[H.E.A.R.T.] Trap หัวใจพ่ายรัก
Part 10# Wayo 6 แพคแน่นๆของพี่โซ่
“วา...วาครับ...เช้าแล้วนะ ตื่นได้แล้ว” เสียงนุ่มๆ กระซิบอยู่ที่ข้างหู พร้อมกับมืออุ่นๆ ที่กำลังเขย่าแขนของผมเบาๆ ผมที่รู้สึกว่ายังไม่อยากตื่น อยากนอนต่ออีกนิดเลยเอามือปัดๆ ออกโดยไม่แม้แต่จะลืมตา
“อืม...ขออีก 5 นาที” ผมตอบด้วยเสียงยานคาง
“แต่พี่ให้วา 10 นาทีแล้วนะครับ”
“ก็บอกว่าอีก 5 นาทีงาย” ใครก็ไม่รู้น่ารำคาญเป็นบ้า ก็บอกว่าขอ 5 นาที...5 นาทีได้ยินม้ายยยยยย
“มันจะสายแล้วนะครับวา ถ้าวาไม่ตื่นตอนนี้พี่จะปลุกด้วยวิธีของพี่แล้วนะครับ”
หืม? วิธีการพูดแบบนี้มันคุ้นๆ อยู่นะ มันเหมือนกับ...เหมือนกับ...เหมือนกับใครสักคนที่ผมต้องคุ้นเคยมากๆ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
พี่ภู? คงจะปลุกโดยการดึงผ้าห่มออกจากตัวผมแล้วล่ะ
พี่ธาร? ตัดออกไปได้เลยเพราะไม่คล้ายตั้งแต่เสียงแล้ว
พี่พฤกษ์? คงไม่เขย่าตัวผมอย่างอ่อนโยนขนาดนี้
พี่เพลิง? เฮอะ! ไอ้พี่บ้านั่นคงไม่ปลุกผมด้วยมือหรอก ตรีนสะกิดไม่ก็ถีบผมตกเตียงแน่นอน!
เอ...ถ้าหากไม่ใช่พี่ภู พี่ธาร พี่พฤกษ์ หรือพี่เพลิง แล้วคนที่สนิทสนมหรือใกล้ชิดกับผมขนาดนี้เป็นใคร? ซึ่งหลังจากใช้สมองคิดอยู่หลายวินาทีในที่สุดผมก้ได้คำตอบ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ...
“พี่โซ่!”
ผมรีบลืมตาขึ้นมา จึงเห็นว่าใบหน้าหล่อๆ ของไอ้พี่มันกำลังหลับตาแล้วเคลื่อนเข้ามาใกล้ผม ผมที่คิดว่าตัวเองต้องไม่พ้นโดนขโมยจูบแน่ๆ เลยรวบรวมแรงทั้งหมดแล้วผลักที่อกของไอ้พี่มันไปจนสุดแรง!
ซึ่งตอนแรกผมก็ตั้งใจจะวีนแตกโวยวายให้ลั่นห้องอยู่แหละ แต่พอมองเห็น 6 แพคที่อยู่ตรงหน้าผมก็ถึงกับตาสว่าง
โอ้แม่เจ้า! ตอนนี้ไอ้พี่โซ่พันแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวไว้ที่รอบเอวเท่านั้น!
ละ...แล้วนอกจากนั้น มะ...เมื่อกี้...มือของผมก็จับหมับเข้าที่แผ่นอกของไอ้พี่มันไปด้วย แถมยังจับไปแบบเต็มๆ แล้วก็เน้นๆ จนรู้ด้วยแหละว่าแผ่นอกของไอ้พี่มันนั้นแน่นแค่ไหน!
“เป็นอะไรไปครับวา?” ไอ้พี่โซ่ถามด้วยความงงๆ เมื่อเห็นผมนั่งนิ่ง (หรือถ้าเอาตามจริงก็คือตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ) อยู่บนเตียง
“หรือว่าโกรธจริงๆ ที่พี่แกล้งจะจูบหรอครับ?” ไอ้พี่โซ่พูดจบก็ทำท่าจะเดินตรงเข้ามา
โอ้ไม่นะ! ถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้มีหวังเลือดกำเดาของผมต้องพุ่งแน่ๆ!
“ปะ...ปะ...เปล่าพี่ ตะ...แต่ผม...ผม...ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ!” แล้วผมก็รีบลุกจากเตียงวิ่ง 4x100 ไปเข้าห้องน้ำทันที โดยที่ไม่ลืมหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเอามาอุดจมูกเผื่อเลือดกำเดามันจะไหลออกมา
ให้ตายสิ! ผู้ชายอะไรหุ่นทรมานใจเป็นบ้า! ดีนะที่เลือดกำเดาของผมมันไม่ไหลออกมาจริงๆ!
เอ...แต่ก็น่าแปลกอยู่นะที่ผมไม่ยักกะตกตะลึง หรือตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรงขนาดนี้กับพวกพี่ชายที่บ้าน ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ก็หุ่นดีมี 6 แพคด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะพี่เพลิงที่มักจะไม่ค่อยสวมเสื้อ เดินโชว์กล้ามแน่นๆ ร่อนไปร่อนมาซะทั่วบ้านแบบไม่มียางอาย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแฮะ
แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมมีเวลาไปหาคำตอบที่ไหน ผมต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปประจำบูธที่ห้องบอลลูมข้างล่างนี่นา
ผมสลัดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกจากหัวแล้วเริ่มต้นอาบน้ำ ผมใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็อาบเสร็จแล้วเดินออกมา แต่อย่าคิดล่ะว่าผมจะพันผ้าเช็ดตัวมาแบบไอ้พี่โซ่ โนวววว ผมใส่ชุดเดิมออกมาหยิบเสื้อผ้าแล้วเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำต่างหาก
“ว้า อดเห็นอกขาวๆ ของวาเลย” ไอ้พี่โซ่แอบบ่นอย่างเสียดาย
เฮอะ! อย่าฝันเลยว่าจะได้แอ้มผมง่ายๆ ถึงจะแค่อาหารตาก็อย่าแม้แต่จะคิด!
แล้วหลังจากที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้ว ผมกับไอ้พี่โซ่ก็เดินลงไปหาพี่จ๋าที่กำลังกินข้าวอยู่ข้างล่าง พวกเราใช้เวลาไม่นานก็กินอิ่มเลยรีบไปประจำที่บูธ ตอนนี้เป็นเวลา 8.15 น. อีก 15 นาทีจะมีพิธีเปิดงานคนเลยเริ่มทยอยกันเข้างานแล้ว
8.30 น. ไม่ขาดไม่เกินประธานของงานก็มาถึง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในนายทุนชื่อดังระดับประเทศ พิธีกรเมื่อเห็นท่านเดินเข้ามาก็กล่าวให้ทุกคนลุกขึ้นยืนและปรบมือต้อนรับ จนกระทั่งท่านเดินไปถึงเวทีก็กล่าวสุนทรพจน์เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ใช้เวลา 10 กว่านาทีจึงเสร็จสิ้นก่อนที่ทีมงานจะเปิด VTR ให้แขกภายในงานรับชมร่วมกัน
เมื่อ VTR จบประธานกับพิธีกรก็ลงจากเวทีแล้วเริ่มเดินตามบูธ โดยจะเดินวนตามเข็มนาฬิกาเป็นรูปตัว U ตามผังของห้องบอลลูม ซึ่งพอไปถึงแต่ละบูธท่านก็จะซักถามเรื่องต่างๆ โดยคร่าวๆ โดยให้เวลา 3 – 5 นาทีเพื่อให้พนักงานประจำบูธพรีเซนต์บริษัทของตัวเองให้น่าสนใจที่สุด
แน่นอนว่าช่วงเวลานี้จะพลาดไม่ได้ เพราะถือเป็นนาทีทองที่ทุกสายตาของนักลงทุนในงานจะโฟกัสมาที่บูธ ตัวแทน (หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือความหวังของบริษัท) อย่างพวกผม ก่อนที่จะมาที่นี่เลยต้องซักซ้อมและท่องสคริปต์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ถึงจะจำได้อย่างขึ้นใจแล้วพอถึงเวลาจริงๆ ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี
“กินนี่มั้ย เขาบอกว่าช่วยลดอาการตื่นเต้นได้นะ” ไอ้พี่โซ่ยื่นลูกอมให้ผม 1 เม็ด
“เห็นผมเป็นเด็กรึไงครับ” พูดไปงั้นแหละ แต่ก็รับมาแล้วรีบแกะเข้าปากอย่างไว อื้ม...ความเย็นและรสหวานๆ ของลูกอมช่วยลดอาการตื่นเต้นลงได้จริงๆ ด้วยแฮะ
“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นรึเปล่า”
“ก็...ก็โอเคแหละครับ” ผมเสหน้าไปอย่างอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“อย่ามาทำซึนน่า อยากขอบคุณก็บอกมาเร็วๆ พี่รอฟังอยู่” ไอ้พี่โซ่พูดยิ้มๆ เอาจริงๆ ตอนแรกผมก็ว่าจะพูดอยู่หรอก แต่พอได้ยินแบบนี้ก็ไม่พูดมันละ หมั่นไส้!
ผมย่นจมูกแล้วเชิ่ดหน้าใส่ ไอ้พี่โซ่ที่เห็นอย่างนั้นก็เลยเอาแต่วอแวผม การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของผู้ชายคนหนึ่งที่จ้องมองอยู่ แต่พวกผมก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
เนื่องจากงานนี้เป็นงานใหญ่ มีบริษัทชั้นนำมากมายที่สนใจเข้าร่วมงาน ดังนั้นภายในห้องบอลลูมเลยมีบูธตั้งอยู่ถึงเกือบครึ่งร้อย กว่าที่ประธานจะเดินมาถึงบูธของพวกผมที่อยู่เกือบสุดของปลายตัว U อีกด้านเลยกินเวลาไปเกือบเที่ยง ซึ่งแน่นอนว่าการพรีเซนต์บริษัทของพวกผมนั้นผ่านไปได้ด้วยดี
เมื่อเดินครบทุกบูธเวลาก็เป็นเที่ยงตรงพอดีราวกับถูกคำนวณไว้ ประธานจึงเชิญนักลงทุนทุกคนไปทานข้าวยังห้องจัดเลี้ยงที่อยู่ด้านข้าง แล้วช่วงบ่ายค่อยให้นักลงทุนมาเดินตามบูธที่สนใจอีกทีหนึ่ง ซึ่งก็สามารถเดินได้จนถึง 2 ทุ่มตามกำหนดเวลาปิดงาน
“อุ้ย! ผอ.โทรมา” พี่จ๋าพูดเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“สงสัยคงจะถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ยมั้งครับ” ช่างกะเวลาโทรมาถามได้ดีจริงๆ พอประธานออกจากห้องไปปุ๊บก็โทรมาปั๊บเชียวนะครับผอ.
“งั้นเดี๋ยวพี่รับสายก่อนนะ...สวัสดีค่ะผอ. จ๋าพูดค่ะ...เรียบร้อยดีค่า พรีเซนต์ได้เริ่ดตามที่ซ้อมกันมาเป๊ะๆ เลยค่ะ...เรื่องนั้นผอ.ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ จ๋ากับน้องๆ จะต้องตกนักลงทุนได้แน่นอนค่ะ!...อะไรนะคะ? จริงหรอคะผอ.! งั้นงานนี้จ๋าและน้องๆพร้อมลุยเต็มที่แน่นอน ผอ.รอฟังข่าวดีได้เลยค่ะ!” แล้วหลังจากนั้นพี่จ๋าก็วางสายไป ส่วนผมก็ตาปริบๆ เพราะเดาบทสนทนาช่วงหลังไม่ได้
“ดีใจอะไรครับพี่จ๋า แล้วทำไมต้องทำท่าฮึกเหิมขนาดนั้นด้วยล่ะครับ” ไอ้พี่โซ่ถาม
“ก็ผอ.บอกว่า ถ้าพวกเราตกนักลงทุนรายใหญ่ได้ จะให้โบนัสปลายปีกับเราสองคนเพิ่มน่ะสิ!” พอได้ยินแบบนี้ไอ้พี่โซ่ก็ทำท่าฮึกเหิมไม่ต่างจากพี่จ๋า ส่วนผมที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเลยไม่ได้แสดงอาการอะไร แต่พอพี่จ๋าบอกว่าส่วนของผม ผอ.จะยื่นหนังสือให้เบื้องบนพิจารณาจ้างเป็นพนักงานประจำ เท่านั้นแหละ...
“ผมจะพยายามเต็มที่เลยครับ!” ไฟความฮึกเหิมได้ลุกท่วมร่างของผมแล้ว!
“แต่ก่อนจะลุยเรื่องงาน ห่วงเรื่องปากของตัวเองก้อนก็ดีนะครับวา นี่มันก็เที่ยงแล้วนะ” ไอ้พี่โซ่นี่ก็ขัดอารมณ์ผมซะจริง แต่แอบบ่นไปงั้นแหละ ผมรู้หรอกน่าว่าไอ้พี่มันเป็นห่วงผม
“นั่นน่ะสิ ช่วงนี้คนไม่ค่อยมี งั้นพวกเราสลับกันไปกินข้าวดีมั้ย ไปทีละคนแล้วให้ 2 คนเฝ้าบูธเผื่อมีคนมา” พี่จ๋าเสนอ
“แต่ผมยังไม่หิว พวกพี่ไปกินเลยก็ได้ครับ” ตอนเช้าผมกินไปตั้งเยอะแล้ว เพราะงั้นตอนนี้พวกที่อยู่ในกระเพราะมันเลยยังย่อยไม่หมดน่ะสิ
“ถึงไม่หิวแต่ก็ต้องกิน เพราะกว่าจะได้กินอีกทีก็หลัง 2 ทุ่มเลยนะ” ไอ้พี่โซ่หันมามองผมด้วยสายตาดุๆ ชิ!
“งั้นผมไปกินก็ได้ แต่ขอไปคนสุดท้ายแล้วกันนะครับ ไปตอนนี้ผมคงกินได้ไม่เกิน 3 คำหรอก” พอพูดแบบนี้ไอ้พี่โซ่ค่อยยิ้มออกมาได้ จากนั้นก็หันไปหาพี่จ๋า
“Ladies first เชิญก่อนเลยครับ” แต่ยังไม่ทันที่พี่จ๋าจะได้ตอบอะไร แก๊งพี่สาวเมื่อวานก็ดันสอด...อ๊ะ โทษๆ ผมใช้คำผิด ต้องใช้ว่าก็ดันพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“ได้ยินว่าน้องโซ่จะไปกินข้าว งั้นไปกินพวกพี่...เอ๊ย! ไปกินกับพวกพี่ตอนนี้เลยดีมั้ย” ก็ถ้าสีหน้าแสดงออกชัดขนาดนั้นไม่ต้องแก้คำก็ได้มั้งแหม่ ส่วนคำถามนั่นก็เหมือนกัน ถ้าจะรุมทึ้งลากไอ้พี่มันไปโดยไม่ฟังคำตอบแบบนั้นแล้วจะถามเพื่อ!
