สวัสดีค่ะ จะบอกว่าเมื่อกี้อัพแล้วแต่ไม่ขึ้น ดูเหมือนเล้าจะมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องมาอัพใหม่ :katai1:เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ และก็มีเรื่องแจ้งนิดนึง สัปดาห์หน้างดนิยายนะคะ มีธุระนิดหน่อย ขออภัยด้วยนะคะ ถ้าหากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ที่นี่เลยนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ให้กันมาตลอด ขอบคุณที่ยังให้ความสนใจนิยายเรื่องนี้ มีอะไรก็บอกกันได้นะคะ ติชมได้ยินดีรับฟังค่ะ ขอให้คนอ่านทุกท่านโชคดี ไว้เจอกันใหม่ค่ะ
+++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 45 Rely on me.
You can rely on me
คุณสามารถเชื่อใจผมได้
Yes you can
ใช่ คุณเชื่อได้
You can rely on me
คุณนั้นสามารถเชื่อในตัวผมได้นะ
To understand you
ให้คุณได้เข้าใจ
You can rely on me
ว่าคุณสามารถเชื่อใจผมได้
For anything
สำหรับทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
You can rely
คุณนั้นเชื่อใจผมได้
พระพายลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่รู้ตอนนี้กี่โมงกี่ยามรู้แค่ว่ามันเป็นวันใหม่แล้ว นี่คือการตื่นขึ้นมาแบบงงๆในอีกหนึ่งวัน พระพายหันไปมองข้างๆพบว่าพิธานยังคงหลับอยู่ จึงใช้โอกาสนี้เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและหันไปดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาสิบโมงแล้ว
หากนึกย้อนไปเมื่อคืนคือหลังกลับมาจากบ้านของพิธานแล้ว กลับมาถึงก็เกือบค่ำพิธานไม่ได้พูดอะไรอีกเลยแค่หยิบเบียร์และเครื่องดื่มมึนเมาทั้งหลายมานั่งดื่มอย่างเงียบๆ พระพายที่ตั้งใจจะถามแท้ๆว่าพิธานมีเรื่องอะไรกับธนิตผู้เป็นพ่อ แต่ดันนั่งดื่มไปกับพิธานด้วย จำได้ว่าเครื่องดื่มแรงๆที่ไม่ได้ผสมอะไรเลยถูกกระดกเขาปากแบบเพลินๆ อาจจะเพราะรู้สึกโล่งที่ผ่านเรื่องกดดันสุดขีดอย่างการไปพบคนที่บ้านของพิธาน และคิดไปถึงวันข้างหน้าเพราะการคบหาของเขาและพิธานนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากธนิต พระพายจึงดื่มให้ตัวเองลืมเรื่องนี้ไปสักชั่วครู่เสียมากมายและสุดท้ายคงเมาจนภาพตัดหรือหลับไปอย่างแน่นอน เพราะตื่นขึ้นมาอีกทีก็คือตอนนี้เวลานี้แล้ว
รู้สึกปวดหัวแต่ก็ไม่ได้แย่มาก เมื่อก้มมองตัวเองก็พบว่าอยู่ในสภาพชุดนอนเรียบร้อยแล้ว คงไม่พ้นพิธานเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกตามเคย ตอนนี้เจ้าตัวยังคงหลับสนิทไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องไปทำงานหรือเปล่าแต่ก็ไม่อยากที่จะปลุก เพราะใบหน้าที่กำลังหลับสบายไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่
พระพายนั่งนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวาน น้ำเสียง คำพูดของธนิตยังคงติดอยู่ในหัว คำที่บอกว่าจะไม่ยอมรับเขา คำที่บอกว่าไม่ได้ยินดีที่จะเห็นเขาและพิธานรักกัน มันช่างเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคืนการดื่มนั้นทำให้ลืมได้ก็จริง แต่เมื่อกลับมาสู่ความเป็นจริงก็ยังพบว่าความคิดเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหนเลย พระพายที่หนักใจขนาดนี้แล้วพิธานไม่ยิ่งหนักใจกว่าเขาอีกหรือ เมื่อคิดได้ก็หันไปมองพิธานที่นอนหลับอยู่ พระพายแตะใบหน้าของพิธานเบาๆ คิดได้แค่สิ่งเดียวคือจะต้องอยู่ข้างๆพิธาน เป็นกำลังใจให้กันและกัน และทำให้พิธานเห็นว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ถึงแม้ธนิตจะไม่ยอมรับก็ตาม
เมื่อคิดได้อย่างนั้นพระพายก็ลุกขึ้นมา วันนี้เป็นวันหยุดอย่างแท้จริงไม่นับวันลาป่วยการเมืองในเมื่อวาน ระหว่างนี้พระพายมองไปรอบๆห้องเพื่อหาอะไรทำเป็นการแบ่งเบาช่วยเหลือพิธานและนึกได้ว่าวันนี้จะมีคนจากร้านซักรีดมารับเสื้อผ้าไปซัก พระพายจึงจัดการแยกเสื้อผ้าของพิธานและของตัวเองใส่ถุงซักผ้า นำลงไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับด้านล่างเพื่อให้ร้านซักรีดมารับไป
เมื่อกลับมาถึงห้องก็จัดการโทรสั่งอาหารด้วยไลน์แมน เป็นเมนูโปรดต่างๆของพิธานเพื่ออย่างน้อยหากตื่นมาได้เจออาหารที่ตัวเองชอบจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
เมื่อคืนพระพายรู้ดีว่าพิธานอยู่ในอารมณ์ไหน โกรธ โมโห และเหมือนจะผิดหวังที่ได้ยินคำๆนั้นจากธนิต ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งสองถึงบาดหมางกันขนาดนี้ เพราะตัวของพิธานเองหรือเพราะตัวของธนิตกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่พระพายรู้สึกคือเพราะทั้งสองเหมือนกันมากจนเกินไป เหมือนจนต่างคนต่างไม่ยอมและมีทิฐิสูงไม่อ่อนข้อให้ คงเป็นอีกจุดที่ทำให้ไม่ลงรอยกันเท่าไหร่นัก
พระพายนั่งรออาหารที่สั่งพลางดูทีวีไปด้วย เปิดเสียงเบาๆเพราะไม่อยากรบกวนพิธานที่หลับอยู่ในห้องนอน ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อโทรหาเก้า
“เก้า...ตื่นยังวะ?” ปลายสายอย่างเก้ารับแล้วแต่กลับไม่มีเสียงพูด
“เออๆ เพิ่งตื่นนี่แหละ” เก้าบอกเสียงงัวเงียขั้นสุด
“กูกวนมึงรึเปล่าวะ?” พระพายถาม เก้าหัวเราะออกมา
“มึงนี่นะ โทรมาและถามว่ากวนไหม คิดก่อนโทรสิวะ”
“เออๆ ก็กูมีเรื่องนิดหน่อย..เอาจริงๆก็ไม่หน่อยล่ะนะ” พระพายว่า
“เรื่องไรวะ?” เก้าเริ่มตื่นเต็มตาและพร้อมรับฟังเรื่องของพระพายที่กำลังจะเล่า
“คือ...กูไปบ้านคุณพิธานมาว่ะ”
“เดี๋ยวๆ วันก่อนมึงบอกเจอแม่ นี่ไปบ้านแล้วเหรอ?” เก้าจำได้ว่าพระพายส่งข้อความมาบอกว่าเจอแม่ของพิธาน
“เออ ไปแล้วและก็ไปเจอพ่อคุณพิธานด้วย”
“แล้วเป็นไงบ้างวะ?” เก้าเองก็ลุ้นคำตอบของพระพาย
“จบที่พ่อลูกทะเลาะกัน”
“เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ใช่ คุณพิธานจริงๆก็ไม่ถูกกับพ่อเขาซะเท่าไหร่ แต่กูไม่คิดว่าจะขนาดนี้”
“แล้วมึงโดนอะไรบ้างไหมวะ?”
“โดนสิ...หาว่าคบกันเพราะเงินและก็....ไม่ยอมรับเรื่องนี้” พระพายว่า พูดแล้วรู้สึกหน้าชาขึ้นมาทันที
“อ้าว พูดแบบนี้ได้ไงวะ” เก้าอารมณ์ขึ้นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“ก็นั่นแหละ กูก็ไม่รู้ว่าทำไมสองคนนั่นถึงเป็นแบบนั้น แต่กูไม่กล้าไปเจออีกแล้วล่ะ” พระพายว่า
“มึงต้องเจออีก เชื่อกูสิ”
“กูต้องทำไงดีวะเก้า” พระพายถามความเห็นเพื่อนสนิท
“เอาจริงๆมึงต้องถามแฟนมึงนะ ว่ามันจะทำยังไงต่อไปในเมื่อพ่อมันไม่ยอมรับการคบกันของพวกมึง”
“เมื่อคืนว่าจะถาม แต่ดูเขาเครียดๆเลยได้แต่นั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนแทน” พระพายว่า
“มึงก็ถามให้รู้เรื่องไปเลย จะได้รู้ว่าต้องรับมือยังไงต่อไป”
“วันนี้ว่าจะถาม ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ”
“เอาเถอะมึง อย่าคิดมาก กูว่ายังไงไอ้พิธานมันก็ต้องจัดการได้ คนแบบมันไม่ยอมปล่อยมือจากมึงง่ายๆหรอก”
“ก็หวังไว้อย่างนั้นแหละ แล้วมึงวันนี้จะไปไหนไหม?”
“กูเหรอ ว่าจะไปหามึงนั่นแหละ อีกอย่างไอ้ไคอยากให้ไปหาที่ห้อง เลยไปหามึงซะด้วยเลย” เก้าว่า
“อ้าว ทำไมไม่บอกก่อนวะ กูจะได้ไม่ต้องเล่าทางนี้” พระพายบ่น
“มึงไม่ได้เล่าหมดหรอกกูรู้ เดี๋ยวค่อยเข้าไปคุยต่อ”
“ว่าแต่...นี่ยังไม่ตกลงกันเลยเหรอว่าเป็นอะไรกันกับคุณไค?” พระพายถามอย่างสงสัย
“เอาน่า ปล่อยให้มันเป็นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวกูไปล่ะกัน อีกสักสองสามชั่วโมง”
“ได้ เดี๋ยวเจอกัน” พระพายจึงวางสาย และอาหารที่สั่งไว้ก็มาพอดิบพอดี
พระพายรับอาหารทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะ จัดใส่จานให้เรียบร้อยและคิดว่าจะอุ่นอีกทีหากพิธานตื่นสายกว่านี้ เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อดูว่าพิธานตื่นแล้วหรือยัง เห็นพิธานพลิกตัวพอดีแปลว่าเจ้าตัวคงตื่นแล้วแต่ยังอยากนอนแช่อยู่อย่างนั้น
“วันนี้ทำงานรึเปล่า?” พระพายกระซิบถามพลางนั่งลงบนเตียง พิธานไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่กลับยิ้มนิดๆ
“ไม่ไป ขี้เกียจ” เสียงแหบๆนั้นตอบทันควัน
“เดี๋ยวก็โดนตัดเงินเดือนหรอก” พระพายว่าและจิ้มบนจมูกของพิธาน
“ใครจะกล้าตัด” ว่าพลางลืมตาขึ้นมามองพระพาย
“ลืมไปว่าระดับคุณพิธานเสียอย่าง” พระพายหัวเราะนิดๆ
“ตื่นนานแล้วเหรอ?” พิธานถาม
“พักใหญ่แล้ว สรุปวันนี้จะไม่ไปทำงานจริงๆใช่ไหม?”
“ไม่อยากไป”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องบอกเลขาคุณ ว่าวันนี้ไม่ไปทำงาน”
“นายโทรบอกได้ไหม?” พิธานว่า
“เลขาคุณนะ จะให้ผมบอกได้ยังไง” พระพายปฏิเสธทันที
“ฉันจะเข้าห้องน้ำ โทรบอกให้ที มือถืออยู่ตรงนั้น” พิธานบอก
“เดี๋ยวๆ ผมไม่รู้รหัส” พระพายร้องเสียดังในขณะที่พิธานเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว
“วันเกิดกับเดือนเกิดของนายนั่นแหละ” พิธานตอบและปิดประตูห้องน้ำไป
“โอ๊ย ตั้งรหัสแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
พระพายยิ้มออกมานิดๆ เขาเองยังไม่ตั้งรหัสเปิดเครื่องเลยสักนิดและโทรศัพท์มือถือของพิธานเองพระพายไม่เคยยุ่งย่ามเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เข้าสู่ความเป็นส่วนตัวที่ลึกเข้าไปอีกของพิธาน
“ว่าแต่เลขาคุณชื่ออะไร?” พระพายเดินไปหน้าประตูห้องน้ำและตะโกนถาม
“ชื่อที่มีเลขานำหน้า” พิธานตอบกลับ
“จะให้บอกยังไงล่ะ บอกว่าคุณไม่อยากไปทำงานเหรอ?” พระพายหนักใจจริงๆที่จะต้องมาทำแบบนี้
“บอกว่าฉันป่วยก็ได้” พิธานบอกเช่นนั้น
“เป็นเด็กเลี้ยงแกะรึไง” พระพายว่าพลางหัวเราะออกมา
“ฉันทำตามเด็กเลี้ยงแกะคนเมื่อวาน” พิธานว่า พระพายยิ่งหัวเราะเข้าไปอีก
พระพายเปิดเครื่องไล่หาชื่อที่โทรเข้าออกก็พบชื่อที่พิธานบอก พิธานบันทึกชื่อไว้ว่า”เลขาปอ” พระพายมั่นใจว่าจะต้องเป็นเบอร์นี้อย่างแน่นอน
ก่อนโทรก็ยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจโทร ได้ยินเสียงรอสายแต่ไม่ถึงสามวิเท่านั้นปลายสายก็รับสายด้วยความรวดเร็ว
“คุณพิธาน อยู่ไหนครับ?” เสียงนั้นถามทันทีที่รับสาย ทันทีที่ได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พระพายหลงคิดไปได้ว่า ปอ นั้นเป็นชื่อของผู้หญิง
“เอ่อ...คือ ผมไม่ใช่คุณพิธานครับ” พระพายตอบไป
“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าคุณคือใคร?” น้ำเสียงขึงขังถามทันที
“คือคุณพิธาน ไม่สบายครับ เลยให้ผมโทรมาบอกว่าวันนี้คงไม่ไปทำงาน”
“ไม่สบายหรือครับ เป็นอะไรมากไหม ไปหาหมอรึยัง?” น้ำเสียงร้อนรนอย่างคนเป็นห่วงถามขึ้น
“ก็...ทานยาแล้วครับ แต่คงไปทำงานไม่ไหว เลยให้ผมบอกคุณครับ”
“คุณคือคนที่อยู่กับคุณพิธานใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ” พระพายตอบ
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือใดๆก็โปรดแจ้งผมด้วยครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร?”
“พระพายครับ”
“ฝากดูแลคุณพิธานด้วยครับคุณพระพาย ผมต้องไปจัดการงานต่อ”
“ครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ติดต่อมาได้ทุกเมื่อครับ” เลขาปอบอกเช่นนั้นก่อนจะวางไป
พระพายพรูลมหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกแย่ทีเดียวเลยที่ทำให้เลขาปอเป็นห่วงถึงขนาดนี้ แต่ผิดคาดจริงๆเพราะพระพายคิดว่าเสมอว่าเลขานุการส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้หญิง อีกทั้งไม่เคยถามไถ่เรื่องการทำงานของพิธานมากนัก เลยไมรู้จักเลขาคนนี้เลย
“คุณน่ะ ทำให้ผมเป็นคนนิสัยไม่ดี” พระพายบ่นทันทีที่เห็นพิธานเดินออกมาจากห้องน้ำ
“หืม?”
“ไม่ต้องมาหืมเลย ผมต้องโกหกไป ทั้งๆที่เลขาคุณเป็นห่วงแทบแย่ขนาดนั้น”
“เขาเป็นคนเล่นใหญ่แบบนั้นแหละ อย่าไปสนเลย” พิธานว่า
“ว่าแต่เขาเป็นผู้ชายเหรอ ผมหลงคิดมาตั้งนานว่าเป็นผู้หญิง” พระพายบอกในขณะที่เดินไปยังโต๊ะทานอาหารและนำอาหารทั้งหมดอุ่นในไมโครเวฟ
“ถามแบบนี้..หึงเหรอ?” พิธานถามพลางเหล่มอง
“หึงอะไร ว่าไปนั่น” พระพายแย้งทันที
“จริงเหรอ?” พิธานถามอีกครั้ง
“จริงๆ” พระพายตอบเสียงสูง พิธานอมยิ้มก่อนที่จะเดินมากอดจากด้านหลัง
“แน่ใจ?” ถามอย่างหยอกล้อ ไม่เคยเห็นพระพายมีท่าทีอย่างนี้มาก่อน
“ไม่ได้หึง” พระพายลากเสียงยาว
“ตั้งแต่คบกันมา ฉันไม่เคยเห็นนายหึงเลย” พิธานว่า
“ไม่ดีเหรอ ที่ผมเชื่อใจคุณขนาดนี้” พระพายเอี้ยวหน้าไปมองคนที่กอดเขาอยู่ข้างหลัง
“มันก็ดีหรอก แต่ผิดหวังนิดๆ”
“คุณนี่จริงๆเลย” พระพายหัวเราะนิดๆก่อนที่จะนำอาหารที่อุ่นทั้งหมดแล้วไปวางบนโต๊ะ และทั้งสองก็เริ่มทานอาหารพร้อมกัน
ทานอาหารจนเสร็จพระพายก็เก็บล้างทั้งหมด พิธานทำท่าจะช่วยแต่ดันมีเสียงกดออดดังขึ้น พิธานจึงต้องไปเปิดประตูว่าใครมา ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังขึ้นพอจะเดาออกว่าใครมา
“แม่ศรีเรือนเหลือเกินเพื่อนกู” เสียงเก้าดังขึ้นพระพายหันไปมองทันที
“ปากเปราะทักทายเลยนะมึง” พระพายว่าพลางหัวเราะ
“ให้ช่วยไหม?” เก้าถาม
“จะเสร็จแล้ว”
พระพายล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงหันมาชกไหล่เก้าทันทีที่โทษฐานแซวเขาเรื่องล้างจานเมื่อครู่นี้ เก้าได้แต่หัวเราะและนั่งลงที่โต๊ะทานอาหาร
“มึงกินอะไรมารึยัง?” พระพายถาม
“กินมานิดหน่อย เมื่อกี้แวะเซเว่นเอา ไอ้ไคมันว่าจะชวนพวกมึงไปกินข้าวกันตอนบ่ายๆ” เก้าว่า
“อ่อ บ่ายๆก็คงหิวกันอีกรอบ” พระพายว่าและทำท่าจะเดินไปยังห้องนั่งเล่นแต่เก้าดึงเอาไว้ก่อน
“คุยตรงนี้แหละมึง ปล่อยให้พวกมันคุยกันไป ส่วนเรามาคุยตรงนี้” เก้าว่า
“สองคนนั่นมีเรื่องคุยกันเหรอ?” พระพายถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกันแต่ไอ้ไคมันบอกอยากคุยอะไรสักหน่อยกับแฟนมึง” เก้าบอก
“เรื่องอะไรนะ?” พระพายครุ่นคิด
“มึงอย่าสนใจเลย กูว่าไม่พ้นเรื่องที่บ้านมันนั่นแหละ ว่าแต่ท่าทางพ่อมันเป็นไงบ้างวะ” เก้าถามถึงเรื่องนั้นทันทีที่มีโอกาส
“น่ากลัวมาก เหมือนเห็นคุณพิธานในเวอร์ชั่นแก่เลยมึง” พระพายเล่า
“เหมือนกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
“เออ เหมือนจนแบบพิมพ์เดียวกันเป๊ะๆ สายตา ท่าทาง คำพูด แล้วคุณพิธานงัดข้อกับพ่อด้วย กูคิดว่ากูจะตายอยู่ตรงนั้นแล้ว” นึกถึงเมื่อวานก็ยังรู้สึกไม่สู้ดีจนถึงตอนนี้
“เขาพูดอะไรอีกไหมนอกจากว่าเรื่องเงิน” เก้าถามต่อ
“เขา...บอกไม่ยอมรับกู ไม่ยอมรับความรักของเรา” มาถึงตอนนี้พระพายเริ่มนิ่ง
“แล้วมึงจะเอาไงต่อล่ะทีนี้” เก้าถาม ในเมื่อการคบกันเริ่มยากขึ้นกว่าเดิมแล้ว เพื่อนของเขาจะทำอย่างไรต่อไป พระพายเงียบไปก่อนที่จะพูดออกมา
“ตอนนี้กูได้แต่รอดูว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ แต่เชื่อว่ากูจะผ่านได้ถ้าคุณพิธานอยู่ข้างๆกู” พระพายว่า เก้าได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมานิดๆความคิดของพระพายนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น
“เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเสียทีนะมึง” เก้าว่า
“จริงเหรอ?” พระพายหัวเราะเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“เออ” เก้าว่า
และทั้งสองก็คุยสัพเพเหระกันต่อไปอีกสักพักจนในที่สุดพิธานก็เดินเข้าตามด้วยใบหน้ายุ่งๆเพราะสงสัยว่าทั้งสองมานั่งคุยอะไรกันตรงนี้
“ทำอะไรกัน?” พิธานถาม
“นั่งคุยกันประสาเพื่อน ไม่ได้รึไงวะ?” เก้าว่า พิธานไม่ได้สนใจจะมองเก้าแต่หันมามองพระพายแทน
“นั่งคุยเฉยๆ” พระพายสำทับอีกรอบ
“ไคเรียก” พิธานหันไปบอกเก้า
“จะไล่กูก็บอกตรงๆสิ” เก้าว่าและลุกออกไปจากโต๊ะทานอาหาร ทั้งสองก็ยังคงเขม่นกันอย่างคงเส้นคงวา
“มีเรื่องอะไร?” พิธานนั่งลงข้างๆพระพายพลางเอ่ยถามขึ้นเมื่อเก้าเดินออกไปแล้ว
“ก็...เรื่องทั่วไป” พระพายตอบ
“ใช่เหรอ?” พิธานผู้ซึ่งรู้ทันทุกอย่างจนยากที่จะปกปิดอะไรได้
“ผมคุยเรื่องพ่อคุณกับเก้า” พระพายบอกความจริงในที่สุด
“นาย..กังวลเรื่องนี้อยู่?” พระพายพยักหน้าเป็นคำตอบ
“นายจะเชื่อใจฉันใช่ไหม?” พิธานถาม
“ผมเชื่อใจคุณ และก็อยากให้คุณเชื่อใจผมด้วยเหมือนกัน”
“ฉันรู้ว่านายจะอยู่ตรงนี้อย่างที่นายเคยบอกไว้” พิธานดึงมือพระพายมากุมไว้
“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อเรา”
สายตาของพิธานที่จ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของพระพาย แววตาที่บ่งบอกว่าสิ่งที่พูดคือความจริงและเป็นคำสัญญา พระพายเม้มริมฝีปากก่อนที่จะกุมใบหน้าของพิธานไว้เบาๆพร้อมสบตาของพิธานที่ส่งมา
“ผม..เชื่อในตัวคุณ ผมเชื่อว่าคุณทำได้ ผมจะไม่ไปไหนจนกว่าคุณจะขอให้ผมไป” พระพายว่า ดวงตาของพิธานสั่นไหวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่มีวันนั้นหรอก”
พิธานยืนยันเช่นนั้นแล้วก้มลงจูบหน้าผากพระพายเบาๆ ก่อนที่จะดึงพระพายมากอดไว้เสียแน่น พระพายยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายของพิธาน รู้สึกดีเสมอเวลาที่ได้กอดกันเช่นนี้
“เอ่อ..โทษที” เสียงไคดังขึ้น พระพายผละออกมาด้วยความรวดเร็ว พิธานหันขวับไปยังไคที่ยืนอยู่ผิดที่ผิดเวลา
“ไม่ได้จะขัดจังหวะ...แค่จะถามว่านายเอาหนังเรื่องโปรดฉันไปเก็บที่ไหน” ไคยิ้มกว้าง พิธานหน้าบูดทันควันเมื่อได้ยินอย่างนั้น พระพายหัวเราะออกมาเมื่อเห็นไคทำหน้าตาตลกเพราะรู้ตัวดีว่าทำพิธานหงุดหงิดเสียแล้ว
“ไปหาหนังให้คุณไคดีกว่า”
พระพายว่าและรีบลุกขึ้นเดินไปยังห้องนั่งเล่น ไคหันไปยิ้มให้พิธานและรีบเดินตามพระพายไป พิธานเดินตามเป็นคนสุดท้ายจึงใช้โอกาสนี้ยกขาเตะน่องไคไปหนึ่งที ไคหัวเราะถูกอกถูกใจที่ทำพิธานหงุดหงิดจนต้องโดนเตะแบบนี้
ทั้งสี่คนนั่งดูหนังโปรดของไคกันจนถึงเวลาบ่ายและออกไปหาอะไรทานกันข้างนอก เป็นร้านที่ไคอยากทาน จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า ซื้อของกันนิดๆหน่อยๆและเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อย
พิธานที่ดูจะหน้าตาบึ้งตึงไปบ้างเพราะรำคาญเก้าที่เอาแต่ดึงพระพายไปอยู่ด้วยตลอด แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของพระพายพิธานก็ได้แต่ยอมๆไป อีกทั้งอยากให้พระพายได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนบ้าง เพราะเวลาอยู่กับเพื่อนพระพายจะมีอีกมุมที่พิธานชอบ คือการแหย่เก้าเล่นตามนิสัย ซึ่งเป็นอะไรที่พิธานชอบเสมอเวลาเจ้าตัวมีมุมสนุกสนานเช่นนี้
เพราะอยากให้พระพายยิ้ม ไม่อยากให้พระพายมีทุกข์ อยากสร้างความสุขให้คนๆนี้เสมอไป จะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้พระพายต้องเสียใจ ถึงแม้คนๆนั้นจะเป็นถึงพ่อบังเกิดเกล้า พิธานก็จะไม่มีวันยอมเด็ดขาด อะไรที่พิธานทำได้ก็จะทำขอให้แค่พระพายมีความสุขและอยู่ข้างๆเขาเท่านั้นก็พอ ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้จริงๆ..
Lyrics: You can rely on me by Jason Mraz.