The underworld (2)
ภพสวรรค์
คงเหวินไม่เคยเห็นท่านเจ้าวังของเขามีสีหน้าโกรธขึ้งเช่นนี้มานานแล้ว แม้จะไม่ทรงแสดงออกด้วยกริยาหรือวาจา แต่ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง ดวงตาสีทองเรียบเฉยไร้ความเมตตาเช่นทุกที และบรรยากาศรอบกายเยียบเย็น กดดันจนแทบหายใจไม่ออก ก็สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติของตงหวางได้เป็นอย่างดี
นับตั้งแต่ตงหวางกลับมาจากโลกมนุษย์ ก็ตรงดิ่งไปยังหอคุณธรรม เมื่อกลับมาถึงวังตะวันออก สีหน้ายิ่งย่ำแย่กว่าเดิม คาดว่าคงไม่พบคนที่ตามหา คราแรกคงเหวินยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องราวร้ายแรงอะไร ลอบหวาดกลัวไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดเหตุกับวังตะวันออก หรือภพมังกร กระทั่งได้ยินตงหวางถามว่า ‘จิวซือได้กลับมาที่นี่หรือไม่’ ค่อยตระหนักว่าต้นเหตุที่ทำให้เจ้านายของเขากริ้วถึงเพียงนี้ คือเซียนน้อยผู้หนึ่ง
จิวซือ เขาใคร่พบหน้าเซียนน้อยผู้นี้เหลือเกิน
“สหายเซียนไม่ได้มาที่นี่ขอรับ” คงเหวินรายงานอย่างระวัง แต่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเทพผู้ครองยมโลกมาตามหาจิวซือที่วังตะวันออก “ก่อนหน้านี้ เทพยามาก็มาตามหาสหายเซียนขอรับ”
“เทพยามา?”
“ขอรับ หลังจากท่านเจ้าวังลงไปโลกมนุษย์เพียงวันเดียว”
เห็นสีหน้าครุ่นคิดของอวิ๋นหนาน คงเหวินจึงกล่าวเสริมว่า “ยมโลกมีเทพยามาองค์ใหม่แล้วขอรับ”
ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานมีประกายพาดผ่าน ความหงุดหงิดผุดขึ้นกลางใจ เสมือนตอน้ำเล็กๆ ที่ปล่อยกระแสแห่งความขุ่นมัวไหลนองไปทั่วอก อยู่ๆ ก็หายไปจากสายตาเขาที่คอยเฝ้าดู แค่พริบตาเดียวก็เหลือไว้เพียงแต่กายว่างเปล่าปราศจากวิญญาณ หากรู้ว่าเป็นผู้ใด...
“ตราผ่านทาง”
คราวนี้คงเหวินตกใจจริงๆ แต่ไม่กล้าเอ่ยถามสักครึ่งคำ ด้วยน้ำเสียงของท่านเจ้าวังแฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล ท่านเจ้าวัง...คิดจะไปตามคนถึงยมโลกเชียวหรือ
ยมโลก
จิวซือไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเทพยามามากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะยมโลกเป็นดินแดนปิด เป็นดินแดนที่ต้อนรับเฉพาะคนตาย เทพยามาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบปรากฎตัว คนที่รู้จักและมีความสัมพันธ์กับเขามีน้อยเพียงหยิบมือ นึกไม่ถึงว่าเวลานี้ตัวเองจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
คราวก่อนที่พบกับในงานชุมนุมเทพเซียน อี้เทียนบอกว่าผ่านด่านคุณธรรมแล้ว จิวซือคิดว่าอีกฝ่ายจะได้เป็นเทพในสังกัดของแม่ทัพสวรรค์ ด้วยความสามาถเชิงยุทธ์เป็นเลิศ ต้องก้าวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายยังเป็นเขาที่ประเมินอี้เทียนต่ำไป
ฟ่อๆ
งูพิษสีดำตัวเดิมยกหัวเล็กๆ ขึ้นมาถูแก้มอี้เทียน จากนั้นก็ผงกหัวให้จิวซือ ดวงตากลมสีดำคล้ายลูกปัดของมันที่จับจ้องใบหน้าของจิวซือมีประกายอ้อนวอน เมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีปฏิกริยา หัวเล็กๆ ก็ตกลง ซบอยู่กับซอกคอของอี้เทียนอย่างหดหู่
“มันชอบเจ้า” อี้เทียนกล่าว นิ้วชี้ลูบหัวเจ้างูน้อยเบาๆ “มันอยากขอโทษ” ได้ยินอี้เทียนช่วยอธิบายความในใจ เจ้างูก็รีบชูคอ มองหน้าจิวซือ แล้วผงกหัวลง
เห็นท่าทางแสนรู้และน่าเอ็นดูเช่นนั้น จิวซือก็อดยื่นมือไปลูบลำตัวลื่นๆ ของมันไม่ได้ เจ้างูน้อยร้องฟ่อๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ แล้วใช้หางพันข้อมือของจิวซือไว้
“มันปลุกสำนึกแล้วหรือ” จิวซือถาม งูเป็นสัตว์เลื้อยคลาน มีวรรณะต่ำกว่ามนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดังนั้นการปลุกสำนึก หรือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ‘สติปัญญา’ นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องบำเพ็ญตบะร้อยปีกว่าจะเริ่มมีปัญญา รับรู้ เข้าใจภาษามนุษย์ และบำเพ็ญเพียรอีกพันปีจึงจะมีสิทธิเข้าสู่วิถีเซียน ถึงเวลานั้นค่อยสามารถแปลงกายเป็นมนุษ์ และมีอิทฤทธิ์ไม่แพ้เซียนทั่วไป
“อืม เพราะได้เลือดกับพลังเซียนของเจ้า เจ้าตัวน้อยเลยพลอยได้ตบะร้อยปีมาด้วย”
คำตอบของอี้เทียนทำให้จิวซือเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ตบะร้อยปีของเขาน่ะหรือ ร่างที่ถูกเจ้าตัวนี้กัดตายเป็นร่างกายของมนุษย์ธรรมดาชัดๆ นอกจากนั้นตัวเขายังเป็นเพียงเซียนเล็กๆ ต่อให้จิตเซียนแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรก็ไม่น่าจะทดแทนตบะร้อยปีได้
“เป็นไปได้อย่างไร”
อี้เทียนมองจิวซืออย่างมีความหมาย เขาเลี่ยงไม่ตอบคำถาม แต่กลับจับเจ้างูดำไปวางบนฝ่ามือของจิวซือและขอให้เขาตั้งชื่อมัน
“ตั้งชื่อให้มันสิ”
เห็นอี้เทียนไม่ตอบข้อสงสัยของเขา จิวซือก็ไม่ว่าอะไร เจ้างูตัวเล็กบนฝ่ามือชูคอมองเขาอย่างคาดหวัง ทำให้อดนึกถึงดีแลนที่มีร่างเดิมเป็นงูดำสี่ขาไม่ได้ ความเชื่อของนอร์ทคือหากงูสี่ขาผ่านด่านอัสนีเก้าชั้นฟ้าจะกลายเป็นเทพมังกร ไม่ทราบจริงหรือไม่ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอนึกถึงสหายผู้นั้นอีกแล้ว ก็ได้แต่นึกขันในใจ ดูท่าเขาคงจะมีวาสนากับสัตว์จำพวกงูกระมัง
จิวซือลูบหัวเล็ก แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเฮย” เฮยแปลว่าสีดำ เสี่ยวแปลว่าเล็ก ในเมื่อเจ้าตัวนี้เป็นงูสีดำตัวเล็ก ก็ย่อมต้องชื่อว่าเสี่ยวเฮ่ย
อี้เทียนอมยิ้ม สีหน้าของเขาอ่อนโยนลง พลอยให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลงไปด้วย “เจ้ายังตั้งชื่อไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนเดิม”
ได้ยินอี้เทียนบอกว่าชื่อเสี่ยวเฮยของมันไม่ได้เรื่อง เจ้างูก็ชูคอขึ้นมาขู่ฟ่อๆ เป็นเชิงประท้วง เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเจ้านายใหม่เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังออกโรงปกป้องอย่างแข็งขัน แทบลืมไปว่าบุคคลที่มันประท้วงอยู่นั้นเป็นนายแห่งยมโลก
จิวซือยิ้ม อดรู้สึกเอ็นดูเสี่ยวเฮยไม่ได้
“ข้าเพิ่งเคยมายมโลก”
“เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นกัน” อี้เทียนกล่าว จากนั้นก็จับมือจิวซือให้เดินไปด้วยกันกับเขา จิวซือก้มมองข้อมือที่ถูกเกาะกุม อุณหภูมิจากร่างกายของอี้เทียนเย็นกว่าคนทั่วไปอยู่มาก กระนั้นเขาก็ไม่ได้ดึงออก
ยมโลกที่อี้เทียนพาจิวซือไปเดินเที่ยวชมนั้นเป็นแค่อาณาเขตชั้นในสุด กล่าวคือเป็นบริเวณปราสาทดำ และหอคอยของเหล่าบริวารระดับสูงซี่งมีอยู่ไม่ถึงร้อยคน เทียบกับพื้นที่กว้างใหญ่สุดสายตาแล้ว เรียกว่าน้อยมาก
ปราสาทของอี้เทียนทำจากหินสีดำ มีบันไดสูง 1,008 ขั้น รอบปราสาทปลูกดอกไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าดอกไม้วิญญาณ กลีบดอกเรียวเล็กมีสีแดงสด มันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่เบ่งบานในดินแดนที่ไร้แสงแดดอย่างยมโลก เพราะใช้พลังวิญญาณในการเติบโต
หอคอยต่างๆ ที่อยู่ห่างจากปราสาทดำของอี้เทียนออกไปมีลักษณะเป็นทรงกระบอก สูงต่ำต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนทำจากหินสีดำ ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษที่มีแต่ในยมโลกเท่านั้น มีคุณสมบัติทนทาน และมีพลังป้องกันดีเยี่ยม
ถัดจากอาณาเขตชั้นในสุด จึงจะเป็นโลกวิญญาณที่แท้จริง แต่ละเขตมีหยานหวางปกครองอยู่ ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์แล้ว หยานหวางก็เปรียบได้กับอ๋อง ขณะที่เทพยามาเป็นฮ่องเต้ ต่างกันตรงที่หยานหวางมีอำนาจสิทธิ์ขาดในดินแดนของตัวเอง หากไม่มีเรื่องร้ายแรง จะมาพบเทพยามาเพื่อรายงานทั่วไปปีละหน และเทพยามาก็มิใคร่ยุ่งเกี่ยวกับภารกิจเหล่านี้ เขามีหน้าที่ในการรักษาสมดุล และความสงบสุขของยมโลก เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของยมโลก อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีปัญหาเรื่องกบฎหรือแย่งบัลลังก์เหมือนพวกมนุษย์ เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างในยมโลกถือเทพยามาเป็นนาย และเชื่อฟังแต่เขาผู้เดียว นี่คือกฎและวิถีของยมโลก
อี้เทียนพาจิวซือมาถึงหน้าผาสูงเป็นชะง่อนยื่นไปกลางอากาศ หน้าผาแห่งนี้มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือพื้นดินรอบๆ ยกตัวสูงจนสามารถมองเห็นอาณาเขตได้รอบทิศ ด้านหน้าคือเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนจนนับไม่ถ้วน มีหมอกสีแดงจางๆ ปกคลุมอยู่ ด้านซ้ายเป็นทะเลทรายกว้างไกลไร้จุดจบ ด้านขวาเป็นทะเลลาวาเดือด และด้านหลังคือแม่น้ำใหญ่ชื่อว่าซันสี เป็นแม่น้ำที่เชื่อมไปยังโลกมนุษย์ และรับดวงวิญญาณจากทุกสารทิศเข้ามาสู่ยมโลก ก่อนจะแยกไปยังสิบเขตปกครอง ในบรรดาทั้งสี่ทิศ จิวซือคิดว่าแม่น้ำซันสีดูสวยงามและปลอดภัยที่สุด แต่อี้เทียนกลับบอกว่านั่นคือที่ที่อันตรายที่สุด ภายใต้ผืนน้ำระยิบระยับคืออสูรกาย และปีศาจร้ายที่พร้อมจะดึงดวงวิญญาณทั้งหลายให้จมลง ดังนั้นจึงต้องมีคนพายเรือพาข้ามมาส่ง เรือเมื่อพายออกมาแล้วจะไม่หันหัวเรือกลับ จนกว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่ง
ทิวทัศน์ที่ได้เห็นแตกต่างจากที่เคยจินตนาการไว้มาก หลายอย่างดูขัดแย้งจนไม่น่าอยู่ร่วมกันได้ บางทีนี่คงเป็นแก่นแท้ของยมโลก เช่นเดียวกับผู้ปกครองของมัน ความดี ความเลว พลังเทพและมาร ล้วนแล้วแต่รวมอยู่ในร่างของเขา
ยมโลกกว้างใหญ่ และซับซ้อนกว่าที่คิด แต่ก็เงียบเหงาวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ตรงข้ามกับวังตะวันออก แม้จะมีอาณาเขตไม่กว้างมากนัก แต่ทุกวันเต็มไปด้วยสีสัน และเสียงพูดคุยของผู้คน
แม้เทพยามาจะย่ิงใหญ่จนทุกภพต้องไว้หน้า จิวซือกลับรู้สึกว่าข้างในช่างว่างเปล่านัก
“เจ้าบอกจะไปเยี่ยมข้าที่วังตะวันออก นึกไม่ถึงว่าจะเชิญข้ามาที่นี่แทน”
อี้เทียนผุดรอยยิ้มบางเบา ไม่อธิบายเรื่องที่เขาต้องรับบททดสอบเพื่อเป็นเทพยามาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพียงแต่ทอดสายตามองไปไกล เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า
“ซื่อเสวี่ยน มาอยู่กับข้าเถิด”
#วิถีเซียน3p