เฮ้ย ! มันไม่ใช่ลูกกู
ตอนที่ 36
ขับรถจากบ้านมาถึงศูนย์การแพทย์สำหรับการตรวจดีเอ็นเอโดยเฉพาะ เครื่องยนต์ของรถถูกดับลง ร่างสูงคนขับถอนหายใจออกมานิดหน่อย ภาพหันมามองผมที่ก็ส่งยิ้มจางๆไปให้ ก่อนที่เราก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ในตัก แววตากลมมองไปรอบๆด้วยความสนใจ มันหันซ้ายทีขวาที ก่อนจะเอ่ยถามผมเสียงใส
“ อาขม ทำไมเราถึงมาที่นี่กันเหรอ "
“ วันนี้เรามาหาคุณหมอกันน่ะ อาขมพาหัวหอมแล้วก็อาภาพมาตรวจสุขภาพดูว่าแข็งแรงดีมั้ย " พอเอ่ยบอกไปแบบนั้น มือเล็กๆก็เอื้อมขึ้นจับที่หน้าผากของตัวเองทันที มันคงกำลังตรวจดูว่า ตัวเองกำลังป่วยรึเปล่า ทำไมเราต้องพามันมาหาหมอด้วย
" แต่ว่ากาลิค ตัวไม่ร้อนนะ แล้วอาภาพ.." มันยืดตัวเองเอามือไปจับหน้าผากของภาพก่อนจะหันมาบอกผม " อาขม อาภาพก็ตัวไม่ร้อนนะ "
“ ตัวไม่ร้อนก็ตรวจได้ เรามาตรวจว่าสุขภาพแข็งแรงดีรึเปล่า ไม่ได้ตรวจเพราะว่าป่วยสักหน่อย " อธิบายให้อีกคนฟัง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ หัวหอมเอียงหัวไปมา
“ งั้นแข็งแรงแล้วมาหาคุณหมอทำไมอะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย "
“ ไม่เข้าใจงั้นเราก็ไปหาคำตอบกันดีกว่า ไปหาคุณหมอแล้วก็ตรวจดูกันนะ " อุ้มมันลงจากรถ เราเดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่หน้าเค้าเตอร์สำหรับการมาตรวจดีเอ็นเอครั้งนี้
กระดาษสองแผ่นถูกยื่นมาเรากรอกข้อมูลสำคัญลงไป ภาพกรอกของตัวเอง ส่วนผมก็ทำหน้าที่กรอกข้อมูลของหัวหอมเท่าที่รู้ลงไป เขียนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยภาพตรวจเช็คมันอีกทีก่อนจะยื่นกระดาษคืนให้เจ้าหน้าที่พร้อมกับซองเอกสารข้อมูลสำคัญที่เตรียมมาทั้งหมด
“ นั่งรอสักครู่นะคะ " เจ้าหน้าที่เอ่ยบอก เราก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่ว่าง
“ หัวหอมเดี๋ยวเข้าไปในห้องตรวจกับอาภาพนะ " เอียงหน้าบอกเจ้าตัวเล็กที่ก็ยังเอาแต่มองสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยความไม่คุ้นตา มันที่ส่ายหน้าไปมา
“ ไม่เอา ไปกับอาขม " มือเล็กๆกอดเข้าที่คอมันซบ " กาลิคกลัว "
“ กลัวอะไร มีอาภาพอยู่ด้วย ไม่เป็นไรหรอก " แต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็ไม่มีทีท่าว่ายอมฟังกันง่ายๆ ผมถอนหายใจออกมา ไอ้ภาพก็ยกยิ้มก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมเจ้าตัวเล็กจนยุ่ง
“ มึงเข้าไปด้วยก็ได้ เค้าคงให้เข้าแหละ ไม่มีอะไรหรอก "
“ มึงโอเคนะ " เอียงหน้าถามมันเพราะรู้สึกว่า ในแววตาคมของภาพมันทั้งอิดโรยแล้วก็กังวลมากเหลือเกิน
" กูโอเค " ใบหน้าคมก้มลงต่ำ ผมเอื้อมมือไปกอดคอมันไว้ก่อนจะบีบไหล่เบาๆ
" อาขม อาขม อาภาพกำลังเศร้าเหรอ " หัวหอมเอ่ยถาม ผมก็พยักหน้ารับมัน
" อื้ม คงอย่างงั้นแหละ "
" งั้นกาลิคจะปลอบอาภาพเองนะ "เจ้าตัวเล็กดึงตัวเองลงจากตักของผม มันย่อตัวลงนั่งกับยองกับพื้น ขยับตัวเองเข้าไปอยู่ใต้ใบหน้าคมที่กำลังก้มลงด้วยความหนักใจนั้น แล้วตอนที่สบตากันหัวหอมก็ยิ้มกว้างออกมา " อาภาพ ไม่ต้องเศร้านะ กาลิคจะปลอบอาภาพเองนะ " มือเล็กๆยื่นมาตบไหล่หนา ไอ้ภาพหัวเราะออกมามันเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม
" แล้วกาลิคจะปลอบอาภาพยังไงดี "
“ กาลิคจะกอดปลอบอาภาพ " ใบหน้าน่ารักนั่นเอียงหน้าบอกก่อนจะลุกขึ้นกอดร่างสูงไว้แน่น หัวหอมซบลงที่ไหล่หนาอยู่นานก่อนจะเอียงหน้าถาม " อาภาพ หายเศร้าแล้วยัง "
" หายแล้วละ ขอบคุณนะครับ " มือหนาขยี้หัวเจ้าตัวเล็ก " เก่งจังเลย รู้ด้วยว่ากอดปลอบแล้วจะหายเศร้า "
" กาลิครู้เพราะว่าเวลาที่กาลิคร้องไห้ อาขมจะกอดกาลิคไว้ตลอดเลย แล้ว แล้วพอกาลิคกอดอาขมไว้นะอาภาพ กาลิคก็จะหายเศร้าทุกทีเลย กาลิคเลยรู้ ว่าเวลาที่เราเศร้าเราก็ต้องกอดกัน "
" อย่างงั้นสินะ เข้าใจแล้วละ "
“ อาภาพ ถ้าอาภาพยังเศร้าอยู่ก็ให้อาขมกอดได้นะ กาลิคจะแบ่งกอดของอาขมให้อาภาพด้วย อาภาพเอาหน้ามาติดไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าติดไว้ตรงนี้จะหายเศร้า " หัวหอมว่ามันเอื้อมมือมาจับที่กลางอกของผม ก่อนจะใช้สองมือประคองแก้มของภาพลงมาซบที่ตัวผม " แล้วก็อาภาพต้องเอามือกอดไว้ตรงนี้ด้วยนะ " จัดแจงเอามือมากอดไว้ที่เอวผมเรียบร้อย " อาขม อาขมกอดอาภาพด้วยสิ "
" อะ กอดดดด " เอื้อมมือขึ้นลูบหลังมัน ผมสัมผัสถึงลมหายใจเข้าออกที่ดูเหนื่อยๆของร่างสูง แต่ถึงอย่างงั้นภาพก็พูดออกมา
" กอดอาขมแล้ว หายเศร้าจริงๆด้วย "
" ใช่มั้ยละ กอดของอาขมน่ะ เยี่ยมที่สุดเล๊ย " คำพูดที่มาพร้อมกับลำตัวเล็กที่ล้มตัวลงมากอดผมไว้อีกคน
ถอนหายใจออกมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ก็อยากจะขัดมันอยู่หรอก ว่าอย่ามากอดกันในสถานที่แบบนี้แต่ว่า รอยยิ้มของคนทั้งคู่ที่ผมเห็นก็ชวนให้กลืนคำพูดทุกอย่างนั่นไป ดีแค่ไหนที่เรายังยิ้มออกมาได้ในช่วงเวลาที่เครียดแบบนี้ เพราะงั้นแม้จะเล็กน้อย ก็ขอให้มีช่วงเวลาที่มีความสุขบ้างก็ยังดี
“ คุณภาพ น้องกาลิค เชิญเข้าไปในห้องตรวจเพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอเลยค่ะ " เสียงของเจ้าหน้าที่เอ่ยเรียกคนสองคนที่ก็เงยหน้าขึ้นมาจากตัวของผมทันที
“ ครับ " ภาพเอ่ยตอบรับ มันยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง
“ ไปตรวจกันเถอะ " ผมเองก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของเจ้าตัวเล็กที่ก็กำมือผมไว้แน่น จนต้องก้มลงไปดู " หัวหอม "
“ อาขมอุ้ม อุ้มกาลิค อุ้มกาลิคหน่อย " มือเล็กชูขึ้นจนสุด มันส่งสายตาออดอ้อนมาให้ คงกลัวกับการที่ตัวเองต้องเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมนั้น
" โอเค อุ้มก็อุ้ม เอ้า อึ้บ! " ก้มลงไปอุ้มเด็กขี้กลัวขึ้นมา หัวหอมที่กอดคอผมไว้ แววตาที่กำลังมองรอบด้านด้วยความกลัวชวนให้ผมยิ้ม " ไม่ต้องกลัวหรอก อาขมอาภาพน่ะไม่พาหัวหอมไปเจอเรื่องอันตราย หรือว่าน่ากลัวหรอกจริงมั้ยละ "
“ จริง " หัวหอมพยักหน้ารับ แต่เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมลงไปเดินเอง เด็กหัวหมอก็เลยกอดผมแล้วพูดอ้อนๆ " แต่กาลิคอยากจะให้อาขมอุ้ม กาลิคอยากอยู่ใกล้ๆอาขมตลอดเวลาเลย กาลิครักอาขม "
" ครับๆ พ่อหนุ่มช่างอ้อน "
ประตูห้องตรวจถูกเปิดออก ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างไอ้ภาพ ก่อนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้องปฎิิบัติการจะเดินนำชุดอุปกรณ์มาวางไว้ตรงหน้า ผมก้มลงมองหัวหอมที่ตอนนี้กำเสื้อผมไว้แน่นอาจเพราะเจ้าหน้าที่ให้ห้องนี้ใส่ชุดที่ดูมิดชิดจนมันกลัว เสื้อกาวน์สีขาวตัวยาว พร้อมด้วยที่ปิดปากและหมวกคุมผม เธอหยิบถุงมือมาใส่เป็นขั้นแรกก่อนจะใช้สำลีที่พันก้านด้วยไม้ยาวๆยื่นมาตรงหน้าเด็กน้อยในตัก
" อ้าปากนะคะ อ้าาา " เธอว่า อีกคนก็อ้าปากแบบว่าง่าย " อ้ากว้างๆเลย ขอพี่เช็ดนิดนึงนะคะ "
" หัวหอมอ้าปากกว้างๆเลยนะ อ้าา "
“ อ้าาา " เสียงใสๆพูดออกมา ปากก็อ้ากว้างขึ้น
“ อย่างงั้นค่ะ เก่งมากเลย " เธอว่า ก่อนจะดึงสำลีออกจากปากเก็บลงใส่ลงไปในกล่องของทางการแพทย์ " เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ "
“ เสร็จแล้วละ " ผมก้มลงบอกมัน " หัวหอมขอบคุณ พี่เจ้าหน้าที่เค้าหน่อยเร็ว "
“ ขอบคุณครับ พี่เจ้าหน้าที่ " หัวหอมยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วหันมาบอกขม " อาขม อาขม กาลิคไม่เจ็บเลย "
“ ใช่มั้ยละ ไม่เจ็บเลยเนอะ ดีจัง "
“ ต่อไปคุณภาพนะคะ " เจ้าหน้าที่เรียกชื่อคนข้างๆผม ภาพอ้าปากให้เก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มเรียบร้อย " เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนผลของการตรวจจะอยู่ที่ 3 – 7 วันนะคะ ทางเจ้าหน้าที่จะโทรไปแจ้งให้มารับผลนะคะ กรุณามารับด้วยตัวเองนะคะ "
“ ครับ ขอบคุณมากครับ "
“ คราวนี้ก็กลับบ้านกันได้แล้ว เสร็จแล้ว " ภาพบอกก่อนก่อนจะยื่นมือมาอุ้มไอ้ตัวเล็กไปจากผม ก้มลงหอมแก้มนุ่มไปเสียหลายฟอด หัวหอมมันก็หัวเราะชอบใจ
“ แล้วเราจะทำอะไรกันต่อดีละ "
“ พากาลิคกลับไปส่งที่บ้านก่อน แล้วค่อยไปหาที่คุยแล้วกัน " พยักหน้ารับคำพูดของร่างสูง
ก็จริงอย่างที่มันพูด เราไม่ควรพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหัวหอม มันไม่ใช่เรื่องที่เด็กคนนี้ควรฟังหรือรับรู้ด้วยซ้ำไป หัวหอมควรมีความสุขเหมือนเด็กทั่วไปที่ควรมี ไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องที่ว่า มันเกิดมาจากความผิดพลาดของแม่ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่ใส่ถุงยางอาจจะท้อง แต่ก็ยังไม่คิดจะป้องกันตัวเอง
แล้วสุดท้ายพอมันเกิดขึ้นมา กลับเห็นมันเป็นแค่สิ่งของ จะโยนทิ้งก็ได้ จะอยากได้ตอนไหนก็ได้ ทำลายความรู้สึกของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคิดว่าตัวเองเป็นแม่ แม่ที่ทำให้เกิดมา จะทำอะไรก็ได้ ย่ำยีความรักที่แสนบริสุทธิ์เท่าไหร่ก็ได้ ทั้งๆที่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากจะเกิดมาบนความผิดพลาดที่ไม่มีใครยินดีเวลาที่เกิดมา และทั้งๆที่ไม่ได้ขอให้เกิดมา แต่สุดท้ายคนที่เจ็บปวดที่สุดกลับกลายเป็นเด็ก ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
.........................................................
เราขับรถกลับมาถึงบ้าน ผมก็ก้มลงบอกเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตัก " หัวหอม อาขมกับอาภาพจะต้องไปทำงาน หัวหอมอยู่ที่บ้านกับคุณปู่คุณย่านะ เดี๋ยวตอนเย็นๆ เราเจอกัน ตกลงมั้ย "
“ แล้วตอนเย็นๆ กว่าจะถึงนานรึเปล่า "
“ ไม่นานหรอก แปปเดียวเอง ดูการ์ตูนสามเรื่องก็เจอกันแล้วละ " ยิ้มให้มันอีกคนก็พยักหน้ารับ
“ งั้นกาลิคอยู่กับคุณปู่คุณย่าก็ได้ อาขมกับอาภาพกลับมาเร็วนะ "
“ ครับผม " พยักหน้ารับมัน ผมกอดมันไว้แน่นก่อนจะหอมแก้มไปเต็มฟอด เปิดประตูรถออกกว้างหัวหอมก็ลุกจากตักวิ่งฉิวเข้าไปในตัวบ้านทันทีด้วยความร่าเริง ผมปิดประตูรถลง ภาพก็ขับรถออกไปจากบ้านอีกครั้ง
" เอาล่ะ คราวนี้มึงจะพูด จะถามอะไร ก็พูดออกมาได้หมดละ " ร่างสูงบอก
" ทำไมไม่พาอเล็กซ์ไปตรวจดีเอ็นเอด้วยเหรอเลยวะ จะได้รู้พร้อมกันไปเลย ว่าหัวหอมลูกใคร ลูกมึง ลูกอเล็กซ์ หรือว่าไม่ใช่ทั้งคู่ ถ้ารอให้ผลตรวจมึงออกมาก่อน แล้วถ้าไม่ใช่ค่อยพาอเล็กซ์ไปตรวจ มันจะไม่นานไปเหรอวะ "
“ มึงคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ " ภาพหันมาถามผม " มึงจะให้กูเดินไปบอก อเล็กซ์ที่เพิ่งมีครอบครัว มีลูกไม่กี่เดือน ว่ามันมีสิทธิเป็นพ่อกาลิค ลูกของโอลิเวียที่มึงไปไข่ทิ้งไว้ตอนที่เรียนออสเตเรียนะ ช่วยไปตรวจดีเอ็นเอกับกูหน่อยเพราะโอลิเวียบอกว่า พ่อของเด็กไม่กูก็มึง มึงคิดว่าพอมันได้ยินมันจะตอบว่าไงอะ มันคงจะบอกว่า อ้าวเหรอ งั้นเราไปตรวจกัน เหรอ ? มึงคิดว่ามันจะง่ายๆแบบนั้นเหรอ "
“ ก็จริงของมึงนะ กูก็ลืมคิดไปว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างงั้น "
" ขืนเข้าไปพูดกับมันตรงๆ ต่อให้มันคิดว่า อาจจะจริงแต่มันก็คงต้องปฎิเสธไว้ก่อน มันคงไม่อยากจะให้เมียมันรู้เรื่องหรอก มึงก็รู้ดีนี่ว่าไอ้อเล็กซ์เวลาอยู่บ้านกับอยู่เมืองนอกยังกับคนละคนกัน " ก็จริงที่ไอ้ภาพมันพูด อยู่บ้านอเล็กซ์ ดูเป็นคุณชายมีชาติตระกูลอยู่ในกรอบสุดๆแต่พออยู่เมืองนอกมันกลับเที่ยวผู้หญิงเที่ยวกลางคืนชอบปาร์ตี้ เรียกได้ว่านอกกรอบสุดๆไปเลยเช่นกัน " เรื่องของกาลิคถ้าไปพูด มันคงคิดว่ากูกรุเรื่องเพื่อมาทำลายครอบครัวมันแน่ๆ "
“ แล้วคราวนี้เรื่องมันก็จะบานปลายไปถึงผู้ใหญ่ "
" ใช่ พ่อกูคงจะมีเรื่องทะเลาะกับพ่อมันแน่ๆอะ แล้วก็คงจะมีคำพูดที่โยนมาใส่พ่อกูว่า เด็กเป็นลูกกูรึเปล่าและพอสุดท้ายเป็นลูกกูจริงๆ เค้าก็คงมารุมดูถูกเราทั้งครอบครัวที่ไปปักปรำเค้า พอมาคิดแบบนั้นกูเลยอยากจะทำให้แน่ใจก่อนว่าไม่ใช่ลูกกูแน่ๆถึงจะไปบอกมันและถ้ามันเป็นลูกกูจริง เราก็จะได้จัดการไปเลยโดยไม่ต้องให้คนนอกครอบครัวมารับรู้เรื่องนี้ เพราะมันคงวุ่นวายเปล่าๆ "
" แล้วถ้ามันเป็นลูกมึง มึงจะทำยังไง "
“ เจรจากับโอลิเวีย " ภาพบอก " แต่ก่อนอื่นเราต้องทำให้เราเป็นคนที่อยู่เหนือกว่ามันให้ได้ เราต้องเป็นคนที่คุมเกมส์นี้ไม่ใช่มัน "
“ คนที่คุมเกมส์นี้ ? “ ทวนคำพูดของอีกคน ภาพก็ผ่อนลมหายใจออกมา
“ กูจะจ้างนักสืบ สืบเรื่องของโอลิเวียตอนที่อยู่ที่ไทยทั้งหมด ว่าทำอะไรที่ไหนบ้าง พักอยู่กับใคร มาจากอเมริกา มาคนเดียวหรือมากับใคร แล้วก็จะให้สืบด้วยว่า ถ้าเธอเจอกับคนนอกที่ถูกใจเธอจะทำยังไงกับเขา จะเล่าเรื่องที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว หรือว่าบอกเรื่องว่าเธอมีลูกมั้ย " มันว่านิ่งๆก่อนจะหันมามองผม " เราต้องทำให้ตัวเรามีหลักฐานมากที่สุด หลักฐานที่ใช้ต่อรองกับเธอ หรือหลักฐานที่บอกว่าเธอไม่เหมาะกับการเป็นแม่เด็ก เผื่อสมมุติว่าเราต้องขึ้นศาลขึ้นมาเราจะได้มีสิทธิชนะคดีนี้ ศาลจะให้มีคำสั่งให้คนเป็นพ่อเป็นคนดูแลเด็กแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยโอลิเวียก็มีสิทธิชนะ เพราะตอนนี้โอลิเวียเหนือเราอยู่ข้อเดียว คือ สิทธิความเป็นแม่ที่ศาลมักมักจะตัดสินให้ลูกอยู่ด้วยมากกว่าสิทธิความเป็นพ่อ "
“ อื้ม นั่นนะสินะ " ผมพยักหน้ารับ ถอนหายใจออกมากับเรื่องราวที่แค่ฟังก็รู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด มีความคิดแง่บวกมากว่าเกิดขึ้นมาในหัว แต่แน่นอนความคิดในแง่ลบก็ลอยตามมาติดๆ " แล้วตอนนี้เราจะไปไหนกัน "
“ ไปหานักสืบ เมื่อคืนกูคุยกับไอ้ชัดเรื่องนี้พอดี มันก็เลยแนะนำนักสืบเอกชนฝีมือดีให้ กูนัดเค้าที่ร้านกาแฟข้างหน้านี่แหละ "
ร้านกาแฟที่ภาพนัดนักสืบมาคุยงาน เป็นร้านกาแฟเงียบๆที่ดูไม่มีคนเท่าไหร่ในช่วงเวลานี้ เราเดินเข้าไปสั่งกาแฟเรียบร้อยก่อนที่ผมจะหันไปมองรอบๆร้านแล้วเจอเข้ากับผู้ชายคนนึงที่แตกต่างจากที่ตัวเองวาดภาพเอาไว้ในความคิด จากที่เคยดูตามทีวี ผมรู้สึกว่านักสืบจะต้องใส่หมวก ใส่แว่นตาดำ ทำท่าทางระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เค้าเหมือนพนักงานบริษัทธรรมดา ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำแล้วก็ผูกเนคไท ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย
" คุณภาพใช่มั้ยครับ " เค้าเอ่ยทักเรา ร่างสูงข้างผมก็พยักหน้ารับ " ผม พจน์ครับจากสำนักงานสืบเอกชน " นามบัตรถูกยื่นมาให้ ก่อนที่เราทั้งคู่จะหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามเค้า
ภาพเริ่มต้นคุยเรื่องงานที่อยากจะให้เค้าทำแบบละเอียด คุณพจน์เองก็จดสิ่งที่พูดคุยเล่านั้นลงในสมุดเล่มเล็กๆของเค้า แต่เพราะเราไม่มีภาพถ่ายของเธอ ก็เลยมีแต่ข้อมูลชื่อและสิ่งที่เราอยากจะให้เค้าสืบให้เท่านั้น รายละเอียดทั้งหมดถูกนับออกมาเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อยเลยที่ภาพต้องจ่ายไปกับเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าถ้าได้ภาพและข้อมูลที่ดีเพื่อใช้ต่อรองกับเธอ หรือใช้ในศาลได้ สำหรับภาพนั่นก็เป็นการลงทุนที่น่าเสี่ยงยิ่งกว่าข้อไหน แต่ว่าถ้าไม่ได้อะไร ก็เหมือนกับว่าต้องเสียเงินไปเปล่าๆเหมือนกัน
“ ถ้าอย่างงั้น ผมจะนำทางคุณไปคอนโดของผม ผมคิดว่าเธอน่าจะมาอยู่แถวๆนั้นเพื่อดักพบเรา "
“ ไม่ต้องหรอกครับ บอกชื่อคอนโดคุณมา เราจะหาผู้หญิงที่มีท่าทางแบบที่คุณว่า และถ่ายภาพมาให้คุณดู ว่าใช่รึเปล่า ถ้าใช่เราจะได้สืบงานต่อเลย กำหนดส่งงานคืออีกห้าวันนะครับ "
“ ครับ " ภาพพยักหน้ารับ " ส่วนค่าใช้จ่ายผมจะโอนมัดจำให้ก่อนนะครับ และจะโอนอีกทีหลังเสร็จงาน "
“ ครับ ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ ทางเราจะทำงานให้ออกมาดีที่สุด "
“ ทางนี้ก็ต้องขอขอบคุณเช่นกันครับ "
“ งั้นผมคงต้องขอตัวไปทำงานก่อน แล้วจะแจ้งข่าวให้ทราบเมื่อมีความคืบหน้านะครับ " คุณพจน์นักสืบลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มหน้าบอกลาเราที่ก็ลุกขึ้นยืนก้มหน้าบอกลาเค้าเช่นกัน เค้าที่เดินออกไปจากร้านในตอนนั้นทั้งผมทั้งภาพก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วนั่งลงที่เดิม
“ เห้อ.. ขอให้ได้เรื่องอะไรด้วยเถอะ สาธุ " ผมยกมือขึ้นไหว้ ไม่รู้ว่าไหว้อะไรเหมือนกันแต่ก็ขอบนบานไว้ก่อน กังวลจนไม่อยากจะทำอะไรด้วยซ้ำแล้วในตอนนี้ กว่าผลดีเอ็นเอจะออกก็ตั้งหลายวัน ระหว่างนี้ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วพอผลออกมาก็ยังไม่รู้อีกนั่นแหละว่าจะทำยังไงต่อไปดี ราวกับว่าตอนนี้ทางตรงหน้าของเรามันมืดไปหมดอย่างงั้นแหละ
“ อื้ม กูก็ขอให้มันได้เรื่องอะไรด้วยเถอะ " เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบๆ ขนาดตัวผมยังกังวลขนาดนี้แล้วภาพเองที่ต้องเผชิญปัญหานี้ในใจมันตอนนี้จะกำลังแย่แค่ไหนกันวะ คงกำลังร้องไห้ และคงกำลังคิดถึงทางแก้ของปัญหาเรื่องพวกนั้นซ้ำไปซ้ำมา มือหนาที่กำลังกำกันไว้แน่นแบบนั้น มันคงดีถ้าผมมอบพลังให้มันได้เหมือนอย่างยอดมนุษย์ในการ์ตูนสักเรื่อง แต่ทว่าตอนนี้สิ่งที่ทำได้กลับมีแค่มือที่เอื้อมไปจับมือของมันไว้ บีบเบาๆให้กำลังใจก่อนจะยิ้มให้มัน
“ ได้ต้องห่วงหรอกมึง กูว่ามันต้องได้เรื่องแน่นอน หัวหอมเป็นเด็กน่ารัก คงไม่มีใครลงโทษมัน ให้ต้องไปอยู่กับคนแบบนั้นหรอก "
“ อื้ม " ภาพพยักหน้ารับก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
“ ยิ้มหน่อยสิวะ ถ้ามึงทำหน้าแบบนั้น เดี๋ยวไอ้หัวหอมมันก็สงสัยว่าเรามีเรื่องอะไรกัน " ใบหน้าคมเหลือบมองหน้าผม ตอนที่พูดแบบนั้น มันยกยิ้ม
“ มึงบอกตัวเองเถอะ มึงเองก็ทำหน้ากังวลอยู่ตลอดเหมือนกันอะ "
“ อ๋อเหรอออออ งั้นยิ้มก็ได้ ยิ้ม " ยิ้มกว้างให้มัน ก่อนที่ผมถอนหายใจออกมาแล้วยกแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นดื่ม " ถ้าโอลิเวียเป็นคนที่พูดด้วยได้ง่ายๆ แล้วเข้าใจมันก็คงดีนะมึง ถ้ามันอยากจะหาผัวใหม่ อยากมีชีวิตใหม่ก็มีไป แต่ว่าเด็กก็เอามาให้เรา แค่นั้น มันไม่โอเคเหรอวะ แม่งต้องการอะไรวะกูไม่เข้าใจมันจริงๆ จะบอกว่าคนแบบนั้นเห็นลูกตัวเองสำคัญก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าเห็นว่าสำคัญก็คงไม่พามาอยู่กับเรา ไม่หลอกเราด้วยการไม่บอกว่าลูกใครหรอก แต่นี่ทั้งหลอกเรา หลอกคนรักใหม่ แต่สุดท้ายก็อยากจะได้กลับไปอีกเพื่ออะไรวะ "
“ ก็คงจะเป็นอย่างที่กูบอก " ภาพเว้นเสียงก่อนจะยกยิ้ม " มันคงโกหกทางนั้นว่า กาลิคเป็นหลาน แล้วต้องการจะรับเข้าไปอยู่ด้วย เลยเดินทางมาที่นี่เพื่อพากลับไป ก็มึงลองคิดว่าดูว่าคนที่ไม่รักกาลิคแบบมัน จะอยากเอากาลิคไปทำไม ในเมื่อมีครอบครัวใหม่ไม่มีภาระ มันไม่ง่ายกว่าเหรอ แต่ถ้ามันโกหกผัวมันไปแล้วว่าจะมารับหลาน หลานลำบาก มันก็ต้องพยายามพากาลิคกลับไปอย่างที่มันกำลังพยายามทำอยู่ไง ไม่อย่างงั้น ผัวมันคงสงสัยว่า หลานที่ว่าอยู่ไหน ไหนบอกว่าหลานลำบากไม่ใช่เหรอ "
“ แต่ก็อาจจะบอกว่าเป็นลูกก็ได้นะ " ผมบอกขัดมัน " ถ้าไม่คิดถึงคำพูดของหัวหอมที่บอกว่า โอลิเวียให้เรียกว่า โอลิเวียเฉยๆ เวลาอยู่ข้างนอกแล้วละก็ เค้าอาจจะบอกว่าเป็นลูกก็ได้ ตอนนี้ลูกอยู่อย่างลำบากกับพ่อแท้ๆ เลยอยากจะไปรับกลับมาอยู่ด้วย "
“ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น แฟนก็คงต้องตบมันก่อน เพราะโทษฐานโกหก ไม่บอกตั้งแต่แรก แล้วมันคงจะไม่อยู่ในสภาพดี๊ด๊าอะไรขนาดนั้นหรอก แต่นี่ดี๊ด๊าเหลือเกิน "
“ นั่นก็จริงอยู่ "
“ อยากจะถามแฟนใหม่มันเลยวะ ตรงๆ ว่า โอลิเวียบอกว่าอะไร สำหรับเรื่องของกาลิค " ภาพมันหันมาบอกผมก่อนจะถอนหายใจออกมา " แต่ไม่มีทางไหนจะติดต่อได้เลย "
“ อเล็กซ์ก็ไม่มีเหรอวะ เค้าอาจจะยังมีเบอร์ติดต่อของแม่โอลิเวียอยู่ก็ได้ " ผมถามไอ้ภาพก็คิดอยู่สักพักก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ กูคิดว่าไม่น่าจะมี โอลิเวียบอกว่าแม่มันไล่มันออกจากบ้าน พร้อมกับกาลิค มึงคิดว่าคนเป็นแม่คน คนเป็นยายคน ที่สามารถไล่หลานเล็กๆกับลูกตัวเองออกไปจากบ้านได้ คนแบบนั้นต้องเสียใจและสุดจะทนกับลูกสาวตัวเองขนาดไหนวะ ถึงจะทำแบบนั้นได้ มันต้องถึงขีดสุดที่เค้าไม่อยากจะยุ่งอีกต่อไปแล้วรึเปล่า เค้าถึงทำ "
“ อื้ม " ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาบ้าง ก้มลงมองรองเท้าตัวเองอย่างจนปัญญา ไม่ว่าจะคิดทางออกยังไงก็เหมือนว่าทุกทางมีแต่ทางตันเต็มไปหมด
“ เห้อ..”
" กู...กลัวจริงๆนะภาพ กูกลัวจนอยากจะร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องพวกนั้น ถ้าเกิดสมมุติหัวหอมต้องกลับไปอยู่กับโอลิเวียขึ้นมาจริงๆเราจะทำยังไงวะ แล้วถ้ามันตี หรือว่าแม่งใช้ความรุนแรงกันทั้งครอบครัว หัวหอมมันจะใช้ชีวิตยังไงวะ มันจะอยู่ยังไงในบ้านหลังนั้นถ้าเค้ามีลูกใหม่ขึ้นมา มันต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าถูกมั้ย กูรู้ว่ากูไม่ควรคิดในแง่ร้ายอะไรขนาดนั้น ไม่ควรตัดสินคนแค่ภายนอกและแค่คำพูด แต่กูก็อดคิดไม่ว่ะ มึงดูท่าทางมันดิ ติดยาก็เท่านั้น แล้วคิดเหรอวะ ว่าแฟนมันจะไม่ติดยา เป็นคนดี คือใช่มันมีโอกาส แต่แม่งคงน้อยมากๆอะ กูทำใจคิดแง่ดีไม่ได้เลยวะภาพ คิดไม่ได้จริงๆ "
“ ขม..ใครๆที่เห็น เค้าก็ต้องคิดแบบมึงกันทั้งนั้นแหละ โอลิเวียไม่เหมือนแม่คนด้วยซ้ำ คิดถึงแต่ตัวเอง หึ " มันหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะส่ายหน้า " คำพูดคำจาเหมือนคนที่ใจแตกแล้วก็เท่านั้น ให้กาลิคไปอยู่ด้วยมึงเลิกหวังไปเลยว่าคนแบบนั้นมันจะปกป้องกาลิค มันไม่คิดจะปกป้องตั้งแต่ที่มันส่งไอ้กาลิคมาอยู่กับเราแล้ว "
“ นั่นนะสิ "
“ เมื่อก่อนกูชอบคิดว่า อะไรจะเกิดมันก็คงต้องเกิด ไม่ว่าจะด้านดีหรือว่าร้าย กูพร้อมรับมือแล้วรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะยอมรับมัน แต่พอกับเรื่องนี้กูไม่รู้เลยว่า ถ้ามันออกมาเป็นเรื่องร้าย ตัวกูเอง จะยอมรับมันได้รึเปล่า " ภาพก้มหน้าลงซบบนมือตัวเองที่กุมกันไว้แน่น " ตอนนี้ใจกู มันเลยได้แต่ภาวนา ขอให้มันมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับเราด้วยเถอะ ขอให้มันออกมาเป็นด้านดีๆ กูไม่อยากจะให้มันไปจริงๆ ไม่อยากจะให้มันไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่กูไม่รู้เลยว่า มันจะดี หรือว่า ร้าย ไม่อยากเลย "
“ เหมือนกัน " ผมผ่อนลมหายใจออกมา เราที่นั่งข้างกันเงียบๆในร้านกาแฟนั้น ผมหันไปหามันก่อนจะเอื้อมมือไปกอดไหล่มันไว้ เป็นความรู้สึกเล็กๆที่อยากจะบอกมันว่า ผมยังอยู่ข้างๆมัน ยังคิดเหมือนมัน และจะอยู่เป็นเพื่อนมันเสมอไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
.........................................................