“ก่อนจบงานพี่ว่าพี่หาโอกาสดักตบยัยพวกนั้นดีกว่า” พี่จ๋าพูดอย่างฮึดฮัด แต่มีแค่คนเดียวจะไปสู้คนเป็นสิบได้ยังไงกันเล่า
“ผบว่าตบคนของเรามันน่าจะง่ายกว่านะครับ มีอย่างที่ไหนใครลากไปไหนก็ไปกับเขาหมด คนเจ้าชู้!” นี่หรอที่บอกว่ารักว่าชอบผม ใครเชื่อก็คงต้องเลิกกินข้าวแล้วหันไปกินหญ้าแทน!
“น้องวาอย่าว่าน้องโซ่ของพี่สิ น้องโซ่ของพี่ไม่ได้เจ้าชู้ น้องโซ่ของพี่แค่ปฏิเสธคนไม่เก่งเฉยๆ” เฮอะ! ใช้ยาเสน่ห์สำนักไหน ทำไมผู้หญิงถึงได้รักได้หลงขนาดนี้เนี่ยไอ้พี่โซ่!
“คร้าบๆ พี่โซ่ของพี่จ๋าเป็นคนดีที่หนึ่งเลย” ผมเบ้ปากแล้วกลอกตามองบน พี่จ๋าคงเห็นว่าผมแกล้งทำขำๆ ล่ะมั้งก็เลยหัวเราะออกมา
ช่วงนี้พึ่งจะเที่ยงนิดๆ ในห้องบอลลูมเลยไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ จะมีก็แค่พนักงานประจำบูธละคนสองคนเท่านั้น เพราะงั้นผมกับพี่จ๋าก็เลยยืนเมาท์กันเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมา แต่ว่าพวกผมก็คิดผิดเพราะดันมีนักลงทุนหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเดินมาทางนี้พร้อมกับผู้ติดตาม
“ผมสนในโปรเจคนี้ พวกคุณช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้ฟังหน่อยได้มั้ย” ผมกับพี่จ๋าหันไปมองหน้ากันอย่างไม่คาดคิด ก่อนที่จะรีบสลัดความเอ๋อทิ้งแล้วสวมบทมืออาชีพที่ได้เตรียมตัวกันมา
ส่วนใหญ่คนที่อธิบายจะเป็นพี่จ๋ามากกว่า ผมจะเป็นคนเสริมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 นาทีที่คุยกัน นักลงทุนคนนั้นกลับเอาแต่มองมาที่ผม แทบไม่มองหน้าพี่จ๋าที่อธิบายรายละเอียดต่างๆ เลยสักนิด
“ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่ออิทธิ เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารบริษัท S Corporation” หลังจากที่เขาพูดจบเลขาที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นนามบัตรให้พวกผมคนละใบ
โอ้มายก็อด! S Corporation นี่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เลยนี่นา เพราะงั้นผมกับพี่จ๋าเลยหันหน้ามองกันโดยอัตโนมัติ ถึงจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็เป็นอันรู้กัน...ต้องจับบริษัทนี้ให้อยู่หมัดให้ได้!
“ไม่ทราบว่าท่านมีข้อสงสัย หรือสนใจจะถามรายละเอียดของโปรเจคเพิ่มเติมมั้ยคะ” พี่จ๋ายิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าให้คุณอิทธิ
“ความจริงผมก็อยากฟังรายละเอียดและอยากถามอะไรมากกว่านี้อยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมต้องไปทำธุระ กว่าจะกลับมาอีกทีก็คงจะเป็นหลังปิดงานไปแล้ว” พอได้ยินแบบนี้ ผมกับพี่จ๋าก็น้ำตาแทบไหลเพราะเสียดายโอกาสทองสุดๆ
แต่แล้ว ความหวังที่หลุดลอยไปก็ดูเหมือนว่าจะมีแสงสว่างลอยวาบขึ้นมา
“เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ถ้าหลังจากนั้นคุณว่างมาอธิบายรายละเอียดอื่นๆ ให้ผมฟังล่ะก็ ผมจะพิจารณาเซ็นสัญญาร่วมงานกับบริษัทคุณก็ได้” คุณอิทธิให้ทางเลือกกับพวกเราตัดสินใจ...ไม่สิ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นแค่ผมคนเดียว
“การอธิบายรายละเอียดที่ว่า...”
“ก็แค่นั่งคุยชิลๆ ที่บาร์หรือร้านอาหาร แต่ว่าผมเชิญคุณแค่คนเดียวนะ” คุณอิทธิพูดจบก็ยกยิ้มขึ้นมา ผมรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจรอยยิ้มนั่น แต่ก็เก็บอาการเอาไว้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าขึ้นลงเฉยๆ
“เอาล่ะ ถ้าหากตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็ติดต่อมาแล้วกัน หวังว่าผมจะได้ยินข่าวดี” พูดจบคุณอิทธิก็เดินจากไป จนกระทั่งลับสายตาแล้วพี่จ๋าถึงได้สะกิดผม
“น้องวาจะไปตามคำชวนรึเปล่า”
“แล้วถ้าเป็นพี่จ๋า พี่จ๋าจะไปรึเปล่าครับ”
“นั่นน่ะสิ อืม...ก็คงจะลองไปอยู่มั้ง เขาไม่ได้นัดในห้องพักของโรงแรมหรือที่ลับตาคนนี่นา ถ้าเห็นท่าไม่ดีค่อยปลีกตัวออกมาก็น่าจะได้”
“ผมก็คิดเหมือนพี่จ๋าเลยครับ ลองไปดูก่อนก็ไม่น่ามีอะไรเสียหาย” ก็อย่างที่พี่จ๋าว่า คุณอิทธิเขาไม่ได้นัดผมไปที่ลับตาคนนี่นา ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมก็สามารถร้องให้คนอื่นช่วยได้
ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าถ้าการที่คุณอิทธิเรียกผมไปหามันเป็นกับดักล่ะนะ แต่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เขาอาจจะอยากร่วมงานกับบริษัทผมจริงๆ แล้วก็...อาจจะรู้สึกถูกใจผมนิดๆ เลยอยากหาเรื่องใกล้ชิดอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง
“อ้อ! แต่ผมขออย่าให้พี่จ๋าบอกพี่โซ่ได้มั้ยครับ เพราะถ้าบอกพี่โซ่ต้องห้ามไม่ให้ผมไปแน่ๆ” เชื่อมั้ย รายนั้นน่ะคงต้องทำหน้าดุแล้วพูดด้วยเสียงแข็งกร้าวว่า ‘พี่ไม่ให้ไป!’ แน่นอน
“มันจะดีหรอน้องวา” พี่จ๋าทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเห็นด้วย
“แบบนี้แหละดีแล้วครับ ผมดูแลตัวเองได้พี่จ๋าไม่ต้องห่วงหรอก” ผมอายุ 23 แล้วนะ ไม่ใช่เด็ก 13 หรือ 3 ขวบที่จะโดนผู้ใหญ่หลอกได้ง่ายๆ
“ถ้าอย่างนั้นน้องวาก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรก็รีบโทรบอกพี่”
“ได้เลยครับผม!” ผมตะเบ๊ะท่าแบบทหาร “อ๊ะ! พี่โซ่มาพอดี อย่าลืมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ”
“จ้า” พี่จ๋ารับคำแล้วก็ทำตามที่พูดเป็นอย่างดี เพราะพอไอ้พี่โซ่มาถึงพี่จ๋าก็ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งก็คงจะไม่ได้แอบบอกตอนที่ผมไม่อยู่ด้วย เพราะตลอดทั้งบ่ายจนกระทั่งจบงาน ไอ้พี่มันไม่ได้แสดงอาการว่ารู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
และแล้วงานออกบูธครั้งนี้ก็ปิดฉากไปได้ด้วยดี มีนักลงทุนหลายกลุ่มหลายคนที่สนใจร่วมงานกับบริษัท ซึ่งเรื่องสัญญาพี่จ๋าจะแจ้งผอ.ให้ติดต่ออีกที พวกผมแค่มีหน้าที่พรีเซนต์บริษัทเฉยๆ
2 ทุ่มนิดๆ หลังจากประธานกล่าวปิดงานพวกผมก็พากันเก็บบูธ ตอนจัดใช้เวลานานหลายชั่วโมง แต่ตอนเก็บนี่ใช้เวลาแค่ 30 – 40 นาทีเท่านั้น เพราะงั้นแค่ 3 ทุ่มพวกเราก็พากันขึ้นไปบนห้องพักกันแล้ว โดยจะนัดกันอีกทีก็ตอนเที่ยงที่ให้เช็คเอาท์ ตามด้วยการกินอาหารกลางวันที่นี่เป็นมื้อสุดท้าย จากนั้นก็ให้รถของโรงแรมไปส่งขึ้นเครื่องบินไฟลท์ตอนบ่าย 3
“ผมขออาบน้ำก่อนนะครับพี่โซ่” พูดจบผมก็เบี่ยงตัวหลบ เมื่อไอ้พี่มันจะเนียนกอดตอนที่ปิดประตูห้อง คงกะจะใช้มุกชาร์จพลังอะไรนั่นล่ะสิท่า แต่ใสเจียเสียใจด้วยนะ มุกเก่าๆ มันใช้กับผมซ้ำไม่ได้หรอกพี่!
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วไอ้พี่โซ่ก็เข้าไปอาบต่อ ผมเลยใช้โอกาสนั้นรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดหน้าจัดผมให้ดูดี โดยไม่ลืมเช็คเอกสารโปรเจคในซองที่เตรียมไว้ว่าข้อมูลครบรึเปล่า
“หืม? จะออกไปไหนน่ะครับวา แต่งตัวซะดูดีเชียว” ไอ้พี่โซ่ทักขึ้นเมื่อเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ
อู้ววววว 6 แพคแน่นๆ กระแทกตาจนกำเดาจะไหลอีกแล้วพ่อคุ๊ณณณณ ซู้ดเลือดกำเดา -.,-
“อ้อ นี่ผมลืมบอกพี่โซ่สินะครับ พอดีเพื่อนที่เรียนด้วยกันมีมาฝึกงานแถวนี้คนนึง พอมันรู้เลยนัดเจอผมที่ห้องอาหารข้างล่าง สักชั่วโมงกว่าๆ เดี๋ยวผมขึ้นมา ถ้าจะนอนก่อนก็ฝันดีล่วงหน้านะครับพี่”
“อ้อ อืม” ไอ้พี่โซ่ทำหน้างงๆ แน่ล่ะก็ผมเล่นร่ายรัวๆ เร็วๆ ซะขนาดนั้นไอ้พี่มันจะฟังทันรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก่อนที่ไอ้พี่มันจะพูดหรือถามอะไรออกมา ผมก็รีบเผ่นแน่บออกจากห้องไปเป็นที่เรียบร้อย
เอาล่ะ Mission Complete ไปหนึ่ง เหลืออีกหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นงานหินสุดๆ เลยล่ะ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินขึ้นลิฟต์ลงไปด้านล่าง ก่อนหน้านี้ผมหาจังหวะโทรไปบอกคุณอิทธิว่ายินดีไปพบ คุณอิทธิจึงนัดเจอกับผมตอน 3 ทุ่มครึ่งที่บาร์ของโรงแรม
เวลา 21.25 น. ผมยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า มาถึงนี่แล้วยังไงก็ขอลองดูสักตั้ง การเสี่ยงของผมมันก็แลกกับอนาคตและโบนัสของพวกพี่ๆ ก็อย่างที่เคยได้ยินกันไงล่ะ ถ้าอยากได้ลูกเสือมันก็ต้องเข้าถ้ำเสือ
แต่ถึงจะเป็นการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ผมก็ไม่ได้ประมาทหรอกนะเพราะได้โทรหาพี่จ๋าก่อนที่จะเข้าไป แล้วผมก็ยังตั้งปุ่มอัดเสียงที่โทรศัพท์เอาไว้ด้วย เห็นมั้ยล่ะว่าผมดูแลตัวเองได้ ผมไม่ได้โง่พาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายโดยไม่คิดทำอะไรเลยสักหน่อย
“สวัสดีครับคุณอิทธิ รอผมนานมั้ยครับ” ผมยกมือไหว้และกล่าวทักทายเมื่อเดินเข้าไปใกล้
โต๊ะนี้อยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าเท่าไหร่ ผมเลยมองเห็นคุณอิทธิได้ตั้งแต่ที่เดินเข้ามา ซึ่งจากการที่ลองกวาดสายตาดู ไม่น่ามีผู้ติดตามคนอื่นตามคุณอิทธิมา ส่วนลูกค้าในบาร์ก็คงไม่ใช่หน้าม้า เท่าที่ดูก็คุ้นหน้าค่าตาเพราะเป็นพนักงานประจำบูธในห้องบอลลูมทั้งนั้น คงจะมาฉลองกันเพราะหาลูกค้าได้ตามเป้านั่นล่ะ
“ผมพึ่งมาเมื่อกี้นี้เอง เชิญนั่งครับวา”
“ขอบคุณครับ” แหม่ ยังคุยกันได้ไม่เท่าไหร่ก็เรียกผมซะสนิทสนมเลยนะตาลุงคนนี้ อุ้ยๆ โทษที ลืมไปว่านี่ลูกค้าจะเรียกตาลุงไม่ได้ กัดฟันเรียกพี่ในใจก็ได้วะ
“สั่งอะไรดื่มหน่อยมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับผมไม่...”
“น้องๆ ทางนี้” แล้วพี่ (กัดฟันแบบสุด) จะถามผมเพื่อถ้าจะเรียกเด็กเสิร์ฟมาอยู่แล้ว! ปัดโธ่!
“รับอะไรดีครับ” นี่ก็รีบเดินมาเชียวนะ เห็นท่าทางพี่คนนี้ราศีจับเหมือนอาเสี่ยน่ะสิ เลยเมินโต๊ะอื่นแล้วรีบถลามาเชียว
“เอ่อ...เป๊ปซี่แก้วนึงแล้วกันครับ” เด็กเสิร์ฟพยักหน้ารับ แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็เดินเอาน้ำมาวางไว้ตรงหน้าผม โดยก่อนจะกลับก็ได้ทิปติดไม้ติดมือไปใบนึง
อื้อหือออ แสงสะท้อนจากแบงค์สีเทากระแทกเข้าตา ป๋าสายเปย์ตัวจริงเลยเว้ยเฮ้ย!
“เรามาเริ่มคุยเรื่องโปรเจคกันเลยดีมั้ยครับ” ผมยังไม่กระหายเลยเลื่อนแก้วเป๊ปซี่ออกไปข้างๆ
“ได้สิ วาอธิบายต่อจากเมื่อกลางวันได้เลย” พอได้ยินแบบนี้ ผมก็รีบหยิบเอกสารออกจากซองแล้วส่งให้คุณอิทธิ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะสนใจโปรเจคนี้จริงๆ เพราะเล่นเปิดไฟฉายจากมือถือส่องดูเอกสาร ตั้งใจฟังที่ผมอธิบาย แล้วก็ซักถามข้อสงสัยกับข้อมูลเพิ่มเติมเป็นระยะ
ดูท่าทางผมกับพี่จ๋าจะคิดมากและมองคุณอิทธิในแง่ร้ายเกินไปนะเนี่ย
“เป็นยังไงบ้างครับ โปรเจคนี้ของบริษัทเราน่าสนใจมากเลยใช่มั้ยครับ” เด็กฝึกงานที่ฮาร์ดเซลได้ขนาดนี้มันต้องมีโบนัสให้ แล้วก็ต้องจับเซ็นสัญญาเป็นพนักงานประจำได้แล้ว!
“อืม เป็นโปรเจคที่ดีแล้วก็น่าสนใจมาก แต่ว่าผมต้องการปรับเปลี่ยนรายละเอียดตรงจุดนี้นิดหน่อย”
“จุดไหนหรอครับ” ผมชะโงกเข้าไปใกล้คุณอิทธินิดนึง เพราะมองไม่ค่อยเห็นตรงที่ปลายปากกาจิ้ม
“ตรงนี้...อ๊ะ! แล้วกัน หล่นไปไหนแล้วเนี่ย” เวรกรรม จู่ๆ พี่แกก็ทำปากกาหล่นซะงั้น จับยังไงล่ะนั่น ถ้าเรี่ยวแรงไม่มีก็กลับขึ้นห้องไปนอนฟื้นพลังเถอะ
“เดี๋ยวผมก้มหาให้แล้วกันครับ” เฮ้ออออ ยุ่งยากซะจริง นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ผมไม่ทำให้ขนาดนี้หรอกนะ มืดก็มืด หาก็ยาก กว่าจะเจอก็ทำเอาก้มจนปวดหลังไปหมดแล้วเนี่ย
“นี่ครับคุณอิทธิ” ผมยื่นปากกาคืนให้ คุณอิทธิเลยยื่นมือมารับไป ตอนแรกผมก็หวั่นๆ อยู่ว่าจะแอบโดนจับมือรึเปล่า แต่ก็ปรากฏว่าเปล่า คุณอิทธิแค่จับที่ปลายปากกาไปเฉยๆ
“ขอบใจมากนะ”
ลองถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าผมคิดมากไปเองจริงๆ นั่นแหละ แอบรู้สึกผิดนิดนึงเหมือนกันที่ก่อนหน้านี้ผมมองคุณอิทธิในแง่ร้าย ไหนๆ ก็ไหนๆ ปิดแอพบันทึกเสียงไปเลยแล้วกัน โทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงก็ชักจะร้อนขึ้นมาแล้ว
“ว่าแต่ตรงไหนนะครับที่คุณอิทธิต้องการปรับเปลี่ยน”
“อ้อ ตรงนี้...” แล้วคุณอิทธิก็แจ้งรายละเอียดมา ผมคิดว่าน่าจะสามารถปรับเปลี่ยนได้เลยรับปากไป แต่ก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้ผอ.โทรติดต่ออีกที สรุปว่าวันนี้การเจรจาก็ผ่านไปได้อย่างลุล่วง
เตรียมปิดบ้านฉลองที่ได้งานแน่ล่ะคราวนี้!
“เอ้าดื่มน้ำดื่มท่าสักหน่อย คุยกันตั้งครึ่งชั่วโมงคอไม่แห้งไปหมดแล้วหรอ” คุณอิทธิพูดด้วยท่าทางสบายๆ แล้วก็ยังอุตส่าห์เลื่อนแก้วเป๊ปซี่มาที่ตรงหน้าผม
“ขอบคุณมากๆ เลยครับ” ผมหยิบแก้วขึ้นมาด้วยความเกรงใจ บวกกับรู้สึกกระหายนิดๆ เลยดูดเข้าไปซะอึกใหญ่ ซึ่งทันทีที่กลืนเข้าไปน้ำที่อยู่ในปากมันก็แทบพุ่ง!
มุงจะใส่เหล้าลงในเป๊ปซี่ทำเพื่ออออออออ! ตูสั่งเป๊ปซี่เฉยๆ ไม่ใช่รึไงฟายยยยยยยยย!
“เป็นอะไรไปน่ะ!?” คุณอิทธิถามด้วยความตกใจ ส่วนผมก็ไอค่อกๆ แค่กๆ นิดหน่อย จนกระทั่งหายจากอาการสำลักแล้วผมจึงได้พูดขึ้น
“ขอโทษที่เมื่อกี้ผมเสียมารยาทนะครับ คือผมไม่คิดว่าในเป๊ปซี่จะผสมเหล้ามาด้วย”
“หรือวาแพ้แอลกอฮอล์เลยดื่มเหล้าไม่ได้?”
“เปล่าครับเปล่า ดื่มได้ครับ แต่ว่าผมแค่ตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะผสมลงในเป๊ปซี่น่ะครับ”
ผมไม่ค่อยได้เข้ามาที่แบบนี้เท่าไหร่ บางทีอาจจะเป็นทำเนียมที่รู้กันอยู่แล้วก็ได้ว่า ถ้าสั่งเครื่องดื่มอะไรก็ตามก็จะผสมเหล้ามาให้เลย
ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าสั่งโซดาน้ำ คงไม่มีลูกค้าคนไหนที่จะดื่มโซดาใส่น้ำเท่านั้นหรอกจริงมั้ย แล้วอย่างเป๊ปซี่กับโค้กก็เหมือนกัน ผมเคยได้ยินผ่านหูอยู่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบผสมกับเหล้าดื่ม
“เปลี่ยนแก้วใหม่ดีมั้ย เดี๋ยวผมเรียกคนมาเปลี่ยนให้” แล้วคุณอิทธิก็ทำท่าจะเรียกเด็กเสิร์ฟมาทางนี้
“ไม่เป็นไรครับคุณอิทธิ ผมดื่มได้จริงๆ ครับ” ว่าแล้วก็ดูดลงคอไปอีกอึกใหญ่
“ถ้าวาพูดอย่างนั้นผมก็ตามใจ ว่าแต่เราจะแยกกันตรงนี้เลยมั้ย นี่ก็ 4 ทุ่ม 15 แล้ว” คุณอิทธิดูนาฬิกา ผมคิดว่าแยกกันตอนนี้ก็ดีเหมือนกันเลยพยักหน้าตอบตกลง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ สำหรับวันนี้ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณอิทธิมากๆ...ครับ” ในจังหวะที่ยืนขึ้น ผมรู้สึกแข้งขาไม่ค่อยมีแรงแปลกๆ เลยเซลงไปนั่งที่โซฟา แถมไม่ใช่เฉพาะแข้งขา เพราะร่างกายของผมมันก็ยังรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ อีกด้วย
หรือว่าเหล้าแพงมันเลยแรงเป็นธรรมดา?
แต่จะบ้าเรอะ! ถึงจะเมาเพราะเหล้าแรงอาการที่แสดงมันก็ไม่ใช่แบบนี้!
ในแก้วเป๊ปซี่ของผมต้องมีอะไรผสมอยู่อีกนอกจากเหล้า!
2BC
สวัสดีค่าทุกคน Trap หัวใจพ่ายรัก ตอนที่ 10 ก็จบลงไปแล้วน้า คงจะแปลกใจกันสินะคะที่ตอนนี้เป็นตอนที่ยาวมากกก แบบว่าเราไม่ได้แบ่งครึ่งก่อนลงเหมือนทุกทีน่ะค่ะ แต่ลงไปแบบทั้งตอนเลย เพราะตอนหน้าไม่แน่ว่าเราอาจจะมาลงช้ากว่ากำหนด
อย่าที่เราเคยแจ้งไปเนอะว่าเรามีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ตอนนี้ข้างนั้นใกล้จะหายสนิทแล้วค่ะ แต่อีกข้างก็ดันมาเป็นอีก คราวนี้เป็นหนักกว่าเดิมด้วยค่ะ วันนี้ตอนที่ไปหาหมอถึงขนาดเลือดไหลออกมาเป็นน้ำตาเลย สยองขวัญรับฮาโลวีนมากกกก
ที่วันนี้สามารถมาลงนิยายได้เพราะว่ายังมีฤทธิ์ยาชา+ยาแก้ปวดอยู่น่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากหมดฤทธิ์ยาแล้วจะปวดนรกแค่ไหน เพราะงั้นเราเลยไม่แน่ใจว่าจะมาลงนิยายได้ตามนัดรึเปล่าเลยลงไปแบบเต็มๆ ไว้เดี๋ยวถ้าอาการเราดีขึ้นเมื่อไหร่แล้วเราจะรีบมาลงต่อให้นะคะ เชื่อว่าคงจะค้างคากันมากล่ะเนอะ แล้วมาเอาใจช่วยน้องวากันด้วยนะคะทุกคนนน บ๊ายบายยยย
(24 ต.ค. 61)