มาแล้วค่ะมาแล้ว
ตอนนี้ข้าพเจ้าเขียนไปแอบหงิงๆไป
แต่ๆๆ........อย่าได้คิดว่าจะม่า ไม่มี้ไม่มีมาม่านะคร้า
........................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: “Não chora….meu bem”
...............................................
สามวันหลังวันเกิดเอดูผมก็กลับไปบ้านไร่ครับ แล้วผมก็พบกับความจริงในคำพูดปะไป๊.....
งานเก็บกาแฟ....เป็นงานที่ต้องใช้ความทรหดอดทนมากจริงๆด้วยความที่ความสูงของต้นกาแฟอยู่ที่ระดับไหล่ของเรา ส่วนผลก็ขึ้นตามกิ่งก้านซึ่งเตี้ยลงไปอีก
เวลาเก็บกาแฟ เราจึงต้องก้มตัวแล้วใช้มือสองข้างรูดจากกิ่งส่วนที่ติดกับลำต้นออกมาด้านนอก
เอาผ้าหรือไม่ก็ถุงปุ๋ยมาปูไว้บนพื้นเพื่อรอรับผลกาแฟที่ตกลงตามมือเราออกแรงรูด
ลืมไปเลยครับว่าหนาว เพราะพอต้องทำแบบนั้นซ้ำๆกันมันก็เหนื่อยจนร่างกายขับเหงื่อออกมาอย่างกับอาบน้ำ
สรุปว่าแรงงานของเรามีปะไป๊ คนงานประจำสองคน จ้างมาพิเศษอีกสามคน วิเวียนน้องสาวที่ตัวโตกว่าผมเยอะ
แล้วก็เวนเดลพี่ชายคนโตที่เรียนเกี่ยวกับการดูแลปศุสัตว์ในวิทยาลัยที่ต่างเมืองปิดเทอมกลับมาพอดีอีกคน
รวมทั้งผม....ที่ทั้งปะไป๊และเวนเดลพร้อมใจกันส่ายหน้าว่าไม่รอดแน่ๆอีกคน ง่า....ดูถูกกันเกินไปแล้ว
ตอนแรกผมก็ยืนดูคนอื่นก่อนครับแล้วถึงเริ่มลงมือเก็บกาแฟเองบ้าง ได้หนึ่งต้นคนอื่นเขาไปถึงต้นที่สองต้นที่สามกันแล้ว
แถมพอทำไปได้สักสี่ห้าต้นก็เริ่มไม่ไหว ไม่ใช่เพราะเหนื่อยนะครับ แต่เป็นเพราะการเสียดสีทำให้ฝ่ามือโดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้วโป้งนี่เริ่มจะแดงช้ำ
มองไปที่คนอื่นก็เห็นเขาทำงานกันไปได้เรื่อยๆคุยกันแซวกันไปตามเรื่อง แถมทุกคนก็ยังมือเปล่าเหมือนกัน
ไม่ได้มีเครื่องป้องกันอะไรสักอย่าง แถมไอ้วิเวียนน้องสาวตัวดีที่ทำงานอยู่ในแถวกาแฟด้านหน้าถัดจากผมมันยังหันกลับมาส่งยิ้มแถมยักคิ้วล้อเลียนให้อีกต่างหาก
คุณเป็นกันมั้ยครับ เวลาที่เราบอกตัวเองว่าทำไม่ได้.....มันก็หมายความว่าจะทำไม่ได้เอาจริงๆ
แต่พอมีคนอื่นมาบอกว่าเราจะทำไม่ได้นี่สิ......ทำไมเราถึงต้องพยายามทำมันไปจนสำเร็จได้ก็ไม่รู้.....ผมเป็นแบบนั้นแหละ เพียงแต่เมื่อสาเหตุที่ทำให้ท่าจะไม่รอดคือเจ็บมือ ผมเลยตัดสินใจถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่มาเม้ยส่งให้ตอนบอกว่าจะออกมาเก็บกาแฟด้วยออก
แล้วเอามาพันมือทั้งสองข้างไว้แทน เสื้อตัวในจะเลอะไปบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
เราเริ่มเก็บกาแฟกันตั้งแต่แดดยังไม่จัด พอเที่ยงมาเม้ยก็หอบหิ้วอาหารกลางวันใส่ตะกร้าใส่กล่องพลาสติกมาให้ถึงกลางไร่เลยครับ
พอจัดการเติมพลังงานเสร็จเราก็ลงมือทำงานกันต่อ เสร็จงานก็เย็นมากแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยครับว่ากองกาแฟเบ้อเริ่มเทิ่มนี่จะใช้เวลาเก็บแค่วันเดียว
และถึงแม้ว่าแรงงานอาสาสมัครอย่างผมจะเก็บไปได้ไม่ถึงครึ่งของที่คนอื่นๆเก็บกันได้
แต่ผมก็สนุกมากไปพร้อมๆกับอยากจะแช่น้ำอุ่นๆแล้วหลับมันเสียเดี๋ยวนั้นเลยล่ะครับ
ส่วนที่แย่มันก็แค่....ถึงจะเอาเสื้อมาพันมือไว้แล้ว แต่ฝ่ามือผมตอนเสร็จงานก็ช้ำมาก แถมยังมีตุ่มน้ำขึ้นมาข้างละสองสามจุดเลยด้วย
สัปดาห์นี้ปะไป๊เป็นคนเดียวที่จะกลับเข้าเมือง ส่วนมะเม้ย เวนเดล วิเวียน และผมจะอยู่เฝ้าไร่
เนื่องจากผลกาแฟที่เราตากไว้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ถึงวันอังคาร กว่าจะแห้งจนส่งขายได้
เราใช้พื้นที่สนามปูนที่ด้านหนึ่งมีแป้นบาส ส่วนอีกด้านมีโกลฟุตบอลซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านข้างของบ้านในไร่เป็นที่ตากกาแฟ
ดังนั้นคนงานจึงย้ายเอาโกลฟุตบอลมาไว้ฝั่งเดียวกับแป้นบาสตรงใต้แป้นพอดีแทน
เย็นวันอาทิตย์หลังจากปะไป๊ขับรถกลับเข้าเมืองไปแล้ว ขณะกำลังรอเวลาบอลลีกที่จะถ่ายทอดสดทุกวันอาทิตย์มา
ผมกับเวนเดลและวิเวียนเลยไปเล่นบาสรอดูบอลด้วยกัน....
แอบบอกครับ ผมกับเอดูเป็นศัตรูกันเรื่องนี้ เพราะผมมาถึงยังไม่ทันได้คุยอะไรกับมันมากมายก็นั่งเชียร์ปัลเมราส(Palmeiras) เป็นเพื่อนปะไป๊ไปแล้ว
ในขณะที่บ้านเอดูมันเป็นแฟนคอรินเชี่ยน (Corinthians) กันทั้งบ้าน
แต่สุดท้ายแล้วปีนั้นทีมจากรัฐเซา เปาโล ที่เข้ารอบลึกสุดของถ้วยบราซิลก็คือทีมเซา เปาโลครับ แถมนัดสุดท้ายยังไปแพ้ให้ทีมครูเซโร่ จากรัฐมินาส เจรายส์ อีก
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณสายลมโกรธอะไรผมรึเปล่า ขณะที่แย่งลูกมาจากมือเวนเดลได้แล้วพุ่งเข้าไปใต้แป้นจะเลย์อัพ
คุณลมหอบใหญ่ที่จู่ๆก็พัดมาไม่มีการเตือนล่วงหน้าก็พัดจนโกลฟุตบอลหนักมากๆที่คงจะตั้งไว้ไม่ดีล้มลงมาด้านหน้า
ผมก็พยายามแล้วนะครับที่จะดีดตัวหนีตามเสียงร้องเตือนของทั้งเวนเดลและวิเวียน แต่คงเพราะขาสั้นเกินไป ไอ้ที่ตั้งใจจะหนีเลยไปได้ไม่พ้น
ผมล้มลงโดยมีโกลฟุตบอลใจร้ายนั่นทับอยู่ตรงข้อเท้าขวา พอดึงขาให้พ้นออกมาก็รู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะชาแล้วไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด....
เพียงแต่มันรู้สึกเหมือนข้อเท้าขวาหายไปไหนไม่รู้ จนต้องเขย่งเกาะแขนเวนเดลกลับเข้าบ้าน
กำลังสนุกเลย เสียดายอีกต่างหาก กว่าจะแย่งลูกจากยักษ์อย่างเวนเดลได้ไม่ใช่ง่ายๆนี่ครับ
มะเม้ยเห็นท่าที่ผมทำตัวเป็นกระต่ายพิการมีขาข้างเดียวกระโดดเข้าบ้านก็ถามนู่นนี่นั่นรัวไปหมด ผมตอบได้อยู่จากเดียวแหละ
“Não mãe, eu não dói.” ใช่แล้วครับ......อย่างที่ทุกท่านคิด ผมบอกมะเม้ยว่า ไม่ครับแม่....ผมไม่เจ็บ
ผมไม่ได้โกหกหรือเกรงใจนะครับ แต่ว่าตอนที่มาเม้ยถามผมไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดจริงๆ
มาเม้ยก็ย้ำว่าถ้าเจ็บให้รีบบอกเพราะจะได้โทรเรียกไป๊ขับรถออกมารับไม่งั้นจะมืดค่ำไม่อยากให้เดินทาง อากาศหนาวมากด้วย
แต่ผมก็ปฏิเสธไปว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ มะเม้ยเลยหยิบยามาให้ผมกิน ผมดูก็หน้าตาเป็นพาราเซตธรรมดาๆเลยกินเข้าไปให้มะเม้ยสบายใจ
จนตกกลางคืนนั่นแหละ เข้านอนไปได้ไม่นานผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจมันลงไปอยู่ที่ข้อเท้า เพราะมันมีเสียงตุ้บ....ตุ้บ ดังที่ข้อเท้าจนรู้สึกได้ตลอดเวลา
เสียงนั้นดังจนผมนอนไม่ได้ทั้งคืนและเมื่อมองข้อเท้าตัวเองก็ต้องตกใจ เพราะมันบวมขึ้นมาจนเหมือนกับเป็นเท้าตุ๊กตาที่ดูพองๆกลมๆแทบจะไม่มีเหลี่ยมมุมอะไรเลย
เวลาที่เราเจ็บที่ที่เราคิดถึงเป็นที่แรกคือบ้าน.......
และคนแรกที่เราคิดถึงคือคนที่เรารักและผูกพันอย่างที่สุดคืนนั้นที่บ้านไร่ เป็นคืนแรกตั้งแต่มาอยู่บราซิล ที่ผมคิดถึงแม่.....คิดถึงมากจนน้ำตามันไหลออกมาเอง
อยากให้แม่กอด อยากให้แม่โอ๋ แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่........ถ้าหากคนแรกที่เราคิดถึงคือคนที่เรารักและผูกพันอย่างที่สุด
แล้วคนที่สองล่ะครับ.......ผมคิดถึงมันครับ ผมคิดถึงเอดู....เอดูอาร์โด้ ปาสโคอาลิโน่ ไอ้คนที่หาเรื่องเอาผมซ้อนท้ายจักรยานไปโน่นมานี่แทบทุกวัน
ไอ้คนที่บอกว่าผมเหมือนกับพระอาทิตย์สำหรับมัน ไอ้คนที่บอกว่าไม่ต้องมารอมันก็ยังดื้อจะมารอให้ผมรุ้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญ
......ไอ้คนที่กอดผมโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ.......
......กอด......จนผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีคำว่าหนาวผมลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ยังไม่สว่างดี ค่อยๆเกาะกำแพงก้าวไปโดยหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักที่ข้อเท้าขวา จนโผล่หน้าเข้าไปในห้องครัวได้
มะเม้ยหันมาเห็นหน้าผมก็คงรู้แล้วล่ะครับว่าผมกำลังแย่ เลยรีบมาดึงเก้าอี้ออกให้ผมนั่งลงดีๆ
“เจ็บมากมั้ย?”
“มากครับ”
“เดี๋ยวเม้ยโทรตามปะไป๊นะ อิสรอก่อนแล้วเราไปหาหมอด้วยกัน อาบน้ำไหวมั้ย?” มะเม้ยก้มลงไปดูข้อเท้าผมจนใกล้แล้วถาม
“ไหวครับ”
“เนี่ยน้า ถ้าเข้าเมืองไปหาหมอตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ต้องมาทนขนาดนี้แท้ๆ เดี๋ยวเม้ยโทรตามปะไป๊ของอิสเลย อิสอาบน้ำรอเลยนะ ระวังขาด้วยล่ะ”
มะเม้ยบ่นอะไรอีกก็ไม่ทราบครับ ผมทำได้แค่ส่งยิ้มที่คงจะแหยน่าดูไปให้ จากนั้นไม่นานปะไป๊ก็หน้าตาตื่นมารับผมที่บ้านไร่เข้าเมืองไปคลินิก ถูกจับถ่ายภาพเอ็กซเรย์แล้วก็ตรวจๆคลำๆนิดหน่อยก่อนจะได้เครื่องประดับสีน้ำเงินสดเป็นเฝือกสั้นที่ยาวตั้งแต่ใต้เข่าลงไปจนถึงจมูกเท้า พอให้นิ้วเท้าบวมๆของผมออกมาสัมผัสอากาศเย็นๆได้บ้าง
กิจวัตรประจำวันอย่างการอาบน้ำหรือเดินไปมาภายในบ้านกลายเป็นเรื่องยาก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสรุปแล้วตัวเองเป็นอะไร แต่ที่แน่ใจคือไม่มีอะไรหักเพราะต้องใส่เฝือกแค่ยี่สิบวัน แล้วหมอก็นัดไปตัดออก
แต่ระหว่างยี่สิบวันนี้เนี่ยสิ เจ้าหน้าที่ที่คลินิกก็โหดร้าย ไม่ยอมให้ผมใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเลยด้วย บอกแค่ให้เดินได้ปกติ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าเวลาคนเรามีเฝือกติดอยู่ตลอดเวลานอกจากจะหนักแล้ว ยังรู้สึกเหมือนขาสองข้างยาวไม่เท่ากันอีกด้วย
ก็นะ......ข้างขวาที่มีเฝือกอยู่มันต้องบวกความหนาเฝือกเข้าไปด้วยนี่ครับ เพราะอย่างนี้ พอต้องเดินโดยไม่มีไม้เท้า ผมเลยต้องใช้ความพยายามในการทรงตัวมากกว่าปกติ
แต่คนอย่างผมก็อยู่นิ่งๆได้แค่วันเดียวเท่านั้นแหละครับ พอได้ยาก็หายปวด ถึงจะกลายเป็นน้องเป๋ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย หมกตัวอยู่แต่ในห้องเดี๋ยวจะเฉาตาย
วันนี้ผมถูกทิ้งให้อยู่บ้านกับดอนน่า มารีอา คุณแม่บ้านใจดีที่รับจ้างมาทำงานบ้านให้เฉพาะตอนกลางวันครับ เพราะปะไป๊พาเม้ยกลับบ้านไร่ไปตั้งแต่เช้าให้ไปดูเรื่องที่คนรับซื้อจะมารับกาแฟ แล้วตัวเองก็กลับเข้าเมืองเข้าสำนักงานไปทำงานต่อ
แต่ถึงจะถูกทิ้งผมก็ไม่ทันเหงาหรอกครับ เพราะผมกำลังรออยู่ เมื่อคืนผมโทรหาเอดูมันแล้ว ก็คนมันคิดถึงก็ต้องโทรหาจริงมั้ยครับ ไม่ใช่อะไรหรอก จะเรียกมาอวดไอ้เครื่องประดับหนักๆสีน้ำเงินสดนี่เสียหน่อย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
มันบอกว่านึกว่าผมยังอยู่บ้านไร่อย่างที่บอกไว้ตอนแรก กลับมาแล้วก็ดี วันนี้มันจะเข้ามาหา....
เห็นมั้ยครับ ไม่ต้องพูดชวนหรอก เอดูมันหาเรื่องมาหาเองได้เสมอแหละ
ผมจัดการย้ายตัวเองมานอกห้อง เลือกนั่งรอที่โซฟาตัวที่ใกล้ประตูมากที่สุด เวลามันมาถึงจะได้ลากตัวเองไปเปิดประตูรับได้ง่ายๆ
นั่นไงครับ.....ปะไป๊ออกไปได้ไม่ถึงชั่วโมงเลย ก็มีเสียงออดดังขึ้นหน้าบ้านแล้ว
....................................
“อิส เอ๊ะ!! ทำไมเป็นอย่างนี้?”“อะไร ขาเนี่ยเหรอ? หกล้มน่ะ เข้าบ้านก่อนๆ”
เอาอีกแล้วครับ โวยวายเสียงดังไปได้ ผมเลยตัดบทมันลากตัวเองนำเข้าบ้านซะเลย อิตอนจะขึ้นบันไดจากโถงขึ้นไประดับห้องรับแขกนี่จู่ๆก็ได้รับบริการพิเศษครับ ไอ้พลังช้างสารที่เดินตามหลังมาอย่างสงบมันจับหมับที่บั้นเอวแล้วยกขึ้นทีเดียวขึ้นมาอยู่บันไดขั้นที่สามเลย แหม......น่าจ้างมาคอยช่วยยก 24 ชั่วโมงเอาจริงๆ
พอมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาได้ผมก็ขอบคุณมัน แต่มันสิ ไม่มีรีรอ ใส่คำถามมาเป็นชุดจนผมต้องบอกให้มันพูดช้าๆนั่นแหละ
มันถึงค่อยเรียบเรียงคำถามช้าๆออกมาทีละคำถามได้
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คำถามเดิมๆเหมือนกับที่ปะไป๊กับหมอที่คลินิกถามนั่นแหละ
‘ไปทำอะไรมา?’
‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้?’
‘กี่วันแล้ว?’
‘ต้องใส่เฝือกนานแค่ไหน?’
.
.
มากมายก่ายกองจนมันหมดคำถามแหละ ทีนี้มันก็ถามผมคำถามเดียวกับคนอื่นอีก แต่เพราะเป็นเอดู มันถึงทำให้ผมรู้สึกต่างออกไป
“เจ็บมากมั้ย?”
มันถาม ถามแบบที่ถอดทั้งหัวใจออกมาถาม......คำถามของมันไม่ได้หมายความแค่อยากรู้ว่าผมเจ็บมากรึเปล่า
แต่ผมรับรู้ได้ ว่าเอดูมันอยากจะอยู่ตรงนั้นด้วย อยากเป็นคนประคองตอนผมเจ็บ
มันอยากจะบอก.....ว่ามันเป็นห่วงผมมาก
ผมคงเป็นเด็กแบบที่เอดูมันบอกจริงๆ เพราะทั้งๆที่เมื่อกี้ยังยิ้มรับมันที่หน้าประตู
แต่พอมาเจอสายตากับคำถามแบบนี้ รู้ตัวอีกทีน้ำตามันก็ไหลออกมาแล้ว
เจ้าความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของคืนนั้นที่นอนอยู่บนเตียงคนเดียวแล้วคิดถึงแม่มันย้อนกลับมาหา
แล้วความรู้สึกที่ว่าอยากให้มันอยู่ด้วย......อยากให้ไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ตอนนี้มันมากอดมาโอ๋ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ผมซุกตัวเข้ากับอกของเอดูมันทันที ปลอยให้น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายไหลซึมลงกับอกเสื้อที่มีกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ
รับรู้ถึงอ้อมแขนที่ยอมรับตัวผมเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่ๆทั้งสองข้างที่ลูบขึ้นลงอยู่ที่แผ่นหลัง
“Não chora….meu bem”
วันนั้นเอดูมันโอ๋ผมอยู่นาน พูดประโยคที่เป็นคำปลอบโยนอีกมากมาย
แต่ผมจำติดใจกับสุ้มเสียงอบอุ่นอ่อนโยน ไม่ต่างกับอ้อมกอดที่ไม่ว่าครั้งไหนก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น
และประโยคนี้..... ‘อย่าร้องไห้เลยนะ....เด็กดีของผม’ ................................
................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.กอดค่ะ คนอ่านที่น่ารัก กอดดดดดดดดดดดดด ^^