36
“ไม่เคยอะไร!” เสียงของอดิสรณ์ปลุกนทีขึ้นมาจากความคิดของตัวเอง “ไม่เคยมีอะไรกับไอ้คุณชายนั่นรึ เธอยอมรับได้เต็มปากหรือไง!” นทีอึกอัก น้ำตาไหลอาบแก้มเถียงอดิสรณ์ไม่ออกสักคำ “นั่นไง เธอมันก็ร่าน! ไม่ต่างอะไรจากอีผู้หญิงโสเภณีตามข้างถนน ทั้งที่เธอมีฉันเป็นผัวอยู่แล้วทั้งคน”
“คุณอดิสรณ์!” นทีตวาดลั่น จนเจ็บคอ คำด่าของอดิสรณ์บาดลงลึกไปในใจอย่างเดียวไม่พอ มือของชายคนนั้นก็ล้วงลึกลงไปในที่ที่เขาไม่เคยนึกอยากให้ใครมาสัมผัสสักครั้ง นทีน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บปวด
“ในเมื่ออยากนัก ได้! ฉันจะจัดให้เธอสักดอก ให้มันรู้ว่าระหว่างฉันกับไอ้คุณชายผู้สูงส่งของเธอนั่น ใครมันจะลีลาดีกว่ากัน!” นทีสะดุ้งเฮือกเมื่ออดิสรณ์จู่โจมเข้ามารวดเร็วจนเขาแทบไม่มีเวลาทำใจ หนุ่มน้อยกัดริมฝีปากด้านในของตนด้วยความเจ็บแค้น จะร้องก็ร้องไม่ได้ นอนน้ำตาไหล นึกอยากละลายหายไปจากตรงนั้นเสียทีเดียว
พออดิสรณ์โน้มตัวลงมาจูบเท่านั้น นทีก็กลั้นใจกัดลิ้นของอีกฝ่ายเต็มแรง ไม่แรงพอให้มันขาด เลือดกระฉูดอย่างในหนังแต่ก็แรงพอให้อดิสรณ์ร้องโวยขึ้น นทีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายยันเท้าทั้งสองข้างเข้าที่ท้องน้องของอดิสรณ์ พลิกตัวหลุดจากพันธนาการ คว้าผ้าห่มพันร่างเพียงไม่ให้อุจาดตา แล้วเตรียมออกวิ่งหนีไปจากนรกขุมนี้ให้เร็วที่สุด
แต่นทีคงช้าไป ไม่ก็ออกแรงน้อยไปทำให้อดิสรณ์หายเจ็บเร็วกระมัง หนุ่มใหญ่ คว้าแขนนทีได้ก็ต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้าจนนทีล้มลงไปกองกับพื้น
“มึง! ไอ้อกตัญญู มึงกล้าทำกูหรือ มึงกล้าทำระยำกับกูขนาดนี้หรือ!” ชายร่างใหญ่ ตามไปที่ร่างอ่อนเปลี้ยบอบบางจะลากกลับมาขึ้นเตียง แต่หนุ่มน้อยก็รีบคลานหนีหัวซุกหัวซุน จนเมื่อลุกยืนได้ก็เตรียมจะวิ่งออกไปนอกห้อง อดิสรณ์จึงคว้าเสื้อไว้ กระชากหนุ่มน้อยข้ามห้องกลับไปที่เตียง โชคร้ายที่นทีสะดุดผ้าห่มที่คลุมตัวไว้อยู่ ล้มหัวฟาดโต๊ะร้องโอ๊ยขึ้นดังลั่น
อดิสรณ์เห็นนทีลงไปกองอยู่กับพื้นก็วิ่งเข้ามาซ้ำ ระบายโทสะลงบนร่างบอบบางนั้น ราวกับไม่ใช่คนที่ตนรัก ทั้งเตะทั้งถีบจนนทีแทบจะตายแทบเท้าลงไปตรงนั้น ปากก็ตะโกนด่าไปด้วย
“ไอ้เลว! มึงมันระยำตำบอน เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่รู้จักบุญคุณกู มึงกล้าทำกูรึ มึงกล้าดีรึ ไหนมึงลุกขึ้นมาสู้กับกูซิ มึงลุกขึ้นมาสิ! ถ้ามึงเก่งจริง มึงลุกขึ้นมา”
นทีเจ็บระบมไปทั้งตัว สติสัมปชัญญะแทบจะหลุดลอยไปจากร่าง กระนั้นก็ยังพอมีแรงลืมตาขึ้นมองคนที่เขาเกลียดฝังใจ สาบานแลกอะไรก็ได้ให้ได้ล้างแค้นครั้งนี้ พ่อเลี้ยงของเขายืนอยู่คร่อมร่าง เห็นหน้าของนทีจ้องกลับมาก็เพิ่งรู้สำนึก เนื้อตัวของฝ่ายนั้นฟกช้ำไปหมด บอบช้ำเกินกว่าจะมีแรงไปทำอะไรอย่างอื่น
อดิสรณ์กำลังจะอุ้มนทีขึ้นมาไว้บนเตียง พร้อมจะขอโทษที่ทำไปเกินกว่าเหตุเพราะฤทธิ์สุรา แต่นทีก็พึมพำอะไรออกมาสองสามคำ
“คุณ... คุณชาย”
ภาสกร ผมอยากให้คุณอยู่ตรงนี้ ผมอยากให้คุณมาช่วยผม คุณใจร้ายมานะ ที่ทิ้งผมไปได้แบบนี้ ทั้งๆที่ผม... ทั้งๆที่ผม รักคุณคนเดียวเท่านั้น
นทีมั่นใจว่าตัวเองกำลังจะหมดลมหายใจแน่แล้ว จึงลืมตาขึ้นมองโลกครั้งสุดท้าย สายตามองแน่วไปที่ประตู... คาดหวังให้เจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา คุณชาย... คุณชายมาแล้ว คุณชาย... หนุ่มน้อยคิดว่าสติตัวเองหลุดจากร่างไปแล้วเมื่อมองเห็นใบหน้าของคนที่ตนรักเหลือเกินยืนมองด้วยสายตาโกรธแค้นมาตรงนั้น... คุณชายไม่มีวันตามมาที่นี่ได้หรอก นี่ใกล้ตายจนเพ้อแล้วนทีเอ๋ย
แต่เสียงหวาดหวั่นของอดิสรณ์ดังขึ้นปลุกเขาขึ้นมาจากภาวะไร้สติของตัวเอง ทันทีที่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็เห็น ภาสกรเดินเข้ามาช้าๆ
ภาสกรไม่เคยมีแววตาโกรธจัด ขยะแขยง สมเพทเวทนารวมกันเอาไว้ในสองตาเพื่อใช้มองใครมาก่อนเท่าที่นทีเคยเห็น ตอนนี้แม้ภาสกรจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่นทีก็มั่นใจ และอุ่นใจเหลือเกินว่าชายหนุ่มคนนี้คือคนที่จะปกป้อง ดูแลเขาได้ เป็นทั้งคนที่อ่อนหวาน และอ่อนโยนเมื่ออยู่กับเขาเพียงสองคน แต่ก็แข็งแกร่ง หนักแน่นพอที่จะไม่ให้มีอันตรายใดมาแผ้วพานเขา
ชายหนุ่มตัวเปียกโชกเพราะสภาพอากาศข้างนอก หนาวจนตัวสั่น แต่ก็อุ่นในอกเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่ตนรัก ขอเพียงเรื่องวุ่นวายนี้จบลงเท่านั้น นทีจะไม่มีวันได้อยู่ที่ไหนในโลกนอกจากในสายตาของเขาเท่านั้น มองไปทั่วตัวนทีก็เห็นว่าฝ่ายนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นอย่างน่าเวทนา ต่อให้อุ่นใจเพียงใดที่ได้เจอคนรัก ภาสกรก็ไม่หายโกรธแค้นอดิสรณ์ที่ทำให้นทีเป็นแบบนั้น ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามา กระชากคอเสื้อดึงเอาอดิสรณ์เข้ามาติดอก
“คุณอดิสรณ์ อย่ามายุ่งกับคนรักของผม!” ขาดคำภาสกรก็ต่อยหน้าชายฉกรรจ์นั้น จนล้มลงไปที่โต๊ะเดียวกับนทีนั้นเอง เจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาช่วยกำลังจะตรงเข้ามาประคองนทีลุกขึ้นพอดี แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผันให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่าเดิมเมื่ออดิสรณ์คว้าปืนออกมาชี้ตรงแน่วตรงหน้าของภาสกร
ปืนอยู่ในลิ้นชักโต๊ะนั้นเอง
“แกมาได้ยังไง! นี่มันเกาะส่วนตัวของฉันแกกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ถ้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียวสมองแกระเบิดแน่!”
“ผมไม่กลัว ถ้าคุณอยากให้เสียงปืนดังไปถึงตำรวจที่อยู่ข้างล่างละก็เอาเลย คุณได้ข้อหาฆ่าคนโดยเจตนาเพิ่มไปอีกข้อหาแน่” ภาสกรพูดอย่างใจเย็นก้าวเข้ามาใกล้อดิสรณ์โดยไม่กลัวอันตรายอะไรทั้งสิ้น
“อย่ามาขู่หน่อยเลย” อดิสรณ์ว่าเสียงหนักแน่นอย่างไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หากแต่แววตาล่อกแล่กนั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่อีกฝ่ายหนึ่งพูดมานั้นจริงหรือไม่ “ตำรวจจะมาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันพื้นที่ส่วนตัว ถ้าตำรวจเข้ามาก็ถือว่าบุกรุกละ”
“ไม่บุกรุก เพราะเขามีหมายจับ คุณฉุดคร่าคนรักของผมมาไว้ที่นี่ หลักฐานมัดตัวเป็นดีวีดีทั้งหมดที่คุณมีอยู่ในครอบครอง ในนั้นมีใบหน้าของคุณกระทำอุบาทว์เอาไว้กับนทีหลายฉากจนตำรวจต้องออกหมายจับคุณ”
“แกตามมาเจอฉันได้อย่างไร!”
“นทีเขียนจดหมายบอกผม คุณคงไม่รู้หรอกว่าเราสองคนรักกันมากถึงขั้นสื่อสารกันเข้าใจทุกอย่างโดยที่คุณไม่มีวันจับผิดได้เลย”
อดิสรณ์โกรธจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นหน้า อยากจะฆ่าภาสกรให้ตายไปเดี๋ยวนี้ แต่ก็นึกหวั่นว่าหากภาสกรพาตำรวจมาด้วยจริงๆ เขาก็คงจะต้องติดคุกติดตะรางจนหัวโตไม่มีวันดิ้นได้เลย แม้จะใจชื้นอยู่บ้างว่า ตำรวจไม่ได้ติดตามภาสกรขึ้นมาถึงห้องนอนนี่ ทั้งที่ควรจะเป็นตำรวจมากกว่าภาสกรที่ขึ้นมาจับเขา จึงอุ่นใจได้อยู่บ้างว่าภาสกรคงไม่มีปัญญาลากตำรวจมาถึงนี่ได้จริงๆ ก็คงจะขู่ให้เขากลัวไปอย่างนั้นเฉยๆ กระมัง
“แกก็แค่ขู่เท่านั้น จริงๆไม่มีตำรวจหรอกจริงไหมเล่า” อดิสรณ์ตวาดก้อง
“ก็แล้วแต่ซี จะเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจ ลดปืนลงเสียเถอะคุณอดิสรณ์ คุณทำอย่างนี้กับนทีไม่ได้ ถ้าเขาไม่เต็มใจมากับคุณ คุณก็ควรจะส่งเขาคืนให้เจ้าของเขาได้แล้ว” ภาสกรว่า “ผมเป็นเจ้าของของนที ทั้งตัวและหัวใจโดยไม่ต้องใช้วิธีบีบบังคับอย่างหน้าด้านๆ แบบที่คุณทำเลยคุณอดิสรณ์ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีพอ ส่งนทีคืนมาให้ผม!”
คำพูดของภาสกรแล่นเข้าหูของหนุ่มน้อยที่นอนหอบแทบหมดสติ กระนั้นคำพูดก็ผ่านซึมเข้าไปได้ถึงหัวใจ ความหนาวเหน็บเพราะร่างเปลือยเปล่าแทบจะเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น ความเจ็บปวดตามบาดแผลแทบจะกลายเป็นสุขสบายสำหรับนที รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มน้อยก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัว
สิ้นประโยคของภาสกร อดิสรณ์ก็ลั่นปืน
ปัง!
กระสุนพุ่งเข้าถูกกลางลำตัวของคุณชายหนุ่มพอดิบพอดีจนตัวงอ กระเด็นไปด้านหลังสุดแรงจนล้มลง กระนั้นเสียงร้องเดียวที่ดังผ่านปากหม่อมราชวงศ์หนุ่มคือเสียงร้อง “โอ๊ะ” เบาๆ ก่อนที่นที จะร้องออกมาด้วยความตกใจ ดังก้องในความคิดของตัวเอง แต่ความเป็นจริงกลับเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ
“คุณชาย!”
ฉับพลัน เสียงปืนก็ลั่นขึ้นอีกสองครั้ง ทีแรกนทีคิดว่าอดิสรณ์ยิง
ภาสกรซ้ำให้แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มตายลงกับที่จริงๆ แต่ภาพที่เห็นคืออดิสรณ์ผงะถอยหลังมือซ้ายกุมแขนขวาเปล่าเปลือยที่ถูกเจาะเป็นรูสีแดงสด เลือดสาดกระจายน่ากลัวอย่างกับในหนัง ปืนของตัวเองกระเด็นหายไปจากมือแล้วจะยิงสวนกลับไปเพื่อป้องกันตัวเองก็ไม่ได้
พอก้มลงเห็นเลือดสีแดงฉาน อดิสรณ์ก็ล้มลงไปกองกับพื้นแทบจะทันที
เสียงฝีเท้าดังโครมคราม เสียงคนโวยวายโหวกเหวกดังก้องไปหมดทั้งห้อง แต่นทีไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้ว รู้แต่ภาสกรตายไปเขาก็ไม่อยากอยู่อีก เด็กหนุ่มนอนหลับตากับพื้นห้อง น้ำตาไหลเป็นทางไม่มีแรงแม้แต่จะสะอื้นร้อง ปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลมาอาบหน้าท่านั้น
กระทั่ง สองมือแข็งแกร่งคว้าเข้ากับต้นแขนของเขา ล้วงลงไปที่หลังกอดร่างเปื้อนเลือดไว้กับอกด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ริมฝีปากอุ่นประทับลงกลางกระหม่อม กระซิบเบาๆว่า
“ไม่เป็นไรนะนที ไม่เป็นไรนะครับ”
“คุณชาย...” นทีกระซิบตอบเสียงแห้งเท่าที่แรงของเขาจะอนุญาต พยายามจะลืมตาขึ้นมองแต่ก็บาดเจ็บเกินกว่าจะทำอะไรได้นอกจากนอนนิ่งในอ้อมกอดของชายที่เขารักหมดใจเท่านั้น ไม่อยากเชื่อว่าคุณชายถูกยิงเข้ากลางท้องอย่างนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย
“ตำรวจมาแล้วครับ จับคุณอดิสรณ์ไปแล้ว นทีไม่ต้องกลัวนะ ผมมาช่วยนทีแล้วคราวนี้ผมจะไม่มีวันปล่อยนทีไปไหนอีกแล้ว” ภาสกรกอดร่างบางไว้แนบอกพักหนึ่งแล้วก็อุ้มหนุ่มน้อยขึ้นวางอย่างทะนุถนอมบนเตียง ห่มผ้าห่มให้กับนทีก่อนจะหันไปคุยกับใครสักคนที่นทีไม่รู้เป็นใคร ได้ยินแต่เสียงก็ไม่คุ้นสักนิดว่าเป็นเสียงใคร “คุณชายเต้ ขอบคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก” เสียงห้าวตอบกลับมา “คุณเล่าเจ็บหรือเปล่า นาย
อดิสรณ์ยิงเข้ากลางท้องพอดี”
“เกราะกันกระสุนของคุณชายได้ผลดีครับแม้จะจุกอยู่บ้างก็ตามตอนแรกแต่หายแล้วล่ะครับ” ภาสกรว่า “คุณชายว่า อดิสรณ์จะมีสิทธิ์รอดตัวไปไหมครับ”
“ไม่มีทางครับคุณชาย ฉุดคร่า ข่มขืน พยายามฆ่า ค้าอาวุธ และยาเสพติด นายคนนี้ไม่มีวันได้เห็นโลกอีกนอกจากเห็นผนังคุกเท่านั้นละคุณ” คนที่ชื่อคุณชายเต้ตอบขรึมๆ “คุณดูแลคนเจ็บเถอะ ผมจะคุมตัวนายอดิสรณ์ไปเอง ปฐมพยาบาลให้คนเจ็บแล้ว นรัตถพลคงรอคุณอยู่ด้านล่าง”
เสียงฝีเท้าดัง ตึก ตึก ตึก ห่างไกลออกไป นทีตระหนักว่าเขาอยู่ในห้องตามลำพังกับภาสกร แต่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ เพราะสติสัมปชัญญะของเขาหลุดลอยออกไปจากร่างเสียแล้ว ด้วยความที่ทั้งเจ็บ ทั้งช็อกกับหลายๆอย่าง นทีสลบไปและไม่ฟื้นอีกเลยกระทั่งถึงเมืองภูเก็ต
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรถที่กำลังแล่นอยู่คันหนึ่ง เสื้อผ้าอยู่ติดร่างครบทุกชิ้น ศีรษะพิงอยู่บนไหล่กว้างของคุณชายภาสกร พอได้สติก็รีบลุกขึ้นนั่งตรงลูบจุดที่เจ็บที่สุดบนร่างของตนก็พบว่า ศีรษะที่แตกนั้นปิดไว้ด้วยผ้าพันแผลแล้วเรียบร้อย นอกนั้นตามเนื้อตัวก็เพียงแต่ช้ำเพราะถูกซ้อมเท่านั้นเอง กระดูกกระเดี้ยวไม่ได้แตกหักไปอย่างที่กลัวไว้แต่แรก
“ตื่นแล้วหรือ” ภาสกรว่าเมื่อนทียกหัวที่พาดอยู่บนตัวเขาออก หนุ่มน้อยกำลังจะขืนตัวออกจากภาสกรก็พบว่ามือของฝ่ายนั้นกุมอยู่บนไหล่ของเขากระชับแน่นไว้กับตัวไม่ยอมปล่อย... ภาสกรไม่เคยแสดงออกซึ่งความรักกับเขามากเท่านี้มาก่อนเลย นทีไม่รู้ตัวว่าหน้าแดงเพราะเขินอาย จึงไม่ได้จมอยู่กับอารมณ์หวานนานนัก เมื่อนึกไปถึงส่วนหนึ่งของร่างที่เจ็บเหลือประมาณ
ตอนนอนเจ็บกองอยู่ที่พื้นนั้นเขาสัมผัสได้เลยว่ามีเลือดไหลออกมามากอยู่พอควร มันคงจะฉีกขาดไปแล้วด้วยน้ำมือของอดิสรณ์ หากแต่ตอนนี้แม้จะเจ็บมากอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีเลือดไหลเปียกอยู่แต่อย่างใด ภาสกรคงจะเช็ดเลือดให้เขาแล้ว... จะเห็นไปถึงไหน สัมผัสไปถึงไหนก็ไม่รู้
“คุณชาย อย่ามาใกล้ผมเลยครับ ผมถูกทำเสียขนาดนั้นคุณชายก็เห็น อย่าเข้ามาใกล้ชิดกับผมเลย” นทีกลั้นใจพูด เสียงแหบพร่าเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน “ร่างกายของผมถูกกระทำราวกับไม่ใช่คน ผมไม่เหลืออะไรที่น่าภิรมย์อีกแล้ว คุณชายปล่อยผมเถอะนะครับ”
“ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากปกป้อง อยากดูแล” เขาว่า “ใครจะทำให้นทีเจ็บผมไม่รู้ แต่แผลของนที ผมต้องเป็นคนรักษาเท่านั้น”
“ครับ รู้ครับว่ารักกันมาก แต่ยังมีพวกเราอยู่ตรงนี้นะครับ จึงเรียนมาเพื่อทราบ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหน้า นทีจึงเพิ่งจะรู้สึกว่าตนไม่ได้อยู่บนรถกับภาสกรเพียงสองคน มองไปเบื้องหน้าก็เห็นว่ามีทั้งดาริกาและชายหนุ่มอีกคนนั่งเป็นคนขับอยู่ มีปุยฝ้ายหลับไม่รู้เรื่องอยู่ด้านหลัง
“ไอ้ฝ้ายเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ปลอดภัยดีทุกอย่างค่ะ คุณชายไปช่วยคุณฝ้ายก่อนคนแรกทันทีที่ถึงเกาะ ตอนนั้นนะคะพวกลูกน้องของนายอดิสรณ์แทบจะเข้ามารุมทึ้งเราทีเดียว แต่พอเห็นตำรวจก็หน้าถอดสี วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน โชคดีที่พี่ชายเต้เอากำลังมาแทบจะหมดทั้งกองเลยตามจับมาได้ครบ บีบคั้นความจริงมาว่าคนที่ถูกลักมาอยู่ไหนก็เลยรู้ว่าน้องฝ้ายอยู่ที่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่น้องน้ำอยู่ก็เลยเข้าไปช่วยไว้ทัน จากนั้นคุณชายก็ตกลังกับตำรวจว่าจะเข้าไปช่วยน้องน้ำเอง ถ้าท่าไม่ดีเมื่อไหร่ตำรวจคอยเข้าไปช่วยเขาอีกแรง” ดาริกาอธิบาย “น้องน้ำไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะคะ คุณอดิสรณ์ถูกจับไปแล้ว และคุณชายก็จะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายน้องน้ำอีกแน่ค่ะ”
นทียิ้มให้หญิงสาว น่าแปลกเขาเคยคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาแย่งภาสกรไปจากเขา แต่ตอนนี้หล่อนยิ้มให้เขาอย่างให้กำลังใจ แถมพูดสนับสนุนเขากับคุณชายอีกต่างหาก นทีซึ้งใจจนน้ำตาคลอ
“ขอบคุณคุณหญิงมากครับ”
“ค่ะ ขอบคุณพี่ชายรัตเถอะน้องน้ำ คนนี้เป็นคนหาตั๋วเครื่องบิน บินด่วนมาภูเก็ต สืบหาเกาะลับอะไรของคุณอดิสรณ์มาได้ รวมถึงขับเรือไปส่งคุณชายถึงที่เกาะด้วยค่ะ พี่หญิงรออยู่ที่ท่าเรือที่ภูเก็ตอย่างเดียว ส่งใจไปช่วยทางเดียวเท่านั้นพี่รัดไม่อนุญาตให้ตามไปถึงที่เกาะ” ดาริกาว่า
“ขอบคุณมากครับ คุณชาย” นทีประนมมือไหว้อย่างงดงาม สรุปเอาเองว่าถ้าดาริกานับชายคนนี้เป็นพี่ก็ย่อมเป็นหม่อมราชวงศ์เหมือนกัน “ไม่รู้จักกันแท้ๆ”
“จ้ะ ไม่เป็นไรหรอก คนดีถูกคนชั่วรังควานยังไงก็ต้องมีใครช่วย จะรู้จัก
ไม่รู้จักไม่รู้ แต่รู้จากปากใครหลายๆคนว่าน้องเป็นคนน่ารักนิสัยดีที่หนึ่งก็ต้องยื่นมือมาช่วย” นรัตถพลว่ามองหน้านทีผ่านกระจกมองหลัง “คุณชายภาส จะลงที่ไหนดี”
“คุณชายกรุณาส่งผมที่สถานทีรถทัวร์เถอะครับ ผมจะหาทางกลับบ้านเอง” นทีเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนๆ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องแยกกับภาสกรในเมื่ออีกฝ่ายมาช่วยเพราะเขาขอ ช่วยแล้วก็ควรแยกย้ายกันไป คงเพราะสงสารคุณชายถึงพูดจาอะไรอย่างเมื่อสองสามประโยคก่อนๆ แต่พอถึงเวลาคุณชายก็คงจะต้องทิ้งเขาไปอยู่ดีในเมื่อคุณชาย... ไม่ได้ชอบผู้ชายนี่นะ
“เหลวไหลน่านที” ภาสกรว่า “ผมปล่อยคุณหลุดมือไปสองครั้งแล้วนะ ถ้าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สามผมคงเป็นคนโง่ที่สุดในโลก ที่นอกจากจะไม่มีปัญญาเข้าใจหัวใจตัวเองแล้ว ยังจะโยนเพชรน้ำหนึ่งทิ้งไปอย่างง่ายดายอีก”
นทีหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย นี่คุณชายเมาหรืออย่างไรทำไมพูดอย่างนี้ เห็นนทีหน้าแดงไม่ว่าอะไรภาสกรก็เลยหันไปตอบนรัตถพลว่า
“ผมรบกวนพี่ชายรัตส่งผมที่โรงแรมที่ไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุดแล้วกันครับ นทีกำลังเจ็บมาก เดินทางกลับกรุงเทพคืนนี้เลยคงไม่ไหว”
คุณหญิงดาริกาเอ่ยเสียงใสแย้งในทันที
“ไปนอนโรงแรมทำไมคะ ไปนอนบ้านหญิงดีกว่า ซื้อทิ้งไว้เฉยๆไม่เคยได้ไปนอนเลย หญิงจะทิ้งกุญแจไว้ที่คุณชายแล้วกันนะคะ กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ค่อยเอาไปคืน” ภาสกรกำลังจะปฏิเสธ แต่หญิงสาวก็ชิงพูดดักคอไว้อีก “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หญิงกับพี่ชายรัตจองตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพไว้แล้ว ไม่รู้ทำไมลืมจองเผื่อคุณชายกับน้องน้ำ อยู่ภูเก็ตไปก่อนล่ะค่ะดีแล้วกลับไหวเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับ”
นทีอ้าปากเตรียมบอกว่าเกรงใจอีกฝ่าย นรัตพลคงรำคาญก็เลยเป็นฝ่ายพูดเสียเองเลยว่า “อย่าเถียงนะ ถ้าคิดว่าเป็นข้อเสนอแล้วไม่ยอมทำตามละก็ พี่จะถือว่านี่คือคำสั่ง ถ้าคิดจะขัดคำสั่ง พี่จะฟ้องท่านชายเรืองเดชทันทีที่เจอพักตร์เลยทีเดียว” สิ้นเสียงคุณชายนรัตถพลก็ถือว่าสิ้นบทสนทนาในคืนที่แสนเหน็ดเหนื่อยและตื่นเต้นนี้แล้ว เท่ากับว่านทีเองก็ต้องจำยอมหมดซึ่งคำโต้แย้งใดๆด้วย
หันหน้าไปมองภาสกรก็พบว่าคุณชายกำลังยิ้มให้เขาอยู่
รอยยิ้มของคุณชายยังเหมือนเดิม คือเรียบๆ แต่อ่อนหวาน ดวงตาแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เมื่อก่อนนทีต้องเพ่งผ่านหมอกมัวแห่งความลังเลสงสัยในแววตาเพื่อให้เห็น... แต่บัดนี้ความรู้สึกของคุณชายช่างชัดเจนเหลือเกิน
ภาสกรบรรจงวางร่างบอบบาง และบอบช้ำทั้งกายใจลงบนเตียงสี่เสากลางห้องนอนในบ้านพักของดาริกา ชายหนุ่มค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบางข้างๆ ช้าๆแผ่วเบา ลืมตามองคนรักของเขาข้างกายใจสั่นระรัวไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริง อีกฝ่ายก็เหนื่อยและบอบช้ำเกินกว่าจะคิดเล็กคิดน้อยจึงปล่อยเลยตามเลยหายใจลึกๆอย่างสงบอยู่ข้างๆ
“เจ็บไหมนที” เสียงของเขาอ่อนโยน อ่อนโยนกว่าครั้งใดที่นทีเคยได้ยินจากชายหนุ่ม เขาลูบผมของหนุ่มน้อยที่เพิ่งเช็ดให้จนแห้งดีเบาๆ แล้วเลยมาที่แก้มขาวเนียนลูบไล้อยู่นานสองนาน นทีพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบแล้วบอกว่า
“ผมหนาว”
ร่างหนากว่าจึงดึงร่างเล็กเข้าไปกอดไว้แนบอก หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขเกินจะบรรยาย ซุกใบหน้าคมสันของตนเข้ากับผมนุ่มละเอียด หอมกรุ่นกลิ่นแชมพูของนที
“คุณชาย ทำอย่างนี้ทำไม... เรื่องของเรา...”
“หายหนาวแล้วหรือยัง” ภาสกรถามขัดขึ้นเบาๆที่ข้างหู หนุ่มน้อยก็พยักหน้าอย่างเขินอาย จากนั้นคุณชายหนุ่มก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้าก่อนที่จะกระซิบบอกคนรักอีกครั้ง เป็นประโยคสุดท้ายของคืนนั้นว่า “หลับเสียเถอะนะ เรื่องของเรา... ไว้พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาคุยกัน”