ตอนที่ 5 : ข้อตกลง
หลังเลิกงาน ผมที่เดินออกมาเจอกับผู้ชายสองคนยืนรออยู่คนละมุมหน้ารถคนละสีก็ตัดสินใจยิ้มส่งน้อยๆ แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ของแมนกลับหอพักทันที
“คุณหรัญญ์!”
“รัญ!”
ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น วันนี้ผมอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเต็มแก่แล้ว!
“เป็นมึงนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ” แมนพูดอย่างเห็นใจเมื่อจอดรถใต้หอพัก ผมถอดหมวกกันน็อกส่งคืนพลางสะบัดศีรษะให้เส้นผมปรกบ่าคืนทรง “แล้วหนีแบบนี้คุณคีรีอะไรนั่นไม่โกรธแย่เหรอ”
“กูไม่ได้พูดสักคำว่าได้”
“มึงไม่ตอบ ก็คือตกลงละวะ” แมนกลั้วหัวเราะพลางขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้ ผมรีบยกมือปัดทันที ไอ้หมอนี่รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครจับก็ขยันแกล้งซะเหลือเกิน “ไม่เห็นวันนี้รึไง ขัดใจท่านประธานมากเข้าระวังจะโดนเอาปากขวดแทงท้องทะลุได้ล่ะ เห็นหงิมๆ อย่างนั้นเอาเรื่องฉิบหาย”
“...กูเลยกลัวจนเผ่นมาตั้งหลักใหม่นี่ไง” ผมถอนหายใจเฮือก แค่คิงส์คลับก็ทำให้ผมแทบเป็นโรคประสาทอยู่แล้ว เจอหน้าราเชนทร์ทุกวันก็เล่นซะปวดเศียรเวียนเกล้า ถ้าต้องมารับมือกับอาการผีเข้าผีออกของคีรีอีก ผมไปโดดน้ำตายยังสบายกว่าเลย “จะไล่ก็พูดไม่เต็มปาก ทิปหนักทั้งนั้น”
“ไอ้งก”
“ดีกว่าไม่มีกินแล้วกัน” ผมว่าพลางเหลือบมองแมนที่ล็อกโซ่กับล้อมอเตอร์ไซด์ หอพักของพวกผมเป็นห้องราคาถูก เลยไม่มีที่จอดรถดีๆ หรือกล้องวงจรปิดสำหรับจับขโมย “แล้วเงินที่มึงยืมไป...”
“โอ๊ยๆ กูไม่พูดแล้วไอ้รัญ กูขอโทษ ไว้เงินเดือนออกค่อยคืนนะเพื่อน ฝันดี!”
ดูเพื่อนผมสิ พอทวงเข้าหน่อยก็เผ่นแน่บพอกันละวะ ผมอมยิ้มมองไอ้แมนที่รีบวิ่งขึ้นชั้นสองเร็วปานติดจรวดแล้วจุดบุหรี่ยืนสูบเงียบๆ มองฟ้ามองดาวยามกลางคืนให้สงบจิตสงบใจ
เงินเดือนของผมกับแมนไม่น้อยