เพราะนายคือของฉัน [II] : 2
ทำไมเวลามันผ่านไปไวแบบนี้ล่ะเนี่ย ผมยืนหน้าบูดอยู่ในสนามบิน แม่กับพี่กิ่งพยายามลูบหัว ลูบหลังผมเพื่อปลอบ ส่วนพี่โชไม่ได้มาส่ง เพราะต้องไปทำงานแทนพ่อตัวเอง อันนั้นผมก็เข้าใจ แต่เล่นหายเงียบไม่มีแม้แต่ข้อความสักอัน ไอ้กลอยของอนได้ไหม ในฐานะคนน้อยใจก็ได้
“ไปดีมาดีนะลูก” แม่อวยพรพลางลูบแก้มผมเบาๆ “อย่าไปก่อเรื่องที่นั่นด้วยนะ”
“กลอยไม่ได้นิสัยแบบนั้นสักหน่อย” รีบกอดประจบแม่ทันที ยังจำสีหน้ากระอักกระอ่วนของแม่ได้ตอนคุณย่าโทรมา “กลอยจะซื้อแคบหมูมาฝากนะ”
ผมกอดแม่ แต่สายตาจ้องมองพี่สาวตัวเองอยู่ตลอด พี่กิ่งไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่พวกเราถูกติดต่อมาหา แต่เพราะแม่ไม่อยากให้เกิดปัญหา อีกอย่าง ย่าก็ไม่ได้ร้ายแบบแต่ก่อน ผมว่าคงมีเรื่องจะคุยมากกว่าชวนไปงานวันเกิดเฉยๆ อย่างแน่นอน
“ฝากแม่ด้วยนะพี่กิ่ง”
“พูดเป็นลางไอ้นี่” ถูกจิ้มหน้าผากไปที “ปกติฉันก็ดูแลแม่มาตลอด”
“เดี๋ยวซื้อกาละแมมาฝาก”
“ติดฟันจะตาย...เอาสองโหล”
“ฝากลมได้ลมนะครับ”
ก่อนที่ผมจะถูกพี่สาวเตะ แม่ก็รีบห้ามซะก่อน แม้เราจะเถียงกันแบบนี้แต่สายตาของพี่กิ่งที่มองผมดูห่วงใย ผมโบกมือลาแล้วเดินเข้ามาด้านใน รู้สึกใจสั่นแปลกๆ ก็เคยอยู่หรอก ไปเที่ยวคนเดียว แต่ครั้งนี้ปลายทางที่ไป มันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว และไม่ใช่ที่ๆ ผมอยากจะไป แทบอยากร้องเพลงพี่โป่ง ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีท้อ...ไอ้กลอยสู้โว๊ย!!
ใช้เวลานั่งเครื่องบินชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงจุดหมาย ตอนนี้ผมยืนเอ๋อมองซ้าย มองขวาอยู่ตรงหน้าประตูทางออก แม่บอกว่า ย่าจะให้คนมารับ แล้วไหนล่ะ คนที่จะมารับ ถ้าให้ผมนั่งรถไปเองคงอธิบายทางไม่ถูก ถึงแม้จะฝึกพูดภาษาคำเมืองมาแล้ว รับรองต้องได้นั่งรถแดงยี่สิบบาทแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็อธิบายทางไปบ้านย่าไม่ถูกอยู่ดี
“น้องกลอยใช่ไหม” ระหว่างยืนหันรีหันขวาง เสียงทักมาจากด้านข้าง ผมหันไปมองเจอผู้ชายตัวสูง ผิวขาวซีดๆ ยิ้มแป้นแล้นมาให้ “ใช่น้องกลอยที่มาจากกรุงเทพหรือเปล่าครับ?” ถามย้ำอีกรอบพลางยื่นรูปมาให้ดู ซึ่งมันก็คือรูปผมนั่นแหละ
“ใช่ก็ได้ครับ” ตอบแบบมึนๆ พลางเงยหน้ามองคนตรงหน้า “มารับผมเหรอ” กำลังคิดว่าคนตรงหน้าเป็นใครในครอบครัวของพ่อ หรือจะเป็นญาติ เป็นหลานคนใดในบ้าน แต่ก็ช่างมัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องสนใจ อยู่แค่ไม่กี่วันก็กลับแล้ว
“ครับ” รอยยิ้มแสนพิมพ์ใจทำเอาผมต้องหลุดยิ้มตาม “ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะ”
ยิ้มแห้งๆ รับคำชมนั้น แน่ล่ะ รูปนั้นถ่ายวันงานเลี้ยงวันเกิดตอนผมอายุสิบแปด ที่ยิ้มไม่เต็มที่นั่นก็เพระปวดขี้แต่พี่กิ่งบังคับให้ถ่ายก่อนไปห้องน้ำ แทบไม่ต้องเดาว่าใครเป็นคนส่งรูปนี้มาให้ คงไม่ใช่แม่อย่างแน่นอน พี่กิ่งทำกันได้ลงคอ ผมเดินหน้ามุ่ยนึกค่อนขอดพี่สาวในใจตามหลังคนมารับไปที่ลานจอดรถ วัดด้วยสายตาแล้วน่าจะตัวสูงพอๆ กับพี่โช แต่รูปร่างผอมกว่า และพอได้เข้ามานั่งบนรถ คนขับก็หันมาจ้องหน้าทันที
“มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ?” ถามด้วยความสงสัย อยู่ๆ ก็หันมาจ้องหน้าเขม็งอย่างกับมีเรื่องจะถาม
“เปล่า” คนมองปฏิเสธก่อนจะออกรถ ผมเหลือบมองหน้าคนข้างๆ เป็นระยะ หน้าตาก็อยู่ในขั้นกึ่งกลาง จะว่าหล่อระดับปีศาจก็ยังไม่ใช่ แต่ไม่หล่อก็ไม่ใช่ “จ้องขนาดนี้ อยากสิงผมล่ะสิ”
“ถ้าหล่อกว่านี้ก็อยากจะสิงอยู่หรอก” กวนมากวนกลับไม่โกง ผมเลิกสนใจคนแล้วหันไปมองธรรมชาตินอกรถ ภาพการจราจรหนาแน่นช่วงออกจากสนามบินค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นทุ่งนา แอบเสียดายบางส่วนที่ถูกนำไปสร้างเป็นบ้านจัดสรร แต่ก็นะ สมัยนี้ธุรกิจบ้านมันขายง่าย ยิ่งเมืองที่มีความสวยงามแบบนี้ คนก็อยากจะมาอยู่ ไม่ก็ซื้อไว้สำหรับมาพักผ่อน ไม่นานความเร็วของรถก็ค่อยๆ ลดลง จนรถกระบะสี่ประตูเลี้ยวเข้าจอดในบริเวณบ้านไม้ทรงไทย “หลังนี้เหรอ” ถามขณะมองไปรอบๆ
“ครับ”
เปิดประตูลงไป กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้โชยมาเข้าจมูก ผมละสายตาจากสวนข้างบ้านไปมองบ้านไม้หลังใหญ่ตรงหน้า บ้านรวยแบบนี้นี่เองถึงดูถูกแม่ของผมตอนนั้น คนที่ไปรับผมกวักมือเรียกยิกๆ อยู่ตรงทางเข้าประตูบ้าน พอผมเดินเข้าไปใกล้ ก็เจอหลานรักของบ้านที่เคยหาเรื่องผมตอนนั้น ผู้หญิงที่น่าจะอายุไม่ห่างจากผมเท่าไหร่ กับเด็กผู้ชายตัวเท่าไหล่ของผม ทั้งคู่ยืนกอดอกตัวเองมองหน้าผมอย่างหาเรื่อง สายตาที่จ้องมาดูไม่เป็นมิตรอย่างเคย ยิ่งเพิ่มเติมความไม่พอใจเพราะนี่คือถิ่นของเขา
จ้องแบบนี้ จะกัดผมไหมวะ
“ทำไมมองหน้าพี่เขาแบบนี้ล่ะ” คนพาผมมาขัดขึ้น “พี่เราสองคนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่นับญาติ” เสียงแข็งของผู้หญิงคนนั้นทำเอาผมตวัดสายตามอง
“นั่นสิ คนแปลกหน้าชัดๆ” เด็กผู้ชายเสริม แต่แล้วสองคนนั่นก็ถูกเขกหัวจากคนที่พาผมมา ทำเอาผมแอบตกใจเล็กๆ ที่กล้าทำการอุกอาจแบบนั้น “ทำไมพี่โอ๊ตต้องเข้าข้างคนอื่นด้วย อุ่นจะฟ้องคุณย่า”
“พี่โอ๊ตเห็นคนอื่นดีกว่าน้องตัวเองเหรอ!” เสียงแหลมเล็กแหวจนแสบแก้วหู
“ไปกันใหญ่แล้ว พี่ไม่ได้เหก็นใครดีกว่าใครทั้งนั้นแหละ” คนชื่อโอ๊ตว่า แต่ดูเหมือนเด็กสองคนจะยังไม่พอใจ กระทืบเท้าไปมาราวกับเด็กโดนขัดใจ
“อ้อนเป็นน้องพี่โอ๊ตนะ!”
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน อ่าว มาแล้วทำไมไม่เข้ามาในบ้านล่ะ”
ระหว่างที่ผมยืนดูคนน้องโวยวายคนพี่ เสียงนุ่มก็แทรกดังขัดขึ้น ทำเอาทุกคนเงียบลง ก่อนผู้หญิงสูงวัยหน้าตาดูน่าเกรงขามจะเดินย่างกรายออกมา คุณย่าสวมชุดลำลองดูสบาย ใบหน้าติดรอยยิ้มส่งมาให้ผมทันทีที่เห็นหน้า
“คุณย่าขา พี่โอ๊ตตีอ้อนค่ะ”
“อุ่นด้วย”
แขนสองข้างของคุณย่ากำลังถูกยึดจากหลานรักทั้งสอง ใบหน้าหงิกงอทำท่าทางออเซาะอย่างน่าหมั่นไส้จนผมต้องกรอกตามองบนใส่ หาเรื่องคนอื่นก่อนแท้ๆ
“เราสองคนไปแกล้งพี่เขาก่อนใช่ไหม” แต่ดูเหมือนแผนการฟ้องจะไม่เป็นผล เมื่อคุณย่ารู้ทัน “คิดซะว่า บ้านนี้ก็เป็นบ้านของกลอยก็แล้วกันนะ”
“คุณย่าทำไมพูดแบบนั้นละคะ นี่บ้านของอ้อนนะคะ จะให้คนอื่นคิดว่าเป็นบ้านตัวเองได้ยังไง” เสียงเล็กแหวดัง ก่อนแขนจะถูกหยิกจนคนโวยวายนิ่วหน้า “อ้อนเจ็บนะ”
“คนอื่นที่เราว่า เป็นพี่ชายเรานะ” ย่าดุเสียงแข็ง
“พี่ชายของอ้อนมีแค่พี่โอ๊ต คนอื่นไม่ใช่!” หน้าเล็กสะบัดเชิดขึ้น ก่อนปรายตามามองผมนิดๆ “ก็แค่เชื้อของพ่อตัวสองตัว”
ได้ยินแบบนั้น กระเป๋าในมือผมแทบร่วง ไม่ได้เสียใจหรอกนะครับ แต่อยากพุ่งไปต่อยมากกว่า ปากคอเราะร้าย ไม่สมกับที่เป็นลูกคนรวยเลย แทบอยากมอบประโยคหนึ่งให้
...พูดออกมาได้ เฮงซวย!!
“อ้อน ทำไมเป็นคนปากร้ายแบบนั้น ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้” คราวนี้เป็นเสียงทุ้มดุแทน ใบหน้าขึงขังดูน่ากลัวจนผมแอบผวาเล็กๆ “ไม่งั้นพี่จะโกรธนะ”
“แค่ไอ้นี่มา คุณย่ากับพี่โอ๊ตก็เข้าข้างแล้ว อ้อนเสียใจ น้อยใจ อ้อนไม่ชอบ!!” เสียงเล็กแหลมกรีดร้องจนผมรีบยกมืออุดหูแทบไม่ทัน เสียงกรี๊ดๆ ดังจนคนในบ้านวิ่งออกมาดู “อ้อนเกลียดมัน!!”
“อ้อน!”
ผมยืนทำตาปริบๆ หลังจากเรื่องสงบลง คนชื่ออ้อนวิ่งเข้าไปด้านในโดยมีน้องชายวิ่งตาม คุณย่ารีบปรับสีหน้าแล้วหันมายิ้มให้ผม
“ขอโทษแทนน้องด้วยนะ ย่าเลี้ยงไม่ดีเอง”
“ไม่เป็นไรครับ พอจะทำใจมาไว้แล้ว”
ผมมองไปตามทางว่างๆ ที่เด็กคนนั้นวิ่ง แบบนี้เรียกพ่อแม่รังแกฉันหรือเปล่านะ
“โอ๊ตพาน้องไปที่ห้องไป เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยลงมาทานข้าว” คุณย่าหันไปบอกคนที่พาผมมา ก่อนป้าผู้หญิงวัยกลางคนจะเดินออกมา พลางประคองย่ากลับเข้าไปด้านใน
เป็นการต้อนรับที่แสนคึกคักเสียจริงๆ ยิ่งกว่าเอาแตรวงมารับซะอีก
“พี่ขอโทษแทนอ้อนกับอุ่นอีกทีนะครับ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเอาแต่ใจแบบนี้” เสียงทุ้มบอกขณะเดินนำผมขึ้นบันไดไปชั้นบน “กลอยต้องนอนห้องเดียวกับพี่นะ นอนได้ใช่ไหม”
“ผมนอนห้องไหนก็ได้ครับ” ที่ไม่ใช่ห้องเด็กสองคนนั่น “ว่าแต่ พี่ เอ่อ...”
“เรียกพี่ว่าพี่โอ๊ตก็ได้ เพราะอายุพี่เยอะกว่ากลอยแน่นอน เรียนจบมาหลายปีแล้ว” ยิ้มแห้งๆ เมื่อโดนเดาความคิดถูก ก็แค่สงสัยว่าคนตรงหน้าอายุเท่าไหร่เอง “ว่าแต่ กลอยเรียนมหาลัยปีอะไรแล้วล่ะ”
“ปีสี่ครับ” ปากก็ตอบ ตาก็มองห้องที่ถูกพาเข้ามา ผมยืนอยู่บนพื้นไม้สีทองขัดเงาวับ ฟอร์นิเจอร์ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียง โต๊ะเก้าอี้ในห้องล้วนเป็นไม้ทั้งหมด ดูๆ แล้วคงไม่ใช่ไม้ไก่กาแน่นอน ว่าแล้วก็อดลูบโต๊ะหนังสือห้องพี่โอ๊ตไม่ได้ มันไม่ใช่โต๊ะเดี่ยวแบบที่มีขายตามร้านตามห้าง หากมองผ่านๆ คงคิดว่าเป็นตู้ธรรมดา แต่พอดึงที่จับออกมาก็จะกลายเป็นโต๊ะหนังสือ “ไม้นี่เป็นไม้อะไรเหรอครับ”
“ไม้สักน่ะ”
“ทองไหม”
“ทองม้วนเหรอ”
“หมายถึงไม้สักทองไหม ไม่ใช่ทองม้วน” ผมว่า พี่โอ๊ตหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ตีรวนผมได้ กวนตีนใช่ย่อยนะครับเนี่ย จะว่าไป ก็อยากกินทองม้วนเหมือนกันนะ ใช่ ผมกำลังหิว.. “พี่ให้ผมนอนตรงไหนเหรอ” เพราะห้องนี้มีเตียงห้าฟุตวางอยู่กลางห้องแค่นั้น ไม่มีฟูกหรือผ้าปูอะไรเลย
“ก็บนเตียงกับพี่นี่ไง หรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ไอ้ที่มีปัญหาสำหรับผมก็คงไม่มี แต่ถ้าคนที่จะตามมารู้ ปัญหานี้คงจะใหญ่มากน่าดู “ผ้าปูพี่เพิ่งเปลี่ยน รับรองไม่เหม็นแน่นอน”
“อ่าครับ ผมนอนได้ หอพักผมสภาพเละก็นอนมาแล้ว” ตอบไปส่งๆ ถึงห้องนี้จะเป็นไม้ แต่มุมห้องก็มีแอร์ติดอยู่ “เอ่อ...”
“มีอะไรจะถามพี่อีกหรือเปล่า”
“พี่ก็เป็นลูกพ่อผมเหรอ” ที่ถามก็เพราะดูจากอายุคงพอๆ พี่กิ่ง ถ้าเป็นแบบนั้นพ่อผมก็ต้องมีแม่ผม พร้อมกับเมียอีกคน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพ่ออยู่กับแม่ ย่าพาพ่อมาหลังจากแม่คลอดผม ระหว่างที่รอคำตอบ คนที่จัดของในห้องก็หันมายิ้มบางๆ ส่งให้
“ไม่ใช่หรอก พี่เป็นลูกติดแม่มาน่ะ” ใบหน้าซีดติดยิ้มให้ผมโดยไม่มีท่าทีน้อยใจหรือเศร้าใจใดๆ ยามพูดถึงเรื่องนี้ แน่ล่ะ ดูย่าก็รักไม่ได้รังเกียจอะไรนี่นา จะมาทุกข์ใจได้ยังไง “เดี๋ยวพี่ต้องลงไปช่วยงานข้างล่าง น้องกลอยก็พักผ่อนในนี้ไปก่อน เดี๋ยวถึงเวลาพี่จะขึ้นมาเรียก”
“ครับ” ใจจริงก็อยากลงไปด้วยนะ แต่กลัวไปเจอเด็กสองคนนั่น หากไปเจออีกแล้วดดนพูดแย่ๆ ใส่ ผมก็กลัวใจตัวเอง กลัวว่าจะห้ามปากหมาๆ เถียงกลับไม่ได้ ดังนั้นอยู่ในห้องแบบนี้น่าจะดีที่สุด
ผมจัดของส่วนตัวที่ต้องใช้สำหรับคืนนี้ โดยไม่ได้ดึงเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า เพราะที่ตกลงไว้กับพี่โช คือผมจะค้างแค่คืนนี้คืนเดียว ถ้าพี่โชมาถึง เราจะเข้าไปนอนโรงแรมในตัวเมืองแทน ระหว่างจัดนั่น จัดนี่ ประตูห้องก็เปิดออก ผมมองหน้าเจ้าของห้องที่ยกยิ้มมาให้
“วันนี้มีบุฟเฟ่ต์ทะเลนะ” คนพูดเดินไปหยิบของ ก่อนจะออกจากห้องไป ปล่อยให้ผมนั่งเหวอ ไม่รู้ว่าจะให้ลงไปตอนไหน แต่ไม่กี่นาทีประตูก็เปิดออกอีกรอบ “ลงไปด้วยกันไหม เผื่อกลอยจะเบื่อที่ต้องอยู่ในห้องเฉยๆ”
“แล้วสองคนนั่น...” พูดไม่เต็มปาก เพราะยังไงซะ เด็กสองคนนั่นก็น้องแท้ๆ ของพี่โอ๊ต
“ถ้าหมายถึงอ้อนกับอุ่น เขาไม่ออกห้องมาหรอก ว่าไง สนใจลงไปกับพี่ไหม” คำเชิญชวนพร้อมรอยยิ้มหวานทำให้ผมพยักหน้าแทบจะทันที
สนามหญ้ากว้างข้างตัวบ้านตั้งเตาปิ้งของทะเลไว้ บนเตามีทั้งกุ้ง ปู ปลา เหมือนเหมามาทั้งทะเลก็ว่าได้ ยิ่งกว่าไปกินชิดชายหาดซะอีก ผมเดินเลียบๆ เคียงๆ พี่โอ๊ตไปที่เตา มือหยิบคีมพลางช่วยกลับกุ้งบนตะแกรงจนคนข้างๆ หันมายิ้มให้
“นี่เหรอคะลูกพี่ชัยกับเมียเก่า” มือที่กำลังจะพลิกกุ้งหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำถาม “หน้าตาไม่ค่อยเหมือนพี่ชัยเลยนะคะ”
“ก็เหมือนแม่เขานั่นแหละ” คุณย่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลตอบ “แม่เขาสวย”
คราวนี้ผมเหลือบตามองย่าทันที หมายถึงย่าชมผมสวยเหมือนแม่ใช่ไหม
“ก็เพราะสวย พี่ชัยถึงทิ้งคุณป้าไปอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ” คนพูดจีบปากจีบคอ ไม่ได้สนใจเลยว่าคนที่ถูกเอ่ยถึง จะหน้าบึ้งสักแค่ไหน “ชื่ออะไรเหรอเรา”
“กลอยครับ”
“ไม่เคยได้ยินคนชื่อแบบนี้มาก่อน”
“ก็ผมเพิ่งแนะนำไปเมื่อกี้”
หลังจากผมพูดจบก็พาเงียบกันหมด เป็นย่าที่หัวเราะออกมาก่อนคนแรก ตามด้วยอีกหลายคน ยกเว้นผมที่กำลังงงอยู่ว่า พวกเขาหัวเราะอะไร ส่วนคนถามผมทำหน้าตึงยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม พี่โอ๊ตกระซิบว่าเป็นลูกของน้องสาวย่า ชอบพูดค่อนแคะคนอื่นเป็นประจำ เลยไม่ค่อยมีใครถือสา
ทำไมผมรู้สึกดีใจที่แม่ไม่ได้มาด้วย เพราะถ้าแม่ต้องมา ก็ต้องเจอประโยคพวกนี้ กับสายตาดูถูกของบรรดาญาติของพ่อ ดีใจที่ผมคิดถูก ที่ยืนหนึ่งมาคนเดียว
ท้องฟ้าทั้งผืนเริ่มมืดสนิท แต่สนามนี้มีไฟสปอร์ตไลท์ติดไว้ เลยทำให้พื้นที่สว่างไปทั้งผืน และตอนนี้บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่เต็มไปหมด ผมที่ปิ้งกุ้ง ปิ้งปลาก็ได้กินบ้างเมื่อถูกพี่โอ๊ตป้อน จะไม่กินก็ไม่ได้ เมื่อถูกจ่อปากแบบประชิดพร้อมกับสายตากดดันให้กิน
“โอ๊ต ไปเรียกอ้อนกับอุ่นออกมาได้แล้วไป” ย่าบอกคนที่ง่วนอยู่กับการแกะกุ้งยัดปากแกล้งผม พี่โอ๊ตหัวเราะที่แก้มผมเต็มไปด้วยของที่พี่แกยัด นี่ถ้าอ้าปากกุ้งร่วงแน่นอน เลยได้แต่ถลึงตาใส่แทน “ดูไปแกล้งน้องอีก” ผมหันไปมองย่าด้วยความรู้สึกหลากหลาย จากเดิมที่คิดเรื่องการรับมือความร้ายเอาไว้ตามที่พี่กิ่งสอน พอมาเจอจริงๆ กลับไม่ใช่อย่างที่คิดเลยสักนิด ย่าส่งยิ้มมาให้ คงรู้สึกว่าผมมองอยู่ละมั้ง พอเห็นแบบนั้น ผมก็ยิ้มตอบแล้วก้มหน้าปิ้งกุ้งที่เหลือต่อ
ผมต้องทำยังไงต่อละทีนี้
ไม่นานเด็กสองคนก็เดินหน้างอตามหลังพี่โอ๊ตออกมา สายตาตวัดมองผมก่อนเพื่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจมาก พอมื้อเย็นเริ่ม ก็ตัวใครตัวมัน มือใครยาวก็หยิบ ก็จองกันตามสะดวก ซึ่งจานของผมก็เต็มไปด้วยกุ้ง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งผมหยิบ อีกส่วนเป็นของคนข้างๆ ที่แกะแล้ววางมาให้
“พี่ไม่ต้องแกะให้ผมก็ได้ ผมแกะเองได้” กระซิบบอกไปแบบนั้น แต่ก็หยิบกุ้งที่พี่โอ๊ตแกะเปลือกออกให้เข้าปาก “กินกุ้งจนหน้าจะเป็นกุ้งแล้ว”
“ก็พี่เห็นกลอยหยิบแต่กุ้ง ก็เลยคิดว่าชอบ กินเยอะเหมือนกันนะเรา” พูดไป ขำไป ทำเอาผมแทบอยากคายกุ้งออกมาคืน
“ด่าว่าอ้วนเลยเถอะแบบนี้” ว่าจบพี่โอ๊ตก็ขำหนักกว่าเดิม คนรอบโต๊ะพากันมองด้วยความสงสัย
กองทะเลเผายังวางอยู่บนจานอีกเยอะ แต่คนส่วนใหญ่ก็เริ่มมองหน้ากันแทน บ้างก็เขี่ยเศษกุ้ง เศษก้าง จะมีแค่ผมนี่แหละ ที่ยังงับขาปูอยู่
“กินเยอะขนาดนี้ เอาไปไว้ไหนหมด” พี่โอ๊ตถาม พลางกวาดสายตามองตัวผม “อ่อ ตรงพุง” ไม่ว่าเปล่า ยังยื่นมือมาจับอีก ผมก็รีบแขม่วพุงหนีทันที
“มือเปื้อน” บอกไปงั้น แต่ที่จริงไม่ชอบให้คนแปลกหน้าจับมากกว่า
“โทษที ลืมตัว”
ย่ามองผมด้วยรอยยิ้มก่อนจะขอตัวขึ้นห้อง ส่วนคนที่เกลียดหน้าผม อย่างสองพี่น้องก็สะบัดหน้า สะบัดตูดตามหลังย่าไป ส่วนญาติคนอื่นๆ ก็ขอตัวกลับบ้านที่อยู่ถัดกัน ทั้งโต๊ะเลยเหลือแค่ผมกับพี่โอ๊ต
“อิ่มแล้ว” พูดจบก็เรอเป็นเครื่องยืนยันอย่างลืมตัว “ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจว่ากลอยอิ่มจริงๆ” พูดเสร็จก็ขำออกมา
“แต่มันยังเหลือ...”
“เดี๋ยวพี่เอาเข้าตู้เย็น พรุ่งนี้ค่อยเอาออกมาอุ่นใหม่”
พยักหน้าเป็นคำตอบ พลางอยู่ช่วยพี่โอ๊ตกับแม่บ้านเก็บข้าวของที่เหลือ ไม่อยากจะบอก ว่าตอนนี้อยากตดมากถึงมากที่สุด แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้จนรู้สึกปวดท้องไปหมด ถ้าอยู่กับพี่โชผมคงสะดวกใจกว่านี้เยอะ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
“กลอยขึ้นห้องก่อนได้ไหม ปวดท้อง”
สุดทนจริงๆ ผมก็รีบบอก พี่โอ๊ตเลิกคิ้วก่อนพยักหน้า ผมเลยรีบวิ่งขึ้นห้อง ของที่กินไปเริ่มออกฤทธิ์เดช สงสัยน้ำจิ้มซีฟู้ดนั่นแน่ๆ อร่อยแต่ฤทธิ์รุนแรง ปลดปล่อยของเสียเสร็จผมก็อาบน้ำต่อมันซะเลย พอออกมาก็เจอเจ้าของห้องกำลังนั่งเล่นแลปท็อปอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
“เข้าห้องน้ำโคตรนาน” เจ้าของห้องบ่น ผมได้แต่โค้งศีรษะขอโทษ พี่โอ๊ตหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็เดินมาทิ้งตัวนั่งบนเตียง พลางเช็ดผมที่เปียก
เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังจากกระเป๋าเป้เรียกความสนใจ พอเดินไปหยิบออกมาดู ก็เจอรูปติ่งหูของคนโทรมาแสดงอยู่ (แอบเปลี่ยนกลับคืน หลังจากพี่โชเปลี่ยนเป็นรูปหน้าตัวเอง) นิ้วกดรับ ยังไม่ทันได้อ้าปากทักทาย ก็ถูกเสียงตวาดแทรกมาซะก่อนจนต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหู
(หายหัวไปไหนมา! กูโทรหาเป็นร้อยสาย!)
“ผมไปกินข้าวมาแล้วลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง” พี่โชขึ้นเสียงแบบนี้ ผมไม่ควรงี่เง่าใส่ครับ ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดผมเองที่ไม่เอาติดตัวลงไปด้วย แอบได้ยินเสียงหอบของพี่โช คงเพราะโมโหจริงๆ “พี่โชเลิกงานแล้วเหรอ” พยายามทำให้อีกฝั่งอารมณ์ดีขึ้น
(เออสิ) มีสะบัดเสียงใส่ด้วย
“แล้วทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง”
(ยัง กำลังเก็บเสื้อผ้า) แม้จะตอบแบบห้วนๆ แต่ก็อ่อนลงมานิดหนึ่ง (กลอยกินหรือยัง)
“อืม พี่โชนั่นแหละ ทำไมยังไม่กินอีก กี่โมงแล้ว ไปหาอะไรกินก่อนเลย” พยายามทำน้ำเสียงให้สดชื่น ได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจออกมา น่าจะควบคุมความโมโหของตัวเองได้แล้ว
(พี่เก็บของอยู่ เดี๋ยวค่อยแวะกินระหว่างทาง) พอได้ยินเช่นนั้น ผมก็หันไปมองนาฬิกาบนผนัง (แล้วกลอยเป็นไงบ้าง มีใครพูดหรือทำอะไรให้หรือเปล่า)
“ตอนนี้มันดึกแล้วนะ ถ้าพี่มาตอนนี้เดี๋ยวได้หลับพอดี เมื่อเช้าก็ตื่นเช้านี่นา” เลือกที่จะไม่ตอบ เพราะรู้สึกห่วงมากกว่า “พรุ่งนี้ค่อยมาก็ได้”
(พี่ไหว)
“กลอยรู้ว่าพี่โชไหว แต่มันก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี นะๆ กลอยอยู่ได้” ผมมองไปรอบๆ ห้องพลางตอบ ได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายกลับมาอีกรอบ
(กลอยอยู่ได้ แต่พี่อยู่ไม่ได้ ห้องมันกว้างขนาดนี้ พี่จะอยู่ได้ยังไง) อยากเห็นหน้าตอนพูดแบบนี้เลย ต้องน่ารักมาแน่ๆ โหมดง้องแง้งของพี่โชเนี่ย (พี่ต้องกอดกลอยถึงจะหลับ กลอยก็รู้)
“อย่ามาเว่อร์ ตุ๊กตาหมีก็อยู่ กอดมันไปก่อน มีกลิ่นกลอยเหมือนกัน” พูดไปยิ้มไป ถ้ามีหญ้าละก็ ถูกดึงหมดสนามแล้ว
(มีกลิ่นแต่ม่อุ่น ไม่นุ่ม ไม่หอมเหมือนกอดเมียจริงๆ) ตอนนี้ปวดแก้มไปหมดเพราะยิ้ม ไม่ว่าจะคบกันนานเท่าไหร่ พี่โชก็ยังทำให้ผมเขินอยู่ตลอด
“ก็นอนกอดไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมากอดกลอย”
(เออ จะกอดให้จมอกเลย)
คำพูดคำจาสมฉายาปีศาจจอมหื่น
“น้องกลอยลืมนาฬิกาข้อมือในห้องน้ำนะ”
ระหว่างคุยกับพี่โช พี่โอ๊ตก็ตะโกนเสียงดังออกมาจากห้องน้ำ ผมตกใจตาเหลือก อุตส่าห์ดีใจที่พี่โชโทรมาตอนอยู่คนเดียว
(เสียงใคร) เอาแล้วไง ปีศาจเริ่มกลืนพี่โชคนน่ารักอีกแล้ว ตอนนี้น้ำเสียงเย็นยิ่งกว่าน้ำแช่ฟิตเสียอีก (ไอ้กลอย)
“พี่เขาเป็นหลานย่า” พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ
(หลานย่า? แสดงว่าไม่ใช่ลูกพ่อมึง?) เป็นคำถามจริง แต่คงไม่ต้องการคำตอบ ผมลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ (แล้วเวลานี้ทำไมถึงอยู่ด้วยกัน) นั่นสิ ผมจะหาคำตอบสวยๆ แบบไหนดี (เปิดกล้อง เดี๋ยวนี้) กำลังจะอ้าปากแถ พี่โชดันสั่งให้เปิดกล้องเฉย ตอนนี้พี่แกก็เปิดกล้องรอไว้แล้วด้วย
“พี่โช” ผมยิ้มโบกมือให้คนปลายสาย “ทำไมยังไม่ไปกินข้าว”
(ถ่ายรอบๆ ที่มึงอยู่ดิ๊) ไม่สนคำถามผมเลย อยากจะร้องไห้ (มึงนอนกับมันเหรอ)
“พอดีห้องมันไม่มี” สุดท้ายก็ต้องบอกไป สายตาพี่โชโคตรดุ ขนาดผ่านกล้องมานะครับ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเจอตรงๆ จะถูกฆ่าด้วยรังสีแบบนั้นกี่รอบ “แต่ก็แค่คืนนี้ พรุ่งนี้ก็ไปนอนกับพี่โชไง”
(แล้วมึงนอนตรงไหน อย่าบอกว่าบนเตียง) พี่โชก็ยังคงไม่สนคำพูดของผม (กูไม่อนุญาต!)
“พี่โช” เสียงอ่อนเลยผม
(ออกไปนอนโรงแรมเดี๋ยวกูจองให้) น้ำเสียงและสรรพนามของพี่โชไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะครับ ตอนนี้พี่โชกำลังจริงจัง (เดี๋ยวโทรเรียกรถไปรับ)
“ได้ไง พรุ่งนี้กลอยต้องอยู่ทำบุญวันเกิดย่านะ”
(พรุ่งนี้ค่อยมา)
“พี่โชไม่ไว้ใจกลอยเหรอ”
(กูไว้ใจมึงเสมอ แต่คนอื่นไม่)
“พี่คิดว่ากลอยง่ายหรือเปล่า”
(ไม่)
“งั้นกลอยจะนอนนี่แหละ” พี่โชกำลังจะอ้าปากพูด แต่ผมชิงตัดบทไปก่อน “เชื่อใจกันก็พอ โอเค?” รู้สึกลุ้นเหมือนกันหลังพูดจบ พี่โชเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าตกลง “พี่ไปหาข้าวกินก่อน พรุ่งนี้ค่อยออก กลอยจะรอ”
(เออ ก็ได้ แต่ขอสั่งห้าม! ห้ามนอนใกล้ ห้ามให้มันแตะตัว เข้าใจไหม)
“เข้าใจแล้ว รีบๆ ไปหาอะไรกินเลย”
(อย่าให้รู้) มีการหรี่ตาชี้นิ้วใส่หน้าด้วย
จังหวะที่พี่โชจะพูดต่อ พอดีกับพี่โอ๊ตเดินออกจากห้องน้ำออกมาพอดี ผมเลยรีบกดตัดสาย รู้ว่าอาจจะโดนด่าแต่ก็ต้องทำ ขืนให้พี่โชเห็นพี่โอ๊ตพันแค่ผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ มีหวังระเบิดลงอย่างแน่นอน เผลอๆ ขึ้นเครื่องบินมาหาแทบจะทันที
“คุยโทรศัพท์เหรอ” พี่โอ๊ตเช็ดผมที่เปียก พลางเดินโชว์รูปร่างไปมา เราสนิทกันขนาดนี้เหรอวะ “ได้สระผมค่อยดีหน่อย เมื่อกี้เหม็นควันมาก”
“ผมนอนก่อนนะ” ตัดบททุกอย่างพลางล้มตัวนอนบนเตียง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเจ้าของห้อง จะว่าไปเตียงนี่ก็นุ่มพอใช้ได้ แม้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจะไม่หอมติดจมูกแบบห้องพี่โชก็เถอะ “พรุ่งนี้พี่เรียกผมด้วยนะ เผื่อไม่ตื่น”
“ได้สิ นอนเถอะเดี๋ยวพี่ปลุกพรุ่งนี้”
“ขอบคุณครับ ฝันดี”
“ครับ ฝันดี”
คราแรกกลัวว่าจะนอนไม่หลับเพราะเปลี่ยนที่นอน แต่พอหัวถึงหมอนไม่นานสติผมก็จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา คงเพราะท้องตึง หนังตาเลยหย่อน...ราตรีสวัสดิ์เชียงใหม่
...TBC
ตอนที่ 2 มาแล้วค่าา ดราม่าไหม ก็ไม่นะ แต่กลอยอาจจะเกรียนน้อยลง เพราะอยู่ต่างถิ่นเพียงลำพัง เดี๋ยวคนจะไม่กล้าเข้าใกล้เอา 55555
แล้วพบกันตอนหน้าค่าาาา
ขอบคุณค่าาา (ไหว้ย่อ)