38
นทียังคงเล่าเสียงเรียบๆต่อไปแม้ว่าบางตอนจะมีเสียงสั่นเครือบ้าง มีน้ำตาคลอมาที่เบ้าตาบ้าง แต่ก็ยังคงเล่าไปอย่างไม่คิดจะหยุด แม้ภาสกรจะหดหู่จนไม่อยากฟังต่อแล้วก็ตาม
“วันนั้นแม่ไม่อยู่บ้าน ผมก็เลยพาแฟนมาหาที่บ้าน” คำว่าแฟนทำให้คิ้วของภาสกรกระตุกเลิกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะตีหน้านิ่งตามเคยแล้วปฏิบัติตนเป็นผู้ฟังที่ดีต่อไป “ผมจะไม่เล่าให้คุณชายฟังหรอกครับว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เพราะตอนนี้เขาไม่ได้สำคัญอะไรกับผมอีกแล้ว ที่ผมจะเล่าก็คือวันนั้นเขามาค้างที่ห้อง เราทั้งคู่ก็ยังเป็นวัยรุ่นเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเหมือนกันเท่านั้น ก็เลยไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยอะไรๆเลยเถิดไปจนจบที่เตียง
จู่ๆ คุณอดิสรณ์ก็โผล่เข้ามาอย่างบ้าคลั่งกลิ่นเหล้าคลุ้งเหมือนครั้งที่คุณชายไปช่วยผมที่เกาะนั่นแหละ เขาไม่รู้ตัวเพราะเมามาก แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเลวอยู่ในนิสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอยิ่งเมาก็ยิ่งบ้าทำอะไรไปไม่ถูกมนุษย์มนา มันทำร้ายแฟนผมแล้วก็ตัวผมด้วยจนเจ็บไปหมด ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วมันก็จับแฟนของผมข่มขืน!
มันบังคับให้ผมนั่งดูแฟนตัวเองโดนข่มขืนขณะที่มันจับผมมัดไว้กับเก้าอี้ สักพักพอมันสาแก่ใจ มันก็มาลงที่ผมอีกแล้วก็ให้แฟนผมดูอยู่ด้วยเหมือนตอนที่ให้ผมดู คุณรู้ไหม มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่แย่ที่สุดเท่าที่ใครจะเคยมีโอกาสได้ประสบ ผมมั่นใจว่าไม่มีใครทั้งบ้า ทั้งเลวได้เท่าอดิสรณ์”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่แจ้งความ” ภาสกรถามเบาๆ
“ผมบรรลุนิติภาวะแล้ว แล้วตอนมันทำผมก็ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายมากไปกว่าโดนต่อยท้องน้อยจนช้ำ ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานปรากฏที่ตัว จะแจ้งความตำรวจก็คงไม่เชื่อ เพราะมันดูดีมากในสายตาของคนอื่น อีกอย่างมันก็มีสายอยู่ในหมู่ตำรวจอยู่ด้วยพร้อมจะช่วยมันอยู่ตลอดเวลา”
นทีนิ่งไปเหมือนจะรอให้ภาสกรถามอะไรเขาอีก แต่ท้ายที่สุดภาสกรก็ไม่มีคำถามใดจะถามนที หนุ่มน้อยก็เลยถอนหายใจแล้วเล่าต่อ
“พอผมแจ้งความไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจหนี แต่จะหนีไปไหนมันก็ตามกลับมาได้ทุกครั้ง แล้วผมก็จะโดนหนักกว่าเดิม ตอนนั้นผมโดนเพื่อนมันด้วย บางทีก็มากันทั้งกลุ่ม แม้บางทีจะมีคนสองคนเท่านั้น แต่ก็บ่อยที่ผมจะโดนของอะไรที่ไม่ควรเอามาใช้... เหมือนในหนังโป๊ทุกอย่าง ผมถูกทำจะไม่เหลือค่าความเป็นมนุษย์จนสุดท้ายก็มาถึงจุดที่ผมทนไม่ได้อีกต่อไป
“แม่ผมเคยกลับบ้านมาเจอผมกับมันครั้งหนึ่ง แม่ตกใจมากแล้วก็โกรธมันมากด้วย แม่ไล่มันออกจากบ้าน ด่าว่ามันปาข้าวปาของใส่มัน แต่มันก็ไม่ได้คิดกลัวหรือละอายใจเลย มันกลับทำร้ายร่างกายแม่ บังคับให้แม่ดูผมจนมันพอใจแล้วก็ข่มขืนแม่ให้ผมดู”
“นที... คุณไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้นะ” ภาสกรขัดเมื่อเห็นว่านทีเริ่มจะร้องไห้แล้ว เขาดึงหนุ่มน้อยเข้าไปไว้ในอ้อมแขน คนเล่าเรื่องหยุดเล่าแล้วตั้งต้นร้องไห้ ร้องอยู่นานก็สะอื้นออกมาเป็นคำพูดว่า
“แม่ผมฆ่าตัวตายหลังจากคืนนั้นเอง”
ภาสกรกระชับฝ่ามือที่กุมหัวไหล่ของนทีดู ค่อยๆกลึงไหล่กลมมนนั้นเบาๆ ปลอบใจไม่ให้หนุ่มน้อยร้องไห้ แต่ก็ยิ่งทำให้เขาร้องหนักกว่าเดิม
“แล้วผมก็โดนเรื่องนั้นมาคอยหลอกหลอนอยู่ทุกคืน จนหมดงานศพแม่ จนทุกอย่างเริ่มดี อดิสรณ์เริ่มหายไปจากชีวิตผม ห่างกันไปเรื่อยๆ ผมก็หาโอกาสที่พอจะวิ่งหนีได้ หนีออกจากบ้านไปตั้งใจว่าจะไปหาปุยฝ้าย แต่... แต่แล้วผมก็ได้มาพบกับคุณ”
ภาสกรก้มลงจุมพิตไหล่ขาวเปลือยของนทีเบาๆ ก่อนที่หนุ่มน้อยจะพูดต่อว่า “คุณชายก็รู้แล้วว่าผมไม่ได้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีเพียงคุณชายคนเดียวทั้งชีวิต ผมผ่านอะไรมาเยอะ ผมมีสัมพันธ์กับใครมาหลายคนก่อนได้เจอคุณชายทั้งกายและใจ
ทีนี้คุณชายยังจะยืนยันอีกไหมครับว่าคุณชายจะรักผมได้ คุณชายจะไม่รังเกียจผม”
“ไม่หรอกนที... ไม่ว่าคุณจะผ่านใครมา เป็นสิบ เป็นร้อยผมก็ไม่สน ตอนนี้คุณมีผมคนเดียว และจะไม่มีคนอื่นอีก มีผมเป็นคนสุดท้ายผมก็จะรักและภักดีกับคุณตลอดไปเช่นกัน” ภาสกรยิ้ม “เว้นเสียแต่คุณจะบอกผมว่าคุณกำลังรักใครอยู่อีก คุณไม่ต้องการผมแล้วนั่นละ ผมถึงจะยอมเดินจากไป”
หนุ่มน้อยหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของหนุ่มคนรัก ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปล้างจานด้วยกัน
“เอ้อ จริงซีผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ป่านนี้ไอ้ฝ้ายยังไม่ตื่นอีกหรือครับ”
“ตื่นแล้วย่ะ!” เสียงแหลมๆแผดออกมาจากห้องนอนของหล่อนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่ภาสกรและนทีเพิ่งนอนด้วยกันมา ไม่นานปุยฝ้ายก็เดินออกมาจากห้องนอน ตีหน้าไม่พอใจแต่ดูก็รู้ว่าแอบมีรอยยิ้มประดับอยู่เมื่อสองหนุ่มไม่ได้สังเกต
“เพิ่งตื่นหรือครับ ทำไมเพิ่งออกมา” ภาสกรเอ่ยถามเบาๆ พยายามซ่อนพิรุธอยู่ห่างจากนทีออกไปอีกนิดเมื่อหญิงสาวค่อยๆเดินเข้ามาใกล้จ้องมองทั้งคู่แปลกๆแบบครูฝ่ายปกครองจับได้ว่านักเรียนทำผิดระเบียบ
“ตื่นนานแล้วค่ะคุณชาย แต่ได้ยินเสียงหนังรัก บอกรักกันดังลั่น นึกว่าดูหนังกันอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวนค่ะ” หล่อนว่าขำๆ แต่แล้วก็กางแขนรวบเอานทีเข้าไปกอด ต่างฝ่ายต่างก็ร้องไห้น้ำตานอง ภาสกรยืนมองอยู่อย่างห่างๆ มองสองเพื่อนรักแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“ผมอยากตัดผม คุณชายพาผมไปตัดผมที” คำพูดนี้เป็นเหตุที่ทำให้ภาสกรและปุยฝ้ายได้มานั่งอยู่ในบาร์เบอร์เล็กๆแห่งหนึ่งในภูเก็ต มองผมหนาหยักศก ยาวแนบต้นคอจนปิดหน้าปิดตาของนทีค่อยๆถูกหั่นออกทีละน้อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายจบลงด้วยการที่ผมนั้นหายไปเกือบจะหมด แทบจะเป็นทรงสกินเฮด หากว่ามันสั้นกว่านี้สักนิดคงดูคล้ายกับว่านทีเพิ่งไปบวชมา
ปุยฝ้ายโวยวายเมื่อรู้ว่านทีจะตัดทรงอะไร แต่พอตัดเสร็จก็ไม่ได้บ่นอะไรสักคำ มัวแต่นั่งจ้องภาสกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตั้งนาน
“คุณชายยิ้มอะไรครับ หน้าผมมันตลกมากหรือไง” นทีว่าเสียงมุบมิบแทบไม่หลุดจากริมฝีปาก หลบตาภาสกรมีความไม่พอใจแฝงอยู่ทั้งในน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางจนภาสกรต้องหัวเราะออกมาดังๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกลมๆของนทีอย่างรักใคร่ ตอบกวนๆว่า
“ยิ้มเอ็นดูคนน่ารัก”
นทีได้ยินอย่างนั้นก็ถลึงตาใส่ภาสกร จริงอยู่ที่เวลานี้ทั้งคู่ขึ้นมานั่งอยู่บนรถกำลังมุ่งหน้าหาที่เที่ยวภายในเกาะภูเก็ตกันตามลำพัง แต่ก็มีปุยฝ้ายนั่งอยู่ที่เบาะหลังพร้อมรับรู้ทุกสิ่งที่คุณชายพูด อีกทั้งต่อให้อยู่ในรถก็อยู่นอกบ้าน ใครต่อใครผ่านมาอาจจะจำภาสกรได้ แล้วภาสกรก็ต้องมีข่าวไม่ดีอีก
“คุณชายพูดอะไรน่ะ เดี๋ยวใครก็ได้ยินหรอก”
“ใครจะมาได้ยินได้ยังไง บนรถมีแต่เราแล้วก็ปุยฝ้าย”
“อุ๊ย ฝ้ายไม่ได้ยินค่ะ ฝ้ายหูตึงพูดอะไรกันดังๆยังไม่ได้ยินค่ะ คงต้องตะโกนถึงจะรู้เรื่องด้วยได้” หล่อนประชดแต่ก็หยิบหูฟังขึ้นเสียบเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ฟังเพลงไปไม่สนใจสองหนุ่ม
ที่ภาสกรพูดไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย นทีน่ารักจริงๆ
พอผมยาวรุงรังหายไปแทบจะหมดจากหัวแล้ว ใบหน้าคล้ายคนอมทุกข์ของนทีก็หายไปด้วย เหลือแต่หน้าขาวใสสะอาดเรียบเนียนของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบ ดวงตาใสเป็นประกายเหมือนจะยิ้มได้ตลอดเวลา หน้าผากเป็นรูปหัวใจสวยน่ามอง โดยเฉพาะปากแดงๆ ที่เหยียดออกเป็นรอยยิ้มตลอดเวลาทำให้นทีดูหน้าเด็กลงไปหลายปีคล้ายเด็กมัธยมต้นเท่านั้น
ตอนตัดผมเสร็จภาสกรก็มองแล้วมองอีก ยิ่งขึ้นรถมาชายหนุ่มก็แทบไม่ได้มองถนน ตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าใสสะอาดน่ารักน่าเอ็นดูของนทีอยู่ตลอด
น่าแปลกที่เมื่อนทีตัดผมจนสั้นเพียงนี้แล้ว ใบหน้าของหนุ่มน้อยกลับไม่ไปคล้ายกับดาริกาอีกต่อไปแล้ว พิจารณาดีๆ ออกจะต่างกันมากด้วยซ้ำ จนภาสกรแทบจะมั่นใจแล้วว่าตัวเองคิดไปเองเรื่องที่ว่านทีหน้าเหมือนดาริกา เพื่อใช้เป็นข้ออ้างมาแก้ตัวว่าตัวเองไม่ได้มีความเบี่ยงเบนทางเพศแต่อย่างใด ตอนนี้เมื่อยอมรับกับตัวเองแล้วว่ารักหนุ่มน้อยข้างๆนี้แน่แล้ว ก็เลยเห็นนทีอย่างที่เขาเป็นจริงๆ คือเป็นเด็กน่ารัก จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็น่ารักจนมองได้ไม่เบื่อ
ยิ่งนิสัยของนทีที่เปลี่ยนไปด้วยแล้ว รวมๆกันทำเอาคุณชายหนุ่มหลงนทีจนแทบโงหัวไม่ขึ้น
แต่ก่อนหนุ่มน้อยเป็นเด็กเรียบร้อย ขี้เกรงใจไม่พูดมาก ไม่ต่อล้อต่อเถียง มักจะวางตัวต่ำต้อยกว่าภาสกรแทบจะตลอดเวลา จะพูดจาอะไรก็ต้องมีครับ เลือกใช้คำที่ห่างเหินดูเป็นการเป็นงานกว่า มาตอนนี้นอกจากจะเปลี่ยนไปเป็นกันเองมากขึ้น จนถึงขั้นชวนภาสกรคุยก่อนหลายๆครั้งแล้ว ก็ยังจะมีคำพูดประชดประชัน อย่างเจ้าแง่แสนงอนหลายๆครั้ง
ภาสกรเห็นว่านทีแบบก่อนก็น่ารักพออยู่แล้วแต่พอได้มารู้จักกับนทีคนนี้เขากลับคิดว่าน่ารัก น่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีกอย่างน่าประหลาดใจ
“นที ผมจะพาไปกิน โอ๊เอ๋ว ขนมพื้นเมืองของภูเก็ตนี่ อร่อยมากไปกินกันนะ” ดูเหมือนคุณชายหนุ่มจะรู้จักร้านอาหาร ร้านขนมอะไรอร่อยๆเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด มาอยู่ภูเก็ตยังจะอุตส่าห์รู้จักที่ทางพานทีไปหาของแปลกๆกินได้
คุณชายหนุ่มพานทีมาเที่ยวที่ย่านเมืองเก่าของภูเก็ต อาคารบ้านเรือนต่างๆก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส คือผสมผสานแบบของจีน และโปรตุเกสไว้ได้อย่างลงตัว ภาสกรให้ปุยฝ้ายถ่ายรูปตนกับนทีไว้หลายภาพ คิดว่ากลับไปจะต้องมีหน้านทีหลายๆหน้าเอาไว้ดูเวลาทำงาน และเวลาคิดถึงให้ได้
ภาสกรโทรหาเพื่อนคนหนึ่งเช่ารถเขามาขับทั้งวัน จึงไม่ต้องคอยโบกรถสองแถวหรือนั่งรถตู้เที่ยวแบบแพงๆ นึกจะไปไหนก็ไปได้โดยไม่ต้องวางแผน
ก่อนได้กินโอ้เอ๋ว ปุยฝ้ายก็บ่นหิวข้าวขึ้นมาเสียก่อน เพราะหล่อนไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยกันกับสองหนุ่ม ภาสกรเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวถ้าหิวจะหาของกินลำบากก็เลยพาทั้งคู่ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากย่านเมืองเก่านั้นเท่าไร
ร้านอาหารเป็นเพียงบ้านไม้เล็กๆ สองชั้นดูโบราณได้บรรยากาศย้อนยุค โต๊ะก็เป็นโต๊ะไม้สัก ไม่ก็โต๊ะหินกลมๆแบบโต๊ะน้ำชาจีน ทั้งสามไม่ได้ขึ้นไปชั้นสองเพราะคนยังไม่เยอะนักในตอนนั้นจึงนั่งกันอยู่ที่โต๊ะเล็กๆตัวหนึ่ง ในมุมห้องของร้าน คนที่มารับรายการอาหารใส่ชุดง่ายๆดูเป็นชาวบ้านธรรมดา ตาสวยกลมดุแบบสาวชาวใต้แต่กิริยากลับเรียบร้อย นุ่มนิ่มไปหมด
“รับอะไรบ้างคะ” สำเนียงเหน่อบ่งบอกความเป็นสาวใต้ทำให้ ปุยฝ้ายเป็นฝ่ายสั่งอาหารเอง หล่อนเป็นคนพังงาจึงพูดใต้ได้ คุยภาษาใต้กันโฉงเฉงแบบคนบ้านเดียวกัน เวลาผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสามก็ได้อาหารขึ้นชื่อของภูเก็ตมาลองชิมอย่างละหน่อย
มีแกงปูสีเหลืองสดกินกับเส้นหมี่ขาว ใบเมี๊ยะซึ่งเป็นผักพื้นเมืองของภูเก็ตรูปร่างเหมือนใบไม้เขียวๆทั่วไปผัดกับไข่และกระเทียมหอมกรุ่น หมูฮ้องหมูสามชั้นชิ้นใหญ่เคี่ยวกับเครื่องเทศจนเป็นสีน้ำตาลเหมือนหมูพะโล้ น้ำพริกกุ้งเสียบผักลวกและ สะตอผัดกุ้งใส่กะปิ ส่งกลิ่นยั่วปุยฝ้ายและนทียิ่งนักทำให้ทั้งคู่ไม่รีรอตักของกินเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
นทีลองชิมแกงปูเป็นอย่างแรก ด้วยความที่มันเป็นสีเหลืองนวลข้นไปด้วยกะทิคล้ายสีแกงเลียง หรือแกงเหลืองที่เขาเคยเห็น นทีจึงตักน้ำแกงเต็มช้อนซดเข้าไปทีเดียว พักเดียวเท่านั้นแหละหนุ่มน้อยแทบร้องจ๊ากออกมาด้วยความที่มันเผ็ดเหลือเกิน ร้องเรียกหาน้ำ ภาสกรก็ไม่ยอมส่งให้ นั่งขำหนุ่มน้อยที่เผ็ดจนหน้าแดง เส้นเลือดขึ้น แกล้งจนนทีส่งค้อนวงใหญ่มาให้ภาสกรจึงยื่นแก้วน้ำให้นทีดื่ม
“เข้าใจนะว่าอาหารใต้ต้องเผ็ด แต่จะเผ็ดอะไรขนาดนี้”
ภาสกรหัวเราะดังๆก่อนจะพูดว่า
“เขาเอาไว้กินกับเส้นหมี่นี่... ซดเสียอย่างกับเป็นน้ำแกงจืด”
“ก็ผมไม่รู้นี่นา” นทีส่งสายตาดุๆไปให้ แต่ด้วยความที่หน้าไม่ดุสักนิด จึงทำให้ภาสกรขำมากขึ้นไปอีก แทนที่จะเป็นกลัวเกรง
กินร้านนั้นเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ไปกิน โอ้เอ๋ว ขนมพื้นเมืองเป็นของหวาน จริงๆ ก็ไม่ได้พิเศษอะไรนักก็แว่วุ้นสีขุ่นๆ ใส่ถั่วแดง กล้วยไข่ โปะน้ำแข็งไสแล้วก็ราดน้ำแดงเท่านั้น จริงๆแล้วก็เหมือนน้ำแข็งไสที่หากินได้ทั่วไปทั้งในกรุงเทพและพัทยา ภาสกรจึและยทีงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก แต่ในเมื่ออาการที่ภูเก็ตร้อนตับแทบสุกอย่างนี้ ทั้งสามจึงกินขนมเย็นๆ หวานๆนั้นหมดได้ในเวลารวดเร็ว
จากนั้น ภาสกรก็พานทีและปุยฝ้ายค่อยๆขับรถชมเมืองไปเรื่อยๆ พาแวะไปเที่ยวหาดอยู่กันสามสีชั่วโมง ซึ่งมีปุยฝ้ายคนเดียวที่จะมีกะใจเล่นน้ำ ภาสกรและนทีต่างก็ทั้งเหน็ดเหนื่อย ฝังใจกับเหตุการณ์เมื่อคืนอยู่จึงได้แต่นอนข้างกันบนเตียงผ้าใบ จ้องผืนน้ำกว้างใหญ่ และเพื่อนสาวผิวคล้ำวิ่งไปวิ่งมาอย่างมีความสุขเท่านั้น
ตลอดเวลาที่หาดนั้น ภาสกรและนทีต่างก็ไม่ได้พูดกันมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้พูดเรื่องของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย จะมีหันมาจ้องตากันบ้างหลายครั้ง แต่เท่านั้นก็อุ่นใจเกินกว่าจะพูดจาอะไรกัน
นทีสังเกตว่าภาสกรจะยกมือดูนาฬิกาอยู่บ่อยๆ จนอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้น
“คุณชายเป็นอะไร ดูนาฬิกาอยู่นั่น”
ภาสกรยิ้มแล้วก็บอกว่า “เตรียมของไว้เซอร์ไพรส์คุณ ต้องคอยเช็คว่าถึงเวลาหรือยัง ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ได้ให้คุณดู”
“ของอะไร” นทีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่คุณชายกลับยักไหล่น้อยๆ บอกเพียงว่า เดี๋ยวก็รู้ไปเอง ไม่ได้เปิดเผยอะไรให้นทีรู้มากกว่านั้น จนกระทั่งห้าโมงเย็น คุณชายหนุ่มก็ตะโกนเรียกปุยฝ้าย พากันขึ้นรถมุ่งหน้าไปดูอะไรก็ตามที่ภาสกรบอกว่าเตรียมไว้เซอร์ไพรส์หนุ่มน้อย
พอเห็นป้ายบอกทางนทีถึงได้เข้าใจว่า “เซอร์ไพรส์” ที่ว่านั้นคืออะไร
“คุณจะพาผมไปดูพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพเนี่ยนะ” หนุ่มน้อยถามเมื่อทั้งคู่เริ่มเข้าใกล้ปลายทางมากขึ้น ภาสกรหันมายิ้มให้แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร วนหาที่จอดรถจนเรียบร้อยแล้วก็พานทีลุยฝ้ายขึ้นไปถึงจุดชมวิว
หญิงสาวผิวคล้ำคงพอจะรู้อยู่บ้างว่าตัวเองกำลังจะเป็นก้างขวางคอ คุณชายหนุ่มกับนที ก็เลยขอตัวไปทำท่าจะไปโทรศัพท์ แต่ก็คือแอบหนีไปยืนดูอยู่ไกลๆนั่นเอง หล่อนเห็นสองหนุ่มเต็มสายตา
“สวยไหม” ภาสกรถามเมื่อแสงตะวันเริ่มจางลง พระอาทิตย์เคลื่อนตัวต่ำลงจนเกือบจะสัมผัสผิวน้ำ ถามว่าสวยไหมเพราะตัวเขาไม่ได้มองมันอยู่เลย ได้แต่มองใบหน้าของนที อยากดึงหนุ่มน้อยเข้ามากอดไว้หลวมๆอย่างรักใคร่แต่ก็ไม่ทำ อยากจับมือ หรือโอบบ่า กอดคอเหมือนเพื่อนรักก็ไม่ทำ เพียงยืนข้างๆ มือเท้าขอบรั้วห่างกันไม่ถึงเซนติเมตรเท่านี้ก็อุ่นใจมากเหลือเกินแล้ว ที่ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ไม่รักนที แต่เพราะรักมากจนต้องให้เกียรติเขาอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
“สวย” หนุ่มคนรักตอบเบาๆ “แต่เห็นหลายครั้งแล้วก็เลยเฉยๆ”
“งั้นหรอ” ถาสกรว่า คราวนี้ถอนตาออกจากนทีในที่สุด มองดวงอาทิตย์ตรงหน้าสัมผัสกับผืนน้ำพอดี “แต่ผมชอบมากเลยนะ เวลาพระอาทิตย์ตกเนี่ย”
นทีกำลังจะถามว่าทำไมแต่ภาสกรก็ชิงตอบเสียก่อนว่า “เพราะชื่อผมแปลว่าดวงอาทิตย์ ชื่อนทีแปลว่าน้ำ ตอนพระอาทิตย์ตกคือตอนที่พระอาทิตย์ได้สัมผัส หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำที่เขารัก”
หนุ่มน้อยคิดว่าภาสกรจะพูดอะไรต่อไปอีกยาว แต่เขาคิดผิดเพราะภาสกรไม่พูดอะไรอีกเลย ถ้อยคำที่กล่าวไป กินใจมากพอแล้วโดยไม่ต้องพรรณนาอะไรให้ยืดยาวอีก มือของภาสกรเขยิบเข้ามาใกล้จนชนกับมือของเขา ค้างไว้อย่างนั้นเนิ่นนานจนอาทิตย์ลับขอบฟ้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนน้ำ