ก่อนพบพาน : ขวบที่ ๑๒ ในที่สุดก็ถึงเวลาเสียที!“เอ่อ...คือ...คุณชายขอรับ คู่ซ้อมวันนี้ของคุณชาย...เอ่อ...ท้องร่วงอย่างรุนแรง...มาซ้อมมิได้จริงๆ ขอรับ” หัวหน้าสำนักคุ้มภัยที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดระเบียบจัดที่สุดยืนกุมมือก้มศีรษะปลกๆ ขอโทษเด็กชายผู้หนึ่ง ใบหน้าเป็นเหลี่ยมคล้ำแดดเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัวราวกับวันนี้มีดวงอาทิตย์อยู่เก้าดวงด้วยกัน หัวหน้าสำนักคุ้มภัยโจวยิ้มเจื่อนๆ
แล้วผู้ใดมันจะไปรู้ว่าแค่เรื่องง่ายๆ อย่างหาคู่ซ้อมให้กับลูกชายเจ้านายมันจะกลายเป็นวิบากกรรมเพียงนี้! บุรุษเหล็กฆ่าก็ไม่ตายอย่างหัวหน้าโจว ผู้คุ้มภัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองจินหยางแห่งนี้กลับต้องมาอับจนให้กับปัญหานี้ โธ่เอ๊ย ตั้งแต่ขันอาสารับปากนายท่านว่าจะหาคู่ซ้อมให้กับนายน้อยหัวของเขาก็ปวดหนึบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่น่าหาเหาใส่หัวเลย ให้ตายเถิด ผู้ใดมันจะนึกว่าบรรพบุรุษน้อยตรงหน้านี้จะดวงพิฆาตรุนแรงเพียงนี้ เขากำหนดลูกน้องหรือลูกศิษย์คนไหนให้เป็นคู่ฝึกซ้อมแก่เด็กชาย คนผู้นั้นต้องมีอันเจ็บป่วยอย่างกะทันหันทันด่วน ไม่ก็เกิดอุบัติเหตุขาหักแขนหัก สารพัดอย่างที่จะเป็นไปได้ จนถึงวันนี้เขาก็ยังหาคู่ซ้อมให้กับบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ไม่ได้เลย เคยได้ยินข่าวลือของนายน้อยสกุลโหยวมาอยู่หรอก แต่ไม่นึกว่าจะร้ายแรงขนาดนี้!
ว่ากันว่าคุณชายน้อยแห่งตระกูลโหยวนั้นเป็นบุคคลที่เทพแห่งโชครักใคร่อย่างมาก หากเขาต้องการทำสิ่งใดย่อมประสบผลสำเร็จอยู่เนื่องๆ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่านายน้อยคนนี้ลงแข่งต่อสู้ประจำปีทีไรก็ครอบครองอันดับหนึ่งเสียทุกครั้ง แบบไม่ต้องเสียเหงื่อแม้สักหยดเดียวอีกด้วย จะให้เสียเหงื่อได้อย่างไรเล่า ยังไม่ทันได้เดินขึ้นสนามประลอง คู่แข่งแต่ละคนก็ต้องมีอันสละสิทธิ์มันทุกคน เข้ารอบไปจนได้อันดับหนึ่งแบบไม่ได้ปะทะใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้มาสามปีซ้อนจนทุกคนร่วมลงชื่อคัดค้านไม่ให้ลงแข่ง
“ช่างเถิด ข้าชินแล้วละหัวหน้าโจว” เด็กชายผู้มีดวงพิฆาตรุนแรงยิ้มกว้างแล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ มิหนำซ้ำยังรู้สึกเกรงอกเกรงใจหัวหน้าโจวที่ต้องมาปวดหัววุ่นวายกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้อีกด้วย เด็กน้อยหันตัวเดินจากไปอย่างเริงร่าไม่ติดใจดังปากว่าไว้ หัวหน้าโจวพ่นลมหายใจโล่งอกที่อีกฝ่ายเข้าใจและไม่ติดใจเอาเรื่องเอาราวอันใด
โหยวเล่อหรง ทายาทผู้เดียวของตระกูลโหยวที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในใต้หล้า เขาเดินเหวี่ยงถุงเงินหนักๆ ไปมาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะหล่นหายไปหรือไม่ จากนั้นก็ชำเลืองมองแผงร้านค้า จับจ่ายใช้สอยให้เงินจำนวนมากอย่างมือเปิบ แต่กระนั้นก็ไม่สะกิดเงินในถุงของเขาให้น้อยลงได้ ช่วงนี้เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือการฝึกวิชายุทธ์ ทุกอย่างง่ายดายไปหมดจนน่าเบื่อหน่าย ความรู้สึกเหล่านี้กระตุ้นให้เขาอยากจะออกไปทำภารกิจเร็วยิ่งขึ้น ทุกวันนี้ก็เทียวเช้าเทียวเย็นไปพูดกรอกหูเหล่าบรรดาผู้อาวุโสจนพวกท่านแทบจะแปะป้ายห้ามเข้าอยู่แล้ว พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าช่วงอายุที่เหมาะสมกับการออกไปทำภารกิจนั้นจะต้องอายุสิบห้าปีขึ้นไป อย่างบิดาของเขาที่ออกไปตอนอายุสิบห้าปีพอดี ส่วนท่านอารองหยวนออกไปช้ากว่าหน่อยด้วยวัยยี่สิบปีนั่นเอง
ระหว่างที่โหยวเล่อหรงกำลังเพลิดเพลินกับอาหารในมือก็มีเสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกับบุรุษร่างสูงใหญ่กล้ามโตราวศีรษะทารกโผล่พรวดเข้ามาใกล้
“นายน้อยขอรับ! นายน้อยยยย!”
“โอ๊ย เสียงดังอันใดนักหนา หุบปาก!” พูดจบคนเป็นเจ้านายก็ควักตำลึงทองขว้างใส่ศีรษะคนมาใหม่ให้เบาเสียงลง เรียกได้ว่าเอาเงินฟาดหัวก็มิผิดอันใด คนมาใหม่รับตำลึงทองพร้อมกับเช็ดถูเก็บเอากระเป๋าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไม่ลืมฉีกยิ้มกว้างๆ ประจบประแจงนายน้อยของเขา บุรุษตัวโตค่อยพูดค่อยจา ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องหงุดหงิดอีก
“นายน้อย นายท่านรองกลับมาจากซานโถวแล้วขอรับ กำลังถามหานายน้อย ข้าก็เลยวิ่งมาตามเช่นนี้”
“อะไรนะ ท่านอารองกลับมาแล้วงั้นรึ!? ก็แล้วไยไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า!” เจ้านายตัวน้อยที่กำลังแทะขนมได้ยินก็ทำตาโตระยิบระยับ ก่อนจะขมวดคิ้วปาตำลึงทองใส่คนรับใช้กล้ามโตอีกหน ครั้งนี้เป็นการชมเชยที่คาบข่าวมาบอกพร้อมๆ ทั้งลงโทษที่บอกช้าเกินไป
เด็กชายวัยสิบสองฉีกยิ้มกว้างหมุนตัววิ่งกลับไปยังรถม้าทองคำที่จอดรอท่าอยู่ก่อนแล้ว เป็นรถม้าของบ้านของเขาแน่นอน ไม่มีผู้ใดอุตริเอาทองคำว่าสร้างเป็นรถม้าเล่นๆ แบบตระกูลของเขาหรอก เนื่องจากอยากกลับคฤหาสน์เร็วๆ ครั้งนี้เด็กน้อยถึงไม่รังเกียจรังงอนรถม้าทองคำเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ต่อให้มีใครดิ้นตายต่อหน้าเขาก็ไม่ขอนั่งรถสีทองรสนิยมห่วยแตกเช่นนี้เป็นอันขาด
พอกลับมาถึงคฤหาสน์โหยวเล่อหรงก็เดินถลาไปยังห้องโถงใหญ่ทันที เมื่อย่างก้าวเข้าไปข้างในโถงรับแขกแห่งนั้นเขาก็เห็นบุรุษหนุ่มพกผ้าพันศีรษะแต่งชุดชนเผ่าทะเลทรายนั่งอยู่ เด็กชายยิ้มร่ารีบเดินเข้าไปเรียกหาบุรุษผู้นั้นทันที
“ท่านอารอง!”
“เล่อเล่อ กลับมาแล้วงั้นรึ?” คนที่เด็กน้อยโผเข้าไปกอดหันมาพร้อมกับอ้าแขนกอดหลานชายกลับ เขายิ้มกว้างเช่นเดียวกัน จากนั้นก็จับหลานชายพิจารณาซ้ายขวาเป็นการใหญ่ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ
“ดูสิ โตเร็วจริงๆ อาไปไม่นานหลานสูงขึ้นมากทีเดียว”
“อีกไม่นานต้องสูงแซงท่านอารองเป็นแน่!” คนโตเร็วเชิดหน้าภาคภูมิใจในความสูงของตนเอง ก่อนจะเอียงหน้าเอ่ยหยอกล้อท่านอารองที่มีความสูงน้อยกว่าพี่น้องคนอื่นๆ
“อย่าไปเทียบความสูงกับเจ้ารองเลย สูงเท่าตัวล่อ น่าภูมิใจที่ไหน” เสียงทุ้มต่ำมากๆ คล้ายพูดอยู่ในลำคอกล่าวล้อเลียนสมทบทันที
“พี่ใหญ่ก็พูดเกินไป ผู้ใดมันจะไปสูงเท่าตัวล่อกัน เตี้ยเกินไปแล้วกระมัง” คนถูกรุมล้อเรื่องความสูงนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยแย้งกลับไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย สองอาหลานหันไปมองบุรุษไว้หนวดเครารกไปครึ่งหน้าที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดา ภาพลักษณ์ของทั้งคู่แตกต่างราวกับฟ้ากับดิน คนหนึ่งดูหยาบกระด้างคล้ายโจรหลุดออกมาจากค่าย อีกคนกลับอ่อนหวานบริสุทธิ์ปานนางเซียน มิน่าเชื่อว่าพวกเขาจะเป็นสามีภรรยากัน โหยวฟ่านหลี ประมุขตระกูลโหยวคนปัจจุบันและฮูหยินผู้งดงามหยาดเยิ้มของเขา
“ท่านพ่อก็พูดเกินไป” โหยวเล่อหรงหันไปแย้งบิดาของตนพลางทำหน้าฮึดฮัดไม่พอใจ โหยวหยวนยิ้มแป้นเมื่อหลายชายคนโปรดเข้าข้าง คนถูกแย้งยกคิ้วรอฟังความบุตรชาย เด็กน้อยไม่รอช้าคลี่ยิ้มซุกซนตอบไปเสียงสดใส
“ท่านอารองสูงเท่าอานตัวล่อต่างหาก!”
สองพ่อลูกสบตากันก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังทันที คนถูกล้อเล่นด้วยทำหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะยกมือตบก้นหลานชายอย่างมันเขี้ยว
“เล่อหรง เจ้านี่มัน...”
“ว่าแต่ท่านอาซ่งมิได้มาด้วยหรือ?” คนถูกตบบั้นท้ายแอบเบี่ยงตัวหลบแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดทันที พอพูดถึงคนที่ถูกพาดพิงถึงใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลของโหยวหยวนก็อ่อนโยนขึ้นมาอยู่หลายส่วน
“เขาอยู่กับลูกน่ะ ครั้งนี้อามาคนเดียว”
“อ้าว น้องก็มิได้มาด้วยงั้นหรือ?” โหยวเล่อหรงทำหน้าผิดหวังทันทีที่ได้ยิน อุตส่าห์รีบมาเพราะอยากจะเห็นหน้าตาน้องที่เพิ่งเกิดเสียหน่อย เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในตระกูล แต่พอท่านอารองคลอดน้องออกมาก็มิใช่เขาแล้วที่อายุน้อยที่สุด ตาลุงหน้าตาน่ากลัวคนนั้นไม่มาก็ช่างเถิด แต่เหตุใดน้องที่เขาเฝ้ารอกลับไม่มากันเล่า!
หญิงสาวที่นั่งยิ้มแย้มฟังอาหลานพูดกันก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ร่างกายอ่อนเพลียเช่นนี้เจ้าควรจะพักผ่อน ส่งเพียงจดหมายมาแทนจะดีกว่า”
“ข้าสบายดีแล้วพี่สะใภ้ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ข้าจัดของบำรุงให้เจ้าอีกหน่อยดีหรือไม่?”
“อย่าเลยพี่สะใภ้ ข้าถูกเจ้าบ้านั่นบำรุงจนซีดเพราะบำรุงมากเกินไปแล้ว”
“ซีดเพราะบำรุงหรือซีดเพราะหักโหมกันแน่ หือ?” โหยวฟ่านหลีเปิดปากหยอกน้องชาย ดวงตากลอกไปมาอย่างล้อเลียน คนถูกล้อหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย สองสามีภรรยาหัวเราะขบขัน คนถูกหัวเราะกลับทำหน้าบูดบึ้ง
“พี่ใหญ่พูดจาเหลวไหลนัก เป็นถึงประมุขตระกูลโหยวกลับพูดเรื่องลามกหน้าตาเฉย”
“นี่ข้ายังมิทันได้พูดลามกอันใดเลยนะ เจ้าก็ร้อนตัวไปเสียก่อนแล้ว หรือเป็นเรื่องจริง?” ประมุขตระกูลโหยวยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบกลับน้ำเสียงยียวนจนคนได้ยินต้องเม้มปากอดกลั้น หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องกระแอมไอออกมาห้ามศึกน้ำลายของสามีกับน้องสามีเมื่อเห็นว่าคนถูกล้ออายจนจะขอสู้ตายอยู่แล้ว
“ท่านอารอง กลับไปครั้งนี้เอาข้าไปด้วยนะขอรับ ข้าอยากไปดูน้อง”
“ชิชะ เจ้าตัวแสบ คิดจะไปเที่ยวละสิ ไม่ต้องมาอ้างน้องเลย”
“แหม ท่านอาละก็ รู้ทันกันอีก” โหยวเล่อหรงหัวเราะเก้อๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายดักคอไว้เสียก่อน จริงๆ เขาก็อยากจะไปดูน้องเหมือนกัน แค่อยากจะไปเที่ยวทะเลทรายมากกว่านิดหน่อย พอถูกจับได้ก็รีบยิ้มเอาใจเมื่อท่านอารองจ้องเขม็ง ผู้เป็นมารดามองบุตรชายแล้วส่ายหน้าเอือมระอา
“โตขนาดนี้แล้วยังห่วงแต่เล่นสนุก”
“นั่นสิ แล้วจะไปทำภารกิจไหวหรือ?”
“ท่านพ่อหมายถึงภารกิจอะไรงั้นหรือ!?” โหยวเล่อหรงหันขวับไปมองบิดา ทั้งสงสัยปนอยากรู้ ในใจเต้นเร็วขึ้นด้วยความคาดหวัง แต่เพื่อความแน่นอนเขาจึงอดจะถามออกไป โหยวฟ่านหลีกระตุกมุมปากยิ้ม
“ย่อมเป็นภารกิจที่เจ้าคิดอยู่แล้วสิ”
“ท่านพ่ออออ!” โหยวเล่อหรงรีบโผเข้าไปหาบิดาด้วยความตื่นเต้น แสดงว่าที่เขาเทียวไปกดดันเหล่าอาวุโสนั้นก็ประสบความสำเร็จแล้วสินะ นัยน์ตาสีทองเปล่งประกายวิบวับ ตั้งแต่จำความได้คำว่าภารกิจนั้นฝังอยู่ในหัวของเขามาตลอด เพราะทุกครั้งเวลาเรียนอาจารย์ประจำตัวก็จะอ้างถึงเรื่องนี้จนเขาอยากจะโบยบินไปทำภารกิจเสียเดี๋ยวนั้นเลย
ทายาทตระกูลโหยวทุกรุ่นร่ำเรียนวิชาทุกแขนงจากสุดยอดอาจารย์ และเมื่ออายุครบกำหนดจะถูกส่งไปทำภารกิจตามที่ทางผู้อาวุโสของตระกูลตั้งไว้ อย่างเช่นบิดาของเขา ถึงไม่อยากจะรู้แต่อีกฝ่ายก็โม้ให้ฟังทุกครั้งหลังมื้ออาหาร ทำให้เขาจำได้ดี บิดาของเขาได้ภารกิจสร้างกองทัพอันแข็งแกร่งแก่แคว้นฉู่
กองทัพแคว้นฉู่ที่เกรียงไกรโด่งดังนั้นทั้งหมดมาจากฝีมือของประมุขตระกูลโหยวคนปัจจุบันอย่างโหยวฟ่านหลีนี่เอง และภารกิจในครั้งนั้นก็ทำให้โหยวฟ่านหลีพบกับภรรยาของเขา จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของโหยวเล่อหรงว่าหากเขาไปทำภารกิจบ้าง อาจจะได้พบรักหวานชื่นแบบบิดา
เด็กชายทำตาเป็นประกายตื่นเต้นทั้งที่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะเป็นภารกิจอันใด
“ดูเถิด เจ้าลูกหมา อยากจะไปจนทนไม่ไหวแล้ว เฮ้อ เห็นบ้านเป็นอันใด ไม่อยากอยู่บ้านเลยหรือไร?” โหยวฟ่านหลีจิ้มนิ้วแข็งๆ ลงบนหน้าผากของบุตรชายแล้วเอ่ยตำหนิพร้อมกับยิ้มๆ เพราะตอนเขายังเยาว์ก็คล้ายจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน กระตือรือร้นอยากจะไปนอกบ้านใจจะขาด
คฤหาสน์ทองคำทั้งหลังเช่นนี้ผู้ใดจะไปอยากอยู่กัน!
โหยวเล่อหรงแอบกลอกตาเล็กน้อย
“แล้วภารกิจของข้าต้องทำอะไรหรือ?”
“ยังไม่เลือกน่ะสิ นี่อย่างไรเล่าท่านอารองของเจ้าก็มาช่วยตัดสินใจมิใช่หรือ?”
“จริงหรือ? ท่านอารองต้องเลือกภารกิจให้ข้าดีๆ นะขอรับ แบบว่าช่วยคนงามจากเงื้อมมือมารชั่วอะไรแบบนี้”
...แล้วข้าก็ได้คนงามมาครอบครองอย่างไรเล่า วะฮ่าฮ่าฮ่า!
“เล่อเล่อ มันจะมีภารกิจเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า” โหยวหยวนหัวเราะขำกับสีหน้าขอร้องอย่างจริงจังของหลานชาย ชายหนุ่มรู้อยู่หรอกว่าในหัวของเด็กน้อยคิดอันใดไว้ กะจะไปหาคนรักแบบมารดาตนเองพร้อมๆ กับสะสางภารกิจที่ต้องทำ
“ก่อนจะคิดไปไกลขนาดนั้น เจ้าได้เริ่มฝึกซ้อมวิชากับหัวหน้าโจวหรือยัง?”
“โธ่ ท่านพ่อ หัวหน้าโจวหาคู่ซ้อมให้แก่ข้าไม่ได้เหมือนเดิม จะเริ่มฝึกซ้อมได้อย่างไร”
“ให้ตาย ยังดวงแรงเหมือนเดิมเลยนะเล่อเล่อ” โหยวหยวนหัวเราะคิกเมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของหลานชายบูดบึ้งทันตาที่กล่าวถึงเรื่องน่าหงุดหงิด ตั้งแต่ลืมตาดูโลกหลานชายของเขานั้นก็โชคดีเกินไป ถูกเทพเจ้าแห่งโชครักใคร่เอ็นดูเกินไปนิดหน่อย เหมือนเป็นดาบสองคม โชคดีจนกลายเป็นโชคร้าย
“จะภารกิจอันใดก็ตามเถิด แต่เจ้าอย่าได้พลีกายเพื่อภารกิจเช่นท่านอารองของเจ้าเล่า ดูสิ อุ้มท้องแก่ๆ หนีกลับบ้านมาจนสามีต้องมาตามกลับ กว่าจะตกลงกันได้เล่นเอาข้าปวดหัวไปหมด”
“แคก! พี่ใหญ่! ข้ามิได้พลีกายเพื่อภารกิจเสียหน่อย!” คนถูกพาดพิงสำลักน้ำชาจนเล็ดออกมาทางจมูก โหยวหยวนรีบปาดน้ำมูกปนน้ำชาแล้วสะบัดหน้ามาปฏิเสธเสียงดังลั่น แม้ว่าแก้มของเขาจะมีสีเข้มขึ้นก็ตาม โหยวฟ่านหลีทำหน้าไม่เชื่ออย่างที่สุด เขาทำปากคว่ำก่อนจะกระแหนะกระแหน่น้องชายอย่างสนุกปาก
“ผู้ใดจะเชื่อเจ้า หลักฐานก็มีอยู่ทนโท่ หากไม่พลีกายแล้วลูกเจ้าโผล่ออกมาได้อย่างไร? เจ้าจะบอกว่าสามีเจ้าเป่าใส่ท้องงั้นหรือ? ปัดโธ่! ลูกผู้ชายน่ะทำแล้วต้องยอมรับความจริงนะน้องรอง”
“นั่นสิขอรับ ข้ายังจำท่านอารองหนีหัวซุกหัวซุนจากลุงซ่งได้อยู่เลย อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลยที่ปวดหัว ข้าเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน”
“เพ้ย! พ่อลูกเข้ากันเหลือเกินนะ”
“แน่ละ พ่อหมากะลูกหมาเฟ้ย” สองพ่อลูกที่นานๆ จะเข้าขากันหัวเราะร่วนที่กลั่นแกล้งชายหนุ่มพ่อลูกอ่อนได้สำเร็จ คนถูกแกล้งเบนสายตาไปมองพี่สะใภ้ คาดหวังให้อีกฝ่ายช่วยเหลือตนจากสองพ่อลูกร้ายกาจคู่นี้ แต่เขาอาจจะลืมไปว่าพี่สะใภ้นั้นอยู่ฝั่งไหน พอมองไปยังสตรีหนึ่งเดียวที่นั่งยิ้มเหมือนเดิมก็ต้องถอนหายใจ เขายังจำได้ว่าก่อนจะออกไปปฏิบัติภารกิจพี่สะใภ้บอกว่าดวงความรักของเขาแรงมาก ไม่อยากจะเชื่อ มันแรงจริงๆ! รุนแรงเสียจนเขาอยากจะร้องไห้เชียวละ บ้าเอ๊ย ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ขอเปลี่ยนภารกิจน่าจะดีกว่า!
ครอบครัวสกุลโหยวพูดคุยกันเสียงดังครึกครื้นจนกระทั่งเด็กรับใช้มาเชิญประมุขตระกูลไปร่วมประชุมกับเหล่าผู้อาวุโส มิใช่เรื่องอื่นไกลใดๆ แต่เป็นเรื่องภารกิจที่จะมอบหมายให้แก่นายน้อยของตระกูลนั่นเอง ส่วนเจ้าตัวที่ไม่อาจเข้าร่วมการประชุมก็หลบไปรอคอยฟังผลอย่างตื่นเต้นที่ห้องของตนเอง
ร่างสูงโปร่งของเด็กชายวัยสิบสองเคลื่อนไหวกลับไปกลับมาเป็นรอบที่ร้อย จนคนนั่งมองทนมิไหว มองจนตาลายอยู่แล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดเสียที จางผิงครางเสียงค่อยออกมาจากลำคอแล้วประท้วงเจ้านายด้วยสีหน้าเหยเก
“นายน้อยหยุดเดินก่อนเถิดขอรับ ข้าตาลายไปหมดแล้ว! ท่านเดินจนพื้นห้องจะสึกแล้วกระมัง”
“เงียบน่าหน้าเต้าหู้ ข้ากำลังคิดวางแผนในการทำภารกิจอยู่”
“นายน้อยจะวางแผนได้อย่างไร ยังไม่รู้มิใช่หรือว่าต้องทำสิ่งใด”
“จุ๊ๆ ข้าคาดเดาจากประวัติภารกิจที่แล้วๆ มาของทายาทตระกูล จากที่อ่านมาทั้งหมดแบ่งภารกิจที่ได้รับเป็นสามประเภท หนึ่งปราบคนชั่วช้าแห่งยุค สองสร้างบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง และสามปลุกปั้นคนให้มีชื่อเสียงจารึกบนประวัติศาสตร์ หากพิจารณาดูแล้วช่วงหลังๆ มานี้ประเภทสองกำลังมาแรง ข้าคิดว่าพวกเขาต้องส่งข้าไปยังเมืองทุรกันดารแห่งหนึ่งแล้วให้สร้างเมืองแห่งนั้นให้เจริญรุ่งเรืองเป็นแน่”
“โอ้โห นายน้อยนี่ฉลาดจริงๆ” จางผิงห่อปากปรบมือชื่นชมเจ้านาย ผู้ใดจะคิดสนใจอ่านประวัติภารกิจของประมุขตระกูลแต่ละรุ่นดังเช่นนายน้อยของเขาบ้าง แต่ละเล่มล้วนแล้วแต่หนากว่าคัมภีร์บทสวดมนต์เสียอีก เขาเอาเวลาไปก้มหาเหรียญตามถนนยังได้ประโยชน์มากกว่า คนโดนชมโบกมือปัดอย่างไม่สนใจแล้วก้มหน้าขบคิดวางแผนต่อไปอย่างขะมักเขม้น
และแล้วการประชุมก็จบสิ้นลง เหล่าผู้อาวุโสลงเสียงกันเลือกภารกิจให้แก่นายน้อยว่าที่ประมุขตระกูลคนต่อไปเสร็จสิ้น ทันทีที่ได้ยินว่าการประชุมสิ้นสุดคนที่เป็นหัวข้อการประชุมก็กระโดดออกจากห้องของเขาวิ่งตรงดิ่งไปหาบิดาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลยิ้มกระหยิ่ม ทั้งตื่นเต้นและใคร่รู้เต็มเปี่ยม
“ท่านพ่อ ข้าได้ภารกิจอันใดหรือ!?”
“เฮ้อ เจ้าลูกหมา ให้ข้านั่งพักจิบน้ำก่อนได้หรือไม่?” ประมุขตระกูลโหยวที่ยังไม่ทันได้หย่อนตัวนั่งก็ถูกบุตรชายกระโจนใส่ตามด้วยคำถามที่ถูกพ่นออกมารวดเร็วแทบฟังไม่รู้เรื่อง โหยวเล่อหรงพยักหน้าเข้าใจคนแก่คนเฒ่ากระดูกไม่ค่อยดีนัก ด้วยความเป็นบุตรชายยอดกตัญญูเขารีบรินน้ำชาส่งให้บิดาแล้วยืนจ้องเขม็ง
คนรับถ้วยน้ำชาที่กระฉอกไปกว่าครึ่งนั้นยกขึ้นจิบ เนื้อตัวคันหยุกหยิกไปหมด ถูกสายตากระหายใคร่รู้เกินพอดีของบุตรชายกดดันจนไม่รู้รสน้ำชาในมือ โหยวฟ่านหลีพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอา เขาวางถ้วยน้ำชาแล้วเงยหน้ามองบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน บอกๆ ให้มันจบๆ ไป มันจะได้ไม่มายืนจ้องตาไม่กะพริบเช่นนี้อีก
“ภารกิจของเจ้าก็คือ... ช่วยองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นฉิงขึ้นครองราชย์”
รัชทายาทแห่งแคว้นฉิง!?
“อะไรกัน ไยถึงไปไกลถึงแคว้นฉิงนู้นเล่าขอรับ เปลี่ยนเป็นแคว้นเล็กๆ แถวนี้มิได้หรือ?” โหยวเล่อหรงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อฟังภารกิจที่เขาต้องไปทำ เรื่องช่วยเหลือรัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์ก็มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด ในอดีตเหมือนจะมีมาบ้างแล้ว บางคนถึงขั้นกลายเป็นสหายสนิทกันเลยก็มี ภารกิจนี้ค่อนข้างกินนิ่มสำหรับเขา แต่ที่มิได้คาดคิดกลับเป็นสถานที่ไปทำภารกิจต่างหาก แคว้นฉิงอยู่ไกลจากแคว้นต้าหยางมาก เรียกได้ว่าเป็นแคว้นเล็กปลาซิวปลาสร้อย
อีกอย่างสิ่งที่เขาไม่ชอบใจก็คือ... มันเกี่ยวข้องกับพวกราชวงศ์ โหยวเล่อหรงไม่ชอบที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะมีสหายสนิทเป็นรุ่ยอ๋อง แต่อีกฝ่ายนั้นก็มิได้เกี่ยวข้องกับศึกในราชสำนัก แต่ภารกิจนี้ของเขาเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์อย่างแน่นอน ในใจของเขามีอคติกับพวกราชวงศ์ คนพวกนี้ร้ายกาจเกินกว่าจะเข้าไปเกลือกกลั้วด้วยได้
“แถวนี้ไม่ได้ ใกล้กับต้าหยาง ใกล้อำนาจของเจ้ามากเกินไป ที่ประชุมลงมติกันว่าให้เจ้าไปแคว้นห่างไกลเพื่อสะสมอำนาจด้วยตนเองตั้งแต่จากศูนย์ใหม่ ไม่คิดว่ามันเป็นภารกิจที่ท้าทายมากหรือ? ตัวเจ้าที่ไม่มีอำนาจใดๆ และไม่มีผู้ใดรู้จักจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำภารกิจประสบความสำเร็จหรือไม่?”
“ทำไมต้องเป็นภารกิจกัน ให้ข้าไปสร้างเมืองสร้างกองทัพยังจะดีเสียกว่า” คนที่กระตือรือร้นจะทำภารกิจในตอนแรกพอทราบว่าตนต้องทำอันใดก็บ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ “ท่านยังไปทำภารกิจสร้างกองทัพ ข้าไปทำเช่นนั้นบ้างมิได้หรือ?”
“เล่อหรง การที่เจ้าไปช่วยเหลือรัชทายาทแคว้นฉิงให้ขึ้นครองราชย์นั้นดีกว่าสร้างกองทัพที่มีเพียงเป้าหมายทำลายเข่นฆ่ามากนัก เจ้าสามารถสร้างคนคนหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือผู้คนอีกนับหมื่นนับแสน ต่างจากข้าที่สร้างกองทัพมาเพื่อเข่นฆ่าผู้คนให้ล้มตายนับหมื่นนับแสน”
คนเป็นบุตรนิ่งเงียบ ในใจดื้อดึงอยู่บ้างแต่ก็อ่อนลงเมื่อเห็นบิดาทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาคมกริบสีทองเฉกเช่นตัวเขาสะท้อนความเคร่งเครียด โหยวเล่อหรงรู้ดีว่าบุตรชายของเขานั้นไม่ชอบเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้นัก แต่จะทำอย่างใดได้ในเมื่อที่ประชุมลงความคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันแล้ว ใช่ว่าเขาจะอยากให้บุตรชายคนเดียวไปไกลหูไกลตาเช่นนี้ เฮ้อ ทำให้เข้าใจหัวอกบิดามารดาตอนที่ตัวเขาเองออกไปทำภารกิจด้วยความคึกคะนองเลยทีเดียว
“ไปเถิดลูกรัก ภารกิจครั้งนี้จะมอบประสบการณ์มากมายให้แก่เจ้า” เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดังขึ้นแทรกบรรยากาศหนักหน่วงระหว่างบิดากับบุตรชาย โหยวเล่อหรงหันไปมองมารดาคนงามของเขาแล้วค่อยๆ คลายปมที่หัวคิ้วออก เด็กชายขยับตัวเข้าไปหามารดาแล้วซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นกระซิบอ้อนสมวัยออกมา
“ท่านแม่ ข้าไม่ชอบเลย”
“แม่รู้ แต่ว่านะลูกรัก กับสิ่งที่เกลียดเจ้าต้องเข้าใจและรู้ทันมันให้ได้ มิใช่หลบเลี่ยงเช่นนี้ ตลอดชีวิตเจ้าคิดจะเลี่ยงไปได้ตลอดอย่างนั้นรึ? อย่างไรเสียวันใดวันหนึ่งเจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเผชิญหน้าอย่างเหนือกว่าหรือด้อยกว่าก็เท่านั้น เล่อเล่อของแม่เก่งกาจกว่าผู้ใดเรื่องง่ายเพียงนี้จะจัดการมิได้เลยรึ?”
“ข้าทำได้” เด็กน้อยกัดฟันตอบรับคำของมารดาที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือเรียวนุ่มลูบไล้ใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลของบุตรชายแล้วค่อยๆ ย่อตัวมาจ้องนัยน์ตาสีทองคู่งามตรงหน้า ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าวชมเชยพลางลูบศีรษะปลอบโยน
“ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว”
โหยวฟ่านหลีมองบุตรชายที่เริ่มเชื่องราวกับม้าถูกปราบพยศอย่างอัศจรรย์ใจ ให้ตายเถิด เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะเจ้าลูกหมากลับทำตาแข็งกร้าวใส่ พอเมียเขาพูดสองสามประโยคแค่นั้นแหละอ่อนยวบๆ เป็นเต้าหู้เหลว มารดากับบิดาแตกต่างกันที่ใดกันนะ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด!
“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมตัวก่อนนะขอรับ มีเรื่องที่ต้องทำมากมายก่อนจะออกเดินทางไปทำภารกิจ”
“ไปเถิด แต่ไม่ต้องรีบเร่งนักหรอก อย่างไรเสียเจ้าก็ได้ทำภารกิจก่อนเวลากำหนดอยู่”
“นั่นสิ ไปทำอะไรไว้เล่าถึงทำให้พวกตาแก่เหล่านั้นเตะโด่งเจ้าไปทำภารกิจเร็วเช่นนี้”
โหยวเล่อหรงกลอกตาไปมาพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แก่บิดาที่ส่ายหน้าออกมาอย่างปลงตก มันไปทำเรื่องไว้จริงๆ ด้วย! มิน่าถึงถูกหมายหัวส่งไปทำภารกิจเร็วขนาดนี้ ก่อนที่จะได้ก้าวออกไปจากห้องนั้นโหยวเล่อหรงก็ถูกมารดาเรียกเอาไว้
“ลูกแม่ หากเจ้าเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหวก็จงกลับมาบ้าน”
“แน่นอน ข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว” เด็กชายยิ้มเอ่ยรับปากออกไป ในใจร้อนหน่อยๆ ราวกับถูกอีกฝ่ายมองทะลุเข้ามาในจิตใจ ก่อนที่จะมีพิรุธอะไรไปมากกว่านั้นโหยวเล่อหรงก็รีบพาตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงสองสามีภรรยาที่นั่งนิ่งเงียบ ประมุขตระกูลโหยวทำหน้าเคร่งจนหน้าที่มีหนวดรกไปครึ่งทะมึนตึงน่ากลัว
“จะเกิดอันใดอย่างนั้นรึ?”
“อย่าได้กังวลเลย บุตรชายของเรานั้นเข้มแข็งยิ่งกว่าผู้ใด ข้าเพียงพูดไปเรื่อยเท่านั้น” ตอนหน้าก็เข้าสู่เนื้อเรื่องจริงจังแล้วนะเจ้าค่ะ
เปิดตัวชายหมาอย่างเป็นทางการแล้ว