กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
1
พูดคุยทั่วไป / Looking at history Can the "Hunger Strike" Really Achieve Its Goals?
« กระทู้ล่าสุด โดย ufadeal88 เมื่อ 21-05-2024 18:12:53  »
Looking at history Can the "Hunger Strike" Really Achieve Its Goals?

Ms. Netiporn Sanae Sangkhom or "Bung", a political activist in the Talu Wang group, died while incarcerated at the Central Women's Correctional Institution. After she decided to go on a hunger strike for more than 100 days.

According to a report from the Center for Human Rights Lawyers, This 28-year-old political activist has been prosecuted for expressing political opinions and expressions in a total of 7 cases, one of which is lèse majesté case According to Section 112 of the Criminal Code, from the polling conducted by the Thaluwang activity group in two cases, namely the polling case to survey the suffering from the royal procession at Siam Paragon on February 8, 2022, and the polling case regarding with the royal authority of the monarchy on April 18, 2022 together with 3 other members of the Talu Wang group

for the decision to go on a hunger strike this time She has three political demands related to the justice process and the rights of prisoners in political cases as follows:

Let there be reform of the justice process.
Provide bail for the 112 case and no one should be jailed because of political differences.
Thailand should not be a member of the United Nations (UN) Human Rights Council.
But will using the method of hunger strike achieve political demands? BBC Thai invites you to look back at the history of political hunger strikes from around the world. whether it can help achieve political goals or not

<a href="https://ufaslotbet99.com/%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95ufaslot/">ยูฟ่าดีล</a>
2
คิดว่าขณะนี้อุตสาหกรรมเกมได้ให้ความสำคัญกับ "ประสบการณ์สดในการหาทางเข้าสู่เกมและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คน" แต่เขาบอกว่าเขาไม่แน่ใจว่า Ninja Theory จะสามารถรับเครดิตทั้งหมดสำหรับสิ่งนั้นได้หรือไม่ .

อย่างไรก็ตาม ศ.เฟลทเชอร์กล่าวว่าเขาคิดว่าเฮลล์เบลดมีผลกระทบ

ตอนนี้เขาใช้เกมนี้เป็นเครื่องมือในการสอน และเชื่อว่าเกมนี้ช่วยเผยแพร่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคจิตได้

ในขณะที่เขารู้สึกว่าเขาไม่เคยมีผลกระทบมากนักในการพยายามท้าทายการตีตราด้วยตัวเขาเอง แต่เขากล่าวว่าการพูดคุยอย่างให้เกียรติและรอบคอบอย่างล้นหลามเพื่อตอบสนองต่อเกมแรกทำให้เขา “ประหลาดใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ”

<a href="https://www.b-valentine.com/ufadealเว็บตรง/">ufadeal</a>

3
พูดคุยทั่วไป / Find Sexy Girls from your town for night
« กระทู้ล่าสุด โดย JomeyMT เมื่อ 21-05-2024 17:52:53  »
4
ซื้อขาย / Candid connections: Platform for casual relationships
« กระทู้ล่าสุด โดย nattiya1711 เมื่อ 21-05-2024 13:41:34  »
Unlock a world of casual fun and excitement with the premier dating site.
Freedom of meetups, no obligations
Legitimate Girls
Superlative casual Dating
5
Boy's love story / Re: ทีเซอร์ - teaser อชิระ - เจ้าเพียง 21.05.2567
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 21-05-2024 10:00:57  »
Teaser อชิระ - เจ้าเพียง


“บนเรือนใหญ่เอะอะเสียงดังลั่นกันแต่เช้าอีกแล้ว” เด็กหนุ่มที่กำลังจะอายุเข้ายี่สิบปีบริบูรณ์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มองตามเสียงพูดของผู้สูงวัย ที่กำลังเตรียมข้าวของเครื่องปรุง สำหรับอาหารเช้าของคนบนคฤหาสน์ใหญ่หลังนั้น จากเรือนเล็กด้านหลังนี้ มองเห็นเพียงต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมปิดบังตัวเรือนเอาไว้ เห็นเพียงหลังคาด้านบนตระหง่านอยู่ ราวกับมันลอยได้เองอยู่บนฟ้า

“ฉันนึกว่ายายจ๋าจะชินแล้วเสียอีก” ผู้เป็นยายจ๋าหันมาหัวเราะในลำคอกับคำพูดของเด็กหนุ่ม “ข้าก็ควรจะชินอย่างเอ็งว่าจริง ๆ นั่นแหละ เจ้าเพียง” ก่อนจะมองตามเด็กหนุ่มที่ตัวเองช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตัวเท่าฝาหอย เจ้าเพียงของยายจ๋าเดินมานั่งลงที่ข้าง ๆ วางถ้วยกาแฟหอมกรุ่นที่เพิ่งชงใหม่ ๆ ลงข้าง ๆ ก่อนจะหยิบเอากองใบกะเพราทั้งหมดนั้น มาช่วยผู้สูงวัยที่รับหน้าที่เป็นแม่ครัวมานานหลายสิบปี เด็ดมันลงกะละมังสีขาวใบนั้นอย่างคล่องแคล่ว อย่างที่ช่วยยายจ๋าทำมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก

“เป็นแบบนี้มานานจนนับไม่ได้แล้วว่ากี่ปี ไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไรให้ทะเลาะกันนักหนา” เจ้าเพียงของยายแม้ตาจะมองไปทางเรือนใหญ่นั่น แต่ปากก็ไม่ได้ปริพูดอะไรออกมา มือก็เด็ดใบกะเพรานั้นไปเงียบ ๆ หญิงชราหันกลับมามองหลานเลือดนอกอกของเธอ มองอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะถามคำถามนั้นกับอีกฝ่าย

“ว่าแต่เอ็งเถอะ ชินกับเขาด้วยหรือเปล่า” เจ้าเพียงหันสายตากลับมาทางยายจ๋า ในสายตาคู่นั้น มีคำตอบอยู่ภายในใจกับคำถามนั้น “โธ่ยาย ยายจ๋าอย่าให้ฉันไปชินอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย” มือที่เด็ดใบกะเพราจนได้ปริมาณ เจ้าเพียงก็ลุกขึ้นเดินถือกะละมังไปใบนั้นไปเปิดน้ำจากก๊อก ล้างผักในนั้นให้สะอาดจนเสร็จสรรพ

“ใช่สิ” เสียงของหญิงผู้สูงวัยกว่ามาก ฟังดูน้อยใจอยู่ในอก “อีกเดี๋ยวเอ็งก็จะสบายหูสบายตา แถมยังสบายใจกว่าข้าเป็นไหน ๆ แล้ว จริงมั้ยล่ะ” เจ้าเพียงของยายจ๋า นั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นยาย ก่อนจะกอดยายผู้มีพระคุณท่วมหัวจนแน่น หอมฟอดใหญ่ลงบนแก้มซ้ายของยายจ๋า “หอมที่สุด” แม้ว่าใบหน้านั้น จะเต็มไปด้วยคราบเหงื่อมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

“เอ็งเป็นเด็กดี เจ้าเพียง อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่คนอุ้มชู” ยายจ๋ายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเด็กหนุ่มผู้ถือว่าเป็นหลานคนเดียวของตัว ในฐานะที่ยายจ๋าไม่มีญาติอะไรที่ไหนกับใครเขา “ถ้าแม่เอ็งเขายังอยู่ เขาต้องภูมิใจในตัวเอ็งมาก ๆ” เจ้าเพียงเม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง สบตากับยายจ๋า “แม่เขารักเอ็งมากนะ อย่าให้ใครก็ตามมาพูดเป็นอื่นไปเชียว” ยายจ๋าสำทับกับเด็กหนุ่มที่กำลังจะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

“จริง ๆ เอ็งจะอยู่ที่นี่” ยายจ๋าพูดเพียงแค่นั้น ก็กลืนคำพูดต่อท้ายทั้งหมดให้หายลงไป เมื่อสีหน้าและแววตาของเจ้าเพียง มันให้คำตอบทุกสิ่งอย่างออกมาหมดแล้ว “คงไม่ต้องรอให้เขามาไล่ด้วยตัวเองหรอก” เจ้าเพียงรู้ดีว่าตัวเองเฝ้ารอคอย วันหนึ่งวันนั้นที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการต่าง ๆ ที่เขาได้รับรู้และอดทนกับมันมาตั้งแต่จำความได้

เจ้าเพียงจัดสำรับขึ้นโต๊ะบนเรือนใหญ่ใกล้จะเสร็จแล้ว เหล่าบรรดาคุณ ๆ ก็พากันทยอยเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร บางคนไม่สังเกตเห็นเขาด้วยซ้ำ แต่สายตาหลายคู่ ก็มองมาด้วยความรู้สึกว่า เจ้าเพียงไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะเห็นหรือเข้าใจความหมายเหล่านั้นดี เจ้าเพียงก็ทำเป็นไม่รับรู้ ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เร่งมือรีบจัดโต๊ะให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ลงไปจากเรือนใหญ่โดยเร็วที่สุด

“ยายจ๋าเธอไปไหน ทำไมเช้านี้เธอถึงขึ้นมาบนเรือนใหญ่ได้” คุณวรกานต์ คุณพี่หญิงใหญ่ของบ้าน ถามขึ้น เมื่อเห็นเจ้าเพียงจัดสำรับอยู่เพียงคนเดียว “ยายจ๋าอายุมากแล้ว จะใช้อะไรคนแก่กันตั้งแต่เช้า หัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่คิดจะเห็นใจกันบ้างหรือไงนะ” นั่นคือสิ่งที่เจ้าเพียงคิดจะพูดออกไป แต่ก็ได้แต่เก็บมันเอาไว้ ก่อนจะตอบคุณวรกานต์ออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า

“ยายจ๋าเจ็บข้อเท้าครับ คุณวรกานต์ เดินไม่ไหว” จงใจจะตอบออกไปเพียงสั้น ๆ เท่านั้น ไม่อยากจะคุยอะไรด้วยให้ยืดยาว “สะเออะล่ะไม่ว่า” เสียงจากน้องชายคนเล็กของบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคู่ รวมน้องสาวอีกคนของตระกูล นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจ้าเพียงพูดกับตัวเอง ตอนอายุน้อยกว่านี้ เจ้าเพียงเองก็คงไม่ยอมปล่อยเรื่องแบบนี้ไปง่าย ๆ

“เผอิญจานชามมันไม่มีขา มันเดินมาขึ้นสำรับบนโต๊ะเองไม่ได้” พูดจบ เจ้าเพียงไม่รอฟังเสียงด่าไล่หลัง ที่ฟังดูแล้ว ไม่ใช่อย่างที่พวกผู้ดีเขาสมควรทำกันแต่อย่างใด และพอก่อนจะเดินเลี้ยวลงบันไดด้านหลังเรือนใหญ่ ก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินสวนขึ้นมาพอดี เจ้าเพียงพอรู้ว่าเป็นใคร ก็รีบหันหลังเดินเลี่ยงไปอีกทางทันที

“เธอจะจงใจหลบหน้าฉันไปอีกนานมั้ย” เสียงทักจากทางด้านหลัง ทำให้เจ้าเพียงชะงักเท้า เมื่อเกือบจะก้าวพ้นประตูนั้นไป “ฉันไม่เห็นเธอที่เรือนเล็ก” อีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง “ยายจ๋าเธอบอกว่า เธอขอขึ้นมาจัดสำหรับบนเรือนใหญ่แทน เพราะยายจ๋าง่วนมาตั้งแต่เช้ามืด เธออยากให้นั่งพักก่อน” ใช่แล้ว เจ้าเพียงพูดโกหกคุณวรกานต์และทุกคนบนโต๊ะอาหารไปว่า ยายจ๋าเจ็บข้อเท้า เพื่อหวังใจว่า วันนี้จะไม่มีคนใจร้ายที่ไหน เรียกใช้ยายจ๋าทั้งวัน อย่างทรมานคนแก่ไม่รู้จักจบจักสิ้น

“ฉันจะสั่งห้ามไม่ให้ใครเรียกใช้ยายจ๋าของเธอ” เสียงนั้นพูดด้วยความนุ่มนวลกว่าที่เคยได้ยิน “ขอบคุณละกัน” เจ้าเพียงตอบอีกฝ่ายออกไป โดยไม่ได้หันไปมองหน้า “มารยาทที่ดีที่คุณปู่ของฉันเคยสอนเธอมาตั้งแต่เล็ก อยู่ที่ไหน” อีกแล้วสินะ กับการเอาคุณท่านมาอ้างแบบนี้ เจ้าเพียงข่มความรู้สึกเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ หันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

“ขอบคุณครับ คุณอชิระ” ทุกคำนั้น เจ้าเพียงเน้นเสียงให้เจ้าของชื่อรู้สึก “เธอเกลียดฉันมากขนาดนั้นเชียวหรือ” น้องชายคนรองของตระกูลถามขึ้น ที่ปลายเสียงนั้น สั่นน้อย ๆ จนรู้สึกได้ เหมือนเจ้าตัวกระหวัดถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มีอยู่ในใจ “ถ้าคุณจะคุยเรื่องนั้น คงต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ” อชิระมองเห็นแววตาและสีหน้าของเจ้าเพียง ที่ทำให้เขารู้สึกใจสั่น หวั่นไหวไปกับอาการไม่สน ไม่แคร์ ไม่ยี่หระนั่นของอีกฝ่าย

“อย่างนั้นเองหรือ” อชิระพึมพำออกมา อย่างคนที่นึกอะไรขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้ ยายจ๋าของเธอไม่ต้องจัดการอาหารขึ้นสำรับบนเรือนใหญ่แล้ว” เจ้าเพียงคิดว่าเขาหูฝาดไป แต่ถ้านั่นจะเป็นเรื่องจริง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับยายจ๋า “แต่ต้องเป็นเธอ เจ้าเพียง เริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะอาหารที่จัดสำหรับฉัน” เจ้าเพียงมองอชิระอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าอชิระจะมาไม้ไหนกันแน่

“อะไรของคุณผู้ชายไม่ทราบ” เจ้าเพียงหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูรั้วด้านหลังบ้าน ที่ใช้สำหรับให้คนมาส่งของเท่านั้นใช้ และรวมถึงเป็นทางเข้าออกของบรรดาคนรับใช้ของบ้านอีกด้วย “แล้วนั่นเธอจะไปไหน เดี๋ยวนี้เธออยู่ไม่ติดบ้านเลยนะ หรือมันมีอะไรดีที่ข้างนอกนั่น เธอถึงได้ติดอกติดใจมันนัก” ได้ผล เจ้าเพียงหันมามองอชิระด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เมื่อมีเสียงเรียกชื่อของเจ้าเพียง จากอีกฟากของประตู

“เดี๋ยวเราไปกันเลยนะ เอกคุณ” อชิระมองเห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่ยังคงติดเครื่องอยู่ แต่ยังคงใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบอยู่ อชิระจึงมองเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนั้นไม่ชัดนัก “เพียงขึ้นมาเลย เดี๋ยวเราพาไปดูบ้านใหม่หลาย ๆ ที่เลย จะไปกี่ที่ก็ได้ เอาที่เพียงพอใจ จนกว่าเพียงจะพอใจ” อชิระว่าเขาขนลุกขนพองกับคำพูดของหนุ่มบิ๊กไบค์แล้ว ยังต้องเห็นเจ้าเพียงขึ้นซ้อนหลังมอเตอร์ไซค์ของคนนั้นอย่างสนิทสนม

“หาบ้านใหม่ บ้านใหม่อะไรกัน เธอจะย้ายออกจากบ้านหรือไง เจ้าเพียง ทำไม” อชิระพูดรัวเร็ว “เธอมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพียงออ” อชิระอยากจะคว้าตัวเจ้าเพียงลงมาจากรถ ให้มาคุยกันให้รู้เรื่อง “ก็ไม่นาน” เจ้าเพียงตอบกลับอชิระไป “ก็ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วล่ะ ที่รับรู้ว่าบ้านหลังนี้ ไม่เหลือความปรานีให้แม่ของผมอีกต่อไป” อชิระหน้าชาดิก ที่เจ้าเพียงพูดใส่หน้าเขาแบบนั้น โดยมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย

ยายจ๋ามองเห็นอชิระหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่อย่างนั้น แม้ว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นจะขับออกไปตั้งนานแล้ว อชิระหงุดหงิดมากกว่าที่เขาเคยเป็นมา ก่อนหน้านี้เขาเคยหงุดหงิดมากเท่าไหร่ ตอนนี้มันเพิ่มเติมจากนั้นอีกหลายร้อยเท่า เมื่อภาพอาการใกล้ชิดอี๋อ๋อของเจ้าเพียงกับไอ้หนุ่มล่ำนั่น อชิระสลัดมันหลุดออกจากความคิดของเขาเองไม่ได้ และเมื่อหันมา ยายจ๋าของเจ้าเพียงก็มายืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับพูดออกมาในสิ่งที่ทำให้อชิระนั้น ไม่สามารถเถียงหรือแก้ตัวใด ๆ ได้

*****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J


ยอมจำนน - ธนนท์
https://www.youtube.com/watch?v=-6IZ7B5FUco


ไม่รู้ว่านานเท่าไร ก็จำไม่ได้นัก

Not sure how long it’s been, can’t exactly remember

ที่ฉันจำเป็นต้องอยู่อย่างคนที่แอบรัก

I am the one hiding my feelings like this

ต่อให้ฉันให้เธอร้อย มันก็น้อยไป

Though I’m giving you all, still falling short

คนที่รอ คนที่คอย ได้แต่น้อยใจ

I’m waiting, I’m wishing, feeling like shit


ถึงฉันจะทำอะไรทุกอย่างไปมากสักแค่ไหน

No matter how much I do, I do a lot for you

ไม่มีสักครั้งที่คล้ายว่าเธอนั้นจะหวั่นไหว

Not even once will make your heart flutter

คนไม่รักคือไม่รัก ก็ต้องเข้าใจ

You don’t really care, I should be fair

คนคนนั้นไม่ใช่ฉัน จะให้ทำไง

It’s not me, now what can I do?


ถึงฉันไม่ได้ต้องการจะไป

I don’t really wanna leave

แต่ยังไงก็คงจะต้องลา

Yet, this might be my goodbye

เมื่อเธอนั้นให้คำตอบมาทางสายตา

When your answer is in your eyes


ก็คงต้องยอมจำนนกับคนไม่มีใจ

I may need to give in since I’m not your love

ยอมจำลา แม้ว่ารักสักเท่าไหร่

Wanna go, though I really love you so

ไม่จำเป็นว่ารักฉันแค่ไหน

Doesn’t really matter how much I love you

แค่เธอไม่ได้รักก็แค่นั้น

You don’t love me, then it’s game over


ยอมจำใจเอ่ยคำว่าลาก่อน

I cave in, finally saying so long

ใจจำยอมรับว่าเธอนั้นต้องไป

Accept that you have your own way

กับความจริงว่าฉันมันไม่ใช่

With the truth that I’m not the one

แค่ต้องจำเอาไว้ เธอไม่รักกัน

Remind myself, you don’t love me


คิดถึงเท่าไร คิดถึงเท่าไร มันก็ไม่เคยถึง

My thought or my heart never reaches you

ไม่รู้ฉันเป็นคนที่เท่าไรที่เธอจะนึกถึง

How many to count until finding me on your list

ต่อให้สายตาของฉันมันบอกว่ารักเท่าไร

My eyes keep saying that I love you

เธอก็มอง มองกลับมาอย่างคนทั่วไป

But how you see me, I am an average Joe


พยายามคือคำที่ไม่มีความหมาย

Trying my best doesn't mean anything for you

จำได้ไหม ที่จริงเธอไม่เคยขอ

The thing is, no you’ve never asked for

ฉันเพิ่งเข้าใจ เพิ่งเข้าใจคำว่าดีไม่พอ

Now I get it, understand that I won’t be good enough

ทำดีให้ตาย ไม่มีความหมายถ้าไม่ใช่คนที่เขารอ

Die trying means nothing, I’m not what you’re longing for


ถึงฉันไม่ได้ต้องการจะไป

I don’t really wanna leave

แต่ยังไงก็คงจะต้องลา

Yet, this might be my goodbye

เมื่อเธอนั้นให้คำตอบมาทางสายตา

When your answer is in your eyes


ก็คงต้องยอมจำนนกับคนไม่มีใจ

I may need to give in since I’m not your love

ยอมจำลา แม้ว่ารักสักเท่าไหร่

Wanna go, though I really love you so

ไม่จำเป็นว่ารักฉันแค่ไหน

Doesn’t really matter how much I love you

แค่เธอไม่ได้รักก็แค่นั้น

You don’t love me, then it’s game over


ยอมจำใจเอ่ยคำว่าลาก่อน

I cave in, finally saying so long

ใจจำยอมรับว่าเธอนั้นต้องไป

Accept that you have your own way

กับความจริงว่าฉันมันไม่ใช่

With the truth that I’m not the one

แค่ต้องจำเอาไว้ เธอไม่รักกัน

Remind myself, you don’t love me


ยอมจำนน

I’m throwing in the towel

ยอมจำนน

I surrender to you
6
Boy's love story / ทีเซอร์ - teaser อชิระ - เจ้าเพียง
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 21-05-2024 09:50:09  »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
7
Boy's love story / Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๗. Answer_21.05.2024
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 21-05-2024 09:45:01  »


Crime and Love Scene Investigation

๘๗. Answer



“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอกับเจ้าฮ่องเต้หลานชายของฉัน เป็นอะไรกัน” คำพูดของผู้สูงวัยดังก้องอยู่ในหูของจีน ขณะที่เขากำลังเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน “แต่ฉันคิดว่า เธอควรจะต้องเป็นคนรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้” จีนเองนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี อาการจับต้นชนปลายไม่ถูก มันทำให้เขาไม่สามารถคิดอะไรออกได้

จีนเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินที่ตอนนี้เงียบสงบกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก ที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวาย ร้องสั่งการเพื่อช่วยคนเจ็บให้รอดพ้นจากอาการวิกฤต จีนมองไปที่เตียงที่เขาเห็นว่า ทางทีมหมอและพยาบาลดันเตียงรถเข็นที่ฮ่องเต้นอนอยู่เข้าไป พี่พยาบาลร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น พอดีกับที่เธอนั้นกำลังจะรูดผ้าม่านข้างเตียงนั้นไปทางด้านข้าง

“ร้องไห้มาหรือไงจีน ตาบวมหมดแล้ว” ผ้าม่านเมื่อถูกเลื่อนเปิดออก ทำให้จีนมองเห็นเจ้าของน้ำเสียงที่เอ่ยทักขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ยิ่งทำให้จีนที่รับรู้ว่า เขาได้เสียเพื่อนไปตลอดกาลนั้น ทั้งตกใจทั้งดีใจทั้งงุนงงผสมปนเปกันไปหมด แต่สีหน้าของจีนก็ปรับเปลี่ยนไป เห็นเลือดฝาดขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง และแววตานั้นก็ดูสดใสขึ้น แม้จะมีหยาดน้ำใสรื้นขึ้นมาคลอหน่วย

“ฮ่องเต้” จีนเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาด้วยความโล่งใจ โดยที่เห็นฮ่องเต้พยักหน้าเรียกให้เขาเดินเข้าไปหา “ตกใจมากเลยใช่มั้ย” จีนพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่อีกฝ่ายถามมา “ไม่เป็นไรแล้วนะ” ฮ่องเต้บอกกับจีนด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน จีนมองผ้าพันแผลผืนใหญ่ที่อยู่รอบแขนรอบไหล่ของอีกฝ่าย

“พี่ต้องขอโทษเราสองคนด้วยจริง ๆ นะ คือตอนนั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก มันเลยสับสนไปหน่อย” พี่จากทีมกู้ภัยคนนั้น ที่เข้ามาสอบถามรายละเอียดจากจีน ตอนเกิดเรื่องที่ห้างหรู เดินเข้ามาหาจีนและฮ่องเต้ สีหน้าแสดงความรู้สึกผิด ที่ก่อนหน้านี้ บอกกับจีนให้จีนทำใจเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย

“ชื่อดันมาคล้ายกันเนี่ยสิ คนนี้ชื่อฮ่องเต้ ส่วนอีกคนนั้น เรียกเต้เฉย ๆ” พี่เจ้าหน้าที่เองมาถึงตอนนี้ ก็พลอยโล่งอกไปด้วย “สบายใจได้แล้วนะ” พี่เจ้าหน้าที่พูดจบ ก็ขอตัวก่อน ปล่อยให้พยาบาลเข้ามาตรวจดูแผลของฮ่องเต้ สักพักก็เหลือเพียงแค่จีนกับฮ่องเต้ ได้อยู่ด้วยกัน

“โอเคก็ดีแล้ว งั้นเรากลับก่อน” จีนพูดขึ้น เมื่อความเงียบและการมองกันไปมองกันมา ระหว่างเขากับฮ่องเต้นั้น กำลังทำให้ใจเต้นแรงผิดปกติ “ไม่อยู่ดูแลกันหน่อยหรือ ใจร้ายจัง” นอกจากน้ำเสียงจะน้อยใจอย่างที่สุดแล้ว สายตาของฮ่องเต้ก็ออดอ้อนอีกฝ่ายอย่างเต็มที่เช่นกัน

“พยุงหน่อย เราทำอะไรคนเดียวไม่ไหวหรอก” ประโยคนั้นทำให้คุณย่าที่กำลังจะเดินเข้าไปหาหลานชายตัวดี บอกให้ทุกคนที่กำลังเดินตามมา ให้พากันออกไปก่อน “นี่มันหลานฉัน แน่สิ ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับมันทุกอย่างนั่นแหละ พวกแกคิดว่าใครกัน ที่จะเนรมิตความต้องการของมัน ได้ดีเท่าย่าคนนี้ ไหนจะเรื่องหมอ เรื่องพยาบาลพิเศษ ที่ให้ไปดูแลพี่ชายของเจ้าหนุ่มน้อยนั่น” ทุกคนก็พากันโล่งอก ที่คุณย่าไม่ได้มีปัญหาอะไร กับเรื่องหัวใจของหลานชายของตัวเอง

“นั่งตรงนี้ก่อน” จีนพูดขึ้นโดยมีฮ่องเต้เดินเกาะแขนของเขาจนแน่น ฮ่องเต้นั้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่ด้านหน้าแผนกยาของโรงพยาบาล ทำเสียงโอดโอยแบบที่ใคร ๆ ก็รู้ว่า เกินจริงไปมาก “โอ้โห ไอ้หนุ่ม นี่ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาล่ะเนี่ย” เสียงคุณตาที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันถามขึ้น พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“นิดหน่อยน่ะครับ” ฮ่องเต้หัวเราะพลางทำหน้าภูมิใจ “ผมแค่ปกป้องเขาเอาไว้ แค่นั้นเอง” ก่อนจะชี้นิ้วไปที่จีน ว่าตัวเองนั้น ฮ่องเต้เป็นคนปกป้องจีนเอาไว้ “เออ ดี ๆ เอ็งสองคนรักกันก็ดีแล้ว” คุณตาคนดังกล่าวพูดจบ ก็พอดีกับที่พยาบาลเดินพาคุณตาอีกคนมาถึงพอดี

“ไปยุ่งอะไรกับเขา ตาเฒ่า” เสียงพูดนั้นดุแบบไม่จริงจังนัก “ไอ้หนุ่มนี้มันไปฟัดกับหมามา ช่วยเมียมันเอาไว้ได้” จีนพยายามจะอธิบาย แต่คุณตาทั้งสองคนหัวเราะกันเสียงใส ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดเลย ส่วนฮ่องเต้นั้น นั่งยิ้มกริ่มอารมณ์ดีแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“สุขภาพแข็งแรงดีทั้งคู่ แต่คราวหน้า คุณตาต้องมาให้ตรงตามนัดคุณหมอนะคะ ทั้งสองคนนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องเถียงกัน” พยาบาลที่ดูคุ้นเคยสนิทสนมกันดีกับคุณตาทั้งสองพูดสำทับ ก่อนจะเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ฮ่องเต้กับจีนมองไปที่คุณตาทั้งสอง ที่ช่วยกันพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ไปก่อนนะไอ้หนุ่ม หายเร็ว ๆ ล่ะ ส่วนเอ็งอีหนู ดูแลมันให้ดี” เสียงคุณตาสั่งการทั้งฮ่องเต้และจีน “ไปได้แล้ว พี่แดน เดี๋ยวไปทำบุญให้จวงมันต่ออีก” อีกฝ่ายพูดเตือน “แล้วไหนถุงยาของใครบ้าง” ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ก็นี่ของฉัน เขียนชื่อว่าจัน ส่วนอีกอันก็ของพี่ยังไงล่ะ” คุณตาทั้งสองคนเดินจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงฮ่องเต้กับจีน ที่มองตาค้าง กับคำตอบจากเรื่องเล่าของพี่จ๋า ที่ไม่คิดว่า จะได้รับมันในคราวนี้

***********************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch?v=S5umLFbT2tg

ลังเล - พีพี กฤษฎ์


ใกล้ได้แค่ไหนที่ดูยังไม่น่าเกลียด

How close is not too terribly close?

อยู่ไกลแค่ไหน ที่ฉันจะไม่ต้องเสี่ยง

How far is not too awfully risky for me?

ต้องเก็บอาการแค่ไหนให้ดูเป็นแค่เพียง

How much I need to keep it to myself?

คนเพิ่งรู้จักกัน

To say that we’ve just recently met


ต้องห่างกันอีกนิด เดี๋ยวมันจะดูใกล้ไป

Keep us away a bit, cause it may be that close

แต่หากว่าฉันหายก็กลัวว่าเราต้องห่าง

But if I’m away, afraid we will be too distant

จะต้องเข้าไปชิดหรือต้องมีช่องว่าง

Then should we be right next or a gap in between

ที่เว้นไว้ระหว่างเรา

So there’s space to breathe


คิดเก็บไปคิดและบางทีเก็บไปฝัน

Thinking, and thinking and now dreaming

เรื่องเธอกับฉันอีกแล้วไง

About you and me all again


คิดได้แต่คิดแต่ไม่เคยตอบคำถามที่ค้างคาในใจ

Keep thinking but never asking the questions in mind

ไม่ใช่ไม่รู้สึกแต่ฉันก็ไม่รู้

Not that I’m not feeling it, but hey not so sure

ว่าฉันจะรู้สึกได้เท่าไร

How much I should invest in it

คิดวนไปอย่างนี้

Keep circling over and over


อยากหลบตาแต่ก็กลัวจะเสียเวลาได้มองเธอ

Want to avoid but it wastes my time checking you out

อยากเก็บความลับเอาไว้

Can’t let all the secrets out

ก็กลัวเธอจะเผลอตกไปเป็นของใคร

Then the fear of you becoming someone else’s

ถ้าช้าเกินไปกว่านี้

If I act one minute too slow

ไม่อยากให้เธอรู้แต่ถ้าเธอไม่รู้ก็คงจะไม่ดี

Don’t want to spill all the tea, but it isn’t good you have no clue

ต้องบอกกับเธอตอนไหน หรือว่าเป็นตอนนี้

Must I tell you now, or when should that be?

เธอทำให้คนหนึ่งเขาต้องลังเล

You’re causing all my reluctance

ก็ใจฉันกำลังเซเพราะเธอ

And my heart’s swaying because of you



เธอทำให้คนหนึ่งเขาต้องลังเล

You make me all reluctant

ก็ใจฉันกำลังเซเพราะเธอ

Now my heart sways just for you
8
Boy's love story / ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
« กระทู้ล่าสุด โดย sarawit เมื่อ 21-05-2024 03:04:10  »
อีกฝากหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน ชายหนุ่มสามคนกำลังเดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีจุดหมายแน่นอน ระหว่างที่ชวนพูดคุยกันก็เดินจากแผนกสินค้าหนึ่งต่อไปอีกแผนกสินค้าหนึ่ง นานเข้าก็เริ่มรู้สึกหิวจึงชวนกันเดินไปบริเวณร้านอาหาร

“แดกอะไรกันดีวะ” พุทธชาติถามเพื่อนทั้งสองคน

“แล้วแต่พวกมึงดิ กูยังไงก็ได้” วีส์ตอบแล้วมองดูรอบๆแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ

“คือ... มึงกินครบทุกร้านจนเบื่อแล้ว ก็เลยให้พวกกูเป็นคนเลือกเองว่างั้น” พุทธชาติถามกลับ

“มันแทบจะนับร้านที่มันเคยเข้าไปกินได้ไม่เกินนิ้วมือมั้ง” กฤษณะตอบกลับให้แทน

“ไรวะ ของบ้านตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นกูนะ จะเดินทุกวันให้ทั่วทุกซอกเหลือบมุมตึกเลย” พุทธชาติมองดูวีส์ที่ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไร

“บ้านกูทำเรียลเอสเตทไม่ได้บริหารห้างเว้ย แล้วกูก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ห้างนี่ถ้าไม่ได้มีธุระจำเป็นจริงๆก็แทบจะไม่ได้มาเดินเลยด้วยซ้ำ”

“ตอนที่พวกมึงอยู่ประจำกันกูก็พอจะเข้าใจว่าทำไมไม่ค่อยได้กลับ แต่ตอนที่มึงย้ายมาแล้วเนี่ย กูก็ยังงงอยู่ว่าทำไมมึงไม่ค่อยกลับบ้านบ้างวะ” พุทธชาติถาม

“ก็อยู่ที่อพาร์ทเมนต์มันสะดวกดี ใกล้สนามซ้อม เลิกสามสี่ทุ่มเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องได้เลย”

“แถมยังไม่เคยชวนกูขึ้นห้องเลยสักครั้งเดียว” พุทธชาติส่ายหน้าเบาๆกับเรื่องความหลัง “แต่เสียดายว่ะที่มึงไม่แข่งต่อ แต่ก็นะ...กูก็เลยขี้เกียจแข่งไปด้วย” พุทธชาติไม่ใช่บ่นเพราะเสียดายโอกาส แต่เพราะไม่มีเพื่อนชวนกันฝึกซ้อมก็เลยไม่ได้คิดจะลงแข่งขันต่อไปอีก “เออๆ ไอ้คนที่มึงบอกว่ายังเอาชนะไม่ได้ มึงยังได้เจอกันอีกมั้ยวะ กูอยากรู้ว่าผลเป็นไง”

วีส์วางสีหน้าเรียบเฉย เรื่องราวเก่าๆที่ฝังลงไปลึกมากแล้วกลับถูกดึงกลับขึ้นมาบนพื้นผิวอีกครั้ง เขาไม่ได้โกรธอะไรพุทธชาติ เพราะรู้จักกันดีว่าไม่ได้คิดอะไรในแง่ร้าย

“เปล่า ไม่ได้เจอกันแล้ว” วีส์ตอบสั้น

“วะ เสียดายว่ะ เห็นมึงเคยซ้อมเอาจริงเอาจังขนาดนั้น ยังสู้ไม่ได้อีกเหรอวะ”

“ถึงเขาจะยังแข่งอยู่ กูก็คงไม่มีทางชนะอยู่ดี”

“เอาเหอะมึง ไปหาอะไรกันกันดีกว่า” กฤษณะที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้อึมครึมไปมากกว่านี้ และเขาก็เริ่มรู้สึกหิวจริงจังขึ้นมาแล้วด้วย

ทั้งสามหนุ่มเดินเลือกร้านอาหารจนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ คือรอคิวไม่นานหรือมีโต๊ะว่างที่สามารถเข้าไปนั่งไปเลยทันทีก็ยิ่งดี แต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ก็ยากที่จะได้ร้านแบบนั้น จำต้องรอต่อคิวยาวไปเสียหมด นอกเสียจากว่าจะได้เจอคนรู้จักที่มีโต๊ะนั่งอยู่ภายในร้านแล้ว

“มึงๆ ดูในร้าน” พุทธชาติรั้งตัววีส์และกฤษณะไว้ก่อนที่จะเดินผ่านไป

วีส์และกฤษณะมองตามสายตาพุทธชาติเข้าไปด้านในของร้าน ก็เห็นเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสานาน บนโต๊ะมีเพียงแก้วน้ำและจามพร้อมช้อนส้อมวางอยู่ตรงหน้าแต่ละคน

“ไปหาร้านอื่นกินเอาก็ได้” วีส์เสนอพร้อมเตรียมตัวจะออกเดินแล้ว

“ไม่ทันแล้วมึง น้องมึงเห็นแล้ว” กฤษณะแอบกระซิบบอก แล้วก็บุ้ยหน้าไปทางด้านในของร้านอาหารที่วิธูกำลังโบกไม้โบกมือมาให้พวกเขา แล้วก็ลุกเดินออกมาหา

“สวัสดีครับพี่ๆ” วิธูทักทายรุ่นพี่ทุกคน “มาทำอะไรกัน”

“พวกกูกำลังเดินหาร้านอยู่ แต่คนเยอะชิบหาย แน่นไปทุกร้านเลย” พุทธชาติออกปากแทนเพื่อนๆ

“เหรอ... งั้นมากินด้วยกันเลยมั้ย พอมีที่ว่างอยู่” วิธูชี้นิ้วเข้าด้านในของร้านอาหารที่เขาเพิ่งจะเดินออกมา

“มีที่ว่างเหรอ งั้น...” พุทธชาติกำลังจะตอบรับแต่ก็โดนขัดเสียก่อน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกกูไปหาร้านอื่นเอาเอง” วีส์บอกปัดขณะกำลังชำเลืองมองอาการของคนที่นั่งอยู่ด้านในไปด้วย วิธูเองก็หันมองตามกลับเข้าไปข้างในร้าน ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ได้หันมาสนใจอะไรพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ที่บรรยากาศรอบตัวเหมือนแสงมัวๆส่องออกมา

“งั้นก็... ผมกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ” วิธูบอกลาแล้วก็หันกลับไป

“ทำไมวะ โอกาสทองเลยไม่ใช่เหรอวะ” พุทธชาติไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารด้วย

“มันคงกลัวว่าน้องยังโกรธที่มันเผลอไปจูงมือเดินลากข้ามห้องเมื่อวันก่อน รูปเต็มฟีดไปหมด” กฤษณะอธิบายให้ฟัง

“เรื่องแค่นั้นเองเนี่ยอะนะ” พุทธชาติยังคงตามไม่ทัน

“ก็เรื่องแค่นั้นทำเพื่อนมึงไม่สมหวังสักทีไง”

วีส์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขามองเข้าไปข้างในร้านอาหารอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเพื่อนๆไปหาร้านอื่น


*****


เวลายามบ่ายแก่ๆผู้คนภายในห้างสรรพสินค้ายิ่งหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนหวังก็พึ่งอากาศเย็นๆเพื่อคลายความร้อนจากสภาพแวดล้อมด้านนอก และเข้ามาหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ ลานโบว์ลิ่ง ร้านตู้เกมส์

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทั้งสามหนุ่มไม่ได้แวะเข้าไปที่ไหนเลย ได้แต่เดินวนไปเรื่อยๆหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เดินไปด้วยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย

“มึงยังจำไอ้ฟีฟ่าได้มั้ยวะ” พุทธชาติถามเปลี่ยนเรื่องคุย

วีส์ขมวดคิ้วคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ปรากฏภาพใดเข้ามาในความคิดของเขาเลย

“ก็ไอ้น้องที่เคยพยายามมาตีซี้กับมึงไง” กฤษณะก็ช่วยไขความ แต่ก็ไม่ทำให้วีส์นึกอะไรออก

“มึงต้องบอกว่าไอ้น้องที่เคยพยายามตามจีบมัน แต่มันไม่สนใจ”

“ก็นึกไม่ออกอยู่ดี” วีส์ยังไม่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่อยากจะนึกออกด้วยอยู่แล้ว

“ทำไมวะ” กฤษณะหันไปถามคนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา

“กูได้ข่าวว่าตอนนี้มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะ” พุทธชาติเล่าออกอาการ

“แล้วยังไงวะ หรือมึงจะบอกว่า น้องมันได้ตำแหน่งแล้วมันคงคิดจะเอามาใช้เรียกร้องความสนจากมันรึยังไง” กษฤณะถามต่อ

“มึงคร๊าบ เห็นเขาพูดกันว่ามันพูดกลางเวทีเลยว่ามีพี่วีส์ เนื้อนาดี เป็นไอดอลตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน ทั้งเรียนดีกีฬาเด่น น่าชื่นชมม๊ากมาก มีคนจับจิ้นกันเต็มไปหมด”

วีส์ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญอะไรในชีวิตที่จะต้องไปรับรู้ ส่วนกฤษณะก็มองเพื่อนของเขาอย่างสงสัยขึ้น

“เดี๋ยวนะ...” พุทธชาติก็เหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไอ้วันก่อนที่มึงไปจูงมือลากน้องเขาเดินผ่ากลางลานท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ นี่คือมึงจงใจทำเพื่อสยบข่าวลือใช่มั้ย”

วีส์ยังคงตีหน้าตาย เขาไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น

“แต่... ถ้าจะสยบข่าว แล้วมึงจะไปฟาดงวงฟาดงาให้ลบรูปทำไมวะ” กฤษณะถามด้วยความสงสัยไปถึงข้อความที่เพื่อนของเขาลงไว้ในสื่อสังคมออนไลน์

“กูแค่จะบอกให้ลบรูปที่ถ่ายตอนนอนอยู่บนเตียงบริจาค แต่มันดันหายไปทั้งยวงเอง” วีส์ยักไหล่แบบมันช่วยอะไรไม่ได้ มันนอกเหนือไปจากที่เขาต้องการ

“แต่ก็ทำให้คนในด้อมมึงใจฟูขึ้นตาเห็น” พุทธชาติกล่าวสรุปปิดท้าย

“มึงคิดว่าน้องเขาจะทันเห็นมั้ยวะ” กฤษณะนึกสงสัย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าปกติวีร์จะไม่ค่อยเล่นแอพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่

“เดี๋ยงก็ลองถามดูสิวะ โน้น... เดินมาแล้ว” พุทธชาติบุ้ยหน้าส่งสัญญาณให้เพื่อนๆของเขารับรู้ว่ามีกลุ่มเด็กหนุ่มหลายคนกำลังเดินผ่านมาทางพวกเขา

กลุ่มของเด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนานก็กลับเบาเสียงลงเมื่อเห็นว่ามีใครกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถึงจะไม่คุ้นเคยกันแม้ว่าจะเป็นญาติกันอย่างนพชัยและชัยทิศก็ตาม แต่ทุกคนล้วนรับรู้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างวีส์และวิธู เลยมีก็แต่วิธูเท่านั้นที่คุ้นเคยกับกลุ่มชายหนุ่มรุ่นพี่

“อ้าว ยังอยู่กันเหรอครับ นึกว่าจะกลับกันไปแล้ว” วิธูร้องทัก ส่วนวีส์แค่พยักหน้าตอบกลับ

แต่ละคนเหมือนจะร่วมมือร่วมใจเข้ายืนในตำแหน่งที่ทำให้วีร์ไปยืนอยู่ข้างๆวีส์แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่มองเห็นชัดๆว่าเป็นการจงใจ

“ก็อยู่รอถามน้องวีร์นี่แหละ” พุทธชาติเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา อย่างน้อยก็เรียกความสนใจได้จากทั้งสองคน คนน้องมองเขาด้วยความแปลกใจ ส่วนคนพี่สังสายตาดุดันกลับมา “ว่า... น้องวีร์... เป็นน้องแท้ๆอาจารย์ภูมิเลยใช่มั้ย”

คนที่รอลุ้นอยู่ก็หายใจคล่องขึ้นมาในทันที

“ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” วีร์ตอบโดยที่ยังสงสัยอยู่ว่าพุทธชาติจะถามเขาทำไม

“คือไม่ยังไง พี่แค่อยากรู้ว่าปกติอาจารย์ภูมิเป็นคนยังไง ดุมั้ยหรือว่าใจดี แบบเข้มงวดหน่อยหรือว่าสบายๆ”

“ถามทำไมเหรอครับ” วีร์อยากรู้ให้แน่ใจที่จุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนที่จะตอบ

“ก็เอาไว้ตัดสินใจไงว่าจะลงวิชาของอาจารย์ดีมั้ย เคยได้ยินมาว่าตอนอาจารย์เกื้อเป็นคนสอนได้คะแนนยากมาก ก็เผื่อว่าอาจารย์ภูมิจะไม่เคี่ยวเท่า พี่ก็อาจจะวางแผนไปลงเรียน”

“อืม... ถ้าเรื่องสอนผมว่าพี่ภูมิน่าจะง่ายๆสบายๆ แต่เรื่องสอบนี่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาก็ไม่เคยอยู่ในฐานะลูกศิษย์ของภูมิ จึงบอกอะไรไม่ได้มากนัก

“อ๋อ โอเค ไม่เป็นไร” พุทธชาติหัวเราะแหะเพราะว่าตัวเขาแถจนมาสุดทางแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรดี รวมถึงคนอื่นๆด้วยเช่นกันที่ไม่รู้จะต่อเรื่องราวอย่างไรดีและไม่รู้จะเริ่มชวนคุยเรื่องไหนกันดี

ปัง

มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องมาจากที่ไกลๆ เริ่มมีผู้คนขยับตัวบางคนเริ่มวิ่ง บางคนก็ยังยืนชะโงกมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากทิศทางที่แต่ละคนวิ่งหนีออกไปทำให้พอจะคาดการณ์จุดที่เกิดเหตุได้

ปัง

ผู้คนเริ่มแตกตื่นมากขึ้น เสียงร้องดังขึ้นมาเป็นระยะและคนจำนวนมากก็วิ่งผ่านพวกเขาไป สวนทางกับกลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยที่วิ่งไปยังที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังตัว เมื่อเห็นคนต่างพากันวิ่งหนี วีส์จึงบอกให้เพื่อนๆและน้องๆรีบออกไปจากบริเวณนี้

ปัง

กระจกหน้าร้านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพวกเขามากนักแตกกระจาย เสียงกรี๊ดร้องดังตามมาติดๆ ความอลม่านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ วีส์รีบคว้าตัววีร์มากอดไว้เลี่ยงแนววิถีกระสุน แล้วก็พากันวิ่งหลบหนีโดยเอาตัวของเขาบังด้านหลังไว้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเขาไม่รู้ว่าวิ่งหลบไปทางไหนบ้าง

ปัง

เสียงกระสุนดังใกล้กับพวกเขามาก พร้อมกันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งล้มลงนอนห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก น้ำสีแดงเข้มไหลออกมาจากใต้ลำตัวนองไปบนพื้น วีส์รีบดึงตัววีร์ก้มลงมาหลบข้างเสาต้นใหญ่ และคอยลอบมองมือปืนว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

ปัง

เสียงดังอีกครั้งและมีผู้ชายอีกคนล้มลงใกล้ๆปลายเท้า วีส์หันกลับไปมองก็คนชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปที่ผู้ชายที่ล้มลงนอน วีส์จ้องไปที่นัยน์ตาของมือปืนก็เห็นความอาฆาต ความโกรธ และความกลัว มือที่กำลังถือปืนถือมีอาการสั่น นิ้วมือยังคงสอดอยู่ที่ไกปืนอยู่ ปลายกระบอกปืนค่อยๆเลื่อนมาที่พวกเขา

วีส์รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เรื่องร้อยแปดพันประการที่อยากจะทำผุดขึ้นมาในหัวสมอง ใจเริ่มคิดไปต่างๆนานาว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เขากอดเด็กหนุ่มไว้แน่นและพยายามเอาตัวบังไว้ให้มิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้โดนแต่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

นิ้วมือเหนี่ยวไกปืนครั้งที่หนึ่ง ไม่เกิดอะไรขึ้น ครั้งที่สอง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มือปืนเริ่มเหนี่ยวไกปืนถี่ๆจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีกระสุนอีกแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปใกล้เพื่อจะจับตัว แต่มือปืนรีบวิ่งหนีไป และเมื่อเห็นคงจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ก็ตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงระเบียงนำพาเอาร่างของตัวเขาเองร่วงลงไปชั้นล่าง

เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปตรวจดูร่างที่นอนอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่พบสัญญาณชีพแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกันคนออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาดำเนินการ และเริ่มตรวจตรวจบริเวณโดยรอบเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ

“เป็นอะไรมั้ยครับ” มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามวีส์ที่ยังกอดวีร์ไว้แน่น

“ไม่เป็นไรครับ” วีส์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นไม่ต่างไปจากร่างกายของเขา

“แต่เลือดนี่...” เจ้าหน้าที่เข้าตรวจดูใกล้ๆหากเกิดว่ามีบาดแผล

วีร์ได้ยินดังนั้นก็รีบขยับตัวดูก็เห็นว่าที่แขนเสื้อข้างหนึ่งนั้นเปื้อนรอยสีแดงเข้ม

“พี่โดนยิงเหรอ” วีร์จะตรวจดูแผลแต่ก็โดยชายหนุ่มรุ่นพี่คว้ามือเขาไว้เสียก่อน

“พี่ไม่เป็นอะไร นี่เลือดคนตายกระเด็นมาโดน” วีส์รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่ยั้งมือของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน เพราะไม่รู้ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะมีโรคติดต่ออะไรอยู่บ้าง ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้เขาเป็นคนเดียวก็พอแล้ว

“โอเค ถ้าไม่เป็นอะไรทั้งคู่ เดี๋ยวช่วยขยับไปที่จุดปฐมพยาบาลก่อนนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยการคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ตรงนี้จะได้กันเป็นพื้นที่ควบคุมรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการต่อนะครับ”

“ได้ครับ” วีส์ตอบรับแล้วก็ช่วยเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วรวมตัวกับคนอื่นๆ

ตรงจุดบริการที่ตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะมีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่บางคนก็สอบถามข้อมูลเพื่อติดต่อสำหรับการชดเชยภายหลัง เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เหลือก็กันบริเวณโดยรอบตั้งแต่จุดเริ่มเกิดเหตุไปจนถึงบริเวณที่คนร้ายกระโดดจาดระเบียงลงไป รวมถึงพื้นที่รอบศพคนร้ายที่ชั้นล่างด้วย

“ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ยคะ” เจ้าหน้าที่หญิงสอบถามเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึง

“ไม่มีครับ” วีส์เป็นคนตอบคนแรก

เจ้าหน้าที่จึงหันไปหาวีร์ ซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาแค่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกเพราะอ้อมแขนของชายหนุ่มร่างสูงที่กอดเข้าไว้แน่น ไปกดทับแหวนหยกสีแดงที่เขาใส่คล้องคอไว้ หากเปิดเสื้อดูตอนนี้ก็คงจะเห็นเป็นรอยรูปวงกลมอยู่เป็นแน่

“งั้น เดี๋ยวช่วยกรอกข้อมูลให้หน่อยนะคะ ทางห้างของเราจะได้ดำเนินการติดต่อไปในภายหลัง” เจ้าหน้าที่หญิงยื่นแผ่นกระดาษและปากกาให้ทั้งสองคน

“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์บอกปฏิเสธทั้งของตัวเขาและของเด็กหนุ่มด้วย

“ไม่ได้คะ ทางผู้บริหารมีคำสั่งให้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกคนคะ” เจ้าหน้าที่หญิงยังคงยืนยัน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์ยังคงยืนยัน ด้วยฐานะของเขาการชดเชยจากผู้บริหารห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กับการช่วยเหลือจากครอบครัวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ “ผมขอเสื้อมาเปลี่ยนก็พอแล้วครับ”

เจ้าหน้าที่หญิงไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจจากกรณีนี้อย่างไรดี แต่ก็ไปหาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนตามคำขอแล้วเธอก็ไปปรึกษาหัวหน้างานของเธอ

วีร์เห็นว่ามีรอบเลือดเปื้อนไปที่ท่อนแขนตอนที่วีส์ถอดเสื้อออก เขาจึงไปขออุปกรณ์จากเจ้าที่ปฐมพยาบาลเพื่อมาเช็ดเลือดออกให้ แต่เพราะว่าไม่ได้สวมถุงมือ วีส์จึงห้ามไว้และให้เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการแทน แล้ววีส์ก็สวมเสื้อใหม่ที่ได้รับมา


*****


หลังจากที่รอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงและได้ให้ข้อมูลไปครบถ้วนแล้ว วีส์ก็มองหาเพื่อนๆและน้องๆว่าอยู่ที่ไหนกัน จนไปเห็นวิธูที่โบกไม้โบกมืออยู่ด้านนอกบริเวณที่ถูกกันเป็นพื้นที่ควบคุมไว้ วีส์จึงชวนวีร์เดินออกไปหาทุกคน

“พี่เป็นอะไรมั้ย ไอ้อ้วนมึงยังอยู่ดีนะ” วิธูถามทั้งสองคน

“กูไม่เป็นอะไร” วีส์ตอบน้องชายของเขา

“เฮ้อ โล่งอก ก็ตอนแรกเห็นติดอยู่ข้างในนึกว่าจะเป็นอะไรกัน” วิธูรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“ตำรวจเขาขอให้อยู่เพื่อถามข้อมูลเพื่อว่าเป็นจะพยานอะไรได้บ้าง พอไม่มีอะไรแล้วเขาก็ปล่อย” วีร์อธิบายเพิ่มเติมให้เพื่อนเข้าฟัง

“กูน่ะใจหายวาบตอนหันไปเห็นพี่กับมึงนอนอยู่บนพื้น ไอ้เหี้ย กูคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะโทรหาใครก่อนดี” วิธูยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่บ้าง

วีร์นั้นไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเขาถูกชายหนุ่มร่างสูงคล่อมบังไว้แนบกับตัวเสา ได้ยินแต่เสียงดัง แกร๊ก อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งไล่คนร้ายไป

“กูไม่เป็นอะไรแล้ว” วีร์ยืนยันคำตอบกับเพื่อนของเขา

“ดีแล้ว” วิธูหายใจลึกอีกครั้ง “เนี่ยไอ้ปันก็โทรมา เห็นว่าออกข่าวไปทั่วประเทศแล้ว มันรู้ว่าพวกเรามาห้างกันมันก็เลยรีบโทรมาถามว่ามีใครเป็นอะไรมั้ย”

“แล้วมึงตอบไว้ว่ายังไง” วีส์ถามน้องชายของเขา

“จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่มันเพิ่งโทรมาอีกรอบว่าตอนนี้แม่พี่กำลังซิ่งรถกลับมา อีกสักสองชั่วโมงคงจะมาถึง”

วีส์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า ตัวเขาก็พอจะรู้ระดับความเร็วของรถยนต์ที่แม่ของเขาเป็นคนขับ เดินทางไกลข้ามจังหวัดปกติก็รวดเร็วอยู่แล้ว คิดว่ากรณีนี้ก็คงจะยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีก

“แล้วนี่คนอื่นๆไปไหนกันหมด” วีส์ถามแล้วก็มองดูรอบๆ

ส่วนวีร์ก็ถูกกระชากจนตัวหมุนไปตามแรง ศศิทัศน์จับตัววีร์หันซ้ายขวา จับแขนแต่ละข้างขึ้นดู แล้วเอามือลูบตั้งหัวลงไปตลอดลำตัว

“ไอ้ตี๋เล็ก กูไม่เป็นอะไร” วีร์บอกให้เพื่อนได้สบายใจ

“ไอ้เหี้ย กูนึกว่ามึงจะเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าพวกนี้ไม่ดึงกูไว้ กูคงวิ่งไปหามึงแล้วตอนที่มือปืนเล็งปืนมาที่มึง” ศศิทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกอยู่ ซึ่งก็ทำให้วีร์ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถูกบังตัวไว้แบบนั้น แล้วศศิทัศน์ก็โผเข้ากอดวีร์ไว้แน่น

“ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันใช้เส้นสายไปคุยกับเจ้าหน้าที่มา เห็นเขาบอกว่าปืนที่คนร้ายใช้น่ะ ว่าจริงๆแล้วยังเหลือลูกกระสุนคิดติดอยู่ในซองลูกนึง” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกตกใจกลัวกัน

วีร์ไปหาคู่แฝดนพชัยและชัยทิศซึ่งต่างก็พยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง แล้ววีร์ก็หันมองชายหนุ่มรุ่นพี่ คิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ว่าวันนี้พวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้วก็เป็นไปได้

เป็นเพราะตัวเขาเองหรือเปล่า


*****


#VVGo4Launch


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

9
Boy's love story / ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
« กระทู้ล่าสุด โดย sarawit เมื่อ 21-05-2024 03:02:43  »
วิธูพยายามอ่านความคิดของศศิทัศน์ผ่านท่าทาง คำพูด และน้ำเสียง ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคิดตามที่พูดออกมา

“งั้น... มึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่ากูเกิดวันเพ็ญเดือนสอง” วิธูเริ่มเท้าความ

“ใช่ ก็ที่กูเคยบอกมึงไปแล้วไงว่ากูเกิดวันเพ็ญเหมือนกันแต่เดือนเจ็ดไง” ศศิทัศน์มองตอบกลับอย่างไม่เข้าใจวิธูจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่

“อ้าวจริงเหรอ ปันปันก็เกิดวันพระจันทร์เต็มดวงแต่ว่าเดือนสิบเอ็ด งั้นแสดงว่าปันปันก็ยังเป็นน้องเล็กสุดละสิ เย้!” ปัญจวีส์กำมือชึ้นทั้งสองข้างอย่างดีใจ ส่วนวิธูก็ส่งสายตาปรามไปหาเจ้าตัวที่ดีใจไม่รู้จักเวลา

“มึงเก็ตมั้ย พ่อแม่ตั้งชื่อให้กูว่ากระต่ายเพราะว่ากูเกิดวันเพ็ญ เหมือนกับมึงที่อาม่ารียกมึงว่ากระต่าย” วิธูต่อเรื่องราวให้ศศิทัศน์เข้าใจ “ส่วนมัน...”

“ทุกวันนี้คุณยายยังเรียกปันปันว่าลูกกระต่ายอยู่เลย” ปัญจวีส์แย่งวิธูตอบเอง

“หมายความว่ามึงไม่ได้ชื่อปันปันแต่แรก” ศศิทัศน์ถามย้ำ

“ใช่” ปัญจวีส์ยิ้มตอบสั้นๆได้ใจความ

“แล้วทำไมมึงถึงเปลี่ยนไปเป็นปันปันวะ หรือว่ามึงเชื่อตามที่เขาพูดกัน” ศศิทัศน์ถามต่อ

“เปล่า” ปัญจวีส์รีบตอบปฏิเสธทันที แบบเสียงสูงขึ้นมานิดหน่อย “มันก็... ไม่เชิงหรอก มันมีเรื่องอื่นปะปนมาด้วย แต่มันลงตัวพอดี”

ศศิทัศน์ยกตัวขึ้นวางแขนทั้งสองข้างทับซ้อนกันลงบนโต๊ะ แล้วก็จ้องมองปัญจวีส์แบบไม่ต้องส่งเสียงแต่เข้าใจได้ชัดเจนได้ทันทีว่าควรจะอธิบายออกมาให้หมด

“ก็... เวลาคิโนโกะจังเรียกชื่อกระต่ายแล้วเขาออกเสียงไม่ชัด ฟังดูเหมือน กะตาย กะตาย พอบอกให้เขาเข้าใจความหมายเขาก็ตกใจ แล้วก็บอกว่าเขาขอเรียกว่าปันปันแทนได้มั้ย ปันปันเองก็ว่าโอเคดี ก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตามชื่อใหม่ไปเลย”

“คิโนะโกะจัง นี่ใครวะ” ศศิทัศน์ถาม แล้วก็ยกตัวขึ้นนั่งตามปกติ

“แฟนมัน เจอกันตอนมันไปเรียนซัมเมอร์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้มาเรียนอยู่วิท’ลัยนานาชาติที่กรุงเทพฯ” วิธูเป็นคนชิงตอบแทน

“อ๋อ” ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้น ก็กลับมาลงล็อคเหมือนเดิมละสิ คนพี่ชื่อวีมีน้องชื่อกระต่ายมาเป็นเพื่อนสนิทไอ้วีร์ แต่ โอ้...” ศศิทัศน์มองสลับไปมาระหว่างสองพี่น้อง “... แถมรอบนี้มาแบบคูณสองอีกต่างหาก”

“ก็ถ้ามึงเชื่ออะนะ” วิธูยักไหล่ตอบ “แต่ก็นะ พอดีว่าไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขนาดเพื่อนกูบางคนที่ไม่ได้สนิทกันจริง ยังไม่รู้เลยว่ากูมีพี่น้องอีกสองคน เพื่อนมันบางคนก็เหมือนกัน”

“ใช่ ของปันปันก็มีแต่โจ๊กกับโชกุนที่รู้เพราะว่าพวกนั้นก็สนิทกับพี่วีด้วย ส่วนคนอื่นๆก็ไม่ค่อยรู้กันหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าใช้นามสกุลไม่เหมือนกันด้วยมั้ง”

“หึ นี่ถ้าข่าวเรื่องที่พี่เข้าโรง’บาลเมื่อวันก่อนแพร่ออกไปนะ ได้ลือกันกระหึ่มอีกรอบแน่” วิธูทั้งส่ายหน้าทั้งถอนหายใจ

“เดี๋ยวปันปันไปบอกให้คุณยายส่งคุณทนายมาช่วยอีกรอบก็ได้ เรื่องเงียบทันตาเห็น” ปัญจวีส์เสนอทางแก้

“ปล่อยคุณทนายทำไปคดีของเฮียให้เสร็จก่อนดีกว่ามั้ง” เมื่อพาเรื่องราววนไปทิศทางนั้นแล้ว วิธูก็อดที่จะถามศศิทัศน์ต่อไม่ได้ “ว่าแต่เรื่องคดีไปถึงไหนแล้ววะมึง”

ศศิทัศน์ชักสีหน้าและตอบอย่างมีอารมณ์ขึ้นมาในทันที

“กูไม่ได้ใส่ใจจะตาม เท่าที่รู้ทนายฝั่งโน้นก็ช่วยให้รอดคุกได้แล้วแน่ๆ หึ ก็เล่นยอมรับสารภาพซะหมดเปลือกตามแผนตั้งแต่แรกขนาดนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่รอลงอาญา ส่วนคดีแพ่งก็แล้วแต่ทนายเครือล้ำเลิศจัดการให้ ยังไงป๊ากับม้ากูก็ไม่ได้สนใจเรื่องเงิน ได้มาเท่าไหร่ก็จะบริจาคให้โรงพยาบาลทั้งหมดอยู่แล้ว”

“ก็... โอเค” วิธูพยายามจะไม่กวนน้ำให้ขุ่นไปมากกว่านี้และดึงหัวข้อสนทนาวนกลับมาเรื่องเดิม “งั้น สรุปว่าเรื่องพี่กับไอ้อ้วน มึงไม่ติดใจอะไรแล้วใช่มั้ย”

“ไม่” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นกอดอกและพิงหลังไป “แล้วพวกมึงจะให้กูช่วยอะไรมั้ย”

สองพี่น้องรู้สึกแปลกใจ เพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนกะทันหันของศศิทัศน์ และเรื่องที่เขาออกตัวว่าจะช่วยด้วยอีกแรง ทั้งๆที่เคยมีความคิดต่อต้านมาก่อน

“อ่า... ตอนนี้ยังก่อน” วิธูลังเลที่จะตอบเพราะอันที่จริงเขาก็ยังไม่มีแผนอะไรในตอนนี้

“ต่ายบอกว่าช่วงนี้อย่างเพิ่งทำอะไรมาก ไม่งั้นเดี๋ยววีร์จะมีปฏิกิริยาต่อต้านไปคนละทาง” ปัญจวีส์อธิบายเพิ่มเติม

“อืม โอเค มีอะไรให้ช่วยก็บอกละกัน” ศศิทัศน์พยักหน้าให้กับสองพี่น้อง ก็คงจะมีปัญจวีส์ที่ยิ้มหน้าบานตอบกลับ เพราะความรู้สึกบึ้งตึงของศศิทัศน์ที่มีต่อเขามานานหลายเดือน ดูเหมือนจะหมดไปแล้ว


*****


(แนบรูปภาพแอบถ่ายจากด้านนอกร้าน) ต่าย วิดกีฬา หมอต่าย แล้วก็ปันปัน เสดสาด แต่งฟิคเรื่องอะไรดี ช่วยกันคิดหน่อย
รุมมาตุ้มรุมรักคุณหมอสุดคิ้วตี้ ใช้ได้มั้ย

ฐานันดร มุ่งทางธรรม: มีแฟนกันหมดแล้วทั้งสามคนเลยนะนั้น
เรื่องจริงกับเรื่องแต่งไม่เอามาปนกันสิคะ #อย่าขวางทางจิ้น

VNND: ?


*****


ด้านหน้าอาคารอเนกประสงค์ที่ถูกจัดเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสัปดาห์บริจาคโลหิตครั้งที่สามของปีการศึกษา มีป้ายขนาดใหญ่ติดประดับตกแต่งไว้ ทั้งป้ายชื่องาน ป้ายแสดงคุณสมบัติของที่สามารถบริจาคได้ ป้ายแสดงขั้นตอนการบริจาค

รวมไปถึงป้ายที่มีขนาดใหญ่มากกว่าป้ายอื่นๆเพื่อประชาสัมพันธ์คลินิกนิรนาม โดยเฉพาะคิวอาร์โค้ดที่เชื่อมโยงไปถึงเว็บไซต์ของคลินิกนิรนามที่สามารถยกโทรศัพท์ขึ้นมาแสกนได้จากระยะไกลจากป้ายหลายสิบเมตร รวมถึงข้อความขนาดใหญ่แจ้งว่า โปรดอย่าใช้การบริจาคโลหิตเพื่อตรวจโรค คลินิกนิรนามมีบริการฟรี

วีร์และเพื่อนๆที่เคยมาร่วมกิจกรรมในครั้งก่อนหน้านั้นก็เดินทางมาถึงบริเวณจัดงาน แต่ละคนก็ค่อยๆทยอยกันไปกรอกใบสมัครร่วมกิจกรรมในวันนี้ ยกเว้นก็เพียงดวงใจที่ขอนั่งรออยู่ด้านหน้าอาคารก็พอ

วีร์ขอแยกตัวจากเพื่อนร่วมคณะเพื่อไปทักทายกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าที่กำลังศึกษาอยู่คณะแพทยศาสตร์ในฐานะเจ้าถิ่นที่ร่วมจัดงาน และเพื่อนเก่าที่เรียนคณะอื่นๆด้วยเช่นกัน

“ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะมาด้วยนะเนี่ย” “ใช่ๆ งานบุญงานกุศลไม่น่าจะได้เห็นมึงอยู่ด้วยนะเนี่ย”

“อื้อหือ พ่อพระพ่อมหาจำเริญ อย่าให้กูเห็นพวกมึงเหยียบไปที่ร้านพี่กูอีกนะ เดี๋ยวกูบอกให้พี่กูชาร์ตพวกมึงหนักๆ ในฐานะลูกหลานเครือล้ำเลิศ เอาขนหน้าแข้งร่วงซะให้หมด” ข้าวฟ่างสวนกลับนพชัยและชัยทิศ

“เอาเลย พวกกูไม่กลัว” “เพราะพวกกูไม่ไป”

ข้าวฟ่างกำลังจะพุ่งตัวเข้าหาคู่แฝดแต่ก็โดนยั้งตัวไว้เลียก่อน

“วีร์” ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มทักทายคนที่เดินมารวมกลุ่มกับพวกเขา   

“พวกมึงมากันเร็วดีนะ” วีร์ก็ยิ้มกลับและทักทายคนอื่นๆด้วย

“หึ เพื่อนกลุ่มอื่นเขานัดกันไปกินเลี้ยง มีแต่กลุ่มพวกเรานัดกันมาเสียเลือด” ข้าวฟ่างยืนกอดอก สายตายังคงจ้องคู่แฝดไม่ลดละ

“เอาน่ะ เขาเรียกว่าร่วมทำบุญทำกุศล แล้วงานนี้เฮียวีเป็นคนเริ่มทำไว้ เอาเป็นว่ามาช่วยๆกันสานต่องานให้สำเร็จ” วีร์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เพื่อนของเขามีอาการแบบนั้นไปได้ แต่เมื่อเห็นว่าคู่กรณีของข้าวฟ่างคือนพชัยและชัยทิศ เขาก็พอจะเดาเรื่องราวออก

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังไงกูก็ต้องมาอยู่แล้ว” ข้าวฟ่างหันไปพยักหน้าให้กับศศิทัศน์ “แล้วนี่มึงเพิ่งมาถึงเออ พวกกูกำลังรอเรียกคิวเตียงว่างอยู่เนี่ย” ข้าวฟ่างหันมาถามวีร์ต่อ

“ใช่ เพิ่งเลิกเรียน กูเดินมากับพวกเพื่อนที่คณะ” วีร์ชี้นิ้วไปด้านหลังทิศทางที่เพื่อนเขารวมกลุ่มกันอยู่

ข้าวฟ่างก็หันมองตาม ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังกรอกเอกสารกันอยู่ รวมถึงชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเขา ข้าวฟ่างก็สะกิดชายหนุ่มลูกครึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกันให้รู้ตัว

“วีร์ ปันปันเอานี่มาให้กรอก” ปัญจวีส์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับวีร์ แล้วก็โบกมือทักทายศศิทัศน์ รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาเองอย่างนพชัยและชัยทิศด้วย

“อ๋อ ขอบคุณมาก” วีร์รับใบสมัครดู แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาไม่ได้หยิบปากกาติดตัวมาด้วย ในขณะที่กำลังมองซ้ายมองขวาว่าจะทำอย่างไรดีก็มีคนยื่นปากกามากให้... สามแท่ง จากสามคน ปัญจวีส์ ศศิทัศน์ และเดวิด

เนื่องจากว่าพวกเขายื่นปากกามาพร้อมกันแบบนี้ทำให้วีร์เลือกไม่ถูกว่าจะรับปากกาจากใครดี แต่ความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าวีร์ยังไม่มีเวลาได้ทันคิดว่าเขาควรจะรับปากกามาจากใคร ควรจะรักษาน้ำใจของใคร หรือควรจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะว่าตัวเขาถูกลากออกไปจากวงสนทนาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

วีร์มองหน้าเพื่อนๆแต่คนที่กำลังมองดูเขาอยู่ด้วยอาการที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะมองด้วยความแปลกใจ ศศิทัศน์มีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ นพชัยและชัยทิศแสดงความอยากรู้อยากเห็น ปัญจวีส์ยิ้มหน้าบานก่อนที่จะหันมาลาทุกคนแล้วก็เดินตามออกไปด้วย เดวิดก็คิดจะเดินตามไปแต่ถูกข้าวฟ่างรั้งไว้เสียก่อน

วีร์หันมาเห็นคนที่กำลังจับต้นแขนของเขาและออกแรงลากให้เขาเดินตามไป ในสถานการณ์อื่นๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ถูกจับจ้องจากสายตานับร้อยคู่ วีร์พยายามขืนตัวแต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก

“ชมพู่” วีส์ร้องเรียกหญิงสาวที่กำลังทำหน้าที่เป็นแม่งานคอยจัดการงานทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น

“อ้าว มาแล้วเหรอคะ” หญิงสาวอดีตดาวคณะแพทยศาสตร์หันมายิ้มตอบรับ แล้วก็มองเลยไปหาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ “น้องวีร์ มาพอดีเลย”

วีร์ยิ้มทักทายกลับ แต่ภายในใจยังไม่เข้าใจเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือ ปล่อยแขนเขาได้หรือยัง

“น้องวีร์น้องปันปันสนใจบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนมั้ยคะ” หญิงสาวถามเด็กหนุ่มทั้งสองคน

“เอ่อ... ยังไงเหรอครับ” วีร์ถามกลับไป

“การบริจาคโลหิตเฉพาะก็ไม่ต่างจากการบริจาคปกติทั่วไปเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจะใช้เวลานานกว่าประมาณสองถึงสามชั่วโมง เพราะว่ามันมีกระบวนการนำเลือดไปปั่นแยกส่วนผ่านเครื่องแล้วดึงส่วนที่ต้องการออกมา จากนั้นก็ส่งส่วนประกอบอื่นๆที่เหลือกลับเข้าร่างกายผู้บริจาค มันเลยใช้เวลานาน น้องวีร์สนใจมั้ยคะ”

วีร์ยังไม่แน่ใจมากนัก เขาลังเลที่จะตอบตกลงแต่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธ ส่วนปัญจวีส์ก็รอให้วีร์เป็นคนตัดสินใจก่อนแล้วเขาค่อยทำตาม

“คืออย่างนี้ ตามปกติเลือดที่เรารับบริจาคมาแล้วจะต้องเอาไปปั่นแยกส่วนประกอบอยู่แล้ว เม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด แล้วก็พลาสม่า แล้วก็ไปผ่านกระบวกการทำให้ปลอดภัยแล้วค่อยเอามาผสมกันอีกที” หญิงสาวอธิบายเพิ่มเติมเพราะคิดว่าวีร์อาจจะไม่เข้าใจวิธีการจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ เธอจึงพยายามให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

“คนไข้ที่ต้องการเม็ดเลือดแดง เราก็จะรวมเม็ดเลือดแดงจากของผู้บริจาคหลายคนรวมกันให้พอแล้วส่งต่อไปให้ผู้ป่วย คนใช้ที่ผ่าตัดก็อาจจะต้องให้เกร็ดเลือดมากสักหน่อย เกร็ดเลือดที่รับมาจากผู้บริจาคโลหิตแบบรวมส่วนคนเดียวจะไม่พอ ก็เลยต้องเอาจากหลายๆคนรวมกัน ฉะนั้นถ้าได้รับเกร็ดเลือดจากคนเดียวกัน ความเสี่ยงที่จะมีอาการต่อต้านไม่พึงประสงค์ก็จะน้อยลงไปด้วย”

วีร์ยังคงลังเลอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากลองบริจาคโลหิตเฉพาะส่วนแต่เพราะว่าต้องใช้เวลานาน ถึงแม้ว่าช่วงบ่ายหลังจากนี้เขาจะไม่มีเรียนแต่ก็ได้นัดไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆไว้แล้ว วีร์หันไปหาปัญจวีส์เพื่อจะถามความเห็น

“อ้าว นุ้ย มากันเออ” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาระหว่างที่วีร์กำลังจะตัดสินใจ

“อ้าว พี่ภูมิ บริจาคเสร็จแล้วเออ” วีร์ทักทายกลับ เขามองดูชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่เพิ่งจาะเดินออกมาจากพื้นที่ด้านใจและมีสำลีปิดตรงที่ข้อพับแขน

“ใช่ เขาส่งหนังสือเวียนเชิญไปทุกคณะ พอดีว่าว่างอยู่ก็เลยมา” ภูมิยกแขนให้วีร์ได้เห็นชัดๆ “แล้วนี่...” ภูมิมองดูหลานชายของเขา แล้วก็ย้ายสายตาไปหานักศึกษาในที่ปรึกษาของเขา ก่อนที่จะส่ายตาลงมองต้นของเด็กหนุ่มแล้วก็กลับไปมองชายหนุ่มคนเดิม

เหมือนว่าวีส์เพิ่งรู้ตัวว่ายังจับแขนของเด็กหนุ่มนับตั้งแต่ที่เขาลากตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนจนถึงตอนนี้ ปัญจวีส์แสร้งทำเป็นกระแอมเสียงไม่ดังมากนัก เอาแค่พอให้ได้ยิน วีส์จึงปล่อยมือออกแต่โดยดี โดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวอะไรเพิ่มเติม

“นุ้ยกำลังคุยกับพี่เขาอยู่ พี่เขาชวนบริจาคเฉพาะส่วน” วีร์อธิบายให้ภูมิฟัง แม้ว่าจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่ภูมิตั้งใจจจะถามก็ตาม

“อ๋อ เอาสิ มันไม่อันตราย แค่ใช้เวลานานกว่าสักฮิดเท่านั้นเอง”

“ใช่คะ มันไม่มีอันตราย ปลอดภัยทุกขั้นตอนและได้ช่วยคนป่วยด้วยค่ะ” หญิงสาวย้ำคำอีกครั้ง “แล้วก็วันนี้คนลงทะเบียนบริจาคเฉพาะส่วนมีไม่มาก มีเตียงว่างอยู่หลายเตียงเลยค่ะ”

“เอ่อ... งั้นก็ได้ครับ” ในที่สุดวีร์ก็ตอบตกลงเมื่อได้รับคำยืนยันจากหลายคน

“งั้น เดี๋ยวน้องวีร์น้องปันปันไปกรอกใบสมัครให้เรียบร้อย แล้วเอามาให้พี่นะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย” ไม่ต้องมีใครบอกก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะต้องเข้าไปพร้อมกันกับใคร “อาจารย์คะ เดี๋ยวอาจารย์ไปรับของว่างแล้วนั่งพักสักสิบห้านาทีก่อนนะคะ”

ภูมิพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไปยังจุดที่แจกอาหารว่างให้แก่ผู้ที่บริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ส่วนวีร์ก็แอบชำเลืองมองชายหนุ่มร่างสูงก่อนที่จะเดินตามภูมิไป

“อันนี้ไปตามน้องเขามาดีๆ หรือว่าไปบังคับมากันแน่” หญิงสาวเอียงไปกระซิบล้อเล่นถามเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาหลายปี

“ก็ไปตามมาให้แล้วไง เห็นบอกว่าอยากเจอไม่ใช่รึ” วีส์ย้อนกลับหญิงสาว

“จ้า... แล้วนี่จะเข้าไปเลยมั้ย หรือว่าจะรอ” หญิงสาวถามต่อ แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองตอบกลับมาก็รู้คำตอบได้ในทันที “โอเค... แล้วน้องปันปันกรอกใบสมัครเสร็จรึยังคะ”

“ของผมเสร็จแล้วครับ” ปัญจวีส์ยกแผ่นกระดาษขึ้นมาให้หญิงสาวเห็น

“งั้นเดี๋ยวไปซักประวัติแล้วเจาะตัวอย่างเลือดเลยนะคะ เดี๋ยวจะได้เข้าไปพร้อมกันเลย”

แล้วหญิงสาวเดินนำพาปัญจวีส์ออกไป แต่ไม่ลืมหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับวีส์ วีส์ส่ายหน้ากรอกตามองบน แล้วก็หันไปดูเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งกรอกรายละเอียดในใบสมัครอยู่ข้างชายหนุ่มร่างสูงผิวเข้มที่กำลังมองกลับมาหาเขาอยู่ วีส์รีบหันไปมองทางอื่นแต่ก็แอบชำเลืองดูอยู่เรื่อยๆ


*****


(แนบรูป) มาช้ามีอดนะบอกไว้ก่อน ยิ่งช่วงนี้นานๆจะได้เห็นเขาอยู่ด้วยกันสักที #VVGo4Launch #GiveBloodGiveLifeครั้งที่3 #ชมพู่น่ารักมาก
ทำไม ทำม๊าย จะต้องเป็นวันที่ฉันไม่ได้ไปมหาลัยด้วย ฮือๆ
เห็นเขาเดินจูงมือกันผ่ากลางฮอลล์แบบโนสนโนแคร์ใดๆ เราก็ชื่นใจเป็นที่ซู้ดดดด

Apollo20: (แนบรูปเตียงผู้บริจาคโลหิตเฉพาะส่วนสองเตียงติดกัน)
VNND: จะลบรูปเองดีๆ หรือจะลบทั้งน้ำตา


*****


บรรยากาศสวนหลังบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็คึกคักตามปกติ ผู้คนมากหน้าหลายตามาจับจ่ายใช้สอย หรือมาหาความบันเทิงตามที่ตนต้องการ วีร์และเหล่าพองเพื่อนก็เช่นกัน

วันนี้เป็นวันรวมตัวของเพื่อนโรงเรียนเก่าที่เริ่มจะมีเวลาอยู่ด้วยพร้อมหน้าน้อยลงเรื่อยๆตามภาระและหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบ ถือฤกษ์งามยามดีที่ทุกคนว่างพร้อมกัน จังได้นัดมาพบปะสังสรรค์กันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

“อยู่กันครบทุกคนแบบนี้ เห็นแล้วอยากทำปิ้งย่างแล้วนั่งกินรอบกองไฟจังเลย” “ช่าย รอบที่แล้วงานล่มไม่เป็นท่า รอบหน้าต้องทำสำเร็จให้ได้”

“พวกมึงจะบอกว่าเป็นความผิดของกู” วีร์เอียงหน้ามองนพชัยและชัยทิศด้วยหางตา

“ไม่ใช่เลยเพื่อนวีร์ พวกกูไม่เคยโทษมึงเลย” “ใช่ๆ ความผิดทั้งหมดเป็นของพวกกูเอง มึงไม่เกี่ยวเลย”

วีร์พยักหน้าแล้วก็หันไปมองทางอื่นๆ นพชัยและชัยทิศก็ถอนหายใจโล่งออกมาพร้อมกัน

“แล้วนี่รออะไรอยู่วะ” พระยศถามแล้วก้หันมองรอคำตอบจากเพื่อนๆ

“ก็รอไอ้ต่ายไง มันเพิ่งไลน์มาว่าอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว กำลังออกมา” วีร์ตอบ

“มันไปไหนมาวะ” สุรศักดิ์ที่ยุ่งอยู่กับที่ร้านอาหารอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ขอหยุดงานเป็นกรณีพิเศษเพื่อมาเจอกับเพื่อนๆ

“ไปซ้อมเทนนิส เห็นว่าเดือนหน้ามีแข่งสองรายการ”

“อ๋อ” สุรศักดิ์พยักหน้ารับ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ในเมื่อลูกหลานเครือล้ำเลิศที่เป็นเพื่อนพวกเขามาอยู่กันที่นี่สองคนแล้ว ดังนั้น... “แล้วไอ้ปันเพื่อนมึง บ้านมันก็อยู่แถวนี้ จะโทรตามมันมาด้วยมั้ยวะ”

“มันไม่อยู่ มันไปกรุงเทพฯกับแม่มัน” คนที่ตอบนั้นไม่ใช่วีร์แต่ว่าเป็นศศิทัศน์ ทุกคนจึงหันมามองเป็นตามเดียว ต่างพากันสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่ถูกชะตากันถึงได้รู้เรื่องกันได้ “ไอ้ต่ายบอกกูมา”

“งั้นก็ ไปหาร้านกันเลยมั้ยละ กว่าไอ้ต่ายมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนานอีก” สุรศักดิ์เสนอความเห็น ซึ่งคนอื่นๆก็เห็นตามด้วย จึงชวนกันออกเดินไปหาร้านอาหารที่ต้องการ


*****
10
Boy's love story / ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
« กระทู้ล่าสุด โดย sarawit เมื่อ 21-05-2024 03:01:35  »
ตอนที่ 10 ปัง ปัง ปัง


เช้าวันนี้อากาศก็ยังคงร้อนไม่ต่างไปจากวันก่อนหน้า และจะยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้ฤดูแล้งที่มาถึงในอีกไม่ช้า แต่ก็ไม่อาจจะเป็นเหตุผลให้ใครลาหยุดงานได้ คู่สามีภรรยาต่างกุลีกุจอยกข้าวของเครื่องใช้ของเด็กน้อยใส่เข้าไปในรถยนต์ เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กของบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่

วีร์กำลังช่วยเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้นักเรียนตามที่เจ้าตัวยืนยันจะให้เรียกเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเล็กอีกต่อไป แถมยังมน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนด้วยต่างหาก และเมื่อโตแล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือเหมือนกับพ่อและแม่ที่ต้องไปทำงานทุกวัน วีร์จึงต้องเล่นตามน้ำช่วยเด็กโตเตรียมพร้อมเดินทางไปโรงเรียน

เมื่อเด็กทั้งสองคนประจำที่นั่งเด็กเล็กในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ธีร์และวนกรก็ได้เวลาออกเดินทางไปทำงานเสียที คงเหลือแต่วีร์ที่ไม่ต้องรีบออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนคนอื่นๆ ยังมีเวลาเหลืออีกสักหนึ่งชั่วโมงพอจะให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

ต้าวและเติบ สุนัขพันธุ์ขนสั้นตัวใหญ่ทั้งสองตัวออกวิ่งเล่นรอบบ้านหลังจากที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อธีร์และวนกรเดินทางออกไปแล้ว ไม่นานนักมันก็มานั่งรอที่หน้าประตูบ้านเมื่อเห็นวีร์กำลังปิดประตูเตรียมออกเดินทางเช่นกัน โดยหวังว่าจะได้รับขนมไข่ของโปรดอีกสักชิ้นสองชิ้นสำหรับเช้าวันนี้

แต่ทว่าสัตว์หน้าขนทั้งสองตัวกลับเปลี่ยนใจในตอนที่วีร์กำลังล็อกประตูบ้าน เมื่อพวกมันได้ยินเสียงรถยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ต้าวและเติบวิ่งไปเกาะที่ประตูรั้วพร้อมกับส่งเสียงเห่าและกระดิกหางไปด้วย ราวกับจะบอกว่ามาทำไมและทำไมเพิ่งจะมาไปพร้อมๆกัน

วีร์เดินตามมาดูด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นรถยนต์สีดำคันเดิมแล้วความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าใยยามเช้าก็หายไปในพริบตา วีร์พยายามเดินผ่านประตูรั้วออกมาโดยระวังไม่ให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดออกมาด้วย ตอนที่หันตัวกลับก็เจอกับชายหนุ่มร่างสูงยืนรออยู่แล้ว

“จะไปเรียนใช่มั้ย ขึ้นรถ เดี๋ยวกูพาไปส่ง” วีส์ยิ้มทักทายตามปกติ ผิดกับอีกคนที่มองดูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แถมยังยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับตัวไปไหน “ขึ้นรถเถอะน่า ไหนๆกูก็ขับมาถึงบ้านมึงแล้ว อีกอย่างกูมีเรื่องจะคุยด้วย”

วีร์พิจารณาลักษณะท่าทางของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะสลบหมดสติไปไม่กี่วันก่อนเลย การพูดจาเป็นปกติ การเดินการทรงตัวก็เป็นปกติดี ดูจะไม่มีอาการอะไรเลยแต่ก็ไม่ได้น่าไว้วางใจได้สักเท่าไหร่ อย่างหลังนี่ไม่ได้หมายถึงอาการป่วยแต่หมายถึงจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้

“ขึ้นรถ” วีส์บอกย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังไม่ยอมขยับตัว ทั้งๆที่เขาเดินไปเปิดตูเตรียมก้าวขาเข้าไปข้างในอยู่แล้ว

ถึงจะลังเลแต่วีร์ก็เดินอ้อมไปขึ้นรถแต่โดยดี กระนั้นก็ยังคอยสังเกตว่าชายหนุ่มร่างสูงอยู่เรื่อยๆ หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆก็จะได้คิดแก้ไขได้ทันท่วงที

“กูขอโทษนะที่ทำมึงตกใจเมื่อวันก่อน” วีส์เริ่มเปิดบนสนทนาเมื่อเขาขับออกจากปากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนใหญ่แล้ว “ตอนแรกกูก็ว่าจะเลื่อนนัดเพราะว่ามีงานด่วนเพิ่มขึ้นมาต้องรีบทำให้เสร็จ แต่มึงก็อุตส่าห์นัดวันมาแล้วกูก็รับปากไปแล้วด้วย ก็เลย...” วีส์มองกระจกข้างก่อนที่จะตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถยนต์ออกเลนขวาแซงรถยนต์คันข้างหน้าไป

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ก็นึกอยู่ในใจว่าถ้าขอเลื่อนมาตั้งแต่แรกเขาก็ไม่มีปัญหาเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ถึงขั้นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สักหน่อย

“แต่ครั้งหน้าอาจจะต้องรอไปอีกสักนิดนึงนะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาทิตย์นี้” วีส์กล่าวเสริม

“อันที่จริง...” วีร์กำลังจะร้องค้านแต่ก็โดนตัดคำพูดเสียก่อน

“เอาน่ะ จริงๆมึงก็พอจะจับจังหวะเข้าเกียร์ได้แล้ว เหลือแค่ลองฝึกออกตัวรถตอนที่หยุดอยู่บนทางลาดเท่านั้นเอง ไม่ให้เครื่องยนต์ดับไม่ให้รถไหลลง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” วีส์ยังคงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องเกรงใจที่เขาเบียดบังเวลามาช่วยสอนขับรถยนต์ให้

“คือว่า...”

“เดี๋ยวกูดูวันว่างอีกที ยังไงช่วงนี้กูก็ไม่ต้องไปซ้อมเทนนิสแล้ว แล้วก็นะ... มึงไม่ต้องเป็นห่วง คราวหน้ากูจะนอนพักไปให้เต็มที่จะได้ไม่ต้องไปหาววอดๆให้มึงดูอีก”

วีส์บรรยายเสร็จสรรพจนวีร์หาช่องจะพูดแทรกไม่ได้เลย จากเดิมที่คิดจะล้มเลิกการฝึกขับรถยนต์ระเกียร์ธรรมดา แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาปฏิเสธได้อีก

“แล้ว... ทำไมถึงไม่ได้ไปซ้อมเทนนิสแล้วละครับ” วีร์เปลี่ยนไปใจถามเรื่องอื่นแทน

“กูลาออกจากทีมแล้ว” วีร์หันมามองเขาด้วยความแปลกใจ วีส์จึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “เดิมทีโค้ชก็เก็บกูไว้เป็นแค่ยันต์กันหมาอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ในทีมมีทั้งไอ้เพชรแล้วก็มีไอ้ต่ายมาเสริมอีก ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อกูไปขู่ใครแล้วมั้ง”

วีร์ยังคงมองคนขับรถอยู่อย่างเดิม แต่ตอนนี้กลับมามองด้วยสายตากวาดขึ้นกวาดลงดูคนที่เคยแข่งแพ้เขามาก่อน แต่ยังกล้ามาโอ้อวดตังเองให้เขาฟัง

“ทำไม มองกูแบบนี้หมายความว่ายังไง” วีส์หันมองสลับไปมาระหว่างถนนข้างหน้ากับผู้โดยสารที่มาด้วยกัน “กูได้แชมป์เยาวชนแห่งชาติสองสมัยติด ได้แชมป์ชาเลนเจอร์มาสี่รายการ แล้วก็เกือบจะได้ไปแข่งเอทีพีทัวร์แล้วด้วย”

“แล้วทำไมไม่ไปละครับ”

“หมดอารมณ์ที่จะไปแข่ง” วีส์ยักไหล่ตอบ “กูไม่ได้อยากไปแข่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่เบื่อจะได้ยินว่ามันทำอย่างโน้นได้มันทำอย่างนี้ได้ แล้วยังไง... กูก็ทำได้เหมือนกัน” วีส์เน้นย้ำประโยคสุดท้าย

วีร์เบนหน้าไปมองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไป เขาก็พอจะเข้าใจเหตุผล ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนถูกเอาไปเปรียบเทียบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกเปรียบให้ดูด้อยค่ากว่า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูค่อยนักวันอีกที” วีส์ชำเลืองมองอยู่หลายครั้งก่อนตัดสินใจพูด เขาก็ไม่ได้วางแผนนำหัวข้อสนทนามาในทิศทางนี้ มันแค่หลุดปากออกไปเอง

“ก็ได้ครับ คุณว่างเมื่อไหร่ก็บอกมาก็แล้วกัน”

วีส์รู้สึกหายใจโล่งขึ้นเมื่อวีร์ยังตอบตกลงกลับมา เขานึกว่าตัวเองก็ทำโอกาสหลุดมือไปเสียแล้ว

“เออ ชมพู่ฝากมาบอกว่าอย่าลืมงานสัปดาห์บริจาคเลือดอาทิตย์หน้าด้วย”

“อ๋อ ได้ครับ” วีร์ตอบกลับสั้นๆ เพราะตัวเขาเองก็ตั้งใจจะไปร่วมกิจกรรมอยู่แล้ว เพราะก็ได้รับปากคำเชิญชวนของสองเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์อยู่ก่อนแล้วด้วย

เมื่อได้คุยธุระที่คิดไว้จนหมดแล้ว วีส์ก็ไม่รู้ว่าจะชวนเด็กหนุ่มคุยอะไรต่ออีก เขาจึงมุ่งขับรถยนต์ไปยังจุดหมายปรายทางเพียงอย่างเดียว จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนคอยแอบมองแอบเรียนรู้การขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาอยู่ จนกระทั้งรถเลี้ยวผ่านประตูมหาวิทยาลัย

“เอ่อ เดี๋ยวช่วยไปส่งผมที่ด้านหลังตึกคณะให้หน่อยได้มั้ยครับ” วีร์รีบบอกทันทีเมื่อรถยนต์เข้ามาในเขตของมหาวิทยาลัยแล้ว

“ได้สิ แต่ลงข้างหน้ามันสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ” ถึงจะตอบตกลงแต่วีส์ก็ถามต่อด้วยความสงสัย

วีร์ไม่ได้อยากจะตอบว่าถ้าหากให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ไปส่งที่ด้านหน้าตึกคณะ ใครต่อใครก็จะเห็นกันหมดว่าเขามากับใคร และคงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกหลายวัน และถึงแม้ว่าที่จอดด้านหลังตึกคณะจะไม่ใช่ที่เปลี่ยวลับสายตาคน แต่ก็มีน้อยคนที่จะเดินผ่านไปทางนั้น

“เอ่อ ถ้าเข้าด้านหลัง มันใกล้กับลิฟต์ขึ้นตึกพอดีครับ” ถึงแม้ว่าที่วีร์ตอบออกไปจะไม่ใช่เหตุผลหลักแต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย ทำให้ดูน่าเชื่อถือได้ไม่ยาก

“อ๋อ โอเค” วีส์ไม่ได้เอะใจอะไร ยอมทำตามแต่โดยดี เขาเบี่ยงออกจากเส้นทางหลักภายในมหาวิทยาลัยแล้ววนอ้อมไปเส้นทางรองเพื่อไปยังที่จอดรถด้านหลังตึกคณะเศรษฐศาสตร์


*****


วีร์ยืนดูจนรถยนต์คันสีดำขับพ้นไปจากสายตาแล้ว จึงหันตัวกลับเดินเข้าไปที่ตึกคณะแต่ก็ชะงักไปเสียก่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงขาวหน้าตี๋กำลังยืนกอดอกจ้องมองเขาอยู่ สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย วีร์จึงเดินเข้าไปทักทายใกล้ๆ

“มึงมาทำอะไรแถวนี้วะไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ถามเมื่อเดินไปถึง

“กูจะไปเรียนที่ตึกบัญชีแต่ที่จอดรถมันเต็ม เลยนึกขึ้นได้ว่าที่คณะมึงน่าจะมีที่ว่างอยู่ตลอด ก็เลยเอารถมาจอดนี่แล้วค่อยเดินไป” ศศิทัศน์ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีความขุ่นเคืองอะไร “แล้วมีงอะ... มาไงวะ”

วีร์ยู่หน้าเล็กน้อยคิด ถึงจะเป็นคำถามทั่วไป แต่ความหมายมันค่อนข้างชัดเจนว่า เห็นนะว่ามากับใคร จะยอมรับดีๆหรือว่าจะให้ต้องคาดคั้น

“กูเจอพี่เขาพอดี พี่เขาก็เลยอาสามาส่งแล้วก็ฝากส่งข่าวจากพี่ชมพู่เรื่องสัปดาห์บริจาคโลหิตอาทิตย์หน้ามาด้วย” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง แค่ไม่ทั้งหมดเท่านั้นเอง

“อ๋อ มึงจะไปใช่มั้ย” ศศิทัศน์รู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่แน่ชัดนัก จึงไม่ได้สืบสาวต่อ

“ไปสิ ก็รับปากมึงไปแล้วด้วยไง”

“แหงละ โครงการนี้เฮียเป็นคนต้นคิดแล้วก็ทำจนเป็นรูปเป็นร่างขนาดนี้ มึงห้ามลืมโดยเด็ดขาด” ศศิทัศน์พูดจาหนักแน่น

“กูรู้หรอกน่า กูไม่ลืมหรอก”

“จะไปรู้เหรอ อะไรๆมันก็แน่ไม่นอน ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ศศิทัศน์พูดเหมือนบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็อยากจะให้ดังไปกระทบหูของคนฟังด้วยเช่นกัน

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์อมยิ้มเล็กๆ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาไปทำอะไรมาถึงได้มาแสดงอาการงอนแบบเด็กๆกับเขาแบบนี้

“เปล่า” ตอบเสียงสูงที่ไม่ได้หมายความตามที่พูด

“ถามจริง พี่ฝ้ายชินกับอาการนี้ของมึงแล้วยัง” วีร์ทำสีหน้าล้อเลียนส่งยั่วโมโหกลับไป ซึ่งก็พอจะได้ผลอยู่บ้าง

“ก็กูเรียนหนัก พี่เขาก็ต้องทำงาน กว่าจะได้เจอได้คุยกันมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา นานๆจะได้อยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองสักที มันก็...”

ศศิทัศน์ยั้งคำพูดของตัวเขาเองไว้เมื่อเห็นว่าวีร์กำลังจ้องเขาแบบไม่วางตา

“เอ่อ.. คือ.. กู..”

“กูก็ยังไม่ว่าอะไรนิ” วีร์ยักไหล่ตอบยืนยันว่าเขาหมายความว่าเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็พูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง “มึงก็โตขนาดนี้แล้วแถมยังอุตส่าห์เรียนหมออีก ก็ควรจะรู้ใช่มั้ยว่าควรจะต้องป้องกันอะไรบ้าง ไอ้ตี๋เล็ก”

“กูรู้หรอกน่า ก็เห็นไอ้ต่ายมันเคยเล่าให้ฟัง... แบบว่ามึงว่าเรื่องของมันกับแพร...” ศศิทัศน์รีบตอบกลับเหมือนไม่พอใจที่ถูกจับได้ไล่ทันแต่ก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นภายหลัง

“แล้วนี่เป็นอะไรอีก ต้องให้โดนด่าก่อนแล้วมึงถึงจะยิ้มออกรึไง” วีร์ยิ้มตามเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่ “หรือว่ามีอาการทางจิต เรียนหมอนี่เขามีตรวจจิตเวชอยู่แล้วใช่มั้ย”

“กูปกติดี” ศศิทัศน์ตอบกลับ “ก็แค่พอเฮียไม่อยู่ ก็ไม่มีใครบ่นใส่หูให้ฟังเหมือนเมื่อก่อน”

วีร์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมของศศิทัศน์

“เดี๋ยวกูจะบ่นให้มึงฟังจนหูชาไปเลย ไอ้ตี๋เล็ก แล้วกูก็จะบอกพี่ฝ้ายช่วยด้วยอีกคน”

“มึง... จะไม่ลืมเฮียใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามแล้วก็ลุ้นรอฟังคำตอบ ถึงจะคาดเดาได้แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

“กูไม่ลืมหรอกน่า” วีร์ให้คำมั่น แม้ว่าระยะเวลาที่เขาได้รู้จักกับวีรมาตุจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี แต่ความประทับใจที่มีก็ยังคงตรึงอยู่ในหัวใจ

“กูกลัวว่าถ้ามึงไปมีแฟนคนใหม่ แล้วมึงจะลืมเฮีย” ความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจของศศิทัศน์ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาเสียที

“มึงคิดมากแล้ว ไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ก็พอจะเข้าใจความคิดของศศิทัศน์ คนที่เคยพยายามทุกวิถีทางเพื่อจับคู่ให้กับเขาและพี่ชายของตัวเองให้จงได้ “มึงไปได้แล้วไป เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”

“เออ แล้วก็อย่าลืมวันเชงเม้งสิ้นเดือนนี้นะมึง”

“มึงก็อย่าลืมมารับกูไปด้วยก็แล้วกัน”

“แล้วก็...” ศศิทัศน์เม้มปากเหมือนคนลังเลที่จะพูด แต่อันที่จริงคือไม่อยากจะฉีกปากยิ้มกว้าง “กูดีใจนะที่มึงยังเรียกกูเหมือนเฮียว่าไอ้ตี๋เล็ก”

สองเพื่อนสนิทต่างก็ยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ แล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง


*****


ช่วงยามบ่ายที่อากาศร้อนจัดจนแทบจะทนไม่ไหว การนั่งเล่นพูดคุยกันใต้ร่มไม้ในตอนนี้กลับไม่สุนทรีย์เหมือนเมื่อก่อน ต้องเปลี่ยนถิ่นฐานไปนั่งอยู่ภายในร้านคาเฟ่ขนมที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นๆด้วยเท่านั้นถึงจะเอาอยู่

ชายหนุ่มร่างสูงไม่แพ้กันสองคนกำลังนั่งสนทนาอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน คนที่ไม่รู้จักหรือแค่พอจะคุ้นเคยกันก็คงจะเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทมานั่งสังสรรค์กัน แต่คนที่สนิทสนมเป็นอย่างด๊ก็คงจะรู้ว่าเป็นการพูดคุยของคนในครอบครัว

“เห็นพ่อถามถึงอยู่เหมือนกันว่าว่างมั้ย” ปัญจวีส์ตอบกลับในขณะที่นั่งคนแก้วกาแฟของเขาไปด้วย

“ยังไงก็วันหยุดยาวอยู่แล้วไม่ใช่เออ เจ้าสัวน่าจะว่างมั้ง” วิธูนั่งพิงหลังไปที่พนักเก้าอี้ ในมือถือแก้วน้ำที่มีหลอดขนาดใหญ่เสียบอยู่

“ไม่แน่ ช่วงนี้ก็เห็นยุ่งๆอยู่ แล้วยังต้องเตรียมตัวไปจีนตอนปิดเทอมนี้อีก” ปัญจวีส์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

“ไปทำไมวะ” วิธูถามด้วยความสงสัย เขานึกว่าทุนที่พี่ชายของเขาได้รับคือให้ไปเรียนต่อหลังจากสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ก่อนเสียอีก

“ก็อารมณ์ประมาณไปฝึกงานมั้ง เห็นว่าเขาให้ไปเรียนรู้คร่าวๆว่าต้องทำอะไรบ้างก่อน แล้วเวลาอีกหนึ่งปีที่เหลือจะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรเพิ่มเติมอีก”

“นี่เขาให้ไปเรียน หรือว่าให้ไปทำงานกันแน่วะ” วิธูขมวดคิ้วสงสัย เขารู้สึกตัวเองโชคดีที่สมองทางวิชาการไม่โลดแล่นเหมือนพี่ชายทั้งสองคนของเขา เลยไม่ต้องมีชีวิตยุ่งวุ่นวายอะไรแบบนั้น

“ปันปันว่าจริงๆเขาก็คงอยากจะหาคนไปทำงานกับเขาด้วยนั่นแหละ ถึงขนาดส่งทีมมาคัดคนจากทั่วภูมิภาคแบบนี้ แล้วได้ตัวตึงไปแบบเน้นๆอีกต่างหาก ต้องมีเลือกคนเข้าไปทำงานต่อด้วยอยู่แล้ว”

“แล้วถ้าเจ้าสัวได้งานที่จีนจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าไอ้อ้วนจะเอายังไง”

“อืม... นั่นสินะ แค่ไปเรียนก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว ถ้าถูกเลือกให้ทำงานอีก จะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันแค่ไหนเชียว” ปัญจวีส์แอบบ่นเสียดาย

“จริงๆก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าไอ้อ้วนอยากจะไปมั้ย” วิธูเขี่ยน้ำเข็งใส่ปากแล้วก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ “แต่ปัญหาใหญ่กว่าในตอนนี้คือ ไอ้อ้วนจะเปิดใจรับเจ้าสัวมั้ยก่อนรึเปล่าเหอะ”

“อ้าว ก็ไหนต่ายเคยบอกว่าตอนนี้มีแนวโน้มสูงแล้วไง” ปัญจวีส์ขมวดคิ้วมองตอบพี่ชายรุ่นเดียวกันของเขา

“ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่หลังจากที่เจ้าสัวเข้าโรง’บาลไป กูละเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” วิธูถอนหายใจ จากที่เขาคอยสังเกตุท่าทางของเพื่อนสนิทของเขาระหว่างที่ไปเฝ้าดูอาการของวีส์ที่โรงพยาบาลแล้ว เขาเริ่มเดาทางไม่ถูกแล้วว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“ทำไมอะ” ปัญจวีส์ถามกลับในทันที “ก็เห็นบอกว่าวีร์ไม่เชื่อเรื่องนั้นไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่น่า...”

“ไม่มีใครเชื่อเรื่องนั้นเท่ามึงแล้ว” วิธูมองปัญจวีส์ด้วยหางตา

“อะไร ปันปันไม่คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ปัญจวีส์รีบออกตัวปฏิเสธ

“เหรอครับ ถ้างั้นแล้วคุณบันนี่จะเปลี่ยนชื่อทำไมละครับ ถ้าคุณบันนี่ไม่เชื่อเรื่องนั้นจริงๆ” วิธูมองตอบอย่างท้าทาย

“ก็คิโนะโกะจังชอบเรียกปันปันแบบนี้ ปันปันก็ว่ามันก็โอเคดีก็เลยบอกให้ทุกคนเรียกตาม ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย” ปัญจวีส์ยังคงแก้ตัวอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ยอมรับข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น

“เหรอ...” วิธูถามย้ำอีกครั้งแต่ปัญจวีส์ก็ยังคงตีสีหน้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดิม “แล้วเมื่อไหร่จะพาคิโนะโกะมาเจอกับเจ้าสัวแล้วก็ไอ้อ้วนสักทีวะ”

“ก็รอจังหวะเหมาะสมก่อนไง แล้วค่อยพามาเจอกัน” ปัญจวีส์จัดท่านั่งของตัวเองให้หลังยืดตรงดูสง่าผ่าเผย

“เขาก็อุตส่าห์เปลี่ยนแผนย้ายมาเรียนต่อที่ไทยเน๊อะ อยู่เรียนที่ญี่ปุ่นตามแผนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็...”

ปัญจวีส์กำลังจะตอบกลับแต่ก็ชะงักไปเสียก่อน เพราะมีชายหนุ่มร่างสูงมายืนอยู่ข้างโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ ปัญจวีส์และวิธูต่าง็หันมามองหน้าถามกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี ต่างฝ่ายก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาพวกเขาเอง

“กูนั่งได้ใช่มั้ย” ศศิทัศน์ชี้ไปที่เก้าอี้ว่างอีกตัวที่เหลืออยู่แล้วถามทั้งสองคน

“นั่งสิ” วิธูเป็นคนตอบในฐานะที่รู้จักมักคุ้นกับหนุ่มตี๋มากกว่าน้องชายรุ่นราวคราวเดียวกันของเขา

ปัญจวีส์ยังคงส่งสัญญาณผ่านสายตาไปหาวิธูให้เป็นคนเริ่มบทสนทนา เพราะเขายังรู้สึกเพื่อนตี๋คนสนิทของวีร์ยังคงตั้งแง่กับเขาอยู่

“เอ่อ... มีงมีอะไรรึเปล่าวะ” วิธูเอ่ยปากถาม

“เปล่า พอดีเดินผ่านแล้วเห็นพวกมึงนั่งกันอยู่ ก็เลยแวะเข้ามาทักทายเฉยๆ” ศศิทัศน์ตอบพร้อมกับยกมือเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม

บรรยากาศครึกครื้นกันเองก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความอึมครึมกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเริ่มหรือจะต่อบทสนทนาอย่างไรกันดี ว่าที่คุณหมอส่ายตามองดูซ้ายทีขวาที ผู้ร่วมโต๊ะของเขาเอาแต่ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาชิม ไม่มีทีท่าว่าใครจะชวนพูดคุยเหมือนก่อนหน้าที่เขาเดินมาร่วมโต๊ะเลย

“กูรู้เรื่องพวกมึงแล้ว” ศศิทัศน์ตัดสินใจเปิดหัวเรื่องเอง

ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างมองตากัน เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าความลับเรื่องไหนของพวกเขาที่ถูกเปิดเผยออกไป เมื่อหันไปหาศศิทัศน์ซึ่งก็กำลังมองพวกเขาสลับไปมาอยู่ ชวนให้น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นหลุมพรางหลอกถามก็เป็นได้ สองพี่น้องจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ไอ้ใหญ่เล่าให้กูฟังแล้ว” ศศิทัศน์เฉลยแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ข้อมูลอะไรมากนัก เมื่อเห็นท่าทางที่ยังสงสัยของทั้งสองคนอยู่ ศศิทัศน์จึงขยายความต่อ “มันรู้มาจากแพร แล้วเห็นว่าแฟนมึงเป็นคนเล่าให้ฟัง” ศศิทัศน์หันไปหาวิธูเพื่อให้รู้เขาหมายถึงแพรไหม

“เรื่องอะไรวะ” วิธูถามกลับให้แน่ใจ

“เรื่องที่พวกมึงสองตัวเป็นพี่น้องกัน” ศศิทัศน์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ

“อ๋อ” วิธูร้องออกมาด้วยความโล่งใจ เขาคิดไปถึงเรื่องใหญ่โตกว่านี้ หรืออย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสำหรับเขา และปัญจวีส์เองก็คิดไม่ต่างกันมากนัก

ศศิทัศน์เองก็รอดูว่าทั้งสองคนจะมีปฏิกิริยาอะไรมากไปกว่านี้หรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนกันทั้งสองคนก็รอการแสดงออกของเขาอยู่เหมือนกัน

“กูหมายถึง กูรู้แล้วว่าพี่เขาเป็นพี่ของพวกมึงด้วย”

“อ๋อ” คราวนี้ทั้งวิธูและปัญจวีส์ร้องออกมาพร้อมกัน แล้ววิธูก็แกล้งทำหน้าซื่อถามกลับไป “คนไหนวะ”

“ก็มีอยู่คนเดียวตอนนี้ที่มาก้อร้อก้อติกไอ้วีร์” ศศิทัศน์เหล่ตามองวิธูว่าเขารู้ทันที่วิธูก็เข้าใจว่าเขาพูดถึงใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็พยักหน้าว่าเข้าใจ

“แล้วมึง... มี...” วิธูเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถามอะไร เพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของศศิทัศน์ว่าต้องการอะไรถึงได้มาพูดคุยกับพวกเขาในเรื่องนี้

“กูแค่อยากรู้เฉยๆว่าตอนนี้เป็นยังไง” ศศิทัศน์ถามสองพี่น้อง

“ก็... ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่ตอนนี้กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ะ” วิธูตอบ

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการของตัวเองไว้

“คือพวกูกยังไม่รู้ว่าวันก่อนพวกเขาแอบนัดกันไปทำอะไรมาสองคน แต่วันนั้นพี่กูเกิดป่วยต้องรีบสั่งโรงพยาบาลด่วน หลังจากนั้นไอ้วีร์มันก็... ไม่รู้สิ แบบแปลกๆ” วิธูพยายามอธิบายความคิดของเขา

“แต่กูเพิ่งเห็นพี่เขาขับรถมาส่งไอ้วีร์ที่ตึกคณะเมื่อเช้านี้เอง”

“ห๊ะ” ทั้งวิธูและปัญจวีส์ต่างก็ร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน จนคนในร้านหลายคนหันมามองพวกเขากัน ทั้งสองคนต่างก็ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ศศิทัศน์มากขึ้น

“หมอต่ายแน่ใจใช่มั้ยว่าเป็นพี่กับวีร์จริงๆ” ปัญจวีส์ถามพร้อมกับเขย่าแขนศศิทัศน์ไปด้วย

“ใช่” ศศิทัศน์พยักหน้ายืนยันคำตอบ “กูเห็นชัดๆกับตากูเลย”

วิธูกับปัญจวีส์หันมาส่งสัญญาณผ่านสายตากันอีกครั้ง ศศิทัศน์อยากจะเข้าร่วมด้วยแต่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีใครหันมามองเขาสักคน

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถาม

“ตอนแรกกูก็คิดไปว่าไอ้วีร์จะกลัวเรื่องอาถรรพ์ที่เขาเม้าท์ๆถึงมันอยู่” วิธูยกตัวกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม

“อาถรรพ์...” ศศิทัศน์ย้อนคำพูดเอามาถามซ้ำ

“ก็ที่เขาพูดกันว่ามันมีดวงกินผัว คบกับใครก็เดดซะมอเร่ย์หมดไง” วิธูไขความให้ฟัง

“อ๋อ ที่บอกว่าโดยเฉพาะแฟนชื่อวี แถมยังน้องเป็นเพื่อนสนิทมันแล้วยังชื่อต่ายเหมือนกันใช่มั้ย” ศศิทัศน์มองสลับระหว่างสองพี่น้องที่ก็พยักหน้ารับกันทั้งคู่ “แล้วไง คราวนี้ก็ไม่เห็นเหมือนกันนี่นา ก็มันชื่อ...” ศศิทัศน์ชี้นิ้วไปทางด้านปัญจวีส์ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นน้องชายของชายหนุ่มรุ่นพี่ในหัวข้อสนทนาของพวกเขา จึงเบนนิ้วไปทางด้านวิธู “อ๋อ... แต่มึงก็เป็นน้องพี่เขาแล้วก็เป็นเพื่อนไอ้วีร์อยู่แล้วนี่นะ กูก็ลืมไป”

สองพี่น้องต่างก็ยิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ เพราะอย่างน้อยสิ่งที่ศศิทัศน์พูดมาก็ถูกต้องแล้ว... ประมาณครึ่งหนึ่ง

“ทำไมวะ” ศศิทัศน์ถามทั้งสองคน

“อ่า...” วิธูมีท่าทางลังเลที่จะตอบ ส่วนปัญจวีส์ก็ยกการตัดสินใจในเรื่องนี้ให้วิธูรับไปเต็มๆ “เอางี้... กูอยากถามมึงก่อน ว่ามึงคิดยังไงกับเรื่องนี้”

“เรื่อง...” ศศิทัศน์ถามกลับ

“ก็เรื่องของพี่วีกับวีร์ไง” ปัญจวีส์เริ่มกล้าพูดคุยกับศศิทัศน์มากขึ้น

“ก็ไม่ยังไง ถ้าไอ้วีร์มันชอบพี่เขาจริงๆ กูจะไปทำอะไรได้” ศศิทัศน์นั่งพิงหลังไปแล้วยกมือขึ้นกอดอก “เพราะต่อให้ไอ้วีร์ไม่ชอบพี่เขา ก็ใช่ว่าเฮียจะฟื้นขึ้นมาได้ซะเมื่อไหร่”
หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด