ตอนที่ 16ภูริชพาดรีมกลับมาอยู่ที่คอนโดตามเคย วิดีโอที่กำลังจะถูกส่งเข้าทางไลน์ของพ่อดรีมถูกยกเลิกตามสัญญา ดรีมขอนอนแยกห้องกับภูริชซึ่งเจ้าตัวก็ยอมแต่โดยดี สัปดาห์แห่งการสอบไฟนอลกำลังผ่านไป การสอบไฟนอลก็กินเวลาไปตั้งสองสัปดาห์ ดรีมใช้เวลาทั้งหมดคลุกอยู่ในห้องเพื่ออ่านหนังสือ บางทีก็ร้องไห้อยู่ตลอดทั้งคืน ความตึงเครียดและอารมณ์หดหู่ทำให้นอนไม่หลับ ในหัวจะมีแต่เรื่องเผ็ดและครอบครัวเข้ามาแทรก แต่ดรีมก็ต้องพยายามจดจ่อกับการสอบไฟนอลเพื่อเป็นอนาคตของครอบครัว ตอนเช้าก็รีบออกจากห้องเพื่อไปสอบ โดยพยายามไม่เจอหน้าภูริช จนกระทั่งวันสอบสุดท้ายมาถึงดรีมตัดสินใจเคาะประตูที่ห้องภูริช
“มีอะไร”
“วันนี้กูจะกลับบ้าน แล้วจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
“กูไม่ให้กลับ และมึงก็ต้องอยู่ที่กับกู”
“ทำไมกูต้องอยู่กับมึงอีก!!”
“กูพอใจ มีอะไรไหม” ร่างสูงพูดอย่างลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
จนถึงตอนนี้ดรีมก็ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาอยู่ไปเพื่ออะไร ที่เคยวาดฝันเอาไว้ว่าจะรีบเรียนให้จบ รีบทำงานหาเงินแบ่งเบาภาระที่บ้าน ช่วยส่งน้องเรียนสูงๆ แต่เขากลับมาต้องมาติดแหง็กกับคนอย่างภูริช ถ้าจะเป็นแบบนี้ไปตลอดขอตายซะยังดีกว่า ร่างสูงลอบมองใบหน้าหวานที่ไม่ชักสีหน้าหรือโกรธเคืองสิ่งที่เขาพูดออกไปเลย มีเพียงแววตาที่ว่างเปล่ากับใบหน้านิ่งเท่านั้น
ดรีมไม่โต้ตอบอะไรก่อนจะเดินลิ่วเข้าห้องครัวทันที ร่างบางหยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ใกล้มือที่สุดมา เขาเป็นคนขี้กลัว แต่ตอนนี้ความรู้สึกกลัวมันหายไปหมดแล้ว หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์นั้นในหัวของดรีมไม่ค่อยมีเรื่องอะไรมาก ก็แค่อนาคต การเรียน พ่อกับแม่ เผ็ด และการฆ่าตัวตาย เพียงเวลาไม่นานการโดนทำร้ายทางจิตใจซ้ำๆทำให้คนคนนึงเป็นโรคซึมเศร้าอย่างงายดาย ปลายมีดแหลมจ่อเข้าที่ลำคอขาวอย่างอุกอาจ ร่างสูงที่เดินตามหลังมาติดๆรีบปัดมีดเล่มเล็กออกจากมือของคนตัวเล็ก ปลายมีดเฉือนเข้าที่เนื้อขาวเพียงนิดเดียวแต่ก็ทำให้เลือดสีแดงสดซึมออกมา
“อยากตายมากรึไง!!!!!!”
“……”
มีเพียงแววตาเหม่อลอยแทนคำตอบ ภูริชได้แต่ถอนหายใจมองคนตรงหน้า ดรีมเริ่มไม่พูดมาจาตั้งแต่กลับมากับเขา ดวงตาใสกลมโตมักจะแดงก่ำอยู่เสมอ ดวงหน้าที่เคยสดใสเมื่อครั้งที่อยู่กับเสี่ยเผ็ดก็เริ่มหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงภูริชจะเลวและเห็นแก่ตัวมากขนาดไหน ภายในใจเขาก็ยังรักคนตัวเล็กตรงหน้านี้ไม่เคยเปลี่ยน ภูริชรู้สึกผิดมาตลอดที่เอาดรีมไปจำนำกับเสี่ยเผ็ด เขารู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิดและทำร้ายจิตใจของดรีม แต่เพราะความเห็นแก่ตัวจึงได้ทำแบบนั้น พอมาคิดได้ทีหลังภูริชก็เลิกเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด และพยายามหาเงินมาใช้หนี้ให้กับเสี่ยเผ็ด
เคยทำงานพาร์ทไทม์หลายที่พร้อมกันแต่เงินที่ได้มามันน้อยมาก ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะไถ่ตัวคนรักคืนมาได้ ภูริชเลยเลือกที่จะหาเงินก้อนใหญ่มาด้วยวิธีที่ผิด แต่เพื่อได้ไถ่ตัวดรีมเร็วๆภูริชก็ต้องทำ เขากะว่าหลังจากที่รับดรีมกลับมาเขาจะพยายามดูแลดรีมให้ดีกว่าเมื่อก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าคนตัวเล็กพยายามหลบหน้าเขา เอาแต่คลุกอยู่ในห้องทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมออกไปไหน วันสอบก็รีบออกไปแต่เช้าเพื่อที่จะไม่ให้เจอกัน จนถึงวันนี้ดรีมมาขอเขากลับบ้านและบอกว่าจะไม่กลับมาอีก มันทำให้โกรธเลยพลั้งบอกออกไปแบบนั้น สิ่งร้ายแรงที่ตามมาก็คือดรีมพยายามจะฆ่าตัวตาย
“สอบเสร็จแล้วค่อยกลับ เดี๋ยวกูจะไปรับแล้วจะไปส่งมึงที่บ้านเอง”
การสอบไฟนอลได้จบลง ด้วยความที่ว่าภูริชบอกเขาว่าหลังจากสอบเสร็จจะมารับและจะพาไปส่งบ้าน ดรีมเลยตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะกลับบ้านไปหาครอบครัวที่ต่างจังหวัด หลังสอบเสร็จคนตัวเล็กก็รีบเดินลิ่วๆปลีกตัวออกมาเพื่อมารอให้ภูริชมารับ ควีนที่รั้งแขนเพื่อนสนิทไว้ไม่ทันได้แต่ชะเง้อมองหา ช่วงสอบควีนไม่ค่อยได้เจอดรีมเท่าไหร่แต่ดูจากสภาพของดรีมตอนนี้โทรมลงมากๆทำเอาเจ้าหล่อนอดเป็นห่วงไม่ได้ วันนี้สอบเสร็จกะว่าจะถามไถ่สักหน่อยแต่ก็รั้งไว้ไม่ทัน เพราะคนออกจากห้องสอบพร้อมกันจนมองตามหลังดรีมไม่ทัน
ในขณะที่ยืนรอภูริชมารับ ดวงตากลมโตได้เหลือบไปเห็นรถปอร์เช่สีดำเงาที่คุ้นเคยจอดอยู่อีกฝั่งนึง ดรีมภาวนาขอให้เป็นรถของเผ็ด และแล้วคนตัวสูงที่เปิดประตูลงจากรถนั้นก็คือชายคนที่ดรีมรักจริงๆ ขาเรียวรีบก้าวข้ามถนนไปโดยอัตโนมัติ โดยไม่สนรถที่กำลังแล่นมา...
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
“เห้ย! อยากตายรึไงวะ!” เสียงสบถจากรถที่เบรกกระทันหันไม่ได้กระทบเข้าโสตประสาทของดรีมแม้แต่น้อย ขาเรียวก้าวไปเรื่อยๆเพื่อจะเดินไปหาคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ก็มีมือเข้ามามากระชากตัวดรีมออกไปข้างถนน
“เดินออกไปแบบนั้นเดี๋ยวก็ตายหรอก!” ภูริชตะคอกใส่คนตรงหน้าเพื่อเรียกสติ แต่แววตากลมโตก็ยังคงเหม่อมองไปยังฝั่งตรงข้าม ร่างสูงจึงได้หันกลับไปมองบ้างแต่ก็ไม่พบอะไร
“มีสติหน่อยดรีม กูขอ”
หลังจากที่ภูริชลากดรีมขึ้นมานั่งบนรถได้ คนตัวเล็กก็ได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ดรีมกำลังขาดสติ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แววตามีแต่ความเศร้าหมอง ภูริชเองก็ไม่อยากให้ดรีมเป็นแบบนี้
“ดรีม...” ร่างสูงเรียกคนที่นั่งข้างๆ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา
“….”
“กู...กูขอโทษ...”
“ปล่อยกูไปเถอะนะ...” ดรีมหันกลับมาพร้อมกับน้ำตาใสไหลรินอาบแก้มขาวซีดทั้งสองข้าง
“ให้กูดูแลมึงอีกครั้งไม่ได้หรือ”
“อึก...ปล่อย...ปล่อยกูไปเถอะนะภู...กูขอร้อง...อึกฮือ”
ร่างบางตรงหน้ายกมือไหว้เขาอย่างน่าสงสาร ภูริชได้แต่ถอนหายใจอยู่ซ้ำๆ บางทีความรักก็ไม่ใช่แค่การอยู่ด้วยกัน การดูแลกัน การเอาใจใส่กัน ถึงภูริชจะพยายามรั้งดรีมไว้แค่ไหนแต่หัวใจดรีมก็หลุดลอยออกไปไกลจากตัวเขาแล้ว เขาควรปล่อยดรีมไปให้ไปพบกับความสุขข้างหน้า ไม่ใช่พยายามมาสร้างความสุขเพื่อกลบความทุกข์ที่อยู่ในใจ
“เดี๋ยวไปส่งบ้านนะ”
รถฮอนด้า ซีวิคสีขาว แล่นมาจอดที่หน้าทาวเฮ้าส์สามชั้น พอรถจอดสนิทร่างบางก็รีบเอื้อมมือคว้ากระเป๋าที่อยู่หลังเบาะก่อนจะปลดเข็มนิรภัยออก เมื่อเห็นว่าอีกคนจะเปิดประตูลงจากรถ ภูริชจึงรีบดึงแขนเรียวเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวสิ..”
“มะ..มีอะไร” ร่างเล็กมีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัดและพยายามขืนแขนตัวเองออกจากกำมือของอีกฝ่าย
“กูแค่อยากจะขอโทษ”
“อืม”
“ไปเถอะ...แม่คงรอมึงอยู่” ภูริชยิ้มให้กับอดีตคนรักก่อนจะยอมปล่อยมืออกจากแขนเรียวเล็ก
ดรีมไม่รอช้าก็รีบเปิดประตูสะพายเป้ลงจากรถทันที ภูริชมองตามหลังบางที่วิ่งเข้าบ้านอยู่ไวๆ มือหนาล้วงสมาร์ทโฟนออกมาก่อนจะกดลบวิดีโอที่สร้างความทุกข์ให้แก่คนร่างบาง และกดลบอีกวิดีโอที่ทำให้เขาได้เงินก้อนใหญ่มาไถ่ตัวดรีม...
หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้หนึ่งเดือน ดรีมก็มีสีหน้าดีขึ้นจากเดิม ยิ้มมากขึ้น แต่ก็ยังแอบนอนร้องไห้ตลอดเมื่อคิดถึงเผ็ด ความรู้สึกผิดและความทุกข์ใจยังคงตีรวนอยู่ในอก ทุกวันคุณทิพย์แม่ของดรีมจะเห็นลูกชายตัวเองตาแดงก่ำอยู่ตลอด ถึงเจ้าตัวจะพยายามทำตัวร่าเริงก็เถอะ สัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้คุณทิพย์รู้ว่าดรีมกำลังยิ้มกลบเกลื่อนความทุกข์ใจ เธอได้ปรึกษาคุณธรสามีของเธอว่าจะทำอย่างไรดี คุณธรจึงได้ตัดสินใจว่าควรพาดรีมไปพบแพทย์
“ดรีมลูก...แม่ว่าเราไปหาหมอหน่อยไหม ดูโทรมๆนะลูก”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“พ่อก็เห็นด้วยกับแม่นะ” คุณธรหัวหน้าของครอบครัวพูดขึ้นบ้าง แต่ลูกชายคนโตยังคงส่ายหัวไปมาปฏิเสธอยู่ท่าเดียว
ทานมื้อเช้าเสร็จดรีมก็ขอตัวกลับขึ้นห้องตัวเองอีกเช่นเดิม ถ้าไม่เรียกให้ลงมาก็คงไม่โผล่ออกมาจากห้องเลย คุณทิพย์ได้แต่หนักใจกับอาการของลูกชาย ดรีมเคยเป็นเด็กร่าเริง แต่พอกลับมาคราวนี้ดรีมซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“คุณแม่...พี่ดรีมน่ะ...ร้องไห้ทุกคืนเลยนะ” น้องชายคนเล็กบอก เพราะห้องของเขาอยู่ติดกับพี่ชายจึงได้ยินเสียงพี่ชายตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ทุกคืน
“ตาทีมได้ยินหรือลูก มิน่าล่ะ...ตาแดงลงมาทุกวัน”
“พ่อว่าถ้าดรีมไม่ยอมไปหาหมอ ก็โทรหาลุงหมอให้มาหาเลยดีกว่า”
คุณธรรีบโทรหาพี่ชายที่เป็นแพทย์โรงพยาบาลประจำจังหวัดให้เข้ามาดูลูกชาย ไม่นานลุงหมอก็มาถึงทาวเฮ้าส์สามชั้นก่อนจะขึ้นไปตรวจดูอาการหลานชาย เมื่อเข้าไปในห้องของดรีมก็พบว่าเจ้าตัวนอนอยู่ พอปลุกก็ไม่รู้สึกตัว
“สงสัยคงจะเหนื่อยมั้งครับคุณแม่ พี่ดรีมร้องไห้ทั้งคืนแบบนั้น” ทีมพูดขึ้น
“นี่แหละค่ะลุงหมอ เจ้าดรีมกลับมาก็มีอาหารซึมๆแบบนี้แหละค่ะ”
“ไหนเล่าอาการมาคราวๆหน่อยสิ”
“จากที่ดิฉันสังเกตนะคะ เจ้าดรีมทานข้าวน้อยลงมาก พูดน้อยลงมากปกติแกเป็นคนร่าเริงนะคะ บางทีแกก็มรอาการเหม่อลอยนะคะลุงหมอ” คุณทิพย์รีบเล่าอาการให้ลุงหมอฟัง
“น่าจะเป็นโรคซึมเศร้านะ”
“ตายจริง! แล้วโรคซึมเศร้านี่เกิดจากอะไรหรือคะ”
“สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากความเครียด”
“เครียดอย่างนั้นหรือคะ...”
อาจจะเกิดจากความเครียดสะสม เพราะดรีมเองเป็นเด็กที่ชอบเก็บอะไรไว้คิดคนเดียวตั้งแต่ไหนแต่ไร มีอะไรก็ไม่ค่อยบอกใคร
“ถ้าปล่อยไว้นานอาจจะทำให้ถึงกับคิดสั้นฆ่าตัวตายเลยก็ได้”
“ตายจริง! แล้วมีทางไหนที่จะพอรักษาได้บ้างคะ”
“อืม...ก็ต้องคอยให้กำลังใจเขา คอยสนับสนุนเขา เดี๋ยวฉันจะจัดยาให้ด้วยต้องกินควบคู่กันไป”
“แล้วต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานแค่ไหนคะลุงหมอ”
“สักห้าหกเดือนก็น่าจะดีขึ้นนะ”
ทางฝั่งของเผ็ดหลังจากที่ดรีมไม่อยู่เขาก็เอาแต่คลุกตัวอยู่ในคอนโดไม่ออกไปไหนเช่นกัน ถ้าวันไหนมีสอบค่อยออกไป เนื่องจากปีสี่เหลือสอบอยู่เพียงไม่กี่ตัวเผ็ดจึงมีเวลาเยอะ และพอมีเวลาว่างภายในหัวของร่างสูงก็มีแต่เรื่องของดรีมวกวนอยู่ตลอด จากที่ไม่ค่อยเที่ยวกลางคืนเท่าไหร่เผ็ดก็เริ่มออกเที่ยวทุกคืนหลังสอบเสร็จจนเพื่อนในกลุ่มเริ่มเป็นห่วงสุขภาพ เพราะไปแต่ละทีโดนหิ้วกลับคอนโดตลอด
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เผ็ดมาเที่ยว
“ไงมึง มาทุกวันแล้วพวกกูก็หิ้วมึงกลับทุกวันเลย” กายบ่นเมื่อเห็นเพื่อนร่างสูงเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะโซนวีไอพี
“บ่นอยู่ได้” พอนั่งไม่ทันไรร่างสูงก็กระดกวอดก้าเข้าปากไปหลายยก กายที่นั่งข้างๆก็ได้ปรามเพื่อนไว้
“ค่อยๆก็ได้ไอ้เสี่ย รีบเมาจริงๆเลย”
“แล้วดรีมหายต๋อมไปกับไอ้ภูเลยหรือวะ” ภาคินที่นั่งเงียบมองเพื่อนมานานก็ได้เอ่ยปากถาม
“เรื่องของแม่งเหอะ กูไม่สนอะไรแล้ว”
“ไม่สนแต่เสือกเมาเรี่ยราดทุกวัน” กายถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“มึงไม่สงสัยหรือวะว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจ” คำถามของภาคินทำเอาเผ็ดที่กำลังจะยกแก้วกระดกถึงกับชะงัก
เผ็ดคิดมาตลอดว่าที่ดรีมเปลี่ยนไปกลับไปหาภูริชอาจจะเป็นเพราะยังรักอยู่ สำหรับเขาแล้วดรีมอาจจะแค่รู้สึกดีด้วยก็แค่นั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเผ็ดเปิดประตูเข้าไปเจอภูริชกำลังกอดกับดรีม ซึ่งก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆให้แก่เขาเลยสักนิด มีเพียงคำว่าขอโทษ จะให้เขาคิดอย่างไรล่ะ
“มันอาจจะยังรักไอ้ภูริชก็ได้ ใจคนมันเปลี่ยนได้ตลอดนั้นแหละ”
“แต่กูว่ามันแปลกๆ”
“โว้ะ ไอ้คิน...มึงนี่เป็นนักสืบรึไง สงสัยนู้นนี้นั้นอยู่ได้” กายพูดขึ้นเพื่อตัดบทสนทนาระหว่างเพื่อนทั้งสอง มาเที่ยวทั้งทีไม่อยากให้ตึงเครียด
ระหว่างที่เผ็ดกำลังนั่งกระดกวอดก้าเข้าปากอย่างเมามันส์ สายตาคมก็เหลือบมองไปเห็นร่างอันคุ้นเคยของใครสักคนที่เต้นนัวเนียกับชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดี พอเพ่งมองชัดๆก็เห็นว่าเป็นนายแบบหน้าใสที่เขาเคยไปนัดเจอเมื่อเดือนก่อนๆ เผ็ดฉุดลุกขึ้นก่อนจะเดินอาดๆเข้าไปคว้าแขนของร่างบางก่อนจะฉุดกระชากลากออกไปข้างนอกร้าน กายและภาคินก็มองตามอย่างงงๆแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าไอ้เสี่ยมันจะฉุดเด็กขึ้นห้องก็เป็นได้
“โอ๊ย!! คุณลากผมมาทำไม!” มาร์ชโวยวายเมื่อโดนคนร่างสูงลากออกมา
“มึงใช่ไหมที่ให้เงินล้านไอ้ภูริชไปใช้หนี้” เผ็ดบีบต้นแขนของอีกคนด้วยความเกี้ยวโกรธ จนร่างบางถึงกับโอดครวญออกมา เผ็ดจึงได้ละมือออก
“โอ๊ยคุณ! แล้วถ้าผมจะให้มันเกี่ยวอะไรกับคุณกัน”
“กูเตือนมึงไปแล้วว่าไอ้ภูริชมันเอาเงินไปทำอะไร แต่ก็ยังโง่เอาเงินตั้งล้านนึงให้มัน!”
“หึ คุณมันจะไปรู้อะไร! ถ้าผมไม่ให้เงินมันไปมันก็จะทำลายชีวิตผม!!”
“ทำลาย? หมายความว่ายังไง”
“ก็ไอ้บ้านั้นมันขู่ผมว่าถ้าไม่เงินมัน มันก็จะประจานผมน่ะสิ!”
“ขู่? แล้วไอ้ภูริชมันจะประจานมึงเรื่องอะไร” ไม่ทันได้คาดคั้นก็มีชายร่างสูงหน้าตาดีที่เต้นนัวอยู่กับมาร์ช เข้ามาดึงตัวมาร์ชกลับพร้อมกับมองหน้าเผ็ดอย่างเอาเรื่อง
“มึงลากแฟนกูออกมาทำไม อยากตายรึไงวะ” ชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นแฟนมาร์ชเข้ามากระชากคอเสื้อเผ็ด
“มึงต่างหาก...ที่ต้องตาย”
ด้วยอาการคันไม้คันมือมาหลายวันจากการไม่ได้เก็บหนี้มาสองอาทิตย์ และที่สำคัญความแค้นจากไอ้ภูริชทำให้เผ็ดสวนหมัดปะทะเข้ากับหน้าของอีกฝ่าย เมื่ออีกฝ่ายล้มลงกับพื้นเผ็ดก็ยกเท้ากระทืบเพื่อระบายโทสะ
ตื่นมาก็พบกับอาการปวดหัวทันที เมื่อคืนจำได้ว่าไล่กระทืบแฟนไอ้นายแบบหน้าอ่อนนั้นปางตายโทษฐานมายียวนกวนประสาทเขา ก่อนจะฟาดเงินก้อนนึงให้มันไปรักษาเบ้าหน้าที่บูดเบี้ยว ต่อจากนั้นเผ็ดก็กลับเข้ามากระดกเหล้าต่อจนกายและภาคินหิ้วกลับคอนโดอย่างทุกวัน ร่างสูงลุกขึ้นมาสะบัดหัวคลายความมึน เอื้อมตัวหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดดูก็ปาไปบ่ายคล้อยแล้ว กะจะล้มตัวนอนต่ออีกสักหน่อย แต่เสียงกดออดหน้าห้องดังขัดขึ้นมาซะก่อน
“shit! ใครวะแม่ง”
ถึงจะหัวเสียแต่ก็ยอมลุกไปเปิดประตูแต่โดยดี คนที่มากดออดหน้าห้องของเขาไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือหญิงสาวเจ้าของผมยาวสีบลอนด์สวยเพื่อนคนสนิทของดรีมนั้นเอง ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับการมาของอีกคน
“มาทำไมวะ”
“มาหาดรีมน่ะสิ” เจ้าหล่อนว่า
“หึ เพื่อนรักเธอไม่ได้บอกรึไงว่าหนีตามผัวเก่าไปแล้ว”
“ว่าไงนะ!!!!!!” ควีนมีท่าทีตกใจ ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเจ้าหล่อนก็ชักสีหน้าใส่เขา
“คุณปล่อยดรีมไปกับไอ้คนชั่วแบบนั้นได้ยังไง!!!!”
“ก็เพื่อนเธอเลือกที่จะไปเอง ฉันจะไปห้ามอะไรได้ล่ะ” ร่างสูงยืนกอดอกพิงขอบประตูมองหญิงสาวอย่างเหนื่อยหน่าย
“แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมดรีมถึงเลือกที่จะไปกับภูริช ทั้งๆที่ดรีมเองก็เกลียดภูริชเข้าไส้”
“ฉันจะไปรู้หรือวะ มันอาจจะหวนคิดถึงผัวเก่ามันก็ได้ ใครจะไปรู้!!”
“เหอะ แล้วรู้ไหมว่าดรีมโดนไอ้ภูแบล็คเมล์”
คำพูดของหญิงสาวทำให้เผ็ดเกิดความฉงนขึ้นอีกครั้ง เมื่อคืนที่ไอ้นายแบบหน้าใสนั้นบอกว่าไอ้ภูริชมันข่มขู่ ถ้าไม่ให้เงินมันก็จะทำลายชีวิต หรือไอ้นายแบบชื่อมาร์ชนั้นก็โดนแบล็คเมล์อย่างนั้นหรือ
“หมายความว่าไง”
“ให้ตายสิ ดรีมก็คงไม่เคยบอกอะไรคุณเลยสินะ...”
“บอก? บอกอะไร”
“ดรีมโดนไอ้ภูริชถ่ายคลิปแบล็คเมล์ไว้น่ะสิ!!!”
TBC.
talk:เรื่องนี้...โง่ทุกคน ภาคินฉลาดอยู่คนเดียว