๗
หลวงพินิจราชอักษรยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องหนังสือ สายตามองไกลออกไปยังศาลาไม้ทรงแปดเหลี่ยมที่ทาสีขาวสะอาด รอบๆมีบ่าวไพร่ เพศชายกำยำ ล่ำสันหลายคนช่วยกันยกกระถางดินที่มีต้นไม้ขึ้นต้นขนาดย่อมไปวางไว้ตามแนว ที่ ตามี หรือบ่าวรับใช้ชรา ยืนชี้นิ้วสั่งอยู่บริเวณรอบศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวสะอาดริมสระบัว จากตรงนั้น คุณหลวงหนุ่มเห็น นายเส็ง นุ่งโจงกระเบนสีเข้ม เปลือยอก ค่อยๆเดิน เหนียมอายไปช่วยเพื่อนบ่าวยกกระถางต้นไม้ ด้วยท่าทีเก้งก้าง เคอะเขินราวกับไม่เคยถูกใช้ให้ทำงานหนักมาก่อน
ผิวกายสีขาวเนียน ดูสวยราวกับรูปสลักหินอ่อน หยาดเหงื่อเกาะพราวไปทั่วทั้งตัว ยิ่งมีแสงอาทิตย์ส่องมากระทบ ยิ่งดูงดงามราวกับรูปปั้นหินสลักฝังเพชร ราวกับว่าหนุ่มน้อยคนนี้ไม่ใช่คนด้วยซ้ำ หากแต่เป็นเทพบุตรปลอมตัวมาหลอกให้หลวงพินิจ ได้แต่มองอยู่อย่างนั้นจนไม่เป็นอันทำงาน
คุณหลวงยิ้มแล้วส่ายหัวเบาๆ กับความตลกของตัวเอง ที่ทำอย่างกับเป็นเด็กหนุ่มแรกรักที่ไม่รู้จักแยกแยะความจริง และความฝันอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะตรงกลางห้อง นั่งลงแปลตำราเรียนภาษาฝรั่งให้เป็นไทย เพื่อส่งให้กระทรวงธรรมการ
แทบไม่ทันได้เขียนสักกี่ประโยค คุณหลวงก็ได้ยินเสียงวัตถุตกลงพื้นแตกดังเพล้ง ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างตกใจของบ่าวไพร่ ตบท้ายด้วยเสียงก่นด่าของตามี ดังเข้ามากระทบประสาทหูของคุณหลวง แม้อยู่ในตัวบ้านก็ตาม
“โอ๊ย เอ็งนี่มันยังไง หือ อ้ายเจ๊ก ถือกระถางต้นไม้เท่านี้ก็มือไม้อ่อน ทำกระถางตกได้อย่างไรกัน คุณหลวงท่านเห็น ได้โดนเฆี่ยนหลังลายกันทั้งหมดนี่หรอก ไม่ระวังเสียเลยเอ็ง” ตามีดุเส็งเสียงดังจนบ่าวหนุ่มร่างขาวต้องรีบยกมือไหว้ อย่างน่าเวทนา
“ขอโทษเถอะจ้ะ ตามี ฉันมันคนมืออ่อนหยิบจับอะไรก็ตกแตกหมด ตามีอย่างด่าฉันเลยนะจ๊ะ”
“อะไรกัน ตามี อ้ายเส็ง” หลวงพินิจราชอักษรเดินมาหยุดอยู่ตรงขอบหน้าต่างไม้ มองลงไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้พอดี ได้ยินเสียงของตามีแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
“คุณหลวงขอรับ อ้ายเจ๊กนี่ทำกระถางต้นไม้คุณหลวงแตกของรับ มันไม่ระวังมือไม้อ่อน ทำเอาของเสียหาย ผมต้องขออภัย แทนมันด้วยขอรับ” ตามีรีบชี้แจงเสียงสั่น ด้วยกลัวว่าตนเป็นหัวหน้างาน จะถูกลงโทษหนักที่สุด
“แล้วเอ็งก็แก้ปัญหาด้วยการโวยวายลั่นไปหมดอย่างนี้หรือตามี”
บ่าวชราก้มหน้านิ่ง ด้วยรู้ตัวว่าคุณหลวงไม่เกลียดอะไรมากไปกว่าการถูกรบกวนเวลาที่เขาทำงาน
“คราวหลังเอ็งอย่าได้โวยวายเสียงดังแบบนี้อีกเวลาข้าทำงาน หากยังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกคราวหลัง ข้าจะเฆี่ยนเอ็งเสียให้จับไข้”คุณหลวงตวาดเสียงแข็ง ก่อนจะหันมาเรียกชายหนุ่มตัวทำเรื่อง “อ้ายเส็ง”
“ขะ.. ขอรับ”
“เอ็งมาหาข้าที่เรือน อย่าให้ข้าต้องรอ”
“ขอรับ” เส็งรับคำ แล้วรีบเดิน มาหาหลวงพินิจฯ ที่เรือนเทา
ตั้งแต่เกิดมา เส็งไม่เคยกลัวใครเท่าหลวงพินิจราชอักษรเลย ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนหน้าดุ รูปร่างสูงใหญ่ราวฝรั่งมังค่า แถมยังเป็นนายบ่าวของเขาอีกก็ทำให้ยิ่งกลัวไปใหญ่ เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นวันแรกแท้ๆ แต่กลับสร้างเรื่องขึ้นมาจนถูกเรียกมาหาที่เรือนอีกต่างหาก ถ้าหากไม่มาเพื่อถูกเฆี่ยน จะมีเหตุผลอะไรอีกเล่าที่หลวงพินิจฯ จะเรียกเขาตาหาเสียบนตึกใหญ่แบบนี้
บ่าวหนุ่มเดินเข้าไปที่หน้าประตู ก็เห็นบ่าวผู้หญิงอายุราวสามสิบปลายๆนั่งอยู่หน้าห้องหนังสือ พอเห็นเส็งเดินท่อมๆเข้ามาก็เอ่ยเสียงกระซิบกระซาบเป็นธรรมดาของสาวคนใช้ที่ ชอบคุยชอบนินทาไปทั่ว
“นี่เอ็งไปทำอะไรเข้าให้คุณหลวงเรียกขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ”
“ฉันทำกระถางต้นไม้ของคุณหลวงแตกจ้ะพี่” เส็งตอบเสียงเบา ราวกับว่าการเปล่งเสียงออกมาแต่ละคำมันกรีดบาดคอให้เจ็บอย่างไรอย่างนั้น “คุณหลวงเรียกฉันขึ้นมาแบบนี้ จะลงโทษไหมจ๊ะ”
“อู๊ย ลองเป็นแบบนี้ อย่างมากก็โดนเอ็ดเอาเท่านั้นแหละ เอ็งน่ะคนที่มาใหม่วันนี้ใช่ไหมล่ะ”
“จ้ะ”
“คุณหลวงแกคงไม่ทำอะไรเอ็งมากหรอก” บ่าวผู้หญิงคนนั้นทำท่าครุ่นคิด “แต่เอ ตาเทิด ทนายของแกเคยโดนโบยเสียสลบ เพราะตอนแขกฝรั่งมา ดันจัดอาหารไทยมารับนั่นแหละ ฉันไม่เคยเห็นคุณหลวงโกรธเท่าคราวนั้นได้อีกเลย ตาเทิดมันก็หวังดีนะเอาอาหารไทยอย่างดีมาต้อนรับ ที่ไหนได้ฝรั่งบอกเหม็นกะปิน้ำปลา คุณหลวงแกก็เลยเสียหน้า”
เส็งหน้าถอดสี ถึงกับมีโบยสลบกันเลยหรือ แล้วเขาจะเป็นอย่างไรบ้างละนี่ บ่าวผู้หญิงคนนั้นเห็นเส็งเงียบก็เข้าใจว่าเริ่มกลัวแล้ว จึงเปิดประตูปล่อยให้บ่าวหนุ่มเข้าไปในห้อง
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง เส็งก็หมอบลงคลานเข้าไปหาหลวงพินิจ นั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาดุราวเสือร้ายที่จ้องจะขย้ำกวางหนุ่มที่ตัวสั่นงันงกไม่มีทางสู้ ไม่ได้รู้สักนิดเลยว่า คนที่มองตัวเองอยู่นั้น เขามองด้วยสายตาอ่อนโยนปานใด อีกยังมีรอยยิ้มเจืออยู่ในแววตาโดยไม่ต้องยิ้มออกมาด้วยริมฝีปาก
“อะไรกัน นั่งหลบหน้าแบบนี้ เห็นข้าเป็นยักษ์เป็นมารหรืออย่างไร”
เส็งเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับว่า มีใครสักคนเอาตัวหลวงพินิจราชอักษรไปซ่อน แล้วเอาใครก็ไม่รู้มาไว้แทนอย่างไรอย่างนั้น เพียงน้ำเสียงฟังดูก็รู้สึกว่า ไม่น่าใช่คุณหลวงหน้าเข้ม ตาดุที่จะโบยใครสักคนให้สลบได้เลย หากแต่น้ำเสียงที่เขาได้ยินนั้น ฟังดูอ่อนโยนใจดี แม้แต่ใบหน้าที่เงยขึ้นมาพบนั้น ก็ดูใจดีคล้ายคล้ายกับพี่ชาย นั่งยิ้มให้น้องอยู่ตรงนั้นเอง
“ไหน ข้าขอดูมือซี เป็นแผลลึกหรือเปล่าก็ไม่รู้” หลวงพินิจราชอักษรกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทำเอาหนุ่มน้อยที่นั่งตรงหน้าถึงกับต้องหลบตาด้วยความเขินอาย แอบเผลอยิ้มที่มุมปากไม่ได้ “เอ้า ว่าอย่างไร พูดนี่ไม่ได้ยินหรือ”
หลวงพินิจลุกจากตั่งไม้สัก เดินมาหาหนุ่มน้อยก่อนจะยอบตัวลงนั่งยองตรงหน้าเส็ง พร้อมๆกับที่ยื่นมือใหญ่ แข็งแรงแต่นุ่มด้วยสัมผัสเข้าประคองแขนของหนุ่มน้อย ยกขึ้นให้มองเห็นฝ่ามือได้ พอเห็น ก็ส่งสายตาดุระคนเอ็นดูให้คนเจ็บก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด
“มะลิ เอ็งเข้ามาที” บ่าวผู้หญิงหน้าประตูคนที่ขู่เส็งเรื่องคุณหลวง รีบกุลีกุจอ เปิดประตู แล้วคลานเข่าช้าๆเข้ามาหาหลวงพินิจราชอักษร หากหล่อนจะสงสัยว่าเหตุใดนายหนุ่มจึงลงมานั่งยองกับพื้นอยู่ต่อหน้าบ่าวหน้าใหม่คนนี้ หล่อนก็เก็บอาการไว้มิดชิดสนิททีเดียว มะลิ นั่งพับเพียบก้มหน้านิ่งเตรียมรับคำสั่ง “ตักน้ำใส่ขันมาให้ข้า เอาผ้าสะอาดมาด้วย สองผืนนะเอ็ง แล้วยาฝรั่งที่ได้มาจากบางรัก ที่ข้าให้เก็บ เอ็งเอาไว้ที่ใด”
“ยาขวดดำๆหรือเจ้าคะ ...อยู่ที่ตู้ยา เจ้าค่ะ”
“เออ เอามาด้วย รีบไปอย่าให้ข้ารอนาน” หลวงพินิจสั่งด้วยน้ำเสียงคมเข้มต่างจากที่คุยกับเส็งเมื่อ ครู่ พอบ่าวหญิงรับคำ แล้วคลานออกจากห้องไปแล้ว คุณหลวงหนุ่ม ก็ลูกขึ้นนั่งบนตั่งตามเดิม ก่อนจะเอ่อยด้วยวาจานุ่มลึกนั้นอีกครั้ง “เอ็งไปทำท่าไหน จึงทำกระถางตกได้”
เส็งก้มหน้าลงอีกครั้ง แม้น้ำเสียงจะแสดงว่าไม่โกรธ แต่พิจารณาจากเนื้อความก็ทำให้รู้แล้วว่า หลวงพินิจ กำลังตำหนิตน
“บ่าวไม่ดีเองขอรับ มือไม้ไม่มีแรง กระถางเล็กๆเท่านี้ก็ทำตก คุณหลวงจะลงโทษบ่าวอย่างไรก็ได้ขอรับ บ่าวขอรับผิดเอง” หนุ่มน้อยหลับตาปี๋ เตรียมรับคำตำหนิที่จะพรั่งพรูออกมาจากปากคุณหลวง หากแต่ที่ได้ยินกลับเป็นเพียงเสียงหัวเราะเท่านั้น
“อะไร บทจะพูดก็พูดเสียยาว ข้าบอกแล้วหรือว่าจะลงโทษ” เส็งยังนิ่งไม่ได้ตอบโต้อะไร “คนเจ็บ ไปทำให้เจ็บอีกจะได้อะไรขึ้นมา ข้าเป็นนาย เอ็งเป็นบ่าวก็จริง แต่ข้ามิใช่ยักษ์ใช่มาร จะให้ทำร้ายกัน ให้ฆ่าให้แกงกันนั้นทำไม่ได้”
หลวงพินิจยิ้ม
พอดีมะลิถือขันใส่น้ำ เดินเข่าเข้ามา คุณหลวงจึงหยุดพูด รอให้หล่อนคลานออกไป จึงหันมาพูดกับหนุ่มน้อยต่อ
“เอ็งขึ้นมานั่งนี่เถิด”
“บ่าว... มิบังอาจขอรับ” เส็งรีบปฏิเสธ หากเป็นบ้านคุณหยาดละก็ อย่าว่าแต่นั่งบนตั่งเดียวกันเลย เงาของบ่าวไปทับเงาของนายก็พาลจะโดนด่าหัวกุดแล้ว นี่จะให้ขึ้นไปนั่งอย่างไรได้
“จะบังอาจก็ที่ขัดคำสั่งนี่ละเอ็ง” หลวงพินิจหัวเราะ “ขึ้นมานั่ง ข้าจะทำแผลให้”
บ่าวหนุ่มเดินเก้ๆกังๆมานั่งที่ตั่งเดียวกับคุณหลวงอยู่ห่างแทบจะตกขอบตั่ง หลวงพินิจราชอักษรเห็นก็รำคาญคว้าข้อมือของหนุ่มน้อย ลากเข้ามาหาใกล้ๆ ค่อยๆประมือมือขาวๆ นั้นให้เจ็บน้อยที่สุดก่อนจะชุบผ้าลงขัน บิดพอหมาด แล้วซับรอบๆแปลของหนุ่มน้อย
“เอ็งไม่เคยทำงานหนักหรือไร”
“ขอรับ”
“เป็นลูกผู้ชายไม่ทำงานแบบนี้ เอ็งทำอะไรได้บ้าง”
“บ่าวทำกับข้าวเป็นขอรับ คุณหลวงอยากรับอะไรบ่าวทำให้ได้หมดทุกอย่างขอรับ” เส็งยิ้มเมื่อพูดถึงเรื่องที่ตนทำได้ดี
“แปลกเหลือเกินนะ พ่อกับแม่เอ็งเลี้ยงลูกชายให้ทำกับข้าวกับปลา เย็บปักถักร้อย ไม่มีลูกสาวหรือไร”
“ไม่มีขอรับ บ่าวเป็นลูกชายคนเล็ก มีพี่ชายสองคน บ่าวเป็นเด็กขี้โรค เกิดมาตัวเล็กนัก เจ็บออดๆแอดๆ เตี่ยกับแม่ต้องคอยดูแลเอาไว้ให้อยู่แต่ในบ้าน จะออกไปเล่นกับเพื่อนๆก็ไม่ได้ จะไปทำงานหนักอย่างพี่คิม พี่เล้ง ก็ไม่ได้ เตี่ยเลยบอกให้แม่เลี้ยงบ่าวไว้คอยเป็นเพื่อน แม่เองก็ไม่มีลูกสาวเลยสอนให้ทำกับข้าว เย็บปักถักร้อย สอนให้อ่านหนังสือขอรับ”
“อ่านหนังสือได้ด้วยหรือ”
“ได้ขอรับ หนังสือที่บ้านมีหลายเล่ม ทั้งของไทย ทั้งพงศาวดารจีน บ่าวชอบอ่านออกเสียงให้เตี่ยฟังขอรับ เตี่ยของบ่าวสายตาไม่ดี”
“ดีจริง ถ้าอย่างนั้น เอ็งช่วยเตรียมสำรับให้ข้าก็แล้วกัน เวลาไม่มีงานก็คอยมานั่งใกล้ๆ เผื่อจะเรียกหาใช้สอยอะไร หรือให้อ่านอะไรให้ฟังเสียบ้าง” คุณหลวงว่าพลางค่อยๆ ซับเลือดออกจากปากแผลของหนุ่มน้อย
“คุณหลวงช่างกรุณาบ่าวนักขอรับ”
หลวงพินิจยิ้มให้กับบ่าวตรงหน้า
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเอ็ง” หลวงพินิจลดความเข้มของเสียงลงเป็นประมาณพอสนทนารู้เรื่อง ไม่ใช้เสียงดังฟังชัดอย่างที่มักใช้พูดกับใครต่อใครบ่อยๆ “ตอนข้าไปอยู่เมืองฝรั่ง พ่อแม่ก็ไม่มี ญาติพี่น้องก็ไม่มี ต้องคอยอยู่รับใช้ท่านทูต ภาษาฝรั่งก็ยังพูดไม่สู้คล่องนัก จะใช้ทำงานอะไรก็ผิดไปหมด เป็นอย่างนี้อยู่หลายเดือนกว่าจะปรับตัวได้ เอ็งเพิ่งมาอยู่ที่นี่ จะทำอะไรผิดพลาดบกพร่องไปข้าก็เข้าใจ”
คุณหลวงหมุนเกลียวขวดยาออก ก่อนจะเทลงผื้นนั้นพอให้มียาอยู่ แล้วจึงซับยาลงไปบริเวณปากแผล จนคนเจ็บสะดุ้งเพราะไม่เคยชินกับยาแบบนี้
“แสบหรือ”
“ขอรับ” เส็งแทบชักมือหนีได้แน่นั่งขืนตัว อย่างไม่เต็มใจนัก แต่ด้วยความเกรงใจก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้แล้ว
“ทนหน่อยเถิดนะ ยาฝรั่งของหมอ ปลัดเล สมัยเจ้าคุณพ่อยังไม่เป็นที่นิยม เห็นว่าวิธีของฝรั่งจะใช้ไม่ได้ผล พ่อข้านี่แหละที่ใจกล้าให้หมอฝรั่งจับรักษาให้ทุกวิธีไม่ว่าจะเป็นอะไร คนก็ถึงพากันนับถือหมอปลัดเลมาถึงตอนนี้ แม้เขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม” หลวงพินิจว่า “ข้ารับรองว่า ไม่กี่คืนดอก หายดีราวกับไม่เคยเจ็บ”
ผู้เป็นนายพันผ้ารอบมือแล้วก็เหน็บชายไว้ง่ายๆ มิให้เลือดไหลมาอีก
“เวลาอาบน้ำระวังอย่าให้ผ้าเปียก เดี๋ยวแผลจะเน่าเอา” หลวงพินิจยิ้ม “เสร็จแล้ว เอ็งไปพักผ่อนเถิด วันนี้อย่าเพิ่งทำอะร็ได้ ข้าอนุญาต”
“ขอบพระคุณขอรับ”
“แล้วพรุ่งนี้เช้าอย่าลืมจัดอาหารให้ข้าด้วย ข้าจะรอดูว่าจะเก่งสักแค่ไหนเทียว” ผู้เป็นนายยิ้มให้อย่างอบอุ่น ก่อนจะไล่บ่าวหนุ่มไปนอนพักเอาแรง
เรือนบ่าวที่อยู่หลังสระน้ำนั้นเป็นเรือนไม้ทรงไทย แม้ไม่ได้วิจิตรงดงามเป็นเพียงบ้านไม้เก่าๆ เล็กๆ ก็ดูสวยงามเมื่อประกอบกับเรือกสวนไร่นาที่อยู่ข้างหลัง แบ่งเป็นสองเรือน เชื่อกันด้วยชานบ้านที่มีบ่าวเล็ก บ่าวใหญ่นั่งกันให้สลอน บ้างก็ร้อยมาลัย บ้างเดินเก็บเศษใบไม้รอบสระน้ำไปทิ้งรวมกัน บ้างก็เพียงนั่งคุยเท่านั้น ดูเป็นวิถีชีวิตแบบง่ายๆ ไม่ต้องรีบร้อน หรือวางแผนอะไรในชีวิต อีกไม่นานเท่าใด เส็งเองก็คงกลายเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
บัดนี้ แสดงอาทิตย์สัมผัสยอดไม้ต่ำๆ เป็นสัญญาณว่าเวลาแห่งสนธยาเริ่มมาเยี่ยมเยียนแล้ว บ่าวผู้ชายหลายคนเดินลงไปที่ท่าน้ำริมคลองเพื่ออาบน้ำคลายร้อนจากที่ทำงานหนักมาทั้งวัน เส็งเห็นตามีเดินผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตว่าเส็งอยู่ตรงนั้น หรืออย่างน้อยก็ทำเป็นมองไม่เห็นไปอย่างนั้น
หนุ่มน้อยใช้เวลาทั้งบ่ายนั่งแยกผลไม้ที่เก็บได้จากสวนของที่นี่เพื่อแลกกับผลไม้จากตำบลอื่นที่มีพ่อค้าพายเรือผ่านมา ส่วนหนึ่งบรรดาบ่าวก็แบ่งไปกินกัน บางส่วนเก็บไว้ให้คุณหลวง บางส่วนก็เหลือไว้แลกกับสินค้าประเภทอื่นที่พายผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร หรือน้ำตาลทราย บัดนี้ชายหนุ่มนั่งหย่อนขาลงสระบัว ในมือมีข้าวตังที่ติดก้นหม้อข้าวส่วนหนึ่ง คอยโรยให้ปลาน้อยใหญ่ อีกส่วนหนึ่ง ยามนอม แม่ครัวใหญ่ประจำเรือนนี้กำลังเคี่ยวน้ำตาลใส่กับน้ำ ทำเป็นน้ำข้าวตังกลิ่นหอมแบบกลิ่นไหม้นิดๆ โชยมา
สักพักเส็งก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินมาข้างหลัง ก็แหงนหน้าขึ้นมอง
“พี่มั่นนี่เองฉันนึกว่าใคร”
“เอ้า แล้วคิดว่าใครเล่า” บ่าวหนุ่มรุ่นพี่ ร่างใหญ่บึกบึน นั่งลงข้างๆเส็งพลางหัวเราะไปด้วย “มาถึงวันแรก เอ็งก็ทำเรื่องเสียแล้ว”
“ขอโทษจ้ะ”
“ไม่เป็นไรน่า คนเราผิดพลาดกันได้ แต่เอ็งอย่าพลางซ้ำแล้วกัน เดี๋ยวจะโดนหนัก” มั่นว่า หลานชายของตามีคนนี้ เป็นบ่าวชายที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคืออายุใกล้เคียงกับเส็งที่สุด จึงเป็นเพียงคนเดียวที่คอยพูดจากับหนุ่มน้อยอย่างสนิทสนม
“ในครัวทำอะไรอยู่ละพี่ หอมเทียว”
“น้ำข้าวตัง” มั่นว่า “ที่มันติดก้นหม้อพอเอามาเคี่ยวใส่น้ำใส่น้ำตาลแล้วหอมอร่อย กินชื่นใจ”
“อย่างนั้นหรือ ฉันไม่เคยกินเลย”
“จะเคยได้อย่างไร พวกเจ๊กชอบหุงข้าวเละๆ คงไม่มีเหลือติดหม้อกระมัง” มั่นว่าพลางหัวเราะพลาง ก่อนจะเห็นเหลือบไปเห็นบ่าวสาวคนหนึ่งก้าวมาจากทางเรือนบ่าว มุ่งหน้าไปยังเรือนเทาของหลวงพินิจ ก็บุ้ยใบ้ให้เส็งดู“เอ้า มาโน่นแล้ว แม่คนต้นคิด จะไปปะเหลาะเอาใจอะไรอีกล่ะคราวนี้”
“แม่คนต้นคิด” เป็นสาวสวย เอวบางสะโอดสะองนุ่งผ้าคาดอก โจงกระเบนแบบบ่าวสาวทั่วไป กระนั้นผิวสีเหลืองนวลและใบหน้าจิ้มลิ้มราวสาวเหนือนั้นทำให้หล่อนดูน่ารัก น่าหยิก ผมดำขลับยาวตรงลงมาประบ่า แม้จะก้าวเดินก็ดูสวยงามไปหมด จนเส็งถึงกับมองค้าง คนสวยแบบนี้ออกมาจากเรือนบ่าว ก็คงจะเป็นบ่าวไม่น่าผิด
“แม่แก้ว นั่นอะไร จะเอาอะไรให้คุณหลวง” มั่นตะโกนถาม พลางลุกขึ้นยืน เส็งจึงลุกตาม แต่มั่นกลับเดินออกไปหาสาวน้อยคนนั้นโดยมิได้ชวนเส็งไปด้วย หนุ่มน้อยจึงเพียงแต่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงนั้นเอง
“ไม่รู้สักเรื่องเถอะย่ะ พ่อมั่น” เสียงแหลมแว้ดขึ้นอย่างหงุดหงิดดังออกจากปากของสตรีที่ชื่อ แก้ว คนนั้น ฉับพลันความงามทั้งหมดที่เส็งเห็นนั้นก็หายไปหมด เหลือเพียงสาวสวยแต่ใบหน้าบูดบึ้ง ตาขวาง เดินจ้ำๆแบบรีบร้อนไปทางเรือนเทา กิริยามารยาทดูเป็นสาวใจร้อนและเอาแต่ใจ จนเส็งเข้าใจเลยทีเดียวว่าเหตุน้ำเสียงที่มั่นพูดถึงหล่อนจึงดูห้วนๆแปลกๆ
“จำเป็นต้องรู้เถอะย่ะ แม่แก้ว” มั่นตอบด้วยเสียงล้อเลียน “คุณหลวงสั่งมาหรือไร เอาน้ำข้าวตังไปให้ เกิดแกทำงานอยู่ได้ด่าไล่ออกมาหรอก”
“ไม่ต้องสั่ง คนอยากทำให้ ทำไมจะเอาไปให้ไม่ได้”
“เอ็งก็รู้ว่า เวลาคุณหลวงทำงาน แกไม่ชอบให้ใครไปยุ่ง อีกอย่างน้ำแบบนี้คุณหลวงไม่ชอบหรอก ไม่รู้หรือคุณหลวงชอบ ชา กับกาเฟ่” มั่นยังว่าต่อ ถึงประโยคนี้ หญิงที่ชื่อแก้วก็หยุด แล้วหันมายืนมองมั่นแบบเยาะเย้ย
“น้ำของฝรั่งเหม็นออกอย่างนั้นยังชอบ ลองได้ชิมน้ำข้าวตังหอมๆฝีมืออีแก้ว รับรองคุณหลวงได้ติดใจ”
“ปลาร้า ปลาแดกที่เอ็งว่าหอมคุณหลวงยังห้ามเอาเข้าเขตเรือน แต่ไอ้พวกนมเนยที่เอ็งว่าเหม็นคุณหลวงกลับว่าหอม ไอ้น้ำข้าวตังนี่คุณหลวงก็คงไม่ว่าหอมหรอก ลางเนื้อชอบลางยาแม่แก้วฉันบอกให้รู้” บ่าวหนุ่มยังคงว่าต่อไป
“ไว้ให้ฉันเป็นแม่นายเรือนนี้ก่อนเถอะย่ะ พ่อจะไม่มีวันมายืนเสี้ยมสอนฉันอย่างนี้หรอก แล้วถึงตอนนั้น จะปลาร้า ปลาแดก ปลาเค็มอะไรที่ฉันชอบฉันก็จะให้เอาเข้าเรือนให้หมด” แก้วสะบัดหน้าเดินออกไป มั่นก็ไม่คิดตามต่อไป ได้แต่ส่ายหัวก่อนจะเดินกลับมาหาเส็งที่ยังคงอยู่ที่ริมสระบัว
“ใครหรือพี่” เส็งถามเป็นคำถามแรกเมื่อมั่นเดินมาใกล้พอจะได้ยินกัน
“นางแก้ว ลูกสาวยายนอม แก่นแก้วแสนซนนัก ฉันรู้จักมาตั้งแต่เด็ก อาไร้โตเป็นสาวแล้วจริตจก้านจัดนัก... ใฝ่สูงอยากเป็นเมียคุณหลวง”
อ๋อมิน่า ถึงว่า “จะเป็นแม่นาย” สินะ
“แล้วคุณหลวง... ชอบเขาไหมพี่”
“เส็งเอ้ย หงส์ทองหรือจะปองห่านดิน คู่หมั้นเขาก็มีอยู่แล้ว” มั่นเอ่ยเบาๆ เส็งได้ยินก็ไม่ได้จำมาใส่ใจอะไรนัก เรื่องของแก้วไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อเขามากนัก มีเพียงความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจเท่านั้นเองว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ไม่ควรสุงสิงด้วยเท่านั้น “พูดถึงคู่หมั้นของคุณหลวง นายเก่าเอ็งหรือมิใช่”
“จ้ะ” เส็งขานรับ ในใจนึกไปถึงคุณหยาดนายเก่า
คุณหยาดเป็นสตรีชั้นสูงที่ดูสวยงาม หยาดเยิ้มราวกับนางฟ้านางสวรรค์ เพียงไปอยู่ด้วยไม่กี่วันก็รู้ว่า คุณหยาดสวยแต่กาย ใจหาได้สวยเท่าภาพลักษณ์ภายนอกไม่ แม้อาจไม่ได้ร้ายถึงกับจ้องจะทำร้ายใคร แต่ก็ไม่ใช่ว่างดงามเป็นแม่พระ มีอะไรขัดใจเล็กๆน้อยๆก็ต้องโวยวายอาละวาดให้ใครทำอะไรให้ได้ดั่งใจทุกครั้ง
“เบื่อ ไม่มีใครทำอะไรได้อย่างใจสักคน มีก็อ้ายเส็งนี่คนเดียวที่พูดรู้เรื่อง... เส็งเอ็งแกะผลไม้มาให้ข้าอีกนะสวยดีข้าชอบ... เส็งทำขนมฝรั่งเป็นไหม ทำไม่เป็นไปซื้อให้หน่อยข้าอยากรับ... เส็ง เอ็งขับเสภาให้ข้าฟังซีมีคนบอกว่าเอ็งขับเป็นมิใช่หรือ”
แต่ต่อให้เส็งรับใช้ดูแลแม่หยาดดีเท่าไร ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นอยู่ของเส็งดีขึ้นกว่าตอนอยู่วัดนัก เรือนบ่าวที่นอนลำบากกว่าตอนอยู่กุฏิ มีทั้งฝุ่น
ทั้งหยากไย่ ใยแมงมุม หากเส็งไม่ทำความสะอาดบ่าวคนอื่นก็ไม่คิดทำ ข้าวปลาอาหารก็เป็นเพียงผักต้มจิ้มน้ำพริกเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรอร่อยให้กินนัก
ช่างต่างจากที่นี่ เส็งคิด ที่นี่น่าอยู่ ร่มรื่น มีคลองอยู่ใกล้ไปไหนมาไหนสะดวก อาหารการกินก็พร้อมสมบูรณ์ต่อให้ขาดอะไรก็มีผลไม้ในสวนไว้กินอยู่เสมอ ไม่เหมือนอยู่กับคุณหยาดที่แม้บ้านจะร่ำรวยเพียงใด ก็ไม่เคยได้เจือจุนบ่าวไพร่ในบ้านเลย นอกจากนี้ นายของบ้านยังใจดีเสียอย่างนี้ เส็งมั่นใจว่า เขาจะอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขได้แน่นอน
“คุณหลวงทำแผลให้ฉัน” เส็งยื่นมือให้มั่นดู “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมแกไม่ด่าไม่ว่าฉันเลยนะ กลับทำแผลให้อีก พูดจาก็ใจดีเอ็นดูเหมือนเราเป็นลูกเป็นเต้า” หนุ่มน้อยหัวเราะ “คุณหลวงแก... ใจดีอย่างนี้เสมอหรือเปล่าไม่รู้”
“เอ๋” มั่นหันหน้ามามองหน้าหนุ่มน้อยหน้าใสที่กำลังโปรยข้าวตังลงให้มารุมกินอย่างเพลิดเพลิน “ใจดีหรือ ปกติแกดุจะตายไป ใครก็กลัวกันหมด ไม่งั้นจะบริหารเรือนนี้อย่างไร บ่าวอยู่กันเยอะแยะ ทุกคนเขากลัวกันทั้งนั้น”
“อย่างนั้นหรือ” เส็งพึมพำ แต่ไม่ได้ติดใจอะไร ฉับพลันเขาก็ได้ยินเสียงตวาด แว้ดดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ สองหนุ่มหันมองที่ตัวตึกก็เห็นแก้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาจากทางนั้น มีบ่าวสาวอายุน้อยกว่าหล่อนวิ่งตาม ร้องเรียกพี่แก้วๆ อย่างปลอบโยน กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวใจเย็นขึ้น
หล่อนขว้าง แก้วน้ำข้าวตังลงพื้นจนแตกกระจาย ก่อนจะถกเขมรเดินปึงปังกลับเรือนบ่าว พอผ่านหน้ามั่น ชายหนุ่มก็อดเอ่ยปากแซวไม่ได้
“ว่าอย่างไร แม่นาย คุณหลวงชอบน้ำข้าวตังถึงขนาดต้องกลับมาเอาเพิ่มเทียวหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“เก็บปากมึงไว้เถอะไอ้มั่น” หญิงสาวหันมาตวาด แล้วก็ปึงปัง เดินขึ้นเรือนไป สาวน้อยที่วิ่งตามมาแต่แรกก็ยังวิ่งตามมาต่อ พอถึงบริเวณที่เส็งและมั่นอยู่ ก็หยุดแล้วหันมาบอกแบบคนช่างพูด
“คุณหลวงไม่ชอบ บอกว่าเหม็นไหม้ รบกวนเวลาทำงานด้วย พี่แก้วเธอโกรธใหญ่เทียว บอกว่าอุตส่าห์เสียเวลาลงมือเคี่ยวเอง”
“เคี่ยวเองหรือ ปอกผลไม้ยังช้ำ จะมาเคี่ยวอะไรน้ำเข้าตัง” มั่นหัวเราะเยาะ “ข้าว่ายายนอมนั่นละเป็นคนทำ ก็เตือนแล้ว คุณหลวงโปรดอาหารฝรั่ง ยังจะเสนอเอาน้ำบ้านๆแบบเรา ไปให้ คงจะโปรดอยู่หรอก”
สองสาวหัวเราะคิกคักตามประสาเด็กช่างนินทา ก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ว่าต้องคอยปลอบแก้วไม่ให้อาละวาด ก็ออกวิ่งตามไปยังเรือนบ่าว ตะโกน “พี่แก้วอย่าเสียใจนะจ๊ะ” ไปตลอดทาง
เส็งและมั่นหันหน้ามองกันและกันก็อดขำไม่ได้ เรือนนี้มีเรื่องสนุกเสียตั้งแต่วันแรกเสียแล้ว เส็งมั่นใจว่า เขาจะต้องมีความสุขที่ได้อยู่ที่เรือนหลังนี้แน่ๆ สองหนุ่มคุยกันอ้อยอิ่งสักพักก็ชวนกันไปอาบน้ำที่คลอง ก่อนจะให้พวกผู้หญิงลงมาอาบกันตอนมืดๆ ได้ไม่ต้องอายคนมาเห็น
คืนนั้น หนุ่มน้อย นอนแต่หัววัน มองผ้าสีขาวสะอาดที่พันรอบแผลที่ฝ่ามือของตนก็อดนึกถึงใบหน้าของผู้ที่ทำแผลให้ไม่ได้ น้ำเสียงอบอุ่นและถ้อยคำปลอบใจยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวไม่อาจลบออกไปจากใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเงียบสงัด ยามวิกาลอย่างนี้
คุณหลวงใจดีเหลือเกิน
เส็งคิดถึงขึ้นมาก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เขินอายอย่างไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน รู้สึกอบอุ่นไปถึงใจ ที่มีคนมาทำอะไรดีๆแบบนี้ให้บ้างในชีวิต