอย่างที่พูดจริง งั้นวันนี้น้องหมีพูห์ต้องอยู่กินข้าวกับแม่นะครับ เดี๋ยวแม่ทำยำปลากระป๋องที่เราชอบให้กิน”

“แฮะๆ ถึงแม่ไม่ชวนผมก็ตั้งใจจะอยู่กินด้วยอยู่แล้วครับ ผมซื้อกับข้าวมาหลายถุงเลย”

พูรินชูถุงกับข้าวในมือให้อีกฝ่ายดู เขาแวะซื้อมันตรงท่ารถสองแถวหน้ามหา’ลัย ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงเย็น พวกเขาสองคนนั่งกินข้าวเย็นที่เร็วกว่าเวลาปกติด้วยกันในห้องอาหาร วันนี้เขาตั้งใจจะมาช่วยงานแม่เล็กๆน้อยๆแล้วค่อยกลับบ้าน

งานของแม่กุ้งตอนนี้ไม่ได้เยอะเหมือนช่วงที่ผ่านมา ชุดที่โรงเรียนเขาสั่ง พี่แทนก็เป็นคนเอาไปส่งให้ครูจันทร์เรียบร้อยแล้ว พอได้คุยกันอีกครั้ง เขาถึงได้รู้ว่า ช่วงปิดเทอมแบบนี้งานของแม่ลดลงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว เขาเลยสัญญากับแม่ว่า พอหมดช่วงสอบเมื่อไหร่ เขาจะเปิดร้านขายออนไลน์ให้แม่อีกครั้ง อย่างน้อยมันก็จะได้เป็นรายได้เสริมอีกทางของแม่

พูรินชอบการนั่งเย็บกระดุมที่สุด เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ได้ทำงานและพูดคุยกับแม่กุ้งไปด้วย แม่กุ้งเป็นคนคุยสนุก แม่มักจะยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้เขาฟังจนเพลินลืมเวลาเสมอ กับคนที่ชีวิตนี้เคยแต่สนใจแค่เรื่องการ์ตูนอย่างเขา ทุกเรื่องที่แสนธรรมดาที่แม่เล่ามันจึงดูมหัศจรรย์จนเขาอดตั้งใจฟังเกินเหตุทุกทีไม่ได้

“แล้ววันหลังแม่จะสอนเราทำกาวแป้งเปียก”

วันนี้แม่กุ้งเอ่ยเล่าให้ฟังถึงเมื่อสมัยก่อน ตอนที่ขัดสนมากๆ ใครจ้างให้ทำอะไรก็ทำไปเสียหมดทุกอย่าง แล้วก็มีน้าข้างบ้านที่เป็นแม่ค้าร้านขายกล้วยทอดมาจ้างให้พับถุงกระดาษแบบชั่งกิโลขาย ตอนนั้นด้วยความที่ตั้งใจจะลดต้นทุน แม่เลยตัดสินใจทำกาวขึ้นมาใช้เอง

“แม่กุ้งนี่สุดยอดไปเลย มีอะไรที่แม่ทำไม่ได้บ้างเนี้ย” พูรินเอ่ยชื่นชมจากใจ เขาอยากให้รางวัลหญิงแกร่งแห่งปีกับแม่กุ้งชะมัด

“แม่ก็ทำไม่เป็นหรอกตอนนั้น ไม่รู้ก็แค่ถามคนที่รู้ก็เท่านั้น จำไว้นะลูก คนเราต้องไม่อายทำกิน ขยันเข้าไว้ ยังไงเราก็ไม่อดตาย”

“ครับแม่กุ้ง ผมจะจำไว้”

“เออ ว่าแต่ แล้วตกลงเรื่องร้านเรายังคิดจะทำอยู่ใช่ไหม”

“เอ่อ.. คือ...ที่จริง..” พูรินได้แต่อึกอักเมื่อโดนถาม มันก็ใช่ที่เขายังอยากทำ แต่ว่าที่อยากมากกว่าคืออยากทำร่วมกับแม่กุ้งต่างหาก

“แม่คุยกับพี่เขาแล้วนะ ถ้าเราอยากทำกับแม่จริงๆ แม่ก็อยากลองสักตั้งเหมือนกัน”

“จริงหรอครับ!!” พูรินถามซ้ำอย่างตื่นเต้น

“แต่มีข้อแม้นะ” แม่กุ้งเอ่ยเสียงเข้ม

“แม่ขอออกครึ่งนึง”

“โธ่ แม่กุ้ง! แต่ผมไม่อยากรบกว..”

“แม่กูพูดถูกแล้ว”

ไม่ทันได้พูดจนจบประโยค ก็มีเสียงอีกเสียงนึงแทรกขึ้นมาจากฝั่งประตูห้อง พูรินตัวนิ่งชา เขาไม่ได้หันไปมองคนมาใหม่ จนกระทั่งอีกคนมานั่งอยู่ตรงข้ามประชันหน้ากัน เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกมือไหว้ กล่าวทักทาย

“พี่แทน สวัสดีครับ”

“ถ้าจะทำด้วยกัน ก็ต้องออกกันคนล่ะครึ่งถึงจะถูก”

อีกคนไม่ได้กล่าวรับไหว้ แต่พูดไปอีกเรื่องที่เขาคุยค้างไว้ พูรินไม่ได้ต่อปากต่อคำ ถึงจะอยากบอกแม่ว่าไม่เป็นไร แต่ต่อหน้าพี่แทน เขาไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น

“งั้นน้องหมีพูห์ลองไปคุยกับคุณพ่อดูนะครับ ถ้าตกลงกันได้ รอให้พวกเราปิดเทอมกันก่อนแล้วค่อยมาคุยกันอีกทีนะลูก”

พูรินพยักหน้ารับ เขาขอตัวกลับบ้านเพราะอ้างว่าต้องอ่านหนังสืออีกเยอะ แม่กุ้งไม่ได้ว่าอะไรแค่บอกว่าว่างๆให้มาหาแม่ใหม่

“มึงขึ้นไปบนห้องกับกูหน่อยได้ไหม”

ตอนที่กำลังจะเดินออกจากบ้าน เสียงทุ้มของคนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าที่สุดก็ดังขึ้นให้ต้องชะงักเท้า เขาหันไปมองหน้าอีกฝ่าย เลิกคิ้วเป็นการถามว่าจะให้เขาขึ้นไปทำไม

“หนังสือมึง..คือกูเก็บหนังสือมึงใส่ถุงไว้ให้แล้ว”

ทันทีที่ได้ยิน พูรินก็อดที่จะมองค้อนอีกฝ่ายไม่ได้ นี่พี่แกคือกะจะไม่ให้เขามาอีกเลยใช่ไหม ความน้อยใจปนโมโหพุ่งพล่านจนเขาตัวสั่น ได้แต่เม้มปากแน่นเดินนำขึ้นชั้นสองของบ้านไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ

ปัง!

เมื่อเขาก้าวเขามาในห้อง พี่แทนก็ปิดประตูตามหลังจนเขาต้องหันหน้าไปสบตาอย่างงงงวย

“ไหนล่ะครับหนังสือ” ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา เมื่อเห็นอีกคนไม่มีทีท่าจะหยิบหนังสือมาให้

“...”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมากวนอะไร แค่เอาเงินค่าชุดมาให้แม่กุ้ง แล้วผมคิดว่าพี่จะกลับดึก” อยู่ๆเขาก็เอ่ยอธิบาย ไม่อยากให้อีกคนคิดว่าเขามายุ่งวุ่นวายอะไรอีก

“กูไม่ได้อยู่กลุ่มโปรเจ็กค์เดียวกับไอ้ดิน” คนที่โดนจับได้ว่าไปสืบเวลากลับบ้านของอีกคนเม้มปากแน่น หน้าชาขึ้นมาทันที

“อืม ผมเข้าใจแล้ว ผมขอโทษแล้วกันที่ไปถามพี่ดิน ผมแค่คิดว่าพี่คงไม่อยากเจอผม” พอยิ่งพูดน้ำตาเจ้ากรรมก็ทำท่าจะไหลออกมาอีกแล้ว

“ไหนหนังสือล่ะครับ” เขาเอ่ยถามซ้ำ

“...”

“งั้นพี่ค่อยฝากพี่ดินไปคืนผมวันหลังก็ได้ ผมขอตัวก่อนนะครับ” เมื่ออีกคนไม่ยอมว่าอะไรสักที เขาเลยเอ่ยออกไปรัวๆ ยกมือไหว้ ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเดินไปที่ประตูทางออกโดยไม่คิดจะมองหน้าคนร่างหนา

หมับ!

“เดี๋ยว”

แรงกระชากเบาๆที่ข้อมือไม่ทำให้เขาตกใจเท่าเสียงทุ้มหนา เมื่อเขาหันกลับไปก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม เมื่อเห็นคนที่ยังทำหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาไหววูบ แฝงไว้ด้วยหลายความรู้สึกหลากหลาย

“พะ..พี่แทน..”

“ฟังกูก่อน...” พูรินกลืนก้อนน้ำลายฝืดลงคออย่างยากลำบาก เขารับรู้ได้ถึงความไม่มั่นใจในน้ำเสียงทุ้มนุ่มของใครอีกคน



“ช่วยฟังที่พี่พูดก่อนได้ไหม...”





******

#หมีแทนที่รัก

อ้ายยย ยาวอ่ะ 5555 จบไม่ลง อีพี่แท๊นนนน











ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฟังเเล้ว ช่วยพูดให้มันชัดๆเลยนะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :katai5:
เป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนจ้าา

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด