ปล่อยข้าไปเถิดองค์รัชทายาท! [ตอนที่๓] ๒๘/๑๒/๖๐ หน้า๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปล่อยข้าไปเถิดองค์รัชทายาท! [ตอนที่๓] ๒๘/๑๒/๖๐ หน้า๓  (อ่าน 17960 ครั้ง)

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






สารบัญ

ตอนที่ ๐๐ ก่อนพบพาน ขวบที่๑-๑๒ ตอนที่๑ (อยู่หน้า๑)

ตอนที่๒     ตอนที่๓

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2017 03:16:22 โดย poypoy »

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ก่อนพบพาน : ขวบที่ ๑ ข้ามันอัจฉริยะตั้งแต่กำเนิด!


ข้านอนมองที่ห้อยผนึกสีฟ้าใสที่หมุนไปมาจนตาลาย ด้านข้างมีพี่เลี้ยงโยกเปลพร้อมร้องเพลงกล่อมนอน แต่ข้าก็ไม่หลับเลยสักนิด นอนเป็นผักอยู่บนเปลนานจนขอบตาแดงไปหมดแล้ว ข้ากระชับนิ้วป้อมๆ ทั้งห้าเข้ากับผ้าห่มแพรไหมนุ่มลื่น มืออีกข้างกำค้อนของเล่นแน่น ริมฝีปากค่อยๆ ยื่นและงอขึ้นเรื่อยๆ พี่เลี้ยงคนนี้มันยังไงกัน ท่านแม่จ้างมาได้อย่างไร เสียงร้องราวกับคนจมน้ำก็มิปาน แล้วอย่างนี้จะนอนหลับได้อย่างไร ปัดโธ่! ข้าเหนื่อยจากการเรียนมาด้วย ถึงจะเป็นการนอนฟังอาจารย์พูดพร่ำไปเรื่อยก็เถิด

“นายน้อยรีบหลับเถอะขอรับ ข้าพัดจนมือจะหักอยู่แล้ว” พี่เลี้ยงของข้า ชื่ออันใดนะ ช่างมันเถอะ ข้าไม่เคยจดจำชื่อพวกหน้าธรรมดาๆ สามัญ พี่เลี้ยงของข้าเริ่มบ่นกระปอดกระแปด มือที่โบกสะบัดพัดก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ เดี๋ยวเถิด ถ้าข้าโตจนพูดชัดได้แล้วเจ้าจะโดนมิใช่น้อย พัดต่อไป อย่าได้หยุด! ข้าชำเลืองตามองเจ้าพี่เลี้ยงมากเรื่องอย่างขุ่นเคือง อย่าคิดว่าเด็กหนึ่งขวบเช่นข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ หึ!

“เฮ้อ ไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดต้องจ้างอาจารย์มาสอนหนังสือเด็กเช่นนี้ด้วยนะ นายน้อยเพิ่งอายุหนึ่งขวบจะไปรู้เรื่องอันใดกัน สิ้นเปลืองเงินโดยแท้ ข้าไม่เข้าใจพวกคนรวยเลย”

เจ้าโง่! หน้าเต้าหู้เช่นเจ้าจะไปรู้เรื่องอันใด นายน้อยผู้นี้เหมือนคนทั่วไปเสียที่ไหน! ข้าโหยวเล่อหรงเป็นอัจฉริยะตั้งแต่กำเนิด หึ นี่เป็นความลับของตระกูลของข้าเอง พวกเรามีความทรงจำตั้งแต่ลืมตามองโลกครั้งแรก ข้ายังจำหมอตำแยที่ทำคลอดให้ได้อยู่เลย ไม่แปลกที่คนในตระกูลโหยวจะเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่ยังไม่ทันคลานหรือพลิกตัวด้วยซ้ำ

ทุกวันนี้ข้านอนฟังอาจารย์พ่นความรู้อัดใส่หัวหมุนเวียนกันอยู่หลายคนพร้อมกับดูดนมไปด้วย แม้แต่ตอนที่พลิกตัวและเริ่มหัดคลานหรือเดินข้างๆ ก็ยังมีอาจารย์คอยสั่งสอนวิชาความรู้ไม่ขาด ตอนนี้ข้าเดินได้แล้วและเริ่มพูดได้แต่ยังไม่ชัดนัก คิดว่าเป็นเพราะลิ้นยังไม่แข็งมากพอ แต่คลังคำต่างๆ ข้าเรียนรู้ยังถ่องแท้หมดแล้ว พนันได้เลยว่าข้าอ่านหนังสือได้มากกว่าพี่เลี้ยงงี่เง่าคนนี้เสียอีก

พี่เลี้ยงของข้ายังบ่นไม่หยุด ชักเริ่มรำคาญมันแล้วละ อะไรจะบ่นมากเช่นนี้ อยากให้ข้านอนก็หุบปากเสียสิ ระหว่างที่ข้าครุ่นคิดว่าจะจัดการเจ้าพี่เลี้ยงโง่เง่านี่อย่างไรดี ด้านข้างก็มีเงาดำๆ ขนาดใหญ่ชะโงกตัวเข้ามามอง พร้อมกันนั้นเจ้าพี่เลี้ยงปากมากก็เงียบไป ถอยหลังออกห่างทันที

“เจ้าหมาน้อย ไยถึงไม่นอนเสียทีเล่า นี่จะเลยบ่ายแล้ว หือ? หรือว่ายังไม่ปล่อยหนัก?”

ผู้ใดเป็นหมาน้อยของเจ้ากันตาแก่!? ข้าทำหน้าหงิกงอพร้อมจะร้องไห้ มือแกว่งค้อนของเล่นไปมา อยากจะทุบหน้าหนวดๆ นั่นสักทีจริงๆ ตาลุงหนวดทำหน้าร้อนรนกว่าเดิม เขาหันขวับไปมองหญิงสาวผู้งดงามที่ชะโงกหน้าอยู่อีกด้าน อ๊ะ ท่านแม่นี่น่า! พอเห็นอะไรสวยๆ งามๆ คิ้วของข้าก็คลายตัวออกจากกัน ก่อนจะโบกมือส่งเสียงเรียกมารดาอ้อแอ้อย่างออดอ้อน ตาแก่หน้าหนวดทำหน้าหงิกทันทีพร้อมกับบ่นน้อยอกน้อยใจ

“อันใดกัน เห็นหน้าบิดาทำหน้าหงิกใส่ แต่พอเป็นมารดาเจ้ากลับยิ้มร่าแทน ลำเอียงยิ่ง บิดาผู้นี้ต้องลงโทษให้รู้ความเสียแล้วกระมัง” พูดเสร็จตาแก่นั่นก็ยื่นมือเข้ามาอุ้มข้าขึ้นจากเปล ข้าดิ้นต่อสู้ เหวี่ยงค้อนของเล่นทุบอีกฝ่ายรัว พยายามเบี่ยงหน้าหนีและดันหน้าหนวดๆ ออกไป แต่ทำอย่างไรก็สู้แรงตาลุงนี้ไม่ได้เลย โธ่เอ๊ย เห็นข้าเป็นเด็กแล้วสู้มิได้ก็รังแกใหญ่เลยนะ แก้มของข้าถูกหนวดทิ่มตำจนช้ำไม่หมด ข้าเบะปากเตรียมจะปล่อยไม้ตายก้นหีบ พร้อมทั้งส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากมารดาที่ยิ้มจนตาปิด

“อย่าแกล้งลูกสิ”

“น่ารักแบบนี้จะไม่แกล้งได้อย่างไร อ่า ลูกของข้า ลูกหมาน้อย”

บิดาปัญญาอ่อน!

ข้าทุบค้อนจนเหนื่อยแทบไม่มีแรงขยับ แก้มของข้าแดงไปหมด ทั้งเหนื่อยและถูกหอมจนช้ำไปหมด ตาแก่หน้าหนวดเห็นข้าสิ้นฤทธิ์ก็หัวเราะชอบใจส่งข้าไปให้มารดาคนงามโอบอุ้มปลอบใจ ข้าเบะปากซุกตัวเข้าหาอกอุ่นๆ ของมารดา จากนั้นก็กวัดแกว่งค้อนของเล่นในมือ ตาเหลือบส่งค้อนให้แก่ตาลุงหนวด

“โอ๋ๆ เล่อเล่อเด็กดี เดี๋ยวมารดาจะลงโทษบิดาไม่ได้เรื่องของเจ้าให้เอง นี่แนะๆ”

“โอ๊ยยยย เจ็บเหลือเกิน! อย่าตีข้าอีกเลย บิดาผู้นี้สำนึกผิดแล้ว~”

ข้ามองตาลุงหนวดอย่างไม่สบอารมณ์ ผู้ใดเชื่อก็โง่เต็มทนแล้ว ตีเบาแค่นั้นจะสะเทือนหนังหนาๆ ได้อย่างไร เห็นข้าเป็นเด็กแล้วจะโง่หรือไร หึ! พอเห็นข้าสะบัดหน้าใส่ทั้งสองก็หัวเราะคิกคัก ไม่รู้เพราะต่อกรกับบิดาจนเหนื่อยหรือไรข้าเปิดปากหาว มารดาตบก้นข้าแล้วโยกตัวเบาๆ พร้อมกับเล่านิทานกล่อมให้ข้านอน เสียงของท่านแม่ไพเราะมีจังหวะจะโคนทำให้เคลิ้มจวนหลับแต่ก็ต้องหน้าบึ้งเมื่อถูกปลายนิ้วหยาบๆ จิ้มแก้ม

“หมาน้อยนอนหรือยังเอ่ย?”

จะไม่นอนก็เพราะมีบิดาเช่นเจ้าก่อกวนนี่แหละ! ข้าหมดความอดทนลง ปลดปล่อยไม้ตายขั้นสุดยอดทันที

เสียงแผดร้องปานจะขาดใจดังลั่นห้อง บิดาสมควรตายสะดุ้งตัวโหยงก่อนจะหน้าซีดเผือดเมื่อถูกมารดามองด้วยแววตาคมกริบน่ากลัว คนถูกดุทางสายตาตัวหดหน้าจ๋อยสนิท มารดาโบกมือไล่เขาออกไปจากห้องแล้วหันมาปลอบข้าอย่างอ่อนโยน ข้ายิ้มกระหยิ่มในใจ พอใจเป็นอย่างยิ่ง หึ อย่างไรก็สู้ข้ามิได้หรอก

ไม่รู้ซึ้งถึงฤทธิ์เดชของข้าเสียแล้วตาลุงหนวด...

ข้าคือโหยวเล่อหรงเชียวนะ!

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ก่อนพบพาน : ขวบที่ ๕ ข้าร้ายกาจที่สุด


ข้าแย้มยิ้มพลางพยักหน้าพึงพอใจกับระบำตรงหน้า เป็นการแสดงที่พอแก้ขัดไปได้บ้าง ข้าลูบไล้แหวนฝังมรกตเม็ดเป้งที่นิ้วหัวแม่มือ ครุ่นคิดความเป็นไปได้ที่จะหารายได้จากสิ่งนี้ ข้าเริ่มต้นทำกิจการของตัวเองหลังจากฝึกหัดในกิจการของตระกูลเมื่อปีที่แล้ว ค่อยๆ จับไปทีละกิจการจนตอนนี้มีกิจการในมือมากมายจนก่อตั้งกลุ่มการค้าที่มีชื่อว่า ‘เจ็ดบุปผา’ ขึ้นมาได้ 

กลุ่มการค้าเจ็ดบุปผามีหุ้นส่วนคนอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมทุนทำกิจการด้วยกัน แต่ข้าคือนายใหญ่ของกลุ่มการค้าเจ็ดบุปผา

“ก็พอเอาขึ้นเวทีได้”

“อันใดของเจ้า ก็มันมิใช่งานที่ข้าถนัด ทำได้เพียงเท่านี้ก็ดีถมเทแล้ว!” เสียงโวยวายดังมาจากข้างๆ ข้าเปรยหางตาไปมองอย่างไม่สนใจนัก ชมขนาดนี้นับว่ารักษาน้ำใจมากพอควรแล้วนะ ไยถึงไม่พอใจอีก เฮ้อ ให้ตายเถิด จะโทษอีกฝ่ายก็มิได้ ‘คุณชายสือซว่าน’ (ดอกพลับพลึงแมงมุมแดง) ถนัดเพียงดนตรีจริงๆ หากเป็นเรื่องนี้เขาถือว่าเป็นอัจฉริยะเชียวแหละ

“เราน่าจะหาคนที่ถนัดการแสดงสักคนนะ” เด็กหนุ่มผู้สวมใส่ชุดสีดำปักลวดลายดอกสือซว่านด้วยด้ายสีแดงกล่าวแนะนำหลังจากโบกมือไล่นายระบำออกไปนอกห้อง ข้าก้มหน้ายกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างใจเย็น ก่อนจะวางลงเสียมิได้ หันไปพูดกับอีกคนที่จ้องมาด้วยสายตาขุ่น

“ย่อมต้องหาแน่ แต่ยามนี้ยังไม่เจอคนเหมาะสม เจ้าก็อย่าใจร้อนนักเลย”

“จะไม่ใจร้อนได้อย่างไร พวกเราวางแผนจะเปิดโรงละครแต่ยังไม่ได้คนดูแลในส่วนนี้อย่างจริงจัง และโรงละครของเรามีเพียงการแสดงดนตรีเท่านั้น เช่นนี้จะเป็นโรงละครได้อย่างไรเล่า?”

“มันช่วยไม่ได้ ข้ายังไม่เห็นผู้ที่เหมาะสม”

“หาคนมาทำชั่วคราวก่อนมิได้รึ?”

“ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่ารอไปก่อน” ข้านิ่งเงียบไป ตวัดสายตาแฝงกลิ่นอายเฉียบขาดไปปรามอีกฝ่าย เอ่ยย้ำเตือนเน้นหนักให้เขารู้ตัวก่อนที่จะทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ คุณชายสือซว่านชะงักแล้วพยักหน้าเข้าใจยอมล่าถอยไปแต่โดยดี ข้าลุกขึ้นเดินออกไปทันทีไม่มีคำล่ำลาใดๆ

ผู้ใดจะไม่อยากขยายกิจการบ้าง แต่ข้ายังไม่เห็นคนที่เหมาะสมก็เท่านั้น การค้าใช่ว่าสักแต่จะทำ มันต้องอาศัยหลายปัจจัยเกื้อหนุน ไม่ควรวู่วามหากมิได้มั่นใจอย่างที่สุดว่ามันยอดเยี่ยมหาผู้ใดเทียบเคียงมิได้

ข้าขึ้นรถม้าที่ตกแต่งด้วยรสนิยมอันยอดเยี่ยม ทั้งงดงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มิใช่สักแต่จะสร้างด้วยทองคำอย่างที่บิดาไร้รสนิยมทำขึ้นมา รายนั้นเอะอะก็ทองคำไว้ก่อน ดูมีค่ามีราคา เหอะ ผู้ใดมันอยากขึ้นรถม้าทองคำของเขากันบ้างเล่า สีเหลืองอร่ามราวกับ... ไร้รสนิยมจริงๆ

ถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะทิ้งตัวนอนกลิ้งไปบนผ้านวมหนานุ่ม รถม้าบุนวมอย่างดี ทั้งอบอุ่นและนุ่มนิ่ม รถม้าของข้าแล่นไปอย่างนุ่มไม่มีสะดุ้งก้อนหินแม้สักก้อน ราวกับถนนถูกบดทับจนราบเรียบไร้สิ่งกวนใจ ข้ามาอยู่เมืองหลวงได้หลายวันแล้วจึงได้ฤกษ์กลับไปยังเมืองจินหยางบ้านเกิดเสียที กิจการของข้าส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง เพราะไม่อยากทำสิ่งใดทับซ้อนกับของตระกูล ในเมืองจินหยางนั้นเป็นกิจการของตระกูลโหยวทั้งหมดก็ว่าได้

ข้าไปๆ กลับๆ ระหว่างเมืองทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง ใช้เวลาไม่นานเพราะเลือกเดินทางเส้นทางลัด ได้ยินท่านอารองบ่นด้วยความเป็นห่วงว่าทางเส้นนี้ชุกชุมไปด้วยโจรป่า แต่ข้าก็ใช้เส้นทางนี้ตลอดไม่เคยเจอโจรดักปล้นแต่อย่างใด ทุกอย่างราบรื่นหลับพักผ่อนได้ยาวตลอดทางราวกับเส้นทางทัพหลวงก็มิปาน โชคดีอะไรเช่นนี้

ในหัวของข้าอุตริคิดอยากเจอโจรสักคราว สงสัยกินอิ่มนอนหลับมากเกินไปจนเกิดความเบื่อหน่ายต้องการความตื่นเต้นเร้าใจกระมัง ข้าเป็นถึงทายาทคนเดียวของตระกูลโหยวที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน เหตุใดถึงไม่มีโจรมาลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่บ้างหนอ คิดอีกทีก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก ใครบ้างไม่หวาดกลัวตระกูลโหยว อำนาจเงินตรานั้นทรงพลังที่สุดแล้ว มีผู้ใดบ้างไม่จับจ่ายซื้อของกันล่ะ แม้แต่โจรก็ยังต้องใช้เงิน!

อยู่ๆ รถม้าของข้าก็หยุดกะทันหัน ข้าที่นอนเอกเขนกสบายๆ แทบกลิ้งม้วนตัวไปชนผนัง โชคดีที่ยั้งตัวได้ทัน ให้ตายเถิด บังคับม้าประสาอะไรกัน! ข้าจะปาตำลึงทองใส่หัวที่มีแต่กล้ามเนื้อของมันให้หนักเลย คอยดูเถิด ข้ากำลังขยับตัวไปต่อว่าคนขับรถม้าแต่พลันได้ยินเสียงของใครบางคนตะโกนสวนออกมาข่มขู่เสียงดังลั่น

“หยุด! นี่คือการปล้น มีของมีค่าอันใดส่งมาให้หมด!”

สวรรค์ คำขอของข้าสมปรารถนาไวไปหรือไม่? พูดถึงปุ๊บโผล่มาปั๊บ ข้าเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอกได้ยินคนขับรถม้าพูดตะกุกตะกักบอกว่าอย่าทำอันใดเลย เจ้าบ้านี่ขี้ขลาดตาขาวเกินไปแล้ว กล้ามโตๆ ของมันมิได้ช่วยอันใดเลยจริงๆ ข้ากลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นพี่เลี้ยงของข้ามาตั้งแต่เด็กแล้วคงเฉกหัวทิ้งไปวันละสิบหนเป็นแน่

“นายน้อยของข้ามีฐานะสูงส่ง พวกเจ้าอย่าคิดจะแตะต้อง!”

“มีคนสำคัญมาด้วยรึ? เช่นนั้นจับไปเรียกค่าไถ่ก็แล้วกัน! เจ้าคนที่อยู่ในรถม้าลงมาเดี๋ยวนี้ ถ้ายังตุกติกข้าจะฟันไม่เลี้ยงเชียว” โจรป่าตะโกนพร้อมหัวเราะดังลั่นในความโชคดีของมัน ข้าก้มตัวจัดแจงเสื้อผ้าหน้าตาของตนเอง แน่ละ ข้าตื่นเต้นอยู่ประมาณหนึ่งเลยนะ นี่เป็นการถูกลักพาตัวครั้งแรกของข้า ต้องกระตือรือร้นกันหน่อย

เมื่อลงไปจากรถม้าข้ามองไปยังกลุ่มโจรห้าหกคนที่ไว้หนวดรุงรังดูสกปรกซกมกอย่างที่สุด ข้าไม่ตกใจเลยสักนิด เพราะอันใดน่ะหรือ? ก็ที่บ้านของข้ามีตาแก่ผู้หนึ่งไว้หนวดไว้เคราเยี่ยงโจรอยู่คนเช่นกัน ข้าชินกับคนหน้าหนวดแล้วละ

“เป็นเด็กที่งดงามอะไรเช่นนี้!” ชายที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าโจรมองข้าอ้าปากตกตะลึง ก่อนจะตะโกนเสียงดังเบิกตาโตทั้งดูตื่นเต้นและตะลึงงัน พวกลูกน้องเองก็หันมามองข้าด้วยสายตาทอประกายไม่แพ้หัวหน้าของพวกมัน

ขอบคุณสำหรับคำชม เจ้าเองก็ดูสมกับเป็นโจร กักขฬะยิ่ง

“นายน้อย” เจ้าพี่เลี้ยงหน้าเต้าหู้แต่กล้ามโตเรียกข้าเสียงอ่อย ดูจะเป็นลมทุกเมื่อ มันเหลียวมองซ้ายขวาคาดหวังว่าจะมีจอมยุทธ์ควงกระบี่เข้ามาช่วยเหลือแบบนิยายน้ำเน่าที่มันชอบอ่าน แย่หน่อยละกันที่ไม่มีใครเลยนอกจากข้ากับมัน ไปไหนมาไหนข้าไม่เคยพกผู้คุ้มกันเพราะมันไม่จำเป็น ปกติข้ามักจะแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงแล้วอยู่... ยกเว้นตอนที่ไม่อยากปลอดภัย อืม ก็อย่างตอนนี้ยังไงล่ะ

“พี่ชายท่านนี้ค่ายของท่านอยู่ไกลจากที่นี่หรือไม่ หากไม่รังเกียจนั่งรถม้ากลับไปเถิด” ข้ายิ้มเปิดปากชักชวนพวกเขาอย่างเป็นมิตร พวกโจรทำหน้างุนงงพอๆ กับคนรับใช้ของข้า มันมองราวกับเห็นข้าหายตัวไปต่อหน้าต่อตา สีหน้าปัญญาอ่อนอะไรเช่นนี้!

“แน่นอนอยู่แล้ว รถม้าคันนี้เป็นของพวกข้าแล้ว!”

พอตั้งตัวได้พวกมันก็พยักหน้ารีบเข้ามายึดรถม้าไป ไม่ลืมจับพวกเรามัดมือมัดเท้าปิดปาก โอ้ว! นี่สิถึงเป็นการลักพาตัวจริงๆ ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองเช่นนี้แล้วแตกต่างจากที่เคยฟังมาจริงๆ ข้ากำลังดื่มด่ำกับรสชาติของการถูกจับตัวก่อนจะสังเกตเห็นเจ้าหัวหน้าโจรที่จ้องมองข้าตาไม่กะพริบ ข้าไม่ใส่ใจ เคยชินกับสายตาเช่นนี้แล้ว รูปลักษณ์ของข้าค่อนข้างโดดเด่น ไม่แปลกที่จะมีคนจ้องมอง

และแล้วก็ถึงค่ายของพวกมันเสียที

อึดอัดชะมัด ถูกมัดไว้นานๆ แบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ ข้าขยับแขนไปมาสองสามทีก็หลุดออกจากเชือก โชคดีที่พวกมันมัดไม่แน่นมาก ข้าหลุดจากพันธนาการแล้วหันไปมองคนรับใช้ที่หน้าซีดร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยแววตาสมเพช พวกมันยังไม่ทันได้ทำอันใดเจ้าก็กลัวเสียแล้ว ปัดโธ่ กล้ามโตๆ นั่นไว้ประดับเฉยๆ หรือไรกัน

“เป็นบ้านที่ดีมากทีเดียว” ข้าลุกจากรถม้ามองไปรอบๆ ตัวบ้านบนเชิงเขา จากนั้นก็เดินสำรวจราวกับมาเยี่ยมเยียนบ้านสหายเก่า พวกโจรมองข้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง งุนงงว่าข้าหลุดออกเชือกได้อย่างไร และงงไปอีกว่าตกลงข้าถูกจับมาหรือพวกมันเชิญมาเยี่ยมบ้านกันแน่?

“นี่มันอะไรกัน!?”

“พี่ใหญ่!” พวกโจรทั้งหลายวิ่งไปหาบุรุษร่างผอมบางผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากบ้าน ข้ามองตามไปแล้วเลิกคิ้ว บุรุษร่างบางสำอางกับพวกกักขฬะเป็นภาพที่ขัดเคืองลูกตายิ่ง ไยบุรุษที่ดูสะอาดสะท้านสำอางราวคุณชายถึงได้มาอยู่กับพวกโจร แถมยังถูกเรียกว่าพี่ใหญ่อีก

“พวกเจ้าทำบ้าอันใดอีก!” พี่ใหญ่คนที่ว่าตวาดเสียงดัง แต่ดูเหมือนไม่สะเทือนหนังหนาๆ ของพวกโจรเหล่านั้น พวกมันยิ้มกระหยิ่มพลางพยักพเยิดหน้ามาทางข้า พร้อมใจรายงานความดีความชอบที่ได้ทำไปกันเสียงดังเซ็งแซ่

“ดูสิพี่ใหญ่ พวกเราจับตัวลูกหลานคนรวยมาได้ ต้องเรียกค่าไถ่ได้มากเป็นแน่!”

บุรุษสำอางผู้นั้นหันมามองข้าที่ส่งยิ้มเป็นเชิงให้กำลังใจไปให้ ต้องมาอยู่กับพวกนี้เขาต้องเหนื่อยมากเป็นแน่ บุรุษผู้นั้นมองข้าแล้วแน่นิ่งไป เห็นได้ชัดว่าเผลอลืมหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ เห็นพี่ใหญ่มีท่าทางแปลกๆ แต่พวกมันก็ยังไม่เอะใจ ยังเฮลั่นในความโชคดีนี่ ข้าคงยิ้มเช่นเดิม

“เจ้าพวกโง่! หาเรื่องตายน่ะสิไม่ว่า โอ๊ย! ปวดหัวกับพวกเจ้าจริงๆ!” พี่ใหญ่กลับมาได้สติอีกครั้งก็ลงมือตบหัวเรียงตัว ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มประจบประแจงใส่ข้า ข้าไม่แปลกใจเท่าไรนัก ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะสายเลือดตระกูลโหยว เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าข้าเป็นใคร ค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่เจ้าพวกโจรซื่อบื้อนั่นไม่รู้จัก

“นายน้อยท่านนี้อย่าได้ถือสาพวกมันเลยนะขอรับ คิดเสียว่าเป็นการเชิญมาเยี่ยมเยียนกัน”

ทันทีที่เขาเข้ามาใกล้จมูกของข้าก็ได้กลิ่นแป้งหอม ยิ่งทำให้เขาดูสำอางมากขึ้น จะว่าไปแล้วแป้งหอมชนิดนี้เป็นของร้านใดกันนะ ข้าไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน มันหอมมากและให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ข้าหรี่ตาลงต่ำ พิจารณาคนตรงหน้า มองมือและเล็บของเขา อืม ใช่จริงๆ ดวงตาของข้าถูกจุดประกายวิบวับพร้อมกับแย้มยิ้ม

ดูเหมือนตำแหน่งคุณชายชื่อถง (ดอกทองหลาง) จะว่างอยู่ ข้ากำลังขยายกิจการไปทางเครื่องประทินโฉมพอดี โชคดีนัก การถูกลักพาตัวในครั้งนี้ของข้ากลับค้นพบทองคำ!

“แหม เป็นการเชิญที่รุนแรงยิ่ง” ข้าหัวเราะเบาๆ ทำให้คนตรงหน้าสะดุ้งเฮือกหน้าที่ขาวซีดยิ่งซีดไปมากกว่าเดิม พวกโจรหน้าหนวดทำหน้างุนงงก่อนจะเข้ามาต่อว่าที่พี่ใหญ่ของพวกมันทำตัวนอบน้อมกับเหยื่อ พี่ใหญ่กัดฟันถลึงตากลับแทบอยากกระโจนไปไล่งับหัวของพวกมัน

“เจ้าพวกโง่! ตาบอดหรือไรถึงไม่รู้ว่านายน้อยคนนี้เป็นผู้ใด พวกเจ้าเบิกตาดูสีผม ดูดวงตาของเขา ดูสีผิวของเขา ยังไม่รู้อีกหรือพวกโง่! เขาต้องเป็นคนตระกูลโหยวเป็นแน่ และอายุน้อยขนาดนี้ย่อมเป็นนายน้อยตระกูลโหยว โหยวเล่อหรงคนนั้น!”

“พี่ชายรู้จักข้าด้วยรึ?”

“นายน้อยขอรับ ผู้ใดจะไม่รู้จักท่านบ้างเล่า!”

ข้าเหลือบไปข้างหลังของเขาที่พร้อมใจสะดุ้งตัวโหยง ก้มหน้าก้มตาหลบกันพัลวัน

“พวกมันโง่ปานนั้น นายน้อยอย่าได้ถือสา”

“ข้าเองก็มิได้คิดเล็กคิดน้อย แต่พวกเขามัดมือมัดขาซ้ำยังเอาผ้าปิดปากเสียอีก ข้าไม่เคยตกใจกลัวมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต” ข้ากุมมือทำตัวสั่นพูดเสียงแผ่วเบา หลุบตามองลงพื้น ทำท่าหวาดกลัวและบีบน้ำตาให้ร่วงเป็นสาย พวกโจรหน้าหนวดอ้าปากเหวอมองมาอย่างงุนงง สีหน้าของพวกมันเหมือนโดนหลอกไปขาย

แล้วอย่างไรข้าบีบน้ำตาร้องไห้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ไม่รู้สึกอันใด ด้านมากแล้ว อีกอย่างข้าเพิ่งห้าขวบจะร้องไห้ก็มิใช่เรื่องแปลก ข้าแสดงบทบาทเด็กน้อยที่น่าสงสารต่อไป ได้ยินเสียงพี่เลี้ยงหน้าเต้าหู้กล้ามโตเสียเปล่าพูดว่า ‘ตอแหล’ ลอยมาจากด้านหลัง ประเดี๋ยวเถิด ข้าจะปาหัวมันด้วยทองคำแท่ง!

“นายน้อย อย่าร้องขอรับ นายน้อยอยากได้อะไรงั้นหรือ ข้าจะหามาให้ ถือว่าเป็นการไถ่โทษ!” พี่ใหญ่ของพวกโจรหน้าหนวดมองข้า เขาดูลนลานทำอะไรไม่ถูก พยายามปลอบใจ เงอะงะวางมือไม้ไม่ถูก

ข้าแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เจ้าหน้าเต้าหู้เห็นแล้วตัวสั่น

“จริงหรือ? เจ้าจะทำตามที่ข้าบอกจริงนะ?”

“แน่นอนขอรับแน่นอน!”

ในใจข้ายืนเท้าเอวแหงนหน้าหัวเราะฮ่าๆ แล้ว

เสร็จข้าละ!

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ก่อนพบพาน : ขวบที่ ๗ ข้ามันสมบูรณ์แบบไม่มีผู้ใดเทียบ


สวรรค์ช่วยบอกทีว่ามีผู้ใดสมบูรณ์มากกว่าข้าผู้นี้อีกไหม?

ร่ำรวยล้นฟ้า เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ รูปร่างหน้าตาเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองผู้ใด ซ้ำยังเป็นคนที่เทพเจ้าแห่งโชครักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษ ไม่ว่ามองแง่ใดในอนาคตอีกสักห้าหกปีข้าสมควรได้ตำแหน่งยอดบุรุษอันดับหนึ่งของแผ่นดิน

ข้าไม่ได้โม้หรือหลงตัวเองแต่อย่างใด มันคือความจริงแท้และแน่นอนยิ่ง!

ร่ำรวย...

มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน ข้าโหยวเล่อหรงคือนายใหญ่ของกลุ่มการค้าเจ็ดบุปผา กลุ่มการค้าที่มาแรงและถูกกล่าวถึงมากที่สุดในยามนี้ ด้วยการดำเนินกิจการรูปแบบใหม่ แปลกแหวกแนวไม่เหมือนผู้ใด อย่าได้ถามถึงกำไรที่ได้รับ บอกเพียงว่าเป็นรองแค่กลุ่มการค้าใหญ่ๆ ไม่อีกกลุ่มเท่านั้น อีกไม่กี่ปีหรอกกิจการของข้าจะแซงหน้าอย่างแน่นอน ข้าเชื่อมั่นในศักยภาพของแรงงาน ไม่สิ ของลูกน้องที่ข้าผู้นี้คัดเลือกมาอย่างดี ดวงตาของข้าไม่เพียงแค่มองเห็นของมีค่าเท่านั้น แต่มองทะลุไปเห็นความสามารถของคนด้วย เก่งกาจเกินไป ชักรู้สึกเกรงใจตัวเองหน่อยๆ

เก่งทั้งบุ๋นและบู๊…

กล่าวไม่เกินจริงอันใด ด้านบุ๋นข้ามีสุดยอดอาจารย์สั่งสอนมาตั้งแต่ยังนอนบนเปล หรือว่าจะเป็นกลอนกวี วาดรูป หมากกระดาน ล้วนแล้วแต่เชี่ยวชาญคล่องแคล่ว ทางบู๊เองก็ไม่น้อยหน้า ฝึกฝนพลังลมปราณตั้งยังนอนดูดนมอยู่เลย พอครบอายุสี่ขวบพลังวิเศษตื่นขึ้น ด้วยเพราะตระกูลโหยวมีความทรงจำมาตั้งแต่เกิดเราเตรียมพร้อมรับมือเรื่องนี้ตั้งแต่เนิบๆ เมื่อมีสติจดจำภาพนิมิตพลังวิเศษได้ก็นำความไปตีและวิเคราะห์ร่วมกับผู้อาวุโส จากนั้นก็เริ่มใช้พลังวิเศษควบคู่กับวิชายุทธ์ หากพลังลมปราณหมดก็ยังมีวรยุทธ์เอาตัวรอดได้เป็นแผนสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉิน

อาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้ข้านั้นเป็นถึงจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของยุทธภพ บังเอิญเขาติดหนี้ค่าเหล้าแต่ไม่มีเงินจ่ายจนต้องมาขายแรงงานปลดหนี้เช่นนี้ อย่างว่าแหละ ตระกูลโหยวไม่เคยปล่อยให้ลูกหนี้รอดเงื้อมมือไปได้แม้คนๆ นั้นจะเก่งกาจเพียงใด สรุปแล้วข้ายอดเยี่ยมทั้งบุ๋นและบู๊

ยังไม่เชื่ออีกรึ? ได้ๆ หลักฐานแค่นี้ยังไม่พอสินะ การสอบจ้วงหยวนที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ นั้นข้าคว้าตำแหน่งจ้วงหยวนมาได้เลยนะ บัณฑิตทั้งหนุ่มและแก่พ่ายแพ้ให้กับเด็กเจ็บขวบเช่นข้าคงไม่มีหน้ามาสอบอีกแล้วแน่ๆ ไม่เพียงแค่นั้นข้ายังเอาชนะมังกรได้อีกด้วย กลายเป็นตำนานเรื่ิองเล่ายอดนิยมเชียวละ

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า….

ปีนี้มีงานชุมนุมของสี่ตระกูลพยัคฆ์ อันได้แก่ ตระกูลโหยว ซุน เยว่ จา เป็นงานที่เหล่าทายาทรุ่นเยาว์รวมตัวพบปะผูกมิตรสานสัมพันธ์กัน จัดขึ้นทุกๆ ห้าปีหมุนเวียนสี่ตระกูล เมื่อครั้งที่แล้วข้าอายุแค่สองขวบจึงไม่ได้เข้าร่วม เป็นท่านอารองหยวนที่นำเด็กๆ ในตระกูลไปร่วมงานที่จัดขึ้น ณ ตระกูลจา แต่ครั้งนี้จัดที่ตระกูลเยว่ ข้าบอกปัดไปว่าไม่ว่าง ต้องสะสางงบประมาณคำนวณรายได้ครั้งที่สองในรอบปี ไอ้งานไปยิ้มแย้มพูดคุยและโอ้อวดฝีมือมิใช่เรื่องที่ข้าชอบนัก เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง

แต่ปัญหาก็ดันเกิดขึ้นเมื่อคนตระกูลโหยวสู้แพ้แต่ปากไม่แพ้ เกทับคนที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองว่า… นายน้อยของพวกเขาเก่งกาจกว่าเยอะ หาเรื่องให้ข้าจนได้พวกปากปีจอนี่

คนที่ชนะการประลองก็คือซุนเฟยหลง องค์ชายรัชทายาทแคว้นต้าซุนผู้ทะนงตน ข้าอยู่เฉยๆ ก็คนโยนเหาใส่หัวเสียนี่ น่าถีบตกบันไดพันขั้นนัก

ซุนเฟยหลงคนนั้นก็ยั๊วะง่ายเหลือเกิน แล่นมาท้าประลองกับข้าถึงที่ อายุมากกว่าข้าแต่หุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว เมื่อถูกท้าข้าก็ไม่รังเกียจจะตอบรับ การต่อสู้ระหว่างข้ากับทายาทตระกูลซุนจึงเริ่มขึ้น ข้ารู้อยู่แล้วว่าซุนเฟยหลงผู้นี้มีพลังวิเศษแปลงกายเป็นสัตว์ในตำนานอย่างมังกรได้ สายเลือดตระกูลซุนจะมีพลังวิเศษกลายร่างเป็นสัตว์ต่างๆ และซุนเฟยหลงเป็นระดับสัตว์ในตำนานอย่างมังกร

แต่ยังเอาชนะข้าไม่ได้หรอก ข้ารู้ไส้รู้พุงของเขาหมดทุกสิ่งอย่าง ตรงกันข้ามเขาไม่รู้ว่าข้ามีพลังวิเศษอะไรและถนัดการสู้แบบใด เพราะข้าไม่ชอบให้ใครเห็นหรือรู้เกี่ยวกับพลังของข้า เก็บเงียบไว้ย่อมได้เปรียบคู่ต่อสู้และศัตรูจะอ่านทางไม่ออก หึๆ แน่นอนว่าข้ากำราบมังกรดำลงได้อย่างง่ายดาย เป็นอย่างไรล่ะ เชื่อหรือยังว่าข้าเก่งกาจเพียงใด

เรื่องสุดท้ายรูปโฉมของข้า หึ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าหน้าตาของข้านั้นคือสุดยอดบุรุษรูปงาม ดูจากมารดาของข้าที่งดงามหยาดเยิ้มราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ส่วน...บิดาของข้า ให้ตายเถิด โชคดีที่ข้าไม่เหมือนเขาเลยสักนิด! หากข้าเหมือนบิดาหน้าหนวดในหัวมีแต่ทองผู้นั้นย่อมถึงวันอวสานของโลกเป็นแน่ พูดได้เต็มปากว่าเติบโตขึ้นไปแล้วข้าย่อมเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง ผนวกกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นของตระกูลโหยว ทำให้ข้ามีรูปโฉมที่หล่อเหลาโดดเด่น

แม้อาจจะมีคนที่หล่อเหลายิ่งกว่าหรือรูปงามกว่าแต่หากข้าไปยืนอยู่ข้างๆ คนเหล่านั้น สิบคนมองมาก็ต้องจ้องมองข้าก่อนแน่นอน สิ่งนี้มิได้กล่าวลอยๆ ในการค้าขายข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์มานับไม่ถ้วน พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตาหล่อเหลาหรืองดงามเช่นไรก็พบเจอมาหมดแล้ว แต่ผู้คนก็จ้องมองมาที่ตัวข้าก่อนเสมอ แน่นอนละ เอกลักษณ์ของคนตระกูลโหยวโดดเด่นแปลกแยกสุดๆ เลยนี่นะ ไม่รู้ว่าเป็นเอกลักษณ์หรือคำสาปกันแน่ ทุกคนในตระกูลโหยวต้องมีลักษณะเช่นนี้และตระกูลของข้ายังมีเพียงแต่บุรุษเท่านั้น คลอดมากี่คนๆ ก็เป็นหนูน้อยมีหนอนตั้งแต่เกิดหมด

“ลูกหมาของเรานี่นับว่ามีหน้าตาดูดีที่สุดในตระกูลแล้วกระมัง”

ข้าเงี่ยหูฟังเสียงซุบซิบของบิดาหน้าหนวดที่กำลังจิบน้ำชายามบ่ายคล้อย ข้ากลับมาเร็วเพราะวันนี้เป็นวันที่ท่านอารองโหยวหยวนจะเดินทางไปทำภารกิจของเขา ตระกูลของข้าทุกคนต้องผ่านภารกิจเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่และได้รับการยอมรับจากทุกคน บิดาหน้าหนวดของข้าก็เช่นเดียวกัน เขามักจะเล่าให้ข้าฟังอยู่เสมอ ภารกิจของบิดาคือการสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งทรงอานุภาพ ใช่แล้วละ กองทัพแคว้นฉู่อันโด่งดังนั่นอย่างไรเล่า

ส่วนท่านอารองข้าได้ยินมาว่าเขาได้รับภารกิจให้ไปสานสัมพันธ์กับเผ่าหนึ่งในทะเลทรายซานโถวเพื่อทำการค้าขายด้วย เผ่านั้นปิดกั้นจากโลกภายนอกไม่มีใครเคยเจรจาค้าขายกับพวกเขาสำเร็จ ท่าทางจะยากน่าดู แล้วภารกิจของข้าจะยากและท้าทายเช่นนี้หรือไม่นะ ข้าอยากจะเร่งวันและเวลาให้ถึงตอนนั้นเร็วๆ!

“ท่านพี่อย่าพูดให้ลูกได้ยินเล่า เพียงแค่นี้เจ้าตัวก็หลงตัวเองน่าดูแล้ว”

“สมควรหลงตัวเองแล้ว ลูกหมาของข้าเก่งไปเสียทุกอย่างเช่นนั้น ข้าภูมิใจมากเชียว ทอดมองไปยังทายาททั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมบุตรชายของเราสองคนได้เลย”

ข้าเบิกตาอย่างประหลาดใจ ผู้ใดจะไปเชื่อว่าบิดาหน้าหนวดจะกล่าวชมข้ามากมายขนาดนี้ ข้าอดแปลกใจมิได้ ต่อหน้าไม่เห็นพูดเช่นนี้เลย เอาแต่ล้อเลียนข้าต่างๆ นานา โธ่ๆ ตาลุงหนวดวันนี้ท่านพูดได้เข้าหูลูกชายผู้นี้เป็นครั้งแรกเลยนะ ท่านแม่หัวหน้าเสียงใสราวกระดิ่งลม ตามแล้วเสียงทอดถอนหายใจของบิดาหน้าหนวด

“เฮ้อ เช่นนี้ข้าจะมิห่วงได้อย่างไร ว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าจะต้องคู่ควรกับบุตรของข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด”

“ท่านพี่ละก็ รู้ได้อย่างไรว่าจะเป็นลูกสะใภ้ อาจจะเป็นลูกเขยก็ได้ หึๆ”

ประเดี๋ยวก่อนท่านแม่ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

“หึ จะลูกเขยหรือลูกสะใภ้ก็ช่างเถิด หากข้าไม่เห็นว่าคู่ควรก็ไม่รับเด็ดขาด”

“พวกท่านก็คิดไปไกลยิ่ง เล่อเล่อเพิ่งเจ็ดขวบเองนะขอรับ ไม่เห็นเขาจะสนใจอะไรนอกจากหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง” เสียงนุ่มนวลอีกเสียงดังขึ้นขัด ข้ายกคิ้ว ไม่คิดว่าท่านอารองจะอยู่ในห้องนั้นด้วย พอท่านอารองพูดออกมาเช่นนั้นบิดามารดาของข้าก็พลันเงียบไป จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียด

“นั่นสินะ ข้านึกไม่ออกเลยว่าไอ้ลูกหมามันจะไปชอบใครได้ นอกจากเงินทอง”

“ก็ไม่แน่หรอก ท่านเองก็มิได้คิดจะชอบพอใครมิใช่รึ? แต่เมื่อพบข้าท่านก็เปลี่ยนความคิด ไม่แน่ว่าบุตรชายของเราสองคนก็อาจจะมีโชคชะตาเช่นนั้น รักแรกพบเลยก็เป็นไปได้”

“เจ้าพูดด้วยสีหน้าแบบนี้ทีไรก็เกิดขึ้นจริงๆ สิน่า คิดภาพไม่ออกเลยว่าลูกหมาของเราไปตกหลุมรักใคร”

“ความรักมักเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว น้องหยวนก็ระวังไว้เถิด”

“เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า”

“ดวงความรักของเจ้ากำลังแรง”

“หว่า! ถ้าพี่สะใภ้พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า...ไชโย! ข้ากำลังมีความรักแล้ว!” เสียงของท่านอารองโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา ข้าแทบอยากไปซื้อพลุมาจุดฉลองไปอีกคน ประสบการณ์รักคุดรักคนมีเจ้าของมาห้าสิบสี่ครั้งของท่านอารองคงจะสิ้นสุดเสียที

“แหม ยินดีๆ” เสียงบิดาข้าเอ่ยยินดีแบบแกนๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะมีเลศนัยของมารดา

“นั่นสินะ น่ายินดีจริงๆ เป็นถึงหัวหน้าเผ่าเชียว”

หือ? หัวหน้าเผ่าที่ว่า...มันบุรุษมิใช่รึ? ท่านอารองยังคงยินดีปรีดามิได้สนใจจะฟังคำพูดแปลกๆ ของท่านแม่เลยสักนิด ข้าส่ายหน้าให้ครอบครัวที่เริ่มบ้าบอไปกันละทิศคนละทางก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถง คนแรกที่เห็นข้าคือบิดาหน้าหนวดนั่นเอง เสียงทักดังประชดมาก่อนเลย

“โอ้ เจ้าลูกหมา วันนี้กลับบ้านตั้งแต่หัววัน ฟ้าจะผ่าหรือไม่นะ”

“ใช่ๆ ข้ามันลูก ‘หมา’ จริงๆ”

“อุบ๊ะ มันสู้โว้ย” ท่านพ่อหัวเราะเสียงดังจนหนวดบนหน้ากระดิกยิกๆ พร้อมกับลุกขึ้นพุ่งตรงเข้ามาหาข้า คว้าตัวข้าไว้หมับแล้วใช้หนวดแข็งๆ ถูไถหน้าของข้า ทั้งแสบทั้งคัน บ้าเอ๊ย! ข้าพยายามดิ้นรนหนีจากหมีป่าตกมัน ปัดโธ่! ตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กทารกก็ชอบแกล้งเช่นนี้ตลอด ท่านแม่ก็เอาแต่ยิ้มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนท่านอารองนั่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับความเพ้อฝันของตนเอง

เฮ้อ ครอบครัวของข้าช่างวุ่นวายจริงๆ

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ก่อนพบพาน : ขวบที่ ๑๐ ข้าเป็นมิตรกับทุกคน โดยเฉพาะสตรีและคนรูปงาม


เสียงดนตรีจังหวะค่อนข้างเร็วออกจะเร่าร้อนตามกระแสที่กำลังนิยมในยามนี้ ข้ายืนถือจอกสุราม่วงที่ทำมาจากผลผูเถา(องุ่น)ผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งของข้าที่มาแรง ทำรายได้ให้อย่างมหาศาล ทำเอายิ้มกว้างเกือบสามวันเต็มๆ ระหว่างจิบสุราม่วงดวงตาของข้าก็จับจ้องไปยังกลางลานเต้นรำที่มีหนุ่มสาวจับเป็นคู่ๆ เพื่อเต้นรำด้วยท่าทีขวยเขินกระด้างอาย ท่าทางโรงเตี๊ยมแห่งใหม่ของข้าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ข้ายิ้มกระหยิ่มอีกครั้งเมื่อคิดถึงเงินทองที่กำลังไหลมาเทมา

“สหาย ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้ากำลังป่วยใช่หรือไม่? ไปหาหมอหรือจะให้ข้าเรียกหมอหลวงมาให้?” เสียงทักท้วงดังขึ้นจากข้างๆ ข้าหุบยิ้มหันไปมองคนที่มองมาด้วยสายตาหวาดหวั่นปนสยดสยองด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเมินหน้าหนี ไม่สนใจเด็กหนุ่มที่สวมใส่อาภรณ์หรูหราอย่างคนมีอันจะกิน

เหอะ นึกว่าผู้ใดที่แท้ก็...รุ่ยอ๋อง สหายน่าชังของข้าเอง เขาเป็นโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแต่มิใช่โอรสที่สลักสำคัญอันใด อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายตามตื๊อมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้กลายเป็นสนิทสนมกันไปโดยไม่รู้ตัว ข้าก็คบๆ เผื่อไว้ไม่เสียหายอันใด ถึงมันจะน่ารำคาญนิดหน่อยก็เถิด

“นี่ๆ อย่าทำหน้าเบื่อหน่ายกันเช่นนั้นได้หรือไม่เล่า?”

“ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่งานเลี้ยงแห่งนี้” ข้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะยอมหันไปสนทนากับอีกฝ่ายอย่างเสียมิได้ รุ่ยอ๋อง หรือ โอวหยางเช่อ ฉีกยิ้มกว้างแล้วหัวเราะกรุ้มกริ่ม นัยน์ตาพราวระยิบระยับจนน่าหมั่นไส้ ไม่ต้องอ้าปากข้าก็เห็นถึงลิ้นไก่

“สหายรัก งานรื่นเริงเช่นนี้จะขาดบุรุษเจ้าสำราญเช่นข้าผู้นี้ได้อย่างไร งานเลี้ยงกร่อยกันพอดี”

“ขาดได้ แต่เจ้าต่างหากที่ขาดมิได้” ข้ากลอกตาเอือมระอากับเจ้าอ๋องว่างงานผู้นี้ จากนั้นก็แย้งกลับไปอย่างไม่ต้องเกรงใจใดๆ แน่นอน แม้กระทั่งฮ่องเต้ พระบิดาของเขา ข้ายังไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใดๆ ประสาอันใดกับอ๋องไร้อำนาจเช่นเขา รุ่ยอ๋องไม่มีท่าสลดแม้แต่น้อย เขายิ้มแฉ่งเห็นฟันทุกซี่ในปาก

“อืมฮึ มองขาดจริงๆ สมแล้วที่เป็นทายาทตระกูลโหยว”

ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็มองเจ้าขาดได้ เหอะ สันดานคนมักมาก!

ข้าส่งสายตาดูแคลนไปอย่างไม่ปกปิด อีกฝ่ายหน้าหนายักไหล่ไม่ยี่หระใดๆ ก่อนจะหันไปสอดส่องสายตาไปยังกลุ่มสาวน้อยที่กำลังเมียงมองการเต้นรำกลางลานอย่างสนอกสนใจ ไม่นานบุรุษนักรักก็แย้มยิ้มเลื่อนสายตาราวกับนายพรานป่าไปยังกลุ่มเด็กหนุ่มรูปงามที่ยืนสังสรรค์ไม่ไกลนัก ไม่แปลกที่รุ่ยอ๋องจะชื่นชอบงานเลี้ยงแบบนี้เพราะมีอาหารตามากมายให้เขาเลือกมองเลือกแทะโลม ข้าปั้นหน้านิ่งเฉย รู้สึกอยากเอาไม้จิ้มดวงตาของสหายมากรักเหลือเกิน

ในวันนี้ข้าจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเปิดโรงเตี๊ยมแห่งใหม่ โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีรูปแบบการบริการที่แปลกใหม่ แตกต่างจากโรงเตี๊ยมเจ้าอื่นๆ มันเป็นความคิดของหุ้นส่วนคนสำคัญของข้า ข้าเห็นว่าความคิดของเขาน่าสนใจดีจึงออกทุนให้สร้างขึ้น และวันนี้เป็นวันเปิดวันแรกข้าได้จัดงานเลี้ยงพร้อมเชื้อเชิญเหล่าแขกเหรื่อที่มีชื่อเสียงและมีเงินถุงเงินถังมาลองใช้บริการ หากครั้งแรกประทับใจครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ยากที่จะเหนี่ยวรั้งใจของลูกค้าได้ ข้าเหลือบมองไปยังกลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังสนใจเรียนรู้การเต้นรำคู่แบบใหม่กลางลานเต้นรำแล้วแย้มยิ้ม

หุ้นส่วนคนสำคัญของข้า หรือในอีกตำแหน่งที่พวกเรากลุ่มการค้าเจ็ดบุปผาเรียกขานเขาว่า ‘คุณชายจื่อเถิง’ (ดอกวิสทีเรีย/ม่วงระย้า) ผู้รับผิดชอบโรงละครของกลุ่มการค้าเจ็ดบุปผา เขาเป็นคนที่ข้าผู้นี้เก็บมากับมือ เป็นเพชรน้ำหนึ่งเม็ดงามที่สุดของข้า บอกไว้แล้วว่าเมื่อเจอคนเหมาะสมทุกอย่างลงตัวการค้าขายก็ย่อมราบรื่น โรงละครของข้าสร้างรายได้มหาศาล อีกทั้งคุณชายจื่อเถิงยังเป็นคนเจ้าความคิดมักเสนอสิ่งน่าสนใจมากมายออกมา แม้กระทั่งสุราม่วงนี้เขาก็เป็นผู้นำเสนอ เฮอ ข้านี่ช่างโชคดีนัก หลบไปนอนอู้บนต้นไม้ก็เก็บตกเพชรเม็ดงามเม็ดนี้กลับมาได้ เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้ม!

ข้ามองร่างบอบบางที่กำลังร่ายรำบนลานเต้นรำแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง  ค่ำคืนนี้ข้ายิ้มไปกี่รอบกันนะ แต่คนกำลังมีความสุขนี่นะ ช่วยมิได้จริงๆ ดวงตาข้ายังคงจับจ้องเด็กหนุ่มที่ร่ายรำอ่อนช้อยพร้อมกับฉวยจอกสุราม่วงขยับก้าวเท้าเดินเข้าไปหาคนผู้นั้น เมื่อไปถึงตัวเขาข้าก็หยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่เข้าไปรบกวนการร่ายรำที่งดงามราวกับผีเสื้อกระพือปีกโบยบินบางเบา ไม่นานนักคนงามก็หยุดเต้นรำแล้วหันมายิ้มหวานเสียใจสลายให้แก่ข้า ให้ตายเถิด ไม่เห็นต้องยิ้มหวานปานนั้น เพียงแค่นี้ข้าก็แทบยกทุกสิ่งทุกอย่างให้แล้ว

ร่างบอบบางในชุดสีสดสวยย่อตัวทักทายอย่างอ่อนช้อย ข้ารีบแล่นเข้าไปประคองเขา ลอบสูดกลิ่นกายหอมกรุ่น เสียงหวานใสราวกับเม็ดมุกกล่าวทักทายข้าด้วยสีหน้าดีอกดีใจ ข้ายิ้มแล้วส่งจอกสุราในมือออกไป

“นายน้อย ไฉนถึงอยู่ที่นี่เล่า ท่านบอกว่าไม่ว่างมิใช่หรือ?”

“ได้เห็นสีหน้าเจ้าเบิกบานใจของเจ้าย่อมคุ้มค่าแล้วที่มา”

“นายน้อยละก็ ปากหวานเสียจริง”

“ทางนี้ปล่อยให้เด็กๆ จัดการไปเถิด เจ้าไปนั่งคุยกับข้าทางนู้นเถิด” ข้ายิ้มรับคำชมจากเขาแล้วชักชวนให้อีกฝ่ายพักผ่อนบ้าง ตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มข้าแอบมองเขาอยู่นาน เห็นอีกฝ่ายขึ้นแสดงและเดินพูดคุยกับแขกเหรื่อมิได้หยุด ข้าเป็นห่วงว่าเพชรเม็ดงามของข้าจะพลันหมองแสงไปเสียอีก มิได้ๆ หยกเนื้อดีย่อมต้องทะนุถนอมเอาไว้นานๆ

ใช่แล้วละ เด็กหนุ่มตรงหน้าข้าก็คือคุณชายจื่อเถิง หรือชื่อจริงๆ ของเขาก็คือ ‘อวิ๋นเฟิง’ เขาเป็นนักแสดงหลวงฝึกหัดที่กำลังร่ำเรียนอยู่ในสำนักหงส์ร่อน แม้จะยังอายุน้อยแต่เขายังมีความคิดแปลกใหม่ มากไปด้วยความสามารถ และรูปโฉมก็งามล้ำเหลือ ในอนาคตเขาต้องกลายเป็นนักแสดงหลวงแถวหน้าที่โดดเด่นผู้หนึ่งอย่างแน่นอน และที่น่ายินดีมากกว่านั้น ข้าเป็นคนค้นพบเขาอย่างไรเล่า!

ข้าพูดคุยกับอวิ๋นเฟิงได้สักพักรุ่ยอ๋องก็เข้ามาสมทบ ข้าเหล่มองสหายด้วยแววตาเย็นเยียบ มองปราดเดียวก็รับรู้ว่ามันมาด้วยจุดประสงค์อันใด เหอะ หากมิใช่คนงามที่นั่งอยู่กับข้าคนนี้แล้วจะเป็นผีสางตนใดอีกที่ทำให้หนุ่มนักรักยอมขยับเคลื่อนตัว มิได้ ข้าไม่อนุญาตให้แมลงสกปรกมาตอมไต่เพชรเม็ดงามของข้าเป็นอันขาด ก่อนที่รุ่ยอ๋องจะได้กล่าวอันใดข้าก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้แก่อวิ๋นเฟิงที่ยิ้มรับขบขันรับรู้สิ่งที่ข้าให้สัญญาณไป นอกจากเป็นตัวทำเงินทำทองแล้วอวิ๋นเฟิงยังหัวไวมาก ข้าชอบเขามากทีเดียว!

“ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้วขอรับ อู้นานเกินไปประเดี๋ยวเพื่อนร่วมสำนักจะไม่พอใจเอา” ว่าแล้วอวิ๋นเฟิงก็ลุกขึ้น ก่อนที่ร่างบอบบางกลิ่นกายหอมฟุ้งจะผละออกไปเขาโน้มตัวเข้ามาจูบมุมปากของข้ารวดเร็วแล้วแย้มยิ้มล่ำลาเสียงอ่อนหวาน

“ได้คุยกับนายน้อยโหยวแล้วข้าสำราญใจยิ่ง ไว้โอกาสหน้ามาสนทนากันใหม่นะขอรับ” พูดออดอ้อนจบก็เดินกรีดกรายด้วยท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน ข้าเม้มปากแล้วพ่นถอนหายใจออกมา ให้ตายเถิด พวกนักเต้นนักแสดงชอบหว่านเสน่ห์เป็นนิสัยอย่างที่คนเขาว่าไว้จริงๆ แม้จะรู้อยู่ก่อนแต่อดจะเคลิ้มไปกับเสน่ห์เย้ายวนนั้นมิได้จริงๆ ข้ากำลังเคลิ้มๆ ก็ถูกเสียงฮึดฮัดไม่พอใจจากด้านข้างดึงกลับมาสู่ความจริง ข้าชำเลืองตาไปมองอย่างไม่ใส่ใจนัก เห็นรุ่ยอ๋องทำหน้าบูดบึ้งมองข้าด้วยแววตาอิจฉาอย่างหนัก รุ่ยอ๋องมิทราบว่าจริงๆ แล้วอวิ๋นเฟิงเป็นหุ้นส่วนของข้าทำให้เขาเข้าใจไปว่าข้ากับอวิ๋นเฟิงมีความสัมพันธ์เชิงรักๆ ใคร่ๆ ข้าขยับริมฝีปากยิ้มเยาะวางมาดประหนึ่งผู้ชนะด้วยความสะใจ

“เจ้านี่นะ ปากต่อว่าข้ามักมากแต่ตนเองกลับมิได้น้อยหน้าไปกว่าข้าเลยสักนิด”

“อย่าได้เหมาข้ารวมกันกับเจ้า ข้าน่ะจริงใจต่อทุกคน” ข้าหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วเอียงหน้ากล่าวแย้งด้วยรอยยิ้มกว้าง รุ่ยอ๋องเบะปากตอบกลับ สีหน้าหมั่นไส้ข้าถึงขั้นสุด ข้าแค่นเสียงตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็หันไปยิ้มรับคำเชื้อเชิญเต้นรำจากเหล่าคุณหนูที่เดินเข้ามาหา รุ่ยอ๋องมองตามด้วยแววตาที่คุโชนไปด้วยกองไฟ อาฮะ ข้านั้นเสน่ห์แรงกว่าอ๋องว่างงานเช่นเจ้าแน่นอน อย่าได้อิจฉาไปเลยรุ่ยอ๋อง!

ข้าปั้นหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาที่เต้นรำกับเหล่าคุณหนูวัยสดใสทั้งหลาย ต่อด้วยเหล่าหนุ่มน้อยที่ส่งสายตาเมียงมองอยู่นาน ข้าค่อยๆ รับมือไปตามลำดับจนมากเกินจะรับไหวแล้วก็ขอตัวท่ามกลางความเสียดายของพวกเขา ว่าแล้วเชียว มางานแบบนี้ทีไรเป็นต้องถูกเข้าประชิดตัวพยายามสานสัมพันธ์เอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ตระกูลน้อยใหญ่ก็ต่างกระตือรือร้นผูกมิตรกับข้า ข้ารู้อยู่แล้วถึงได้หลีกเลี่ยงงานประเภทนี้เสมอ ทุกครั้งที่เข้าร่วมต้องเปลืองแรงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ข้าล่องลอยกลับมาที่เดิมซึ่งมีรุ่ยอ๋องนั่งอยู่ก่อนแล้ว สหายน่าชังของข้าเห็นสภาพเหนื่อยจนหมดแรงของข้าก็ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ใบหน้าฉีกยิ้มสะใจอย่างไม่ปกปิด

“เจ้าต้องทำใจให้ชิน เพราะผู้ใดก็อยากจะจับนายน้อยตระกูลโหยวทั้งนั้น”

“อืม แต่เจ้าคงอยากลำบากเช่นข้าแน่ๆ”

“ได้เช่นนั้นก็ดี!”

ข้าพ่นลมหายใจแล้วส่ายหน้ากับอาการกระตือรือร้นออกหน้าออกตาของสหายคนสนิท เรื่องเช่นนี้ไม่มีปฏิเสธเลยจริงๆ ไม่รู้ควรหัวเราะหรือโมโหก่อน มันดีจริงรึที่มีแต่คนอยากเข้ามาประจบประแจง น่ารำคาญเสียมากกว่า ข้าเบื่อหน่ายกับคนเหล่านี้มามากเกินพอแล้ว บางครั้งข้าลองคิดเล่นๆ ไปว่าหากตัวข้ามิใช่โหยวเล่อหรงแล้วคนเหล่านี้จะมีท่าทีเช่นไรกัน เฮ้อ ซึ่งมันก็ไร้สาระสิ้นดี อย่างไรเสียตัวข้าก็คือโหยวเล่อหรงอยู่วันยังค่ำ

“อย่าทำหน้าเอือมระอาเช่นนั้น ตัวข้าน่ะไม่น่าเป็นห่วงเท่าตัวเจ้าหรอก เพราะข้าไม่มีอันใดให้ใครมาหลอก”

“หึ ข้าจะเลี้ยงดูคนงามทั้งแผ่นดินก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือน เจ้าจะมาห่วงอันใดว่าข้าจะถูกผู้ใดหลอก อีกอย่างหากเป็นคนงามข้าเต็มใจให้หลอก” ข้าพูดกลั้วหัวเราะอย่างชอบใจ คนตระกูลโหยวหากมิเคยถูกหลอกมาอย่างน้อยสักครั้งก็ไม่นับว่าเป็นคนตระกูลโหยวที่แท้จริงหรอก ข้าเคยชินกับพวกที่เข้ามาหลอกใช้ประโยชน์นานแล้ว ข้าถือว่าถูกหลอกมาน้อยครั้งที่สุดแล้ว เพราะส่วนใหญ่ข้าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกอยู่แต่ก็เต็มใจหากอีกฝ่ายเป็น...สตรีและคนงาม!

รุ่ยอ๋องมองข้าด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ ยักไหล่แล้วเอื้อมมือจับกาสุรามารินใส่จอก ยกขึ้นจิบทีละเล็กทีละน้อย รุ่ยอ๋องเห็นข้าไม่สะทกสะท้านก็ไม่ยอมเลิกรา เอ่ยประชดมาอีกหนึ่งประโยค

 “ช่างใจกว้างเสียจริงๆ คนรักในอนาคตของเจ้าคงจะถูกตามใจจนเสียคนเป็นแน่”

“...ตามใจก็จริงแต่ข้าไม่ใจกว้างกับคนรักหรอกนะ สำหรับคนรักข้าใจแคบมาก เขาต้องมีข้าเพียงคนเดียว รักข้าเพียงคนเดียว ในสายตาของเขามีเพียงข้า ข้าคือหนึ่งเดียว ที่สำคัญที่สุด ไม่มีสองสามสี่เด็ดขาด”

ข้านิ่งไปครู่หนึ่ง คนรักของข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดภาพไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็เคยเพ้อฝันเอาไว้เช่นกันเมื่อครั้งยังเยาว์วัยกว่านี้ อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมภายในตระกูลกระมังถึงทำให้มีความคิดเช่นนี้ ตระกูลของข้านั้นยึดมั่นในคู่หนึ่งเดียวมาก หากจะมีคนรักจะต้องมีเพียงหนึ่งเท่านั้น แตกต่างจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยตระกูลอื่นๆ ที่มีเล็กมีน้อยกันเป็นโขยง ได้ยินมาว่าเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลของเราสั่งสอนกันมา

หนึ่งคนหนึ่งหัวใจ!

ค่อนข้างจะน้ำเน่าแต่ข้าก็เห็นทุกคนมีความสุขดี ไม่เหมือนพวกตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นที่ภายนอกยิ้มแย้มภายในเชือดเฉือนกัน ตัดปัญหาความวุ่นวายไปได้หลายเรื่อง บิดามารดาของข้าเป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นแบบอย่างที่ข้าปรารถนา ไม่เห็นบิดาหน้าหนวดของข้าจะกระสันอยากได้อนุ แต่ก็นะ หากข้ามีภรรยาที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและจิตใจเช่นท่านแม่ละก็คงมิคิดมีอื่นแน่นอน สำหรับข้าแล้วคู่ครองจะหน้าตาอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ข้าจะต้องเป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“ฟังแล้วดูผูกมัดและเผด็จการชะมัด แต่ก็สมแล้วที่เป็นความคิดของคนเย่อหยิ่งเช่นเจ้า สงสารคนคนนั้นขึ้นมาเลยแฮะ”

ข้าตวัดสายตาไปมองอ๋องว่างงานที่ไม่มีอำนาจหน้าที่อันใดอย่างไม่พอใจ ผูกมัดอย่างนั้นหรือ? เพ้ย! ก็ต้องผูกมัดน่ะสิ! คนหลายเมียเช่นเจ้าจะไปรู้อันใด แน่จริง ลองให้ชายาของเจ้ามีอนุชายรูปงามสิ คราวนี้ยังจะยิ้มพูดหน้าตาเฉยได้อีกหรือ? ฮึ พวกมักมากเห็นแก่ตัวก็มักจะมองไม่เห็นความเจ็บปวดของคนถูกกระทำ

“เจ้าจะมาสงสารอันใด ข้าเองก็จะทุ่มเทให้คนที่ข้ารักทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเหมือนกัน”

“แล้วถ้าคนคนนั้นมิได้รักเจ้าเล่า?” สีหน้าคนถามดูท้าทายอยู่หน่อยๆ ข้าหัวเราะขบขัน คนอย่างโหยวเล่อหรงน่ะหรือจะผิดหวังในความรัก? คิดภาพไม่ออกจริงๆ!

“ไม่เคยคิดกรณีนี้ไว้เลยจริงๆ คงยาก แต่ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากข้าทุ่มเททุกอย่างไปหมดแล้วแต่มันกลับไม่มีอะไรตอบกลับมาก็คงต้องตัดใจ เสียใจได้แต่อย่าท้อแท้ คนงามมีอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน!”

คนอย่างโหยวเล่อหรงไม่มีวันง้อผู้ใด!

“คนงามมีมากมายก็จริง แต่คนที่เจ้ารักมีเพียงแค่คนเดียวมิใช่หรือ?”

“...คมจนเลือดไหล! ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากท่านอ๋องที่มีเมียเป็นสิบเช่นเจ้า” ข้าเบิกตาตกใจ มองสหายที่เพิ่งเอ่ยประโยคดูดีเมื่อครู่ โอ้โห ไม่น่าเชื่อว่าในหัวของเจ้าคนมักมากเช่นรุ่ยอ๋องจะมีคำว่ารักเดียวใจเดียว รุ่ยอ๋องยิ้มขัดเขินราวกับข้าชมเชย ทั้งที่ข้าประชดเขาต่างหาก เขาโบกมือแก้ต่างด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ

“เจ้าก็พูดไปเรื่อย แค่สามคน สิบคนที่ไหน”

ข้าหรี่ตามองอย่างละเหี่ยใจ หน้าหนาจนแยกแยะไม่ออกว่าอันใดชมอันใดประชดสินะ มันน่าภาคภูมิใจตรงไหน มีเมียมากเป็นเรื่องที่ทำง่ายดายยิ่ง แต่มีคนรักเพียงหนึ่งเดียวประคับประคองเคียงข้างกันนี่สิถึงจะน่าภูมิใจ! คนสวมบทนักรักเริ่มร่ายคำพรรณนาออกมาไม่หยุด น่ารำคาญเสียจนข้าต้องขัดทุกประโยค

“ความรักนั้นเปรียบประดุจอากาศ น้ำ อาหาร ไม่มีก็ต้องตาย”

“ไม่มีความรักก็ใช่ว่าจะตาย”

“แต่ทุรนทุรายยิ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นขอเชิญท่านอ๋องกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าพระชายาและสนมทั้งสองกำลังทุรนทุรายอยู่เป็นแน่”

“…..”

หึ คนขาดความรักมิได้ถึงกับนิ่ง!

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ก่อนพบพาน : ขวบที่ ๑๒ ในที่สุดก็ถึงเวลาเสียที!


“เอ่อ...คือ...คุณชายขอรับ  คู่ซ้อมวันนี้ของคุณชาย...เอ่อ...ท้องร่วงอย่างรุนแรง...มาซ้อมมิได้จริงๆ ขอรับ” หัวหน้าสำนักคุ้มภัยที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดระเบียบจัดที่สุดยืนกุมมือก้มศีรษะปลกๆ ขอโทษเด็กชายผู้หนึ่ง ใบหน้าเป็นเหลี่ยมคล้ำแดดเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัวราวกับวันนี้มีดวงอาทิตย์อยู่เก้าดวงด้วยกัน หัวหน้าสำนักคุ้มภัยโจวยิ้มเจื่อนๆ

แล้วผู้ใดมันจะไปรู้ว่าแค่เรื่องง่ายๆ อย่างหาคู่ซ้อมให้กับลูกชายเจ้านายมันจะกลายเป็นวิบากกรรมเพียงนี้! บุรุษเหล็กฆ่าก็ไม่ตายอย่างหัวหน้าโจว ผู้คุ้มภัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองจินหยางแห่งนี้กลับต้องมาอับจนให้กับปัญหานี้ โธ่เอ๊ย ตั้งแต่ขันอาสารับปากนายท่านว่าจะหาคู่ซ้อมให้กับนายน้อยหัวของเขาก็ปวดหนึบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ไม่น่าหาเหาใส่หัวเลย ให้ตายเถิด ผู้ใดมันจะนึกว่าบรรพบุรุษน้อยตรงหน้านี้จะดวงพิฆาตรุนแรงเพียงนี้ เขากำหนดลูกน้องหรือลูกศิษย์คนไหนให้เป็นคู่ฝึกซ้อมแก่เด็กชาย คนผู้นั้นต้องมีอันเจ็บป่วยอย่างกะทันหันทันด่วน ไม่ก็เกิดอุบัติเหตุขาหักแขนหัก สารพัดอย่างที่จะเป็นไปได้ จนถึงวันนี้เขาก็ยังหาคู่ซ้อมให้กับบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ไม่ได้เลย เคยได้ยินข่าวลือของนายน้อยสกุลโหยวมาอยู่หรอก แต่ไม่นึกว่าจะร้ายแรงขนาดนี้!

ว่ากันว่าคุณชายน้อยแห่งตระกูลโหยวนั้นเป็นบุคคลที่เทพแห่งโชครักใคร่อย่างมาก หากเขาต้องการทำสิ่งใดย่อมประสบผลสำเร็จอยู่เนื่องๆ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่านายน้อยคนนี้ลงแข่งต่อสู้ประจำปีทีไรก็ครอบครองอันดับหนึ่งเสียทุกครั้ง แบบไม่ต้องเสียเหงื่อแม้สักหยดเดียวอีกด้วย จะให้เสียเหงื่อได้อย่างไรเล่า ยังไม่ทันได้เดินขึ้นสนามประลอง คู่แข่งแต่ละคนก็ต้องมีอันสละสิทธิ์มันทุกคน เข้ารอบไปจนได้อันดับหนึ่งแบบไม่ได้ปะทะใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้มาสามปีซ้อนจนทุกคนร่วมลงชื่อคัดค้านไม่ให้ลงแข่ง

“ช่างเถิด ข้าชินแล้วละหัวหน้าโจว” เด็กชายผู้มีดวงพิฆาตรุนแรงยิ้มกว้างแล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยังรู้สึกเกรงอกเกรงใจหัวหน้าโจวที่ต้องมาปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้อีกด้วย เด็กน้อยหันตัวเดินจากไปอย่างเริงร่าไม่ติดใจดังปากว่าไว้ หัวหน้าโจวพ่นลมหายใจโล่งอกที่อีกฝ่ายเข้าใจและไม่ติดใจเอาเรื่องเอาราวอันใด

โหยวเล่อหรง ทายาทผู้เดียวของตระกูลโหยวที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในใต้หล้า เขาเดินเหวี่ยงถุงเงินหนักๆ ไปมาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะหล่นหายไปหรือไม่ จากนั้นก็ชำเลืองมองแผงร้านค้า จับจ่ายใช้สอยให้เงินจำนวนมากอย่างมือเปิบ แต่กระนั้นก็ไม่สะกิดเงินในถุงของเขาให้น้อยลงได้ ช่วงนี้เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือการฝึกวิชายุทธ์ ทุกอย่างง่ายดายไปหมดจนน่าเบื่อหน่าย ความรู้สึกเหล่านี้กระตุ้นให้เขาอยากจะออกไปทำภารกิจเร็วยิ่งขึ้น ทุกวันนี้ก็เทียวเช้าเทียวเย็นไปพูดกรอกหูเหล่าบรรดาผู้อาวุโสจนพวกท่านแทบจะแปะป้ายห้ามเข้าอยู่แล้ว พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าช่วงอายุที่เหมาะสมกับการออกไปทำภารกิจนั้นจะต้องอายุสิบห้าปีขึ้นไป อย่างบิดาของเขาที่ออกไปตอนอายุสิบห้าปีพอดี ส่วนท่านอารองหยวนออกไปช้ากว่าหน่อยด้วยวัยยี่สิบปีนั่นเอง

ระหว่างที่โหยวเล่อหรงกำลังเพลิดเพลินกับอาหารในมือก็มีเสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับบุรุษร่างสูงใหญ่กล้ามโตราวศีรษะทารกโผล่พรวดเข้ามาใกล้

“นายน้อยขอรับ! นายน้อยยยย!”

“โอ๊ย เสียงดังอันใดนักหนา หุบปาก!” พูดจบคนเป็นเจ้านายก็ควักตำลึงทองขว้างใส่ศีรษะคนมาใหม่ให้เบาเสียงลง เรียกได้ว่าเอาเงินฟาดหัวก็มิผิดอันใด คนมาใหม่รับตำลึงทองพร้อมกับเช็ดถูเก็บเอากระเป๋าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไม่ลืมฉีกยิ้มกว้างๆ ประจบประแจงนายน้อยของเขา บุรุษตัวโตค่อยพูดค่อยจา ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องหงุดหงิดอีก

“นายน้อย นายท่านรองกลับมาจากซานโถวแล้วขอรับ กำลังถามหานายน้อย ข้าก็เลยวิ่งมาตามเช่นนี้”

“อะไรนะ ท่านอารองกลับมาแล้วงั้นรึ!? ก็แล้วไยไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า!” เจ้านายตัวน้อยที่กำลังแทะขนมได้ยินก็ทำตาโตระยิบระยับ ก่อนจะขมวดคิ้วปาตำลึงทองใส่คนรับใช้กล้ามโตอีกหน ครั้งนี้เป็นการชมเชยที่คาบข่าวมาบอกพร้อมๆ ทั้งลงโทษที่บอกช้าเกินไป

เด็กชายวัยสิบสองฉีกยิ้มกว้างหมุนตัววิ่งกลับไปยังรถม้าทองคำที่จอดรอท่าอยู่ก่อนแล้ว เป็นรถม้าของบ้านของเขาแน่นอน ไม่มีผู้ใดอุตริเอาทองคำว่าสร้างเป็นรถม้าเล่นๆ แบบตระกูลของเขาหรอก เนื่องจากอยากกลับคฤหาสน์เร็วๆ ครั้งนี้เด็กน้อยถึงไม่รังเกียจรังงอนรถม้าทองคำเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ต่อให้มีใครดิ้นตายต่อหน้าเขาก็ไม่ขอนั่งรถสีทองรสนิยมห่วยแตกเช่นนี้เป็นอันขาด

พอกลับมาถึงคฤหาสน์โหยวเล่อหรงก็เดินถลาไปยังห้องโถงใหญ่ทันที เมื่อย่างก้าวเข้าไปข้างในโถงรับแขกแห่งนั้นเขาก็เห็นบุรุษหนุ่มพกผ้าพันศีรษะแต่งชุดชนเผ่าทะเลทรายนั่งอยู่ เด็กชายยิ้มร่ารีบเดินเข้าไปเรียกหาบุรุษผู้นั้นทันที

“ท่านอารอง!”

“เล่อเล่อ กลับมาแล้วงั้นรึ?” คนที่เด็กน้อยโผเข้าไปกอดหันมาพร้อมกับอ้าแขนกอดหลานชายกลับ เขายิ้มกว้างเช่นเดียวกัน จากนั้นก็จับหลานชายพิจารณาซ้ายขวาเป็นการใหญ่ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ

“ดูสิ โตเร็วจริงๆ อาไปไม่นานหลานสูงขึ้นมากทีเดียว”

“อีกไม่นานต้องสูงแซงท่านอารองเป็นแน่!” คนโตเร็วเชิดหน้าภาคภูมิใจในความสูงของตนเอง ก่อนจะเอียงหน้าเอ่ยหยอกล้อท่านอารองที่มีความสูงน้อยกว่าพี่น้องคนอื่นๆ

“อย่าไปเทียบความสูงกับเจ้ารองเลย สูงเท่าตัวล่อ น่าภูมิใจที่ไหน” เสียงทุ้มต่ำมากๆ คล้ายพูดอยู่ในลำคอกล่าวล้อเลียนสมทบทันที

“พี่ใหญ่ก็พูดเกินไป ผู้ใดมันจะไปสูงเท่าตัวล่อกัน เตี้ยเกินไปแล้วกระมัง” คนถูกรุมล้อเรื่องความสูงนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยแย้งกลับไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย สองอาหลานหันไปมองบุรุษไว้หนวดเครารกไปครึ่งหน้าที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดา ภาพลักษณ์ของทั้งคู่แตกต่างราวกับฟ้ากับดิน คนหนึ่งดูหยาบกระด้างคล้ายโจรหลุดออกมาจากค่าย อีกคนกลับอ่อนหวานบริสุทธิ์ปานนางเซียน มิน่าเชื่อว่าพวกเขาจะเป็นสามีภรรยากัน โหยวฟ่านหลี ประมุขตระกูลโหยวคนปัจจุบันและฮูหยินผู้งดงามหยาดเยิ้มของเขา

“ท่านพ่อก็พูดเกินไป” โหยวเล่อหรงหันไปแย้งบิดาของตนพลางทำหน้าฮึดฮัดไม่พอใจ โหยวหยวนยิ้มแป้นเมื่อหลายชายคนโปรดเข้าข้าง คนถูกแย้งยกคิ้วรอฟังความบุตรชาย เด็กน้อยไม่รอช้าคลี่ยิ้มซุกซนตอบไปเสียงสดใส

“ท่านอารองสูงเท่าอานตัวล่อต่างหาก!”

สองพ่อลูกสบตากันก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังทันที คนถูกล้อเล่นด้วยทำหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะยกมือตบก้นหลานชายอย่างมันเขี้ยว

“เล่อหรง เจ้านี่มัน...”

“ว่าแต่ท่านอาซ่งมิได้มาด้วยหรือ?” คนถูกตบบั้นท้ายแอบเบี่ยงตัวหลบแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดทันที พอพูดถึงคนที่ถูกพาดพิงถึงใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลของโหยวหยวนก็อ่อนโยนขึ้นมาอยู่หลายส่วน

“เขาอยู่กับลูกน่ะ ครั้งนี้อามาคนเดียว”

“อ้าว น้องก็มิได้มาด้วยงั้นหรือ?” โหยวเล่อหรงทำหน้าผิดหวังทันทีที่ได้ยิน อุตส่าห์รีบมาเพราะอยากจะเห็นหน้าตาน้องที่เพิ่งเกิดเสียหน่อย เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในตระกูล แต่พอท่านอารองคลอดน้องออกมาก็มิใช่เขาแล้วที่อายุน้อยที่สุด ตาลุงหน้าตาน่ากลัวคนนั้นไม่มาก็ช่างเถิด แต่เหตุใดน้องที่เขาเฝ้ารอกลับไม่มากันเล่า!

หญิงสาวที่นั่งยิ้มแย้มฟังอาหลานพูดกันก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ร่างกายอ่อนเพลียเช่นนี้เจ้าควรจะพักผ่อน ส่งเพียงจดหมายมาแทนจะดีกว่า”

“ข้าสบายดีแล้วพี่สะใภ้ ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“ข้าจัดของบำรุงให้เจ้าอีกหน่อยดีหรือไม่?”

“อย่าเลยพี่สะใภ้ ข้าถูกเจ้าบ้านั่นบำรุงจนซีดเพราะบำรุงมากเกินไปแล้ว”

“ซีดเพราะบำรุงหรือซีดเพราะหักโหมกันแน่ หือ?” โหยวฟ่านหลีเปิดปากหยอกน้องชาย ดวงตากลอกไปมาอย่างล้อเลียน คนถูกล้อหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย สองสามีภรรยาหัวเราะขบขัน คนถูกหัวเราะกลับทำหน้าบูดบึ้ง

“พี่ใหญ่พูดจาเหลวไหลนัก เป็นถึงประมุขตระกูลโหยวกลับพูดเรื่องลามกหน้าตาเฉย”

“นี่ข้ายังมิทันได้พูดลามกอันใดเลยนะ เจ้าก็ร้อนตัวไปเสียก่อนแล้ว หรือเป็นเรื่องจริง?” ประมุขตระกูลโหยวยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบกลับน้ำเสียงยียวนจนคนได้ยินต้องเม้มปากอดกลั้น หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องกระแอมไอออกมาห้ามศึกน้ำลายของสามีกับน้องสามีเมื่อเห็นว่าคนถูกล้ออายจนจะขอสู้ตายอยู่แล้ว

“ท่านอารอง กลับไปครั้งนี้เอาข้าไปด้วยนะขอรับ ข้าอยากไปดูน้อง”

“ชิชะ เจ้าตัวแสบ คิดจะไปเที่ยวละสิ ไม่ต้องมาอ้างน้องเลย”

“แหม ท่านอาละก็ รู้ทันกันอีก” โหยวเล่อหรงหัวเราะเก้อๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายดักคอไว้เสียก่อน จริงๆ เขาก็อยากจะไปดูน้องเหมือนกัน แค่อยากจะไปเที่ยวทะเลทรายมากกว่านิดหน่อย พอถูกจับได้ก็รีบยิ้มเอาใจเมื่อท่านอารองจ้องเขม็ง ผู้เป็นมารดามองบุตรชายแล้วส่ายหน้าเอือมระอา

“โตขนาดนี้แล้วยังห่วงแต่เล่นสนุก”

“นั่นสิ แล้วจะไปทำภารกิจไหวหรือ?”

“ท่านพ่อหมายถึงภารกิจอะไรงั้นหรือ!?” โหยวเล่อหรงหันขวับไปมองบิดา  ทั้งสงสัยปนอยากรู้ ในใจเต้นเร็วขึ้นด้วยความคาดหวัง แต่เพื่อความแน่นอนเขาจึงอดจะถามออกไป โหยวฟ่านหลีกระตุกมุมปากยิ้ม

“ย่อมเป็นภารกิจที่เจ้าคิดอยู่แล้วสิ”

“ท่านพ่ออออ!” โหยวเล่อหรงรีบโผเข้าไปหาบิดาด้วยความตื่นเต้น แสดงว่าที่เขาเทียวไปกดดันเหล่าอาวุโสนั้นก็ประสบความสำเร็จแล้วสินะ นัยน์ตาสีทองเปล่งประกายวิบวับ ตั้งแต่จำความได้คำว่าภารกิจนั้นฝังอยู่ในหัวของเขามาตลอด เพราะทุกครั้งเวลาเรียนอาจารย์ประจำตัวก็จะอ้างถึงเรื่องนี้จนเขาอยากจะโบยบินไปทำภารกิจเสียเดี๋ยวนั้นเลย

ทายาทตระกูลโหยวทุกรุ่นร่ำเรียนวิชาทุกแขนงจากสุดยอดอาจารย์ และเมื่ออายุครบกำหนดจะถูกส่งไปทำภารกิจตามที่ทางผู้อาวุโสของตระกูลตั้งไว้ อย่างเช่นบิดาของเขา ถึงไม่อยากจะรู้แต่อีกฝ่ายก็โม้ให้ฟังทุกครั้งหลังมื้ออาหาร ทำให้เขาจำได้ดี บิดาของเขาได้ภารกิจสร้างกองทัพอันแข็งแกร่งแก่แคว้นฉู่

กองทัพแคว้นฉู่ที่เกรียงไกรโด่งดังนั้นทั้งหมดมาจากฝีมือของประมุขตระกูลโหยวคนปัจจุบันอย่างโหยวฟ่านหลีนี่เอง และภารกิจในครั้งนั้นก็ทำให้โหยวฟ่านหลีพบกับภรรยาของเขา จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของโหยวเล่อหรงว่าหากเขาไปทำภารกิจบ้าง อาจจะได้พบรักหวานชื่นแบบบิดา

เด็กชายทำตาเป็นประกายตื่นเต้นทั้งที่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะเป็นภารกิจอันใด

“ดูเถิด เจ้าลูกหมา อยากจะไปจนทนไม่ไหวแล้ว เฮ้อ เห็นบ้านเป็นอันใด ไม่อยากอยู่บ้านเลยหรือไร?” โหยวฟ่านหลีจิ้มนิ้วแข็งๆ ลงบนหน้าผากของบุตรชายแล้วเอ่ยตำหนิพร้อมกับยิ้มๆ เพราะตอนเขายังเยาว์ก็คล้ายจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน กระตือรือร้นอยากจะไปนอกบ้านใจจะขาด

คฤหาสน์ทองคำทั้งหลังเช่นนี้ผู้ใดจะไปอยากอยู่กัน!

โหยวเล่อหรงแอบกลอกตาเล็กน้อย

“แล้วภารกิจของข้าต้องทำอะไรหรือ?”

“ยังไม่เลือกน่ะสิ นี่อย่างไรเล่าท่านอารองของเจ้าก็มาช่วยตัดสินใจมิใช่หรือ?”

“จริงหรือ? ท่านอารองต้องเลือกภารกิจให้ข้าดีๆ นะขอรับ แบบว่าช่วยคนงามจากเงื้อมมือมารชั่วอะไรแบบนี้”

...แล้วข้าก็ได้คนงามมาครอบครองอย่างไรเล่า วะฮ่าฮ่าฮ่า!

“เล่อเล่อ มันจะมีภารกิจเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า” โหยวหยวนหัวเราะขำกับสีหน้าขอร้องอย่างจริงจังของหลานชาย ชายหนุ่มรู้อยู่หรอกว่าในหัวของเด็กน้อยคิดอันใดไว้ กะจะไปหาคนรักแบบมารดาตนเองพร้อมๆ กับสะสางภารกิจที่ต้องทำ

“ก่อนจะคิดไปไกลขนาดนั้น เจ้าได้เริ่มฝึกซ้อมวิชากับหัวหน้าโจวหรือยัง?”

“โธ่ ท่านพ่อ หัวหน้าโจวหาคู่ซ้อมให้แก่ข้าไม่ได้เหมือนเดิม จะเริ่มฝึกซ้อมได้อย่างไร”

“ให้ตาย ยังดวงแรงเหมือนเดิมเลยนะเล่อเล่อ” โหยวหยวนหัวเราะคิกเมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของหลานชายบูดบึ้งทันตาที่กล่าวถึงเรื่องน่าหงุดหงิด ตั้งแต่ลืมตาดูโลกหลานชายของเขานั้นก็โชคดีเกินไป ถูกเทพเจ้าแห่งโชครักใคร่เอ็นดูเกินไปนิดหน่อย เหมือนเป็นดาบสองคม โชคดีจนกลายเป็นโชคร้าย

“จะภารกิจอันใดก็ตามเถิด แต่เจ้าอย่าได้พลีกายเพื่อภารกิจเช่นท่านอารองของเจ้าเล่า ดูสิ อุ้มท้องแก่ๆ หนีกลับบ้านมาจนสามีต้องมาตามกลับ กว่าจะตกลงกันได้เล่นเอาข้าปวดหัวไปหมด”

“แคก! พี่ใหญ่! ข้ามิได้พลีกายเพื่อภารกิจเสียหน่อย!” คนถูกพาดพิงสำลักน้ำชาจนเล็ดออกมาทางจมูก โหยวหยวนรีบปาดน้ำมูกปนน้ำชาแล้วสะบัดหน้ามาปฏิเสธเสียงดังลั่น แม้ว่าแก้มของเขาจะมีสีเข้มขึ้นก็ตาม โหยวฟ่านหลีทำหน้าไม่เชื่ออย่างที่สุด เขาทำปากคว่ำก่อนจะกระแหนะกระแหน่น้องชายอย่างสนุกปาก

“ผู้ใดจะเชื่อเจ้า หลักฐานก็มีอยู่ทนโท่ หากไม่พลีกายแล้วลูกเจ้าโผล่ออกมาได้อย่างไร? เจ้าจะบอกว่าสามีเจ้าเป่าใส่ท้องงั้นหรือ? ปัดโธ่! ลูกผู้ชายน่ะทำแล้วต้องยอมรับความจริงนะน้องรอง”

“นั่นสิขอรับ ข้ายังจำท่านอารองหนีหัวซุกหัวซุนจากลุงซ่งได้อยู่เลย อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลยที่ปวดหัว ข้าเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน”

“เพ้ย! พ่อลูกเข้ากันเหลือเกินนะ”

“แน่ละ พ่อหมากะลูกหมาเฟ้ย” สองพ่อลูกที่นานๆ จะเข้าขากันหัวเราะร่วนที่กลั่นแกล้งชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนได้สำเร็จ คนถูกแกล้งเบนสายตาไปมองพี่สะใภ้ คาดหวังให้อีกฝ่ายช่วยเหลือตนจากสองพ่อลูกร้ายกาจคู่นี้ แต่เขาอาจจะลืมไปว่าพี่สะใภ้นั้นอยู่ฝั่งไหน พอมองไปยังสตรีหนึ่งเดียวที่นั่งยิ้มเหมือนเดิมก็ต้องถอนหายใจ เขายังจำได้ว่าก่อนจะออกไปปฏิบัติภารกิจพี่สะใภ้บอกว่าดวงความรักของเขาแรงมาก ไม่อยากจะเชื่อ มันแรงจริงๆ! รุนแรงเสียจนเขาอยากจะร้องไห้เชียวละ บ้าเอ๊ย ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ขอเปลี่ยนภารกิจน่าจะดีกว่า!

ครอบครัวสกุลโหยวพูดคุยกันเสียงดังครึกครื้นจนกระทั่งเด็กรับใช้มาเชิญประมุขตระกูลไปร่วมประชุมกับเหล่าผู้อาวุโส มิใช่เรื่องอื่นไกลใดๆ แต่เป็นเรื่องภารกิจที่จะมอบหมายให้แก่นายน้อยของตระกูลนั่นเอง ส่วนเจ้าตัวที่ไม่อาจเข้าร่วมการประชุมก็หลบไปรอคอยฟังผลอย่างตื่นเต้นที่ห้องของตนเอง

ร่างสูงโปร่งของเด็กชายวัยสิบสองเคลื่อนไหวกลับไปกลับมาเป็นรอบที่ร้อย จนคนนั่งมองทนมิไหว มองจนตาลายอยู่แล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดเสียที จางผิงครางเสียงค่อยออกมาจากลำคอแล้วประท้วงเจ้านายด้วยสีหน้าเหยเก

“นายน้อยหยุดเดินก่อนเถิดขอรับ ข้าตาลายไปหมดแล้ว! ท่านเดินจนพื้นห้องจะสึกแล้วกระมัง”

“เงียบน่าหน้าเต้าหู้ ข้ากำลังคิดวางแผนในการทำภารกิจอยู่”

“นายน้อยจะวางแผนได้อย่างไร ยังไม่รู้มิใช่หรือว่าต้องทำสิ่งใด”

“จุ๊ๆ ข้าคาดเดาจากประวัติภารกิจที่แล้วๆ มาของทายาทตระกูล จากที่อ่านมาทั้งหมดแบ่งภารกิจที่ได้รับเป็นสามประเภท หนึ่งปราบคนชั่วช้าแห่งยุค สองสร้างบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง และสามปลุกปั้นคนให้มีชื่อเสียงจารึกบนประวัติศาสตร์ หากพิจารณาดูแล้วช่วงหลังๆ มานี้ประเภทสองกำลังมาแรง ข้าคิดว่าพวกเขาต้องส่งข้าไปยังเมืองทุรกันดารแห่งหนึ่งแล้วให้สร้างเมืองแห่งนั้นให้เจริญรุ่งเรืองเป็นแน่”

“โอ้โห นายน้อยนี่ฉลาดจริงๆ” จางผิงห่อปากปรบมือชื่นชมเจ้านาย ผู้ใดจะคิดสนใจอ่านประวัติภารกิจของประมุขตระกูลแต่ละรุ่นดังเช่นนายน้อยของเขาบ้าง แต่ละเล่มล้วนแล้วแต่หนากว่าคัมภีร์บทสวดมนต์เสียอีก เขาเอาเวลาไปก้มหาเหรียญตามถนนยังได้ประโยชน์มากกว่า คนโดนชมโบกมือปัดอย่างไม่สนใจแล้วก้มหน้าขบคิดวางแผนต่อไปอย่างขะมักเขม้น

และแล้วการประชุมก็จบสิ้นลง เหล่าผู้อาวุโสลงเสียงกันเลือกภารกิจให้แก่นายน้อยว่าที่ประมุขตระกูลคนต่อไปเสร็จสิ้น ทันทีที่ได้ยินว่าการประชุมสิ้นสุดคนที่เป็นหัวข้อการประชุมก็กระโดดออกจากห้องของเขาวิ่งตรงดิ่งไปหาบิดาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลยิ้มกระหยิ่ม ทั้งตื่นเต้นและใคร่รู้เต็มเปี่ยม

“ท่านพ่อ ข้าได้ภารกิจอันใดหรือ!?”

“เฮ้อ เจ้าลูกหมา ให้ข้านั่งพักจิบน้ำก่อนได้หรือไม่?” ประมุขตระกูลโหยวที่ยังไม่ทันได้หย่อนตัวนั่งก็ถูกบุตรชายกระโจนใส่ตามด้วยคำถามที่ถูกพ่นออกมารวดเร็วแทบฟังไม่รู้เรื่อง โหยวเล่อหรงพยักหน้าเข้าใจคนแก่คนเฒ่ากระดูกไม่ค่อยดีนัก ด้วยความเป็นบุตรชายยอดกตัญญูเขารีบรินน้ำชาส่งให้บิดาแล้วยืนจ้องเขม็ง

คนรับถ้วยน้ำชาที่กระฉอกไปกว่าครึ่งนั้นยกขึ้นจิบ เนื้อตัวคันหยุกหยิกไปหมด ถูกสายตากระหายใคร่รู้เกินพอดีของบุตรชายกดดันจนไม่รู้รสน้ำชาในมือ โหยวฟ่านหลีพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอา เขาวางถ้วยน้ำชาแล้วเงยหน้ามองบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน บอกๆ ให้มันจบๆ ไป มันจะได้ไม่มายืนจ้องตาไม่กะพริบเช่นนี้อีก

“ภารกิจของเจ้าก็คือ... ช่วยองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นฉิงขึ้นครองราชย์”

รัชทายาทแห่งแคว้นฉิง!?

“อะไรกัน ไยถึงไปไกลถึงแคว้นฉิงนู้นเล่าขอรับ เปลี่ยนเป็นแคว้นเล็กๆ แถวนี้มิได้หรือ?” โหยวเล่อหรงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อฟังภารกิจที่เขาต้องไปทำ เรื่องช่วยเหลือรัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์ก็มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด ในอดีตเหมือนจะมีมาบ้างแล้ว บางคนถึงขั้นกลายเป็นสหายสนิทกันเลยก็มี ภารกิจนี้ค่อนข้างกินนิ่มสำหรับเขา แต่ที่มิได้คาดคิดกลับเป็นสถานที่ไปทำภารกิจต่างหาก แคว้นฉิงอยู่ไกลจากแคว้นต้าหยางมาก เรียกได้ว่าเป็นแคว้นเล็กปลาซิวปลาสร้อย

อีกอย่างสิ่งที่เขาไม่ชอบใจก็คือ... มันเกี่ยวข้องกับพวกราชวงศ์ โหยวเล่อหรงไม่ชอบที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะมีสหายสนิทเป็นรุ่ยอ๋อง แต่อีกฝ่ายนั้นก็มิได้เกี่ยวข้องกับศึกในราชสำนัก แต่ภารกิจนี้ของเขาเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์อย่างแน่นอน ในใจของเขามีอคติกับพวกราชวงศ์ คนพวกนี้ร้ายกาจเกินกว่าจะเข้าไปเกลือกกลั้วด้วยได้

“แถวนี้ไม่ได้ ใกล้กับต้าหยาง ใกล้อำนาจของเจ้ามากเกินไป ที่ประชุมลงมติกันว่าให้เจ้าไปแคว้นห่างไกลเพื่อสะสมอำนาจด้วยตนเองตั้งแต่จากศูนย์ใหม่ ไม่คิดว่ามันเป็นภารกิจที่ท้าทายมากหรือ? ตัวเจ้าที่ไม่มีอำนาจใดๆ และไม่มีผู้ใดรู้จักจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำภารกิจประสบความสำเร็จหรือไม่?”

“ทำไมต้องเป็นภารกิจกัน ให้ข้าไปสร้างเมืองสร้างกองทัพยังจะดีเสียกว่า” คนที่กระตือรือร้นจะทำภารกิจในตอนแรกพอทราบว่าตนต้องทำอันใดก็บ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ “ท่านยังไปทำภารกิจสร้างกองทัพ ข้าไปทำเช่นนั้นบ้างมิได้หรือ?”

“เล่อหรง การที่เจ้าไปช่วยเหลือรัชทายาทแคว้นฉิงให้ขึ้นครองราชย์นั้นดีกว่าสร้างกองทัพที่มีเพียงเป้าหมายทำลายเข่นฆ่ามากนัก เจ้าสามารถสร้างคนคนหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือผู้คนอีกนับหมื่นนับแสน ต่างจากข้าที่สร้างกองทัพมาเพื่อเข่นฆ่าผู้คนให้ล้มตายนับหมื่นนับแสน”

คนเป็นบุตรนิ่งเงียบ ในใจดื้อดึงอยู่บ้างแต่ก็อ่อนลงเมื่อเห็นบิดาทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาคมกริบสีทองเฉกเช่นตัวเขาสะท้อนความเคร่งเครียด โหยวเล่อหรงรู้ดีว่าบุตรชายของเขานั้นไม่ชอบเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้นัก  แต่จะทำอย่างใดได้ในเมื่อที่ประชุมลงความคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันแล้ว ใช่ว่าเขาจะอยากให้บุตรชายคนเดียวไปไกลหูไกลตาเช่นนี้ เฮ้อ ทำให้เข้าใจหัวอกบิดามารดาตอนที่ตัวเขาเองออกไปทำภารกิจด้วยความคึกคะนองเลยทีเดียว

“ไปเถิดลูกรัก ภารกิจครั้งนี้จะมอบประสบการณ์มากมายให้แก่เจ้า” เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดังขึ้นแทรกบรรยากาศหนักหน่วงระหว่างบิดากับบุตรชาย โหยวเล่อหรงหันไปมองมารดาคนงามของเขาแล้วค่อยๆ คลายปมที่หัวคิ้วออก เด็กชายขยับตัวเข้าไปหามารดาแล้วซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นกระซิบอ้อนสมวัยออกมา

“ท่านแม่ ข้าไม่ชอบเลย”

“แม่รู้ แต่ว่านะลูกรัก กับสิ่งที่เกลียดเจ้าต้องเข้าใจและรู้ทันมันให้ได้ มิใช่หลบเลี่ยงเช่นนี้ ตลอดชีวิตเจ้าคิดจะเลี่ยงไปได้ตลอดอย่างนั้นรึ? อย่างไรเสียวันใดวันหนึ่งเจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเผชิญหน้าอย่างเหนือกว่าหรือด้อยกว่าก็เท่านั้น เล่อเล่อของแม่เก่งกาจกว่าผู้ใดเรื่องง่ายเพียงนี้จะจัดการมิได้เลยรึ?”

“ข้าทำได้” เด็กน้อยกัดฟันตอบรับคำของมารดาที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือเรียวนุ่มลูบไล้ใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลของบุตรชายแล้วค่อยๆ ย่อตัวมาจ้องนัยน์ตาสีทองคู่งามตรงหน้า ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าวชมเชยพลางลูบศีรษะปลอบโยน

“ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว”

โหยวฟ่านหลีมองบุตรชายที่เริ่มเชื่องราวกับม้าถูกปราบพยศอย่างอัศจรรย์ใจ ให้ตายเถิด เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะเจ้าลูกหมากลับทำตาแข็งกร้าวใส่ พอเมียเขาพูดสองสามประโยคแค่นั้นแหละอ่อนยวบๆ เป็นเต้าหู้เหลว มารดากับบิดาแตกต่างกันที่ใดกันนะ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด!

“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมตัวก่อนนะขอรับ มีเรื่องที่ต้องทำมากมายก่อนจะออกเดินทางไปทำภารกิจ”

“ไปเถิด แต่ไม่ต้องรีบเร่งนักหรอก อย่างไรเสียเจ้าก็ได้ทำภารกิจก่อนเวลากำหนดอยู่”

“นั่นสิ ไปทำอะไรไว้เล่าถึงทำให้พวกตาแก่เหล่านั้นเตะโด่งเจ้าไปทำภารกิจเร็วเช่นนี้”

โหยวเล่อหรงกลอกตาไปมาพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แก่บิดาที่ส่ายหน้าออกมาอย่างปลงตก มันไปทำเรื่องไว้จริงๆ ด้วย! มิน่าถึงถูกหมายหัวส่งไปทำภารกิจเร็วขนาดนี้ ก่อนที่จะได้ก้าวออกไปจากห้องนั้นโหยวเล่อหรงก็ถูกมารดาเรียกเอาไว้

“ลูกแม่ หากเจ้าเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหวก็จงกลับมาบ้าน”

“แน่นอน ข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว” เด็กชายยิ้มเอ่ยรับปากออกไป ในใจร้อนหน่อยๆ ราวกับถูกอีกฝ่ายมองทะลุเข้ามาในจิตใจ ก่อนที่จะมีพิรุธอะไรไปมากกว่านั้นโหยวเล่อหรงก็รีบพาตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงสองสามีภรรยาที่นั่งนิ่งเงียบ ประมุขตระกูลโหยวทำหน้าเคร่งจนหน้าที่มีหนวดรกไปครึ่งทะมึนตึงน่ากลัว

“จะเกิดอันใดอย่างนั้นรึ?”

“อย่าได้กังวลเลย บุตรชายของเรานั้นเข้มแข็งยิ่งกว่าผู้ใด ข้าเพียงพูดไปเรื่อยเท่านั้น”

 

 



 

ตอนหน้าก็เข้าสู่เนื้อเรื่องจริงจังแล้วนะเจ้าค่ะ

เปิดตัวชายหมาอย่างเป็นทางการแล้ว

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
เย้ๆ ชายหมาจะได้เป็นพระเอกแล้วววววว

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
เอ็นดูปนหมั่นไส้เจ้าลูกหมาน้อย :mew1:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ๊ย! อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เปิดเรื่องชายหมากับหมาน้อยแล้ว สนุกๆๆๆ หมาน้อยอัฉริยะตั้งแต่เกิดเลย เก่งจริงๆ เอ็นดู o18

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
กรี๊ด เรื่องชายหมา! รอค่ะ

ออฟไลน์ naplatoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
อยากเจอองค์รัชตอนเด็กกกกกก :hao7:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ฮรือออออออออออออออ...ชายหมาของบ่าววววววววววววววววววววววววววววว

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ผู้สร้างชายหมาสินะ

หมาน้อยกะชายหมา ฮ่า ๆ ๆ ๆ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
อยากอ่านเรื่องของท่านอาเลย ถถถ

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
หมาน้อยกับชายหมาเวอร์ชั่นมินิ  :o8:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คบมือรัวๆๆๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ดีใจ ได้อ่านเรื่องใหม่แล้ว  :mew1:

เริ่มมาก็สนุกและ
โหยวเล่อหรง อัจฉริยะ เก่งสุดยอด เก่งทุกด้าน  :katai3: :katai3: :katai3:
รอคอยคนคู่ควรกับเล่อเล่อ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2017 11:16:50 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
เปิดเรื่องใหม่ อิอิ :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มาติดตามด้วย~

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เปิดเรื่องใหม่กับพระเอกโฉดที่ฆ่าหมา  :hao7: แอบสงสัยเบาๆ ว่าสายเลือดตระกูลโหยวมาจากฝั่งพ่อสินะ เพราะต้องได้ลูกชายทุกคน แล้วท่านแม่คือมีพลังเห็นอนาคตหรอ(?)  :m28: รอๆ รอเจ้าแมวด้วย  :L2: :3123:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ปากคอเลาะร้ายกว่าชายหมาก็หรงตี้นี่แหละค่ะ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
พอเจ้าแมวใกล้จบ เจ้าหมาก้มาต่อทันที
รอค่าาาาา

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
มาจองที่ค่าาา  :mew1:

ออฟไลน์ poypoy

  • ไม่ว่าจะเป็นอะไร จงเป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 444
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +996/-4
    • PoyPoy
ตอนที่ ๐๑ พบพาน

เล่อหรงพยายามขยับตัวแต่ทว่ามันกลับหนักอึ้งและปวดหนึบ รู้สึกเหนียวเหนอะตัวและร้อนอยู่หน่อยๆ ดวงตาคมจัดค่อยๆ กะพริบตาเปิดขึ้น หัวของเขาปวดจี๊ดและยังมึนงงจากการตื่นนอน ตรงส่วนอกรู้สึกหนักราวกับมีบางสิ่งทับจนขยับเขยื้อนตัวมิได้ เล่อหรงขมวดคิ้วก่อนจะหลุบตาลงไปมองแล้วพลันชะงักค้าง อาการงัวเงียของเขาก็หายวับ ตื่นเต็มตาแทบจะทันที

บนอกของเขามีใครบางคนนอนซบอยู่ มาตรว่ากำลังนอนหลับสบายดูจากสีหน้าที่สงบนิ่งและลมหายใจสม่ำเสมอ แต่นั่นยังมิใช่สิ่งที่เขากังวล เพราะบ่อยครั้งที่คนคนนี้จะมาคลุกคลีตีเนียนนอนกับเขา แต่ที่มันแปลกไปนั้น... เล่อหรงเลื่อนสายตาต่ำลงไปอีกนิด สัมผัสจากผิวกายที่แนบชิดกันทำให้เขาหน้าซีดเผือด

ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็เปลือยกายล่อนจ้อน!

เล่อหรงพยายามเรียกสติกลับคืนมาแล้วทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเกือบจะกรีดร้องออกมา ทั้งตกใจและตื่นตระหนกไปพร้อมๆ กัน ดูจากร่างกายที่อ่อนล้าราวกับหักโหมทำบางอย่าง และอาการเจ็บเสียดที่บริเวณช่วงล่างก็เป็นสิ่งยืนยันเป็นอย่างดีว่าเกิดบัดซบอันใดขึ้นกับเขาและ…

บัดซบบบบบบ!

นี่มันผิดพลาด ผิดพลาดอย่างที่สุด!

เขาดันพลาดพลิกม้วนตลบร้อยแปดท่ากับคนที่ไม่ควรอย่างที่สุด อีกฝ่ายเป็นคนที่เขาต้องส่งขึ้นครองบัลลังก์ให้จงได้ตามภารกิจที่ได้รับมา และที่สำคัญที่ทำให้เล่อหรงเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด บุรุษเจ้าปัญหาผู้นี้แต่งงานมีเจ้าของอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่เป็นสิบเลยทีเดียว บัดซบ! บัดซบบบบ!

เล่อหรงสบถดุเดือด

ใจเย็น ใจเย็นก่อน ตอนนี้อีกคนยังไม่ตื่นน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะเล็ดลอดหลบหนีออกไป ก่อนจะกลับมาแสร้งว่าเพิ่งกลับและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นใดๆ แม้จะรู้ว่าเป็นแผนที่โง่เพียงใดแต่ยามนี้เขาคิดอันใดมิออก นอกเสียจากคิดอยากจะหนีไปให้พ้นๆ จากเหตุการณ์อัปยศนี้ คิดเสร็จสรรพกำลังขยับตัวหมายจะลุกหนีแต่สิ่งที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจตายไปเสียตอนนี้ก็คือ ดวงตาคมกริบสีเทาที่กำลังจับจ้องเขาอยู่เงียบๆ

สวรรค์ช่างไม่เข้าข้างเสียเลย มันตื่นแล้ววววว!

“ทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร” เสียงทุ้มต่ำที่แหบเล็กน้อยเอ่ยถามออกมาพร้อมกับขยับตัวเล็กน้อย

ก็หมายความว่า… บัดซบ บรรลัยแล้วอย่างไรเล่า!

“เมื่อคืนร้อนแรงยิ่ง เจ้าเรียกร้องจนเราเหนื่อยใจจะขาด อาหรง เจ้านี่มักมากกว่าที่คิด” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเทาตำหนิด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลติดหยอกล้อหน่อยๆ ก่อนจะขยับตัวเบียดร่างเข้าหาคนเบื้องล่าง ยกศีรษะขึ้นโน้มหน้าลงหาริมฝีปากอวบอิ่มที่บวมเจ่อแดงจัดจากการถูกขบกัด เขาเคล้าเรียวปากบดเบียดพร้อมสอดลิ้นเข้าไปพัวพันในโพรงปากอีกฝ่าย มือทั้งสองข้างลูบไล้ผิวสีน้ำผึ้งที่ลื่นและนุ่มเนียนน่าหลงใหล พยายามเรียกร้องและปลุกเร้าไปพร้อมกัน ดวงตาสีเทาที่เคยเย็นชาส่องประกายระยิบระยับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

เล่อหรงใจสั่นไหว คิดอันใดไม่ออก ในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด

ไม่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ผิดพลาดตรงไหน ตอนนั้นรึหรือว่าตอนนู้น? ไม่สิ ไม่ใช่ บ้าเอ๊ย มันผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว...

ใช่ ใช่แล้ว มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนแรกแล้วนั่นแหละ!


:hao6: :hao6: :hao6:


ปัจจุบันในสี่ตระกูลพยัคฆ์ที่โด่งดังมีเพียงตระกูลโหยวและตระกูลซุนที่ยังส่งทายาทของพวกเขาออกไปทำภารกิจ เพื่อพิสูจน์ตนเอง พวกเขาต้องสะสมประสบการณ์ต่างๆ ปราศจากอำนาจตระกูล เมื่อถึงเวลาอันสมควรพวกเขาเหล่านั้นจะกลับคืนสู่ตระกูลอย่างสง่าผ่าเผย และยามนี้ทายาทตระกูลโหยว ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน ได้ส่งทายาทของพวกเขาออกไปทำภารกิจแล้ว...

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแดดทอแสงอ่อนๆ อากาศเย็นสบาย ชาวบ้านชาวช่องเว้นว่างจากการทำไร่ทำนาพวกเขาจะหาสิ่งใดทำในวันที่อากาศปลอดโปร่งเช่นนี้ ใช่แล้ว ผู้คนพร้อมใจกันออกมาเดินนอกบ้าน คนมีเงินในกระเป๋าต้องมาเดินตลาดจับจ่ายละลายทรัพย์ คนไม่มีเงินก็มาเดินตลาดเช่นเดียวกัน ต่างเพียงแค่มากรีดกรายเดินดูสินค้าก็ให้ความเพลิดเพลินใจเหมือนกัน

ถนนที่พลุ่งพล่านที่สุดในเมืองหลวงแห่งแคว้นฉิง ผู้คนในตลาดเดินเบียดเสียดไหล่กันราวกับมีงานเทศกาล ภาพเช่นนี้มิใช่แปลกตาอันใด แต่ที่แปลกกว่าวันอื่นๆ เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างจ้องมองไปที่จุดเดียวกัน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่พวกเขาก็เอาแต่มองตามเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังเดินดูสินค้าตามแผงร้าน

แวบแรกที่เห็นต่างตกตะลึงตาค้าง ต่อมาก็เพ่งพิศชื่นชมรูปลักษณ์งดงาม

เด็กชายวัยสิบสองที่มีรูปร่างสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน ดวงหน้าอ่อนเยาว์นั้นหล่อเหลาคมคายคาดว่าอีกสามสี่ปีข้างหน้าเขาต้องเติบโตเป็นหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่นั้นลักษณะที่ไม่เหมือนผู้ใดทำให้เขาโดดเด่นสะดุดตา เส้นผมสีทองราวกับเส้นไหมทองคำที่รวบเกล้าอย่างเรียบร้อย ผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนดูนุ่มนวล ดวงตาสีทองเรียวโตห้อมล้อมด้วยขนตาหนาดูคมกริบ พอถูกแสงแดดทอมากระทบร่างก็ราวกับเปล่งประกายแสงระยิบระยับทั้งตัว

ริมฝีปากอวบอิ่มแย้มยิ้มประดับบนใบหน้า เด็กชายกำลังตื่นตาสินค้าที่วางขายบนแผงร้านตามรายทาง ท่าทางที่กำลังเพลิดเพลินกับการเดินชมสินค้าช่างน่าเอ็นดูเสียจนละสายตามิได้ อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังประณีตงดงาม ดูจากตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นของชั้นดี ผู้คนที่จับจ้องต่างพากันคาดเดาในใจว่าเด็กชายเป็นชนชั้นสูงจากตระกูลใหญ่ใดกันแน่

เล่อหรงขมวดคิ้วเล็กๆ รู้สึกรอบข้างของเขามันแออัดผิดปกติ เด็กชายที่เพิ่งมาต่างถิ่นไกลจากบ้านแอบชำเลืองมองซ้ายขวาแล้วครุ่นคิด บางทีอาจจะคิดไปเองก็เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเดินเข้าร้านใดร้านนั้นต้องมีลูกค้าแน่นเสียทุกที ไม่อยากจะหลงตัวเองแต่มันเป็นเพราะตัวเขาแน่ๆ ดูจากสายตาของแต่ละคนที่จ้องเปิดเผยบ้าง แอบลอบมองบ้างเหล่านั้น

ให้ตายเถิด ไม่ว่าจะที่ใดก็เหมือนกันไปหมด

เด็กชายลอบถอนหายใจ

อาการตื่นเต้นที่ได้มาต่างถิ่นลดฮวบจนเหลือศูนย์ สายตาแต่ละคู่ที่จ้องราวกับจะแทะโลมเขาให้ได้สูบพละกำลังไปเกือบจะหมดสิ้น เล่อหรงตัดสินใจพาตัวเองหลบหลีกสายตาของผู้คนกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก

ในตอนที่เล่อหรงผู้เป็นจุดศูนย์กลางสายตาของผู้คนทั้งตลาดปลีกตัวกลับ ชั้นบนของโรงเตี๊ยมไม่ไกลจากที่ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนั่งมองสถานการณ์ด้วยแววตาสนอกสนใจ นัยน์ตาสีเทาเข้มขึ้นเมื่อมองไปยังเด็กชายผมทองแปลกตาผู้นั้น ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ริมฝีปากของตนเองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะแสยะยิ้มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเบิกบานเล็กๆ

“เราอยากได้ ไปเอาตัวมา”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาดำเบื้องหลังของเด็กหนุ่มก้าวเท้าออกมารับคำสั่งก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปรวดเร็ว

ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าการหนีความเบื่อหน่ายออกจากวังแล้วจะพบเรื่องสนใจเช่นนี้ ริมฝีปากบางยังคงยิ้มแต่ดวงตาสีเทาของเขานั้นเย็นชาไม่ยิ้มตาม ดูจากระยะไกลขนาดนี้เด็กคนนั้นยังดูสะดุดตา หากมองใกล้ๆ ไม่รู้ว่ารูปโฉมงามแปลกตานั้นจะสร้างความประทับใจมากเพียงใด เลี้ยงดูจากสักสองสามปีคงกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปงามมากผู้หนึ่งเป็นแน่ เอามาเก็บไว้ดูเล่นคงจะสร้างความแปลกใหม่แก่ชีวิตเบื่อหน่ายของเขาได้บ้าง

เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำตาลทองลุกขึ้นวางเงินลงบนโต๊ะ สะบัดชายแขนเสื้อเดินผละจากไปเพื่อรอฟังข่าวจากลูกน้องที่ไปทำตามคำสั่งของเขา

ทางด้านคนงามที่ไม่รู้ว่ากำลังโดนจ้องเอาตัวไปเลี้ยงดูเล่นเดินกลับโรงเตี๊ยมที่พัก โรงเตี๊ยมที่เล่อหรงพักอยู่ที่เรียกได้ว่าเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแคว้นฉิง แต่หากเทียบกับโรงเตี๊ยมของเขานับว่ายังห่างไกลกันนัก เหอะ ก็ไม่แปลกใจนักหรอก โรงเตี๊ยมของเขาถือว่าเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งในใต้หล้า เล่อหรงถอนหายใจเบาๆ เหลือบตามองไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วเดินเลี้ยวเข้าซอยด้านหน้า

ทีแรกนึกว่าเป็นชาวบ้านเดินตามมาจึงไม่สนใจ แต่พอเดินสักพักก็ชักข้องใจเล็กๆ ชาวบ้านธรรมดาสามัญคงไม่มีฝีเท้าแผ่วเบาแบบนี้เป็นแน่ นอกเสียจากยอดฝีมือที่มีวิชายุทธ์ต่อสู้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแต่แอบสะกดรอยตามมาเช่นนี้คงมิได้มีจุดประสงค์ที่ดีนักหรอก เด็กชายแสร้งฮัมจังหวะเพลงในลำคอไม่รู้ไม่เห็นอะไร เจตนาล่อคนที่ตามหลังเข้าไปในซอยร้างผู้คน

เหล่าคนที่สะกดรอยตามเด็กชายผมทองเดินมาจนสุดมุมตันแล้วต้องขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อไม่เห็นคนที่พวกเขาตามเข้ามา ก่อนที่ทันรู้ตัวร่างของพวกเขาก็หนักอึ้งเข่าทรุดลงกับพื้นเสียงดังตึง! ไม่เพียงแค่นั้นทุกคนทรุดตัวล้มลงร่างกายหนักอึ้งแม้จะขยับปลายนิ้วยังไม่ได้ ท่ามกลางสติเลือนรางพวกเขาเห็นเงาที่สะท้อนแสงราวกับมีรัศมีสีทองล้อมตัวลอยตัวลงมาจากด้านบน

“ก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไรจากข้าหรอกนะ แต่มาตามหลังกันแบบนี้คงมิได้มาดีเป็นแน่”

ภาพสุดท้ายที่พวกมันได้เห็นคือแผ่นหลังของเด็กคนนั้นก่อนที่จะกระอักเลือดหมดสติไป

เล่อหรงกลับมาถึงโรงเตี๊ยมเขารีบไปยังห้องพัก ความหงุดหงิดถูกระบายไปบ้างแล้ว เด็กชายทิ้งตัวนอนบนเตียง ไม่เห็นคนรับใช้คนสนิทที่เดินทางติดตามมาก็ไม่สนใจเท่าไร คาดเดาว่าอีกฝ่ายคงไปเดินทำความคุ้นเคยเส้นทางในเมืองนี้ก็เป็นไปได้ ทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลโหยวถอนหายใจยาวเหยียด

ความแปลกตาของสถานที่ใหม่ทำให้เขาเผลอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หลังจากออกมาจากแคว้นต้าหยางบ้านเกิดเมืองนอนที่อยู่อาศัยมานับสิบปี ตลอดทางที่เดินทางผ่านมาผู้คนต่างจ้องมองเขาราวกับเป็นตัวประหลาด ใจหนึ่งก็พอเข้าใจอยู่บ้างแต่มันก็อดหงุดหงิดมิได้ เด็กชายถอนหายใจปลงตกกับรูปลักษณ์โดดเด่นแปลกตาของเขา มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะนี่เป็นเอกลักษณ์สายเลือดของตระกูลโหยวโดยเฉพาะ

เล่อหรงพลิกตัวนอนตะแคงอย่างเกียจคร้าน เขาเดินทางมาที่แคว้นฉิงได้วันหนึ่งแล้ว ยังไม่ได้ลงมือทำอันใดเป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแค่สืบเรื่องราวของเป้าหมายมาศึกษาเท่านั้น ก่อนที่จะลงมือทำภารกิจจริงจังเขาต้องแปลงรูปโฉมเสียก่อน ให้ตายเขาก็ไม่คิดจะเอาใบหน้านี้ไปทำภารกิจหรอกนะ จากที่เจอเมื่อครู่ก็บ่งบอกเป็นอย่างดีแล้วว่ามันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง ลักษณะเอกลักษณ์ของตระกูลโหยวไปไหนมาไหนเด่นสะดุดตาเกินไป ยากต่อการแฝงตัวเข้าหาเป้าหมายของภารกิจ

เล่อหรงล้วงเอาม้วนกระดาษที่มีรายละเอียดของเป้าหมายมาอ่านทบทวนอีกครั้ง ริมฝีปากอวบอิ่มงอขึ้นเล็กน้อย จะกี่รอบๆ ก็อดโมโหมิได้จริงๆ บัดซบ! ไยเป้าหมายของเขาถึงได้น่าสมเพชเช่นนี้ มีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาทแท้ๆ แต่กลับทำตัวเหลวไหลไม่ได้เรื่อง ให้ตายเถิด เปลี่ยนคนมิได้หรือ!? สงสัยอยู่แล้วเชียว ภารกิจส่งรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ดูง่ายดายเกินไป ที่แท้...มันก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

คนที่เล่อหรงต้องส่งให้อีกฝ่ายขึ้นครองราชย์ตามภารกิจที่ได้รับ คือ องค์ชายรัชทายาทของแคว้นฉิง... เหวินเหลย

‘สายฟ้า’

ชื่อทรงพลังแต่ไฉนเจ้าตัวถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้เล่า!? จากที่สืบมาพบว่าองค์รัชทายาทผู้นี้มีนิสัยน่ารังเกียจอย่างยิ่ง ชอบหาเรื่อง ปากเสีย ใช้กำลังข่มเหงผู้คน นารีไม่ห่าง การพนันไม่ขาด หนำซ้ำยังไม่สนใจร่ำเรียนหรือฝึกวิชาใดๆ ครั้งแรกที่ได้รู้เล่อหรงแทบอยากจะแล่นกลับบ้านไปเปลี่ยนภารกิจใหม่ แต่เพราะศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่เขาถึงกัดฟันเดินหน้าต่อ

ภารกิจนี้ถือว่ายากเป็นอย่างมาก การจะเปลี่ยนคนคนหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะจะเปลี่ยนให้คนคนนั้นเหมาะสมขึ้นครองบัลลังก์ เขาไม่คิดจะทำภารกิจแบบส่งๆ อย่างเช่นลอบสังหารฮ่องเต้แล้วดันรัชทายาทนั่งบัลลังก์ จากนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่สนหรอกนะ

ภารกิจนี้ยาวนานแน่

เล่อหรงถอนหายใจเหนื่อยอ่อน กวาดสายตาอ่านต่อไป ไม่ใช่แค่เรื่ององค์ชายรัชทายาทเหวินเหลยเท่านั้น เขายังสืบเรื่องราวอื่นๆ มาประกอบ แต่มันยิ่งทำให้เหนื่อยใจเป็นเท่าตัว เจ้าองค์รัชทายาทบ้าบอนี่ไม่เอาอะไรเลยจริงๆ ในขณะที่พี่น้องของเขาแต่ละคนเก่งกาจราวกับมิใช่คน โดยเฉพาะองค์ชายสี่เหวินเสวี่ย หนำซ้ำยังเป็นพระโอรสองค์โปรดของฮ่องเต้เหวินจิ่งอีกต่างหาก

เปลี่ยนเป็นสนับสนุนองค์ชายสี่มิได้หรือ? ดูจะง่ายกว่าเยอะ!

เล่อหรงนอนแช่บนเตียงด้วยอารมณ์หมดอาลัยตายอยากจนเวลาล่วงเลยถึงยามเย็น จางผิงคนรับใช้หนึ่งเดียวที่ติดตามมาเคาะประตูเรียกให้ลงไปกินมื้อเย็น เขางัวเงียตื่นขึ้นมานวดขมับที่ปวดตุบๆ ก่อนจะลุกขึ้นจัดชุดและปัดผมให้เข้าทรงแล้วเดินออกไปจากห้อง ทันทีที่เห็นสีหน้าของเจ้านายจางผิงก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจ สีหน้าอย่างกับคนเพิ่งถูกโกงเงินไปต่อหน้าต่อตาแต่ก็ทำอันใดมิได้ ได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาไว้ภายใน

“เหตุใดนายน้อยถึงทำหน้าเช่นนี้เล่า? มิใช่ว่าไปเดินเที่ยวเล่นแถวตลาดมางั้นหรือ?”

พอถูกทักคนสีหน้ากึ่งบึ้งกึ่งงัวเงียก็พ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง

“เฮ้อ! ถูกจ้องจนหมดอารมณ์จะเดินดูอันใด ให้ตายเถิด”

“ทนอีกหน่อยเถิดขอรับ ประเดี๋ยวท่านหมอเทวดาเฟิงก็เดินทางมาถึงแล้ว” จางผิงพยายามปลอบใจเจ้านายตัวน้อย เขาค่อนข้างเห็นใจอยู่เช่นกัน ในเมืองจินหยางพอมีคนมองประปรายเพราะเห็นมานานจนคุ้นชินกันแล้ว แต่พอเดินทางออกจากแคว้นต้าหยางเข้าสู่แคว้นอื่น ผู้คนต่างจ้องมองราวกับเห็นตัวประหลาด แต่ไม่น่าแปลกใจนัก ด้วยรูปลักษณ์เช่นนั้นเป็นผู้ใดก็ต้องมองอย่างแน่นอน

“เอาเถิด หงุดหงิดไปก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าคิดอยากไปทำอะไรสักอย่างเสียหน่อย” เล่อหรงโบกมือไม่ใส่ใจ แม้จะเคืองเล็กน้อยเรื่องหมอเทวดาเฟิง นัดหมายให้ไปเปลี่ยนหน้าตาตั้งแต่อยู่ตระกูล แต่อีกฝ่ายกลับส่งคำตอบมาผลัดนัดให้มาเจอกันที่แคว้นฉิงแทน ถ้าหากแปลงโฉมก่อนเดินทางเขาก็ไม่ต้องถูกจ้องจนเครียดเช่นนี้ แต่ก็พูดอันใดมิได้ เพราะหมอเทวดาเฟิงยอมรับปากมาเจอก็ถือว่าดีถมเทแล้ว ต่อให้ตระกูลโหยวจะคอยช่วยเหลือหมอเทวดาเฟิงแต่คนทำตามแต่ใจแบบนั้นไม่รับคำสั่งของผู้ใดอยู่แล้ว 

“เอ๋ นายน้อยจะทำอันใดงั้นรึ?” จางผิงมองเจ้านายที่ค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้างแล้วหัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัยก็เริ่มหน้าซีด ในยามที่อีกฝ่ายหัวเราะเช่นนี้ทีไรนั้นก็มักจะเกิดเรื่องทุกที 

“ใช่แล้ว เครียดๆ เช่นนี้ก็ต้อง...”


:hao6: :hao6: :hao6:


“สูง ร้อยตำลึงทอง”

“ต่ำ ร้อยตำลึงทอง”

เสียงเขย่าลูกเต๋าดังขลุกขลักให้ถ้วยก่อนมันจะโยนกลิ้งลงบนพื้น แต้มที่ปรากฏทำให้คนที่เดิมพันตามหลังแย้มยิ้มสดใส เสียงหัวเราะของเด็กชายวัยสิบสองที่นั่งมือประสานเท้าใต้คางดังหลอกหลอนเข้าหูเหล่าคนที่เพิ่งเสียตั๋วเงินไปสดๆ ร้อนๆ คนเสียเดิมพันต่อเรื่อยทำหน้าดำคล้ำเครียด ในขณะคนที่ชนะติดต่อกันราวกับปาฏิหาริย์สีหน้าเบิกบานจนน่าหมั่นไส้ โน้มตัวมาหยิบตั๋วเงินเป็นปึกมาวางกองตรงหน้าราวกับต้องการเยาะเย้ยอดีตเจ้าของตั๋วเงิน

“แหม วันนี้มือขึ้นจริงๆ” เล่อหรงพึมพำกับตนเองพลางแย้มยิ้มเต็มใบหน้าสีน้ำผึ้งของเขา ดวงตาสีทองสวยกะพริบปริบๆ ใส่คนร่วมโต๊ะ พยายามทำสีหน้าไร้เดียงสาแต่ทว่ามันกวนโทสะคนเหล่านั้นจนหน้าแดงก่ำ

คนเสียเงินไปครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่มีเด็กหน้าอ่อนผู้นี้เข้ามานั่งร่วมเล่นด้วยทำหน้าเคร่งเครียด คราแรกที่เห็นอีกฝ่ายพวกเขาหัวเราะยิ้มหวานในใจว่าวันนี้มีหมูให้หลอกกินเปล่าๆ แต่หมูตัวที่ว่ากลับกลายเป็นสัตว์ร้ายในคราบแกะไปเสียได้ มันแยกเขี้ยวกัดกินเงินของพวกเขาจนแทบจะหมดกระเป๋าอยู่แล้ว เสียเงินไม่เท่าไรแต่เสียหน้ามันอับอายยิ่งกว่า แพ้เด็กที่อายุแค่สิบกว่าปีผู้ใดมันจะทานรับไหวกัน!

“เจ้าโกงใช่หรือไม่!? โกงชัดๆ!”

“หา ผู้ใดโกงกัน อย่ามากล่าวหาพล่อยๆ พวกท่านแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้”

“ไม่โกงได้อย่างไร มีคนปกติที่ไหนจะชนะสิบตาล้วนเช่นนี้”

“อ๊ะ ก็ข้าไม่ใช่คนธรรมดานี่นะ” คนโดนกล่าวหาว่าโกงกลับกอดอกแย้มกลับอย่างไม่หวั่นเกรง ชำเลืองมองไปยังพวกผู้ใหญ่ที่เสียหน้าจนเสียสติตามไปอย่างกึ่งเยาะหยัด เรียกว่าแพ้แล้วพาลเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กเลยจริงๆ

เมื่ออีกฝ่ายยืนยันว่าเขาโกงอย่างนั้นอย่างนี้เรื่องจึงลุกลามใหญ่โตไปจนถึงผู้คุมบ่อนต้องลงมาควบคุมสถานการณ์ คนพวกนั้นให้เขาเล่นอีกตาโดยจะจับตามองว่าเขาโกงหรือไม่ เล่อหรงยักไหล่ เขานั่งลงเล่นเดิมพันอีกครั้งอย่างไม่อนาทรร้อนใจใดๆ ก็เขาไม่ได้โกงจะไปหวาดกลัวอันใดเล่า เล่อหรงเชิดหน้ากอดอกด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความเย่อหยิ่งผยองอย่างเคยตัว ภาพที่เขาชูคอมั่นใจนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคนที่กำลังแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นกัน

“เจ้าโกง!”

เล่อหรงขมวดคิ้วฉับทันที เขาเล่นไปไม่นานคนคุมบ่อนก็โพล่งขึ้นมากลางวงชี้หน้ากล่าวหาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นผู้คุมก็เดินเข้าไปยังคนเขย่าลูกเต๋าก่อนจะล้วงไปยังใต้โต๊ะฝั่งของเขา หยิบของบางอย่างคล้ายจะเป็นเมล็ดถั่วออกมาแล้วตวาดคนเขย่าลูกที่ยืนหน้าซีดตัวสั่น

“เจ้าคนเลี้ยงเสียข้าวสุก! ร่วมมือกับคนใจคดโกงบ่อนของข้างั้นรึ!?”

“นายท่าน ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าถูกคุณชายน้อยผู้นี้ข่มขู่ขอรับ!” คนเขย่าลูกเต๋ารีบคุกเข่าอ้อนวอนก่อนจะชี้นิ้วไปที่เล่อหรง ดวงตาแคบชี้ราวกับจิ้งจอกคลอไปด้วยน้ำตา เล่อหรงที่ถูกกล่าวหาได้แต่นั่งนิ่งด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

ให้ตายเถิด ที่บอกว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดีสงสัยจะจริง เข้าบ่อนทีไรเป็นต้องเกิดเรื่อง แต่ครั้งนี้ค่อนข้างแปลกแตกต่างจากทุกที เพราะทุกครั้งเขาแค่ถูกเจ้าของบ่อนเชิญออกไปหรือไม่ก็ติดป้ายห้ามเข้าเท่านั้น เรื่องที่ถูกใส่ร้ายหน้าด้านๆ เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย คนถูกกล่าวหาว่าติดสินบนคนเขย่าลูกเต๋าถอนหายใจเฮือกกำลังจะลุกขึ้นแก้ต่างให้กับตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดออกไปก็มีเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เราไม่เห็นว่าเขาจะโกงอันใด พวกเจ้ากล่าวหากันลอยๆ กระมัง”

เล่อหรงหันไปมองเด็กหนุ่มที่เป็นคนพูดประโยคนั้นแล้วเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่มีความเย่อหยิ่งอย่างชัดเจน ดวงตาสีเทาคมกริบคู่นั้นก็ราวกับกำลังมองเยาะเย้ยคนทั่วหล้า เมื่อพิจารณาดูจากเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่น่าจะเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวยสักตระกูลเป็นแน่ เล่อหรงออกจะแปลกใจไม่น้อย อยู่ๆ ก็มีตัวละครใหม่เข้ามาในโรงงิ้วเสียอย่างนั้น นี่มันอะไรกัน? แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำเพียงหุบปากที่กำลังเอื้อนเอ่ยรอดูสถานการณ์ตรงหน้าต่อไป

ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นเขาก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือก็ถือว่าลดความยุ่งยากลงหน่อยเท่านั้น พอเด็กหนุ่มคนนั้นปรากฏตัวก็เหมือนคนที่เหลือจะเกิดความเกรงอกเกรงใจอย่างเห็นได้ชัดเรียกได้ว่าหวาดเกรงเลยทีเดียว เรื่องนี้เล่อหรงสนใจอยู่หน่อยๆ ฐานะของเด็กหนุ่มตาสีเทาผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

“แต่ว่า...”

“ดูจากลักษณะของเด็กคนนี้แล้วไม่น่าจะเป็นคนแคว้นฉิงกระมัง หากเป็นเช่นนั้นเขาจะไปรู้จักหรือติดสินบนเจ้ามือได้อย่างไร เจ้ารู้จักมันงั้นรึ?” ตอนที่ผู้คุมบ่อนกำลังแย้งเด็กหนุ่มคนนั้นเพียงยกมือปรามแล้วเอ่ยอธิบายเชิงถาม ทิ้งท้ายด้วยการเปรยสายตามาถามเล่อหรงที่นั่งกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยบอกความจริงออกไป

“ข้าเพิ่งมาที่นี่วันแรก และไม่รู้จักใดๆ กับคนผู้นี้เลย”

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” เด็กหนุ่มที่ดูเย่อหยิ่งหันไปถามผู้คุมบ่อนที่มีสีหน้าดูไม่ดีนัก สงสัยเรื่องจะจบแล้วกระมัง คนถูกกล่าวหาค่อนข้างเบาใจไปเปลาะหนึ่ง พอใจที่เจอคนที่ตามีแววอยู่บ้าง เหอะ โกงอันใดกันเล่า คนเช่นโหยวเล่อหรงรึจะโกงผู้ใด เหอะ แค่โชคล้วนๆ ของเขาก็เหลือจะกล่าวอยู่แล้ว ไยต้องโกงให้ยุ่งยากด้วย

ผู้คุมบ่อนและคนอื่นๆ เหมือนจะไม่กล้าพูดอะไรต่อทำเพียงเงียบและหันมาขอโทษที่กล่าวหาเขา เล่อหรงโบกมือไม่สนใจ อีกฝ่ายเชื้อเชิญให้เขาเล่นต่อแต่ผู้ใดมันจะไปมีอารมณ์เล่นต่อกัน เล่อหรงปฏิเสธแล้วโยนตั๋วเงินที่ได้มากลับไปยังเจ้าของเดิมแล้วเขาก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดีใดๆ ใช่ว่าเงินพวกนั้นจะทำให้เขาเสียดาย เทียบไม่ได้กับกำไรในหนึ่งวันที่เขาทำได้ด้วยซ้ำ แต่ก่อนจะได้ก้าวออกไปจากบ่อนพนันก็มีคนเรียกเขาไว้ก่อน ไม่ต้องหันไปมองเขาก็รู้ว่าเป็นผู้ใด เล่อหรงหันไปยกคิ้วให้แก่เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีเทาที่เดินตามมา

“ต้องขออภัยแทนคนพวกนั้นจริงๆ ยามที่เสียก็มักจะอารมณ์ไม่คงที่นัก ทำให้เจ้าต้องเสียอารมณ์แล้ว”

“อ้อ ไม่เป็นไร ข้าไม่ติดใจเรื่องพรรค์นี้หรอก”

“เจ้าจะกลับแล้วรึ?”

“อืม ไม่มีอะไรทำก็คงกลับไปนอน”

“เจ้านอนตั้งแต่หัวค่ำเช่นนี้เลยรึ?” เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเทาแย้มยิ้มคล้ายจะขบขันแกมไม่อยากเชื่อ รอยยิ้มเพียงแวบหนึ่งนั้นทำให้คนได้เห็นคันหยุกหยิกในอกซ้ายเล็กน้อย เล่อหรงกะพริบตาปริบๆ คล้ายหัวจะทึ่มทื่อลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาบุ้ยปากเอ่ยอย่างเสียมิได้

“ก็ไม่รู้จะทำอันใดนี่”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากจะไปสำรวจเมืองนี้ในยามค่ำคืนหรือไม่?”

“เจ้าจะอาสาพาไปงั้นรึ?”

“หากเจ้าไม่รังเกียจ?”

เล่อหรงหรี่ตามองอีกฝ่ายที่ชักชวนอย่างครุ่นคิด ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีเทา ผิวพรรณขาวผ่องสะอาดสะอ้าน เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาน่ามองและมีเสน่ห์อย่างประหลาด อยู่ๆ ก็ยื่นมือมาช่วยเขาและชักชวนให้ไปด้วยเช่นนี้ ออกจะมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนเกินไปหน่อยหรือไม่? เล่อหรงยิ้มกว้างจนตาหยีพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างเบิกบาน ในใจของเขาคล้ายจะพองตัวฟูคับอก

“เจ้ากำลังเกี้ยวข้าอยู่รึ?”

“มิได้ ข้าเพียงอยากจะชดเชยที่เจ้าถูกทำให้เสียอารมณ์ เจ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่นี่ ข้าเองก็อยากจะเป็นเจ้าบ้านที่ดี” เด็กหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าปฏิเสธแล้วตอบกลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบ เล่อหรงชะงักกึก ใบหน้าสีน้ำผึ้งคล้ายจะเก้อเขินที่เข้าใจเจตนาอีกฝ่ายผิดไป ในตอนที่ว้าวุ่นว่าจะเก็บเศษหน้าที่แตกยับกลับคืนอย่างไร เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นมาช่วยเขาเอาไว้

“นายน้อย จะกลับแล้วหรือขอรับ?” จางผิงที่นั่งรอเจ้านายอยู่ที่เหลาสุราฝั่งตรงข้ามกับบ่อนพอเห็นเจ้านายเดินออกมาก็รีบวิ่งมารับ เพราะคิดว่าเจ้านายต้องการเล่นสนุกมากพอแล้ว เล่อหรงหันไปมองพี่เลี้ยงที่กล้ามโตของเขาก็แทบอยากจะปาตั๋วเงินใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างชื่นชม มาได้จังหวะพอดีเชียว!

“นั่นสิ ยังต้องไปทำธุระอีกนี่น่า ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน คุณชายท่านนี้ข้าต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว” ล่ำลาจบเล่อหรงก็เดินออกไปฉับๆ แทบจะทันที

จางผิงกะพริบตามองเจ้านายที่เดินออกไปรวดเร็วแทบจะเป็นวิ่งแล้วหันมามองอีกคนที่ยืนอยู่กับเจ้านายของเขา พี่เลี้ยงหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นคนคนนั้น แต่ยังไม่ทันได้ทำอันใดเสียงของเจ้านายก็เอ่ยเร่งดังมาเสียก่อน จางผิงรีบเดินตามหลังไปในทันที ส่วนคนที่รีบเดินออกไปแทบอยากมุดพื้นดินหนีอาย ให้ตายเถิด! เขานี่ช่างมั่นอกมั่นใจอะไรขนาดนั้นกัน หลงตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ อุตส่าห์เจอคนน่าคบสักคนที่เมืองนี้แต่กลับกลายเป็นว่าเข้าหน้าไม่ติดไปเสียแล้ว

ช่างน่าอับอายนัก!









นู๋หรงจ๊ะ ยังไม่รู้ตัวอีกว่ามีคนอยากเอานู๋ไปเลี้ยงต้อย!

ตอบคำถามเล็กๆ น้อยๆ

อ๋องว่างงานนี่อายุเท่าไหร่อ่า ทำไมมีเมียตั้ง 3 คนแล้ว
: อู้ววววว นางอายุมากกว่านู๋หรง อายุสิบหกจ้ะ

เรื่องท่านอารองท้องเนี่ยเป็นลักษณะพิเศษของผู้ชายตระกูลนี้หรือว่าเป็นแค่เฉพาะท่านอาคะ ถ้าเป็นเพราะตระกูลเราจะได้เห็นเบบี้ของเหลยเกอกับหรงตี้ไหมเอ่ย (หวังไกลมาก)
: ก็มีคำตอบอยู่ในเรื่องอยู่แล้ว ท่านพ่อฟ่านหลีพูดอะไรบ้างล่ะ

แต่งเรื่องท่านอารองหน่อยนะ
: ไม่ คำเดียวชัดเจนเนอะ มโนกันเอาเองนะ 55555

ตาสีทองแล้วผมสีทองด้วยไหมค่ะ เหมือนยังไม่ได้บอก
: มีตาทิพย์เหรอออออ รู้ได้ยังไงอะ!

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ถูกชายหมากินอิ่มอร่อย เอาตำลึงทองปาหัวก็ไม่ได้ แล้วยังต้องปลอมตัวเปนขันทีอีก 555    :mew4:

ออฟไลน์ naplatoo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
อาหรงน่ารักกก :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด