[ เพราะอกหัก... รักจึงบังเกิด]
- 2 -
“ โป๊กๆๆ”
“......”
“ ปั้งๆ”
“ โว้ย”
ผมสะดุ้งโหยงหน้าตื่นเมื่อรุ่นพี่ที่ดูสงบเงียบมานานตะโกนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันออกจะแปลกไม่น้อยเพราะ
“พี่เน็ท” รองประธานชมรมขี้เล่นกลับทำหน้าบึ้งตึงมือข้างหนึ่งฟาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าท่าทางอารมณ์เสียไม่น้อย
“ อย่าให้กูรู้นะมึงว่าใครแม่งทำประตูห้องชมรมพัง”
ผมหน้าซีดทำใจกล้าถาม
“ พี่จะทำไมเหรอ”
“ จะเตะแม่งให้ขาดสองท่อนเลย”
อุ้ย...ชิบหายแล้ว
ผมยิ้มแหยนึกร้อนๆหนาวๆเหมือนวัวสันหลังหวะเพราะเป็นต้นเหตุของอารมณ์โมโหของคนในชมรมที่วันนี้นัดรวมพลมาชวนเตรียมงานเปิดกิจกรรมชมรมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่ภายในห้องชมรมดันเปิดแอร์ไม่ได้เพราะไอ้พี่ลมนัดช่างมาซ่อมประตูซ้ำพัดลมที่มีตัวเดียวดันมาเสียอะไรในตอนนี้
ดังนั้นตอนนี้คนในชมรมจึงอารมณ์บ่จอยเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวมือข้างหนึ่งทำงานอีกข้างก็ฟาดเหงื่อไม่ก็เอาพัดมาโบกให้ตัวเองคลายร้อน
“ โว้ย”
อีกหนึ่งเสียงที่ตะโกนออกมาจนผมเกือบเผลอทำคัตเตอร์เฉือนนิ้วตัวเอง
“ หงุดหงิดโว้ย”
“ ใจเย็นน้องๆ”
พี่ช่างคนหนึ่งพูดยิ้มๆอย่างอารมณ์ดีทั้งที่เหงื่อเต็มใบหน้าโดยที่มือก็เร่งตอกตะปูอย่างรวดเร็ว
“ เย็นไม่ไหวแล้วพี่ วันนี้อากาศแม่งก็เสือกร้อนชิบหาย”
“ ฮ่าๆ เออจริง”
“ ผมนี่โคตรเจ็บใจเลยประตูเพิ่งซ่อมไปได้ไม่นานดันพังอีกแล้ว จะเปิดกล้องวงจรปิดดูว่าใครทำไอ้ลมแม่งก็บอกว่ากล้องเสียอีก ไม่งั้นนะคงได้ตามไปขาคู่ใส่ไอ้ตัวต้นเหตุล่ะ”
...อุ้ย ผมว่าพี่เน็ทโหดไปนะฮะ...
...อย่าไปทำอะไรเด็กตาดำๆนั่นเลยสงสารมัน มันเพิ่งอกหักมาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก...
“ มึงว่าอะไรนะ”
“ เปล่านิพี่” ผมทำหน้าเอ๋อ
“ เปล่าห่าอะไรเล่นบ่นพึมๆพำอยู่คนเดียว มึงบ้าเปล่าไอ้ปูน”
“ เปล๊า”
“ เสียงสูงน่าสงสัยนะมึง”
“ เปล่า” คราวนี้ผมทำเสียงต่ำเหมือนคนจะขาดใจจนพี่เน็ทและคนอื่นๆในชมรมพากันหัวเราะร่วน
“ มึงนี่มันกระล่อนจริงๆ”
“ ผมถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะพี่”
คราวนี้พวกรุ่นพี่พากันส่ายหัว จริงๆแล้วไม่อยากจะอวยตัวเองหรอกว่าผมนี่เป็นที่เอ็นดูของพวกพี่ๆในชมรมก็แก็งค์เดียวกับไอ้พี่ลมนั่นแหละ ไอ้พี่พวกนี้ก็บ้าๆบอๆเฮฮาซ้ำกวนตีนไม่ต่างจากไอ้พี่ลมหรอกเสียแต่ว่าไอ้นั่นมันโครตของโครตกวนตีน ว่าแล้วตั้งแต่ผมอกหักแล้วเจอมันวันนั้นมาผมก็ไม่ค่อยได้เจอไอ้คนชอบกวนตีนนั่นอีกเลยนะ
หายไปไหนของมันก็ไม่รู้
หืม นี่ผมคิดถึงมันเหรอวะ
ไม่จริงอ่ะ ไม่จริงโว้ย ผมสะบัดหน้าตัวเองไปมาแรงๆ แต่สะบัดให้ตายยังไงใบหน้าไอ้พี่ลมตอนยิ้มแม่งยังสว่างวาบอยู่ในหัวไม่เสื่อมคลายเลย ฮือ
“ อ้าวๆผีเข้ารึไงวะไอ้ปูน”
“ แหะๆ”
ผมแกล้งทำตาใสส่ายหัวไม่รู้ไม่ชี้
“ วันนี้มึงแปลกๆนะไอ้ปูน สงสัยว่าคู่กัดยังไม่โผล่หัวอาการถึงไม่อยู่กับร่องกับรอย”
“ ไรพี่ ไม่มีเหอะผมคนดีไม่มีคู่กัด”
“ เหรอ”
คราวนี้ทั้งชมรมหันมาประสานเสียงพร้อมกันทั้งยังทำหน้าทำตาแปลกๆด้วยการยิ้มมุมปากเหมือนว่ารู้อะไรบางอย่างมา
หึ ลากเสียงยาวเชียวแหมแต่ละคน
ผมเบ้หน้าก่อนจะค้อนประหลับประเหลือกไปเรื่อยไอ้พี่เน็ทมันคงหมั่นไส้มั้งถึงได้ขยำกระดาษเป็นก้อนกลมๆแล้วปาใส่หัวผมทันที เรียกได้ว่าทั้งเร็วและแรงจนหน้าแทบหงาย
โอ้ย
หัวกูจะแตกมั้ยเนี่ยผมร้องลั่นคลำหน้าผากตัวเองทันที เสียงร้องของผมไม่ทำให้พวกนั้นสงสารเห็นใจซะนิดตรงกันข้ามแม่งพากันหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ ผมเลยทำหน้าตูมใส่พวกแม่งเลย ชิ
“ ทำอะไรกันวะ”
เสียงหัวเราะดังลั่นค่อยเงียบลงเมื่อประธานชมรมหน้าหล่อโผล่หัวมา ผมเบ้หน้าก่อนจะสะบัดพรืดไปทางอื่นไอ้พี่ลมทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมันวางกล่องไอศกรีมขนาดใหญ่ที่คาดว่าคงจะไปเหมาร้านเค้ามาวางยังไม่ถึงพื้นดีด้วยซ้ำก็เหมือนห่าลงเพราะไอ้พวกรุ่นน้องตะบี้ตะบันแยกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างว่าแหละไอติมตอนอากาศร้อนๆแบบนี้คงเหมือนกับอาหารเลิศรส
“ เฮ้ย พวกมึงเบาๆ เดี๋ยวไอติมหกกูจะเตะพวกมึงเรียงตัวเลย”
“ โห่”
น้องๆร้องโห่แซวไม่จริงจังพวกมันทำท่าเกรงกลัวประธานชมรมอย่างกวนๆ เฮ้ย ตกลงนี่มันชมรมอะไรกันแน่วะมีแต่พวกไม่ค่อยเต็มผมบ่นพึมพำ ตาก็คอยมองกล่องไอศกรีมที่พวกนั้นยื้อแย่งกันทั้งๆที่จำนวนของหวานเย็นชื่นใจนั่นมีมากโขเรียกได้ว่ากินกันคนละสามสี่แท่งยังไหว...แล้วจะแย่งกันเพื่อ...
“ ค่อยๆโว้ย...” ไอ้พี่ลมตะโกนบอกทั้งที่มันนั่งกอดอกกระดิกเท้ายิกๆอยู่ไม่ไกล ใช่ ไม่ไกลเลยเพราะมันใกล้ชนิดที่ว่าปลายเท้าโบกผ่านใบหน้าผมไปมา
กวนตีน
ผมทำตาขวางใส่มันจนพี่มันคงจะรู้ตัวถึงได้เอี้ยวใบหน้าหันมาทางนี้ มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามแต่ผมไม่ตอบแต่กลับสะบัดหน้าไปทางอื่นแทน เป็นห่าอะไรนักหนากูเนี่ยพักหลังๆมานี่ชักแปลกๆไม่ค่อยกล้าที่จะสบตาพี่มันเท่าไหร่
“ คอมึงเป็นอะไร”
“ อะไร” ผมทำหน้างงส่วนไอ้พี่เน็ทหัวเราะร่วน
“ อ้าวเห็นค้อนไปค้อนมากูก็นึกว่าคอมึงมีปัญหา”
“ ไม่มีโว้ย”
“ ตะโกนเพื่อ” ไอ้พี่ลมทำหน้ากวนๆ
“ ตะโกนให้หมาถาม”
ผมยักไหล่ตอบกวนๆ
“ มึงพูดอีกทีซิ” เดือนเศรษฐศาสตร์ถามหน้านิ่งๆ
.
.
“ อีกที”
ไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะดังลั่นนั่นมาจากไหนมากมายเพราะพอผมพูดจบมันก็ดังขึ้นทันทีราวกับว่าพวกนั้นเงี่ยหัวฟังบทสนทนาของผมกับไอ้พี่ลมอยู่
หึ เป็นไงล่ะมึงไอ้พี่ลมนั่งอึ้งไปเลยและถึงมันจะนั่งอึ้งก็ยังอุตส่าห์กดยิ้มมุมปากเฉย ท่าทางแบบนี้กวนตีนยิ่งกว่าคำพูดผมเมื่อกี้อีกให้ตายเถอะ ผมถอนหายใจนึกเซ็งตัวเองที่รู้สึกว่าช่วงหลังๆมานี่ปะทะฝีปากกับไอ้พี่ลมมันไม่สนุกเหมือนก่อนเพราะอะไรกัน
เพราะอะไรรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าคมคายยิ่งดูดี และทำให้ผมเผลอใจเต้นแรงเพราะรอยยิ้มนั่น
ไม่ชอบเลย ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยให้ตายเถอะ ผมยกมือขึ้นกุมหัวใจตัวเอง ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆกับตัวผู้เข้าให้แล้วที่สำคัญตัวผู้ที่ว่าแม่งเสือกคือคู่กัดตลอดกาลอย่างไอ้พี่ลมเดือนเศรษฐศาสตร์หน้าหยก
“ เอ้าเป็นอะไรขึ้นมาอีก เดี๋ยวบ่นพึมพำ เดี๋ยวค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย นี่ก็มันนั่งกุมหน้าอกอีก อาการมึงนี่คล้ายๆคนมีความรักนะเนี่ย”
ความรักเหี้ยอะไรครับพี่เน็ท ผมเพิ่งอกหักมา
ผมไม่ตอบแต่ยักไหล่ไปเรื่อยก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นแล้วสบเข้ากับสายตาคู่คมของไอ้พี่ลมที่มองอยู่ มันมองผมอยู่งั้นเหรอ ผมไม่รู้ในสายตาคู่นั้นสื่อความหมายอะไรแต่ตั้งแต่วันนั้นที่ผมอกหักแล้วออกไปกับมัน เรามีโอกาสได้พุดคุยกันดีๆเป็นครั้งแรกและหลังจากนั้นมันก็ไปส่งผมที่หอ
ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าผมลืมเรื่องของลูกปัดไปแล้วหรือไง อาจจะไม่ถึงขนาดนั้นแต่เวลาที่คิดถึงเธอผมไม่เจ็บไม่ปวดทรมานเหมือนอย่างที่คิดเลยต่างจากที่ผมเอาแต่คิดถึงภาพรอยยิ้มของไอ้บ้านั่นที่ติดอยู่ในความทรงจำตั้งแต่บัดนั้น
“ ถ้าพวกมึงจะมองกันขนาดนั้น กูแนะนำให้ไปเปิดห้องไป” พี่เน็ทพูดไปหัวเราะไปผมจึงรีบเบือนหน้าหนีจากไอ้พี่ลมทันที
“ กูว่าพวกมึงแปลกๆนะ”
“ ยังไง” ไอ้พี่ลมถาม
“ กูว่าไอ้ปูนมันดูน่ารักขึ้น ส่วนมึงก็ยิ้มแปลกๆเหมือนว่าพวกมึงตกหลุมรักกันและกัน”
“ ก็เหี้ยแระ”
ผมตะเบ็งสุดเสียงก่อนจะฮึดฮัดไปแย่งไอติมกับไอ้พวกนั้น
“ วี๊ดวิ้ว”
ไอ้ห่าพวกนั้นก็ร้องรับเป็นลูกคู่เชียวผมมองตาขวางและเลยไปยังต้นเรื่องอย่างไอ้พี่ลมที่กอดอกยิ้มเฉยเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ แหมครั้งนี้พี่เน็ทชงซะเข้มเลย...คาดว่าอีกไม่นานรสชาติคงจะกลมกล่อม”
“ คงงั้น”
แล้วพวกมันก็แท็กมือกัน อะไรคือการที่พวกมันแท็กมือกันแล้วหัวเราะถูกใจแบบนี้ อะไร มันเกิดอะไรขึ้นนี่พวกมึงคิดการสิ่งใดกันบอกมาเดี๋ยวนี้เลย
.
.
ง้ำๆๆๆ
ผมนั่งแทะไอติมกินอย่างมีอารมณ์ตาก็คอยมองคนในชมรมนั่งตัดกระดาษเตรียมทำบอร์ดทำซุ้มเพื่อเตรียมความพร้อมกับกิจกรรมเปิดชมรมอาทิตย์หน้า บรรยากาศรอบตัวดูคึกคักขึ้นเพราะพี่ช่างเพิ่งซ่อมประตูเสร็จแล้วดังนั้นห้องชมรมเลยเปิดแอร์ได้
อากาศร้อนๆด้านนอกแต่ภายในเปิดแอร์เย็นฉ่ำสบายหลังจากกินอิ่มแล้วจึงไม่แปลกที่หนังตาจะหย่อนแบบนี้ ผมทิ้งไม้ไอติมแล้วทำตาปรือตัวอ่อนเลื้อยนอนกับพื้นปูนอย่างสบายอารมณ์ ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วละเมอหรือไงถึงรู้สึกว่ามีผ้าห่มนุ่มๆและหมอนรองคอมาหนุนให้สบายขนาดนี้ คงจะละเมอนั่นแหละถึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกลี่ยแก้มผมแผ่วเบาแต่ชวนจั๊กจี้ และหูก็ได้ยินเสียงคนพูดอะไรบางอย่าง
“ กินแล้วก็นอนเลยนะไอ้ดื้อเอ้ย” ไม่ได้ดื้อซะหน่อย ฮือ อย่ามายุ่งนะคนจะนอน
ผมรู้สึกคล้ายๆกับอะไรบางอย่างสัมผัสที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาแต่เพราะหนังตาที่หนักอึ้งเกินกว่าที่ลืมตาขึ้นมาได้จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยและไขว่คว้าความอบอุ่นนั้นมาโอบกอดเอาไว้
อบอุ่นจัง ฮือ น้องปูนอุ่นจังเลยพ่อจ๋าแม่จ๋า
อบอุ่นที่สุด
.......
.......
“ ฮะ ฮ้าว”
“ อื้อ”
ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะทำหน้างงๆมองไปโดยรอบตอนนี้ผมยังอยู่ที่เดิม ที่เดิมที่ว่าคือห้องชมรมซึ่งบัดนี้เงียบจนน่าวังเวงเพราะจากการกวาดสายตาดูโดยรอบสมาชิกทั้งหมดหายไปไหนกับหมดจะเหลือก็แต่แผ่นหลังกว้างของคู่กัดที่นั่งหันหลังพิมพ์ก๊อกๆแก๊กๆอยู่ ผมนอนมองคนตรงหน้าอยู่ตั้งนานพี่มันยังไม่รู้สึกตัวเลยตัดสินใจลุกขึ้นเสื้อคลุมที่ห่อตัวผมอยู่จึงร่วงลงมากองที่ตัก เมื่อนั้นผมจึงได้มีโอกาสพิจารณาเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำคุ้นตา
ว่าแต่มันมาอยู่บนตัวผมได้ยัง และดูเหมือนว่าผมจะนอนกอดมันจนยับยู่ยี่เสียด้วย ให้ตายเถอะแบบนี้เจ้าของมันอย่างคนที่นั่งหันหลังให้นี่จะไม่เอาผมตายเลยรึไงวะ ผมถอนหายใจมองไปรอบๆท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วสงสัยว่าทุกคนคงกลับไปแล้ว ดีว่าไม่แกล้งให้ผมหลับอยู่คนเดียวแล้วปิดห้องหนี
“ ตื่นแล้วเหรอ”
“ เฮ้ย”
ผมอุทานเบาๆเพราะเสียงนั้นมันดังขึ้นมาในความเงียบนี่ขนาดว่านั่งหันหลังให้มันยังรู้ว่าผมตื่นแล้ว ไม่รู้ว่ามีตาทิพย์หูทิพย์หรือไง และไม่ต้องสงสัยนานเมื่อไอ้พี่ลมหมุนเก้าอี้หันมามอง ผมนี่ถึงกับสะดุ้งเพราะคิดอะไรเพลินๆอยู่เลย
ตาประสานตาและไม่มีใครหลบตา
และสุดท้ายก็เป็นผมที่พ่ายแพ้จนต้องก้มหน้าหลบอีกเช่นเคย
“ ละ แล้วคนอื่น”
“ ไปร้านหมูกระทะ”
“ หืม” ผมหูผึ่งทำตาโตเมื่อนึกถึงของกินทำเอาคนตรงหน้ายิ้มขำ
“ กูบอกว่าเสร็จงานแล้วจะเลี้ยงพวกมัน ไอ้เน็ทเลยนำทีมไปร้านหมูกระทะแล้ว”
“ แล้วพี่”
“ กูรอปิดห้องไง”
ไอ้พี่ลมหรี่ตามองผมอย่างเหยียดหยาม เออ รู้ครับรู้ว่าสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะผมแต่ไม่เห็นว่าจะต้องทำหน้าเหม็นเบื่อขนาดนั้นเลยโด่
“ ก็แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกเล่า”
“ หึ” ไอ้พี่ลมกระตุกยิ้มมุมปากสีหน้าเซ็งๆ “...อย่างมึงถ้าไม่จุดประทัดใส่หูคงไม่ตื่นหรอกมั้ง”
ชิ ก็แค่เป็นคนหลับลึกเท่านั้นเองจริงๆถ้าปลุกจริงๆก็ตื่นหรอกทำไมไม่ปลุกเล่า
“ ดูทำหน้าเข้า กูไม่น่าห้ามไอ้เน็ทสาดน้ำปลุกมึงเล้ย”
“ หา”
ไอ้พี่เน็ท...ผมนึกเข่นเขี้ยวในใจ
“ ไม่ใช่หมาโว้ย”
“ เอ้าเหรอกูเห็นมึงนอนน้ำลายไหลยืดขนาดนั้นท่าทางอย่างกะ...”
“ หยุด” ผมชี้นิ้วใส่พี่มันเคืองๆ
ชิ เกลียดว่ะยิ้มอีกล่ะ ไอ้บ้ารู้ว่าหน้าหล่ออยู่แล้วจะยิ้มทำซากอะไรมันจะรู้มั้ยว่าผมใจไม่ค่อยดี เหอะ เออใจสั่นนั่นแหละ
“ โอ้ย”
ผมหน้าบึ้งเมื่อพี่มันผลักหัวเบาๆ
“ ตื่นแล้วก็ลุก กูจะปิดห้อง”
“ ขี้บ่นว่ะ”
“ อย่างมึงบ่นให้ตายก็ไม่ทะลุเข้าเนื้อสมองหรอก คนห่าอะไรแดกแล้วก็หลับ หลับตื่นแล้วก็จะไปแดกต่อ งานการนี่ไม่คิดจะทำเลยรึไง”
“ โว๊ะ”
ผมแกล้งทำเสียงกวนพี่มันก่อนจะวิ่งหนีเมื่อมันขยับตัวแรงๆมาใกล้คล้ายกับจะเตะเข้าให้ สุดท้ายหลังจากวิ่งหนีไปได้สักพักก็หยุดหอบจนมันตามมาทันแล้วสะกิดหัวผมไม่เบานัก หลังจากทะเลาะกันพอหอมปากหอมคอพี่มันก็จัดการปิดประตูห้องชมรมที่ทำซะใหม่เอี่ยมจนผมแอบรู้สึกผิดพอดีกับที่สายตาของพี่มันมองยิ้มๆมาทางนี้ ผมเลยเชิดคอตั้งไม่สนทำมองฟ้ามองดินไปเรื่อย
“ อ่ะ”
ไอ้พี่ลมยื่นหมวกกันน็อคสีชมพูหวานแหววอันเดิมมาให้ผมเหลือบตามองเฉยเพราะยังโกรธที่มันโบกหัวผมเมื่อกี้
“ ใครว่าผมจะไปกับพี่”
“ มึงจะไปเอง”
พี่มันเลิกคิ้วมองผมเลยจำใจต้องพยักหน้าแรงๆ มันแค่ยักไหล่ก่อนจะควบชาลีถอยหลังเตรียมสตาร์ท
เชี่ย นี่ไม่คิดจะชวนขึ้นรถอีกครั้งรึไง
...บรื้น...
“ ไอ้ ไอ้เหี้ย”
มันเป็นแค่เสียงที่ดังอึกอักอยู่ในลำคอก่อนที่เดือนเศรษฐศาสตร์จะควบชาลีหายลับไปเหลือไว้เพียงควันเขม่ารถ ไงล่ะหยิ่งนักสุดท้ายต้องเดินทอดน่องสายตาก็ทอดมองไปเบื้องหน้าอีกตั้งไกลกว่าจะถึงป้ายรถเมล์ แม่งเอ้ย ผมบ่นพึมพำนึกเซ็งตัวเองทั้งยังอดจะโกรธไอ้พี่ลมไม่ได้
...ปริ้น ปริ้น...
เสียงบีบแตรของรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เผลอยิ้มไม่รู้ตัว พอเอี้ยวตัวกลับไปก็เห็นพี่มันควบชาลีอยู่เบื้องหลัง
“ กูนึกได้ว่าลืมอะไรไปอย่าง”
หึ ลืมกูล่ะสิ กลับมาง้อใช่มั้ย ผมพยายามกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
“ อะไรล่ะ”
“ เสื้อแจ็คเก็ตกู”
...เพล้ง...
หน้าผม โฮ สภาพตอนนี้บอกเลยว่ายับเยินมาก ฮือ โกรธมึงจริงๆแล้วไอ้พี่ลม
“ เอาคืนไป”
โยนเสื้อใส่พี่มันแล้ววิ่งหนีออกมา ยอมรับว่าโกรธมันจริงๆ
โกรธงั้นเหรอ
ใช่ ยอมรับว่าโกรธมากทั้งๆที่เราทั้งคู่เคยทะเลาะกันรุนแรงกว่านี้แต่ก็ไม่เคยเก็บมาคิดหรือใส่ใจอะไร ตรงกันข้ามกลับปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ แต่วันนี้แค่มันแกล้งกลับทำให้ผมโกรธขนาดนี้
...ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ...
แม่งเอ้ย ผมถอนหายใจแรงๆพอดีกับที่สายตาผมเหลือบไปเห็นลูกปัดอดีตขวัญใจผมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้กับแฟนหนุ่มแล้วรถคันหรูนั่นก็ขับผ่านผมไปอย่างเร็วถึงขนาดที่เหยียบแอ่งน้ำจนมันกระเด็นโดนแขนเสื้อ
...เจ็บจี๊ดเลยทีนี้...
ผมนั่งทรุดตัวอย่างหมดแรงอยู่ตรงม้านั่งหินอ่อนแถวนั้น อย่างที่บอกว่าถึงไม่ทุรนทุรายทรมานเวลาที่เขามีตัวจริงแต่เอาเข้าจริงๆก็อดเสียใจไม่ได้
นี่ผมเป็นอะไรทั้งเสียใจกับรักแรกทั้งยังต้องมารู้สึกแปลกๆกับผู้ชายอีก โอ้ย ปวดหัวโว้ย ผมนิ่งกุมขมับอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีมือหนาของใครบางคนก็ลูบศีรษะผมอย่างแผ่วเบาเป็นกิริยาที่นุ่มนวลและชวนให้อบอุ่น ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเห็นเงาดำทะมึนของที่แกล้งผมก่อนหน้านี้
“ เป็นอะไร”
แปลก ยอมรับว่าแปลกที่ฟังดูน้ำเสียงนั่นอบอุ่นจัง ผมส่ายหน้าไปมาแต่มือข้างนั้นยังลูบหัวผมอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายผมก็เดินตามแรงจูงนั่นมาซ้อนรถพี่มัน
“ ไม่สบายเหรอ” ผมส่ายหน้า
“ กูขอโทษที่แกล้งมึงเมื่อกี้” “ ...”
ผมพยักหน้าตอนที่พี่มันเตรียมสตาร์ทรถแล้วก็ต้องตกใจเมื่อมือข้างหนึ่งถูกคว้าไปกอดเอวคนขับ
“ จับไว้จะได้ไม่ตก”
ผมนิ่งงั้นเพราะมือข้างหนึ่งโอบเอวคนขับเอาไว้ทำให้ต้องเลื่อนตัวเข้าไปใกล้กันสุดท้ายจึงเผลอ ขอเรียกว่าเผลอแล้วกันที่ผมซุกใบหน้าไปที่แผ่นหลังนั้น ผมไม่สนใจว่าบรรยากาศรอบข้างจะเป็นยังไงผมรู้แค่ว่ามือหนาของพี่มันเลื่อนไปกุมมือผมไว้ตลอดทางแล้วความอบอุ่นก็บังเกิดขึ้นในใจผม