เรือนไม้เก่าแก่ทรงยุโรปตั้งโดดเด่นท่ามกลางความศิวิไลซ์ของริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาราวกับว่ามันอยู่ผิดที่ผิดทาง ตัวเรือนแต่เดิมคงเป็นสีฟ้าออกเทาทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่านทำให้สีสันจืดจางลงไปมาก หลังคาสีน้ำเงินเข้มนั่นก็ดูกระดำกระด่างจากแดด ลม และฝนฟ้า แต่เมื่อมองให้ถี่ถ้วนแล้วก็ให้นึกไปถึงเมื่อครั้งที่เรือนนี้เพิ่งสร้างเสร็จใหม่คงดูโดดเด่นงดงามยิ่งกว่าเรือนไหนในละแวกเดียวกันเป็นแน่
ร่างสูงโปร่งชะงักนิ่งทันทีที่ก้าวลงจากรถ เพื่อนสนิทของเขาพูดถูกว่าเขาจะต้องถูกใจมันไม่มากก็น้อย เขายืนพินิจตัวเรือนใหญ่โตตรงหน้าอยู่นานสองนาน ทั้งตกตะลึงในความงดงามตามแบบไทยแท้เจือความศิวิไลซ์จากชาติตะวันตก ทั้งตื่นเต้นระคนดีใจที่ความงดงามในอดีตยังคงหลงเหลือมาถึงปัจจุบันให้เขาได้ชื่นชม
แต่ที่แปลกที่สุดคงเป็น...จังหวะหัวใจที่กระตุกวูบเมื่อได้เห็นเรือนนี้ในครั้งแรก ทั้งที่ตัวเองก็ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์และเห็นเรือนเก่ามามากนัก แต่ไม่เคยมีที่ไหนที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจได้เท่าภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้...สองขาก้าวยาวอย่างร้อนรนด้วยว่าอยากสำรวจด้านในเต็มแก่ แต่กลับไม่สามารถทำได้อย่างใจนึกเมื่อเจ้าของตัวจริงหยุดยืนพูดคุยกับผู้รับเหมาที่มารออยู่ก่อนหน้า จึงทำได้เพียงเดินวนไปเวียนมาคล้ายหนูติดจั่น ทั้งใจที่ร้อนรนกระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นจนคนที่มาด้วยยังสังเกตเห็น
"ตกลงตามที่คุณพ่อว่าไว้นะครับ"อรรถนนท์กล่าวตัดบทหลังปรึกษาเรื่องการปรับปรุงซ่อมแซมตัวเรือนได้ไม่นาน เมื่อเห็นว่าคนข้างๆเริ่มออกอาการหงุดหงิดเต็มที
"ได้ครับคุณอาร์ม ผมจะรีบให้ช่างเข้ามาดำเนินการทันที เดือนหน้าก็คงเสร็จครับ"หัวหน้าผู้รับเหมารับคำก่อนขอตัวพาลูกน้องเดินสำรวจตามจุดที่ต้องซ่อมแซม
"เป็นยังไง...ถูกใจล่ะสิ"เจ้าของเรือนเดินปรี่เข้ามาหา เมื่อครู่ตอนยืนคุยงานเขาสังเกตเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของคนที่พามาแล้วก็อดแซวขึ้นไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้ถูกใจพวกของเก่าของโบราณขนาดไหน ยิ่งเป็นเรือนเก่าอายุนับร้อยปีแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่เห็นอาการของคนตัวสูงก็พอจะเดาได้
"ไม่เห็นแกเคยบอกว่าเป็นเจ้าของเรือนเก่าแบบนี้"ดวงตาคมปรายมองรอบตัวเรื่อยไปจนถึงตัวเรือนชั้นบน หน้าต่างแบบบานพับเรียงรายเป็นแนวยาวหากแต่ปิดสนิทยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ในใจผู้มาเยือนให้พุ่งสูง
"มรดกตกทอดจากฝั่งคุณพ่อน่ะ ท่านเคยจะยกให้ฉันกับพี่อิง แต่ก็อย่างที่แกเห็น...ไม่มีใครอยู่ไทยสักคน"สำหรับสถาปนิกหัวสมัยใหม่อย่างอรรถนนท์ เขามองเรือนหลังนี้เป็นเพียงมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเท่านั้น หลายครั้งที่เขาเคยแนะนำให้ผู้เป็นพ่อขายมันเสียเพราะเห็นว่ามีคนติดต่อขอซื้อเข้ามาหลายรายด้วยมูลค่าที่สูงลิบ แต่กลับถูกปฏิเสธทุกทีไปด้วยว่าผู้เป็นพ่อยังนึกหวงแหนสมบัติอันงดงามที่ตกทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้ไม่ได้เข้ามาอยู่เองแต่ก็ยังให้คนเข้ามาดูแลความเรียบร้อย ทั้งยังปรับปรุงซ่อมแซมอยู่เนืองๆไม่ให้สภาพของมันทรุดโทรมไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
"ขอเข้าไปดูข้างในได้ไหม"น้ำเสียงตื่นเต้นของคนตัวสูงทำเอาอีกฝ่ายพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง อรรถนนท์รีบไขกุญแจประตูแบบสองบานพับด้านหน้าเรือนที่คล้องโซ่เอาไว้แน่นหนาออก ก่อนปัดป่ายมือหาสวิตช์ไฟที่ถูกวางระบบใหม่ทั้งหมดเมื่อไม่นานมานี้
ทันทีที่แสงไฟสีส้มนวลส่องสว่าง พลันความรู้สึกอุ่นซ่านก็แล่นลึกเข้าถึงหัวใจของชายหนุ่ม เขายกมือขึ้นลูบต้นแขนที่ตอนนี้ขนลุกซู่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งอบอุ่นและคุ้นเคยในคราเดียวกัน สายตาคมกริบปราดมองรอบห้องนั่งเล่นกว้างขวางคล้ายนักสำรวจ เก้าอี้หวายจัดวางเรียงเป็นชุดใช้ต่างโซฟาดูแล้วก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่ มีเพียงเบาะนวมที่วางรองด้านบนเท่านั้นที่คลับคล้ายจะถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่ที่สีสันและลวดลายดูร่วมสมัยมากกว่า...ถัดไปไม่ไกลนัก นาฬิกาลูกตุ้มแบบตั้งพื้นเรือนโตวางโดดเด่น เข็มของมันหยุดเดินไปนานแล้วทั้งยังมีคราบฝุ่นจับให้เห็นรางๆ
"เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นของเดิม มีบางชิ้นที่คุณพ่อให้ช่างทำขึ้นมาใหม่เพราะของเดิมผุพังจนซ่อมไม่ได้"เจ้าของเรือนว่าขณะเดินนำหน้า เขาจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเรือนนี้ได้บ้าง เนื่องจากผู้เป็นพ่อมักมอบหมายหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมอยู่เสมอเพราะเจ้าตัวเรียนด้านนี้มาย่อมรู้จักโครงสร้างภายในของตัวอาคารเป็นอย่างดี
"สภาพยังดีอยู่เลย...ตั้งแต่สมัยไหนนะ"คนตัวสูงหันมองรอบทิศอย่างสนอกสนใจ ทั้งจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวผิดปกติยังทำให้เขารู้สึกแปลกไม่หาย
"ต้นรัชกาลที่๕ เป็นของเจ้าคุณ...เอ...เจ้าคุณอะไรนะ"อรรถนนท์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกไปถึงชื่อเจ้าของเรือนที่แท้จริง หากแต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
"...เจ้าคุณไพศาล..."
"เออใช่! เจ้าคุณไพศาล......เดี๋ยวนะกันต์...แกรู้ได้ยังไงวะ?"คนตัวเล็กกว่าสะบัดสายตามองทันทีด้วยความประหลาดใจ เมื่ออยู่ดีๆชื่อของเจ้าคุณเจ้าของเรือนก็หลุดออกจากริมฝีปากหยักของคนข้างๆคล้ายเลื่อนลอย หากแต่ร่างสูงสมส่วนยังคงยืนนิ่ง มีเพียงนิ้วเรียวยาวที่ยื่นออกไปทางผนังด้านหลังชุดเก้าอี้หวายให้อีกฝ่ายมองตาม
ภาพถ่ายสีขาวดำขนาดไม่ใหญ่นักล้อมด้วยกรอบไม้อย่างดีแขวนโดดเด่นอยู่บนนั้น ปรากฎภาพของชายวัยกลางคนดูแล้วอายุน่าจะประมาณสัก๕๐ปี สวมเครื่องแบบราชการสมัยก่อนเต็มยศ ผมสีดอกเลาล้อมกรอบใบหน้าคมสัน ทว่าดวงตากลับอ่อนโยนคล้ายคนกำลังอมยิ้ม มุมขวาด้านล่างปรากฎลายมือตวัดปลายสวยงามบ่งบอกชื่อของคนในภาพเอาไว้ชัดเจน
...พระยาไพศาลราชวราการ...
"ภาพนี้...มีมาตั้งแต่แรกเลยหรือ"ชายหนุ่มยืนจดจ้องภาพถ่ายตรงหน้าไม่วางตา รอยยิ้มอ่อนโยนของคนในภาพช่างอบอุ่นนัก ดูท่าเจ้าคุณท่านนี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่คงเป็นที่รักของลูกหลานและคนใกล้ชิดเป็นแน่
"รูปนี้คุณปู่ให้ร้านขยายจากรูปเดิมแล้วให้เอามาแขวนไว้ ท่านว่าจะได้ระลึกถึงเจ้าคุณท่าน"คนตัวสูงเพียงพยักหน้ารับทว่าไม่ยอมละสายตาจากภาพตรงหน้า หากเพียงครู่ก็ต้องเดินตามเจ้าของเรือนเมื่อถูกชักชวนให้สำรวจห้องอื่นๆต่อ
"ห้องนี้น่าจะเป็นห้องทำงาน...เครื่่องเรือนเก่ามีพวกโต๊ะกับตู้หนังสือ แต่ถูกย้ายออกไปหมดเพราะซ่อมไม่ได้แล้ว"อรรถนนท์ร่ายยาวหลังเปิดประตูแบบบานพับออกเผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งตาขนาดไม่กว้างนัก ผนังทั้งสามด้านมีหน้าต่างแบบสองบานพับซึ่งหากเปิดออกทั้งหมดคงทำให้ทั้งห้องสว่างไสวโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้า
แม้ทั้งห้องโล่งโจ้งไร้เครื่องเรือน แต่ในสายตาคนตัวสูงที่เพิ่งได้เห็นมันเป็นครั้งแรก เขากลับนึกภาพห้องทำงานในสภาพเดิมได้ราวกับเห็นภาพซ้อนทับ...ฝั่งนั้นเคยมีชั้นหนังสือวางเรียงเป็นแนวยาวแน่นขนัดด้วยหนังสือปกหนาสีสันต่างกัน ทั้งหนังสือเรื่องการบ้านการเมืองหรือแม้แต่นิยายบางเล่มที่เจ้าของห้องเดิมให้ความสนใจ ฝั่งตรงข้ามประตูเคยมีโต๊ะทำงานตัวโตตั้งโดดเด่นแถมยังมีเก้าอี้หวายปูเบาะนุ่มท่าทางนั่งสบายวางเคียงกัน...ยิ่งไปกว่านั้น...ราวกับได้ยินเสียงหัวเราะเบาจากที่ไหนสักแห่งดังคลออยู่ข้างหู เสียงทุ้มนุ่มฟังสบายกับเสียงหัวเราะคิกคักกังวานใส...รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังยืนยิ้มปรายอย่างอารมณ์ดีทั้งที่ความจริงตรงหน้ามันช่างว่างเปล่า
เจ้าของเรือนยังคงทำหน้าที่พาเดินชมทั่วเรือนอย่างไม่เร่งรีบ เช่นเดียวกับคนเดินตามหลังที่กำลังดื่มด่ำกับตัวเรือนงดงามเบื้องหน้า ทั้งห้องนอนของพระยาเจ้าของเรือนที่ยังคงสภาพเหมือนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ห้องทำงานของเจ้าคุณท่าน หรือแม้แต่ห้องรับรองแขกหลายต่อหลายห้องที่ผ่านตา
แต่ที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ คงเป็นเมื่อตอนมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูแบบสองบานพับของห้องที่อยู่สุดโถงทางเดินบนชั้นสอง บานประตูสีฟ้าออกเทาปิดสนิทอยู่ตรงหน้ากลับเรียกความสนใจของคนที่จ้องมองมันได้มากกว่าห้องไหนๆ...มือหนาเอื้อมเปิดประตูห้องนั้นออกอย่างถือวิสาสะโดยไม่ถามเจ้าของตัวจริง แต่อรรถนนท์กลับไม่ติดใจอะไร ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาหลงใหลในของเก่าของโบราณพวกนี้มากขนาดไหน
"นี่ห้องใคร?"เสียงทุ้มนุ่มถามเพียงสั้นๆเรียกให้อรรถนนท์ยืนขมวดคิ้วมุ่นใช้ความคิด ตอนนี้ทั้งเขาและคนตัวสูงก้าวเข้ามาหยุดยืนในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง เครื่องเรือนเก่าแก่บางชิ้นวางโดดเด่นเหมือนเมื่อตอนที่ยังถูกใช้งาน เตียงสี่เสาหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องใกล้ๆกับหน้าต่างที่หากเปิดออกจะสามารถมองเห็นภาพเจ้าพระยาสายใหญ่เบื้องล่างชัดเจน ผนังอีกฝั่งของห้องเรียงรายด้วยชั้นหนังสือถูกคลุมทับด้วยผ้าขาวผืนใหญ่ใช้กันฝุ่น
"ห้องนอนคนสนิทของเจ้าคุณ...จำชื่อไม่ได้แล้วแต่เป็นหลวงมั้ง คุณพ่อเคยเล่าให้ฟัง"คำตอบของเจ้าของเรือนไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างมากนัก เมื่อสิ่งที่อรรถนนท์ได้ยินมาจากผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับเจ้าของห้องเดิมมีไม่มากเท่าเรื่องราวของพระยาเจ้าของเรือนที่เขาเองก็เพียงฟังผ่านหูแล้วลืมเลือนไปบ้างตามกาลเวลาเช่นกัน
ดวงตาคมปราดมองรอบห้องทั้งที่หัวใจยังเต้นระส่ำ ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดตีตื้นจนขนลุกชันไปทั้งตัว ทั้งเตียงสี่เสาหลังใหญ่ หน้าต่างแบบสองบานพับฝั่งหัวเตียง หรือแม้แต่ชั้นหนังสือวางเรียงราย...ราวกับเคยเห็นภาพตรงหน้ามาก่อนจากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว
ครู่หนึ่งที่สายตาสะดุดลงตรงพื้นที่ว่างฝั่งตรงข้ามกับประตู...ดวงตาคมสวยกลับเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นภาพคล้ายซ้อนทับของภาพในอดีต ภาพของผู้ชายสองคนที่ยืนเคียงกัน แม้เลือนรางหากยังพอเห็นว่าคนหนึ่งตัวผอมบาง ผิวขาว ใบหน้าติดหวานดูคล้ายมีเชื้อจีนผสม ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆเช่นเดียวกับดวงตาคู่สวยที่ส่องประกายวิบวับยามจดจ้องคนตัวสูงกว่าที่อยู่ในชุดราชการแบบโบราณเต็มยศ หากแต่เขาเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างสมดุลกับผมรองทรงที่ถูกเสยเรียบเท่านั้น...เบื้องหลังคนทั้งสอง...สิ่งของหนึ่งที่ตั้งโดดเด่นดึงดูดสายตา แต่เพียงชั่วครู่ที่กันตวิชญ์สะบัดศีรษะแรงๆราวกับพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ภาพทั้งหมดก็พลันหายไป
"ตรงนั้น...เคยมีอะไรอยู่ใช่มั้ยอาร์ม"นิ้วเรียวยาวชี้ออกไปยังเบื้องหน้าเรียกให้คนข้างๆปรายสายตามองตาม พื้นที่่ว่างโล่งหน้าชั้นหนังสือที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ตรงนั้น
"ไม่รู้สิ...ถ้ามีก็คงถูกย้ายออกตอนซ่อมเรือนครั้งก่อน...แต่คงไม่มีหรอกมั้ง"อรรถนนท์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อนึกไปถึงเครื่องเรือนหลายต่อหลายชิ้นที่ถูกขนย้ายออกไปตอนปรับปรุงเรือนครั้งก่อนๆ บางชิ้นถูกยกกลับมาวางที่เดิม บางชิ้นที่ไม่สามารถซ่อมแซมให้ใช้งานได้ก็ถูกขายต่อหรือยกให้คนที่สนใจพวกของเก่าโดยไม่คิดราคา
"มีสิ...มันเคยอยู่ตรงนั้น"เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วคล้ายคนละเมอยามสายตาจดจ่อไปยังพื้นเรือนโล่งโจ้งตรงหน้า เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร...รู้แค่เพียงมันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเจ้าของห้อง...สิ่งสำคัญที่เรียกทั้งรอยยิ้มและความเจ็บปวดในคราวเดียว เหมือนกับความรู้สึกปวดหนึบถ่วงจิตใจของเขาในตอนนี้ มันวูบโหวงจนน่าใจหาย ขณะเดียวกันก็อบอุ่นเต็มตื้นจนรับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่ดังระรัว
"อาร์ม...พรุ่งนี้พาฉันไปพบพ่อแกหน่อยได้ไหม...ฉันอยากได้เรือนหลังนี้"
ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าทำไม...มันคล้ายความลุ่มหลง หลงใหล หรือผูกพัน เขาเองก็ตอบไม่ได้ รู้เพียงแต่เขาอยากได้เรือนหลังนี้...อยากเป็นเจ้าของ...อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่...ที่ที่ความอบอุ่นแผ่ซ่านเพียงแค่ได้เหยียบย่างเข้ามาในก้าวแรก
เขาหลงรัก...โดยที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นจากอะไร
........................................................................................
หายหน้าไปนาน คิดถึงกัน(ต์)บ้างมั้ยน๊าาาาา
แต่คนแต่งยังคิดถึงทุกท่านเหมือนเดิมนะเจ้าคะ *ยิ้มหวานกลบเกลื่อนที่หายไปหลายเดือน*
ที่หายไปนานเพราะเป็นช่วงปรับเปลี่ยนอะไรในชีวิตหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งงานใหม่ วงจรชีวิตใหม่ ทำให้ไม่มีเวลามาลงแรงกับนิยายเต็มตัวเหมือนเดิม แต่เพราะตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะต้องมาลงตอนพิเศษนี้ให้ได้ก็เลยต้องมาตามสัญญา แต่อาจจะมาได้ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน ยังไงก็อดใจรอกันนิดนึงนะเจ้าคะ
สำหรับตอนพิเศษนี้กะไว้คร่าวๆว่าแบ่งเป็น๓ตอน หรืออาจจะเพิ่มเป็น๔ถ้าไม่สามารถจบให้ลงภายในตอนที่๓ได้
ยังไงก็อยากให้ทุกท่านคอยติดตามและให้กำลังใจกันเหมือนเดิมนะคะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า
...Novemberist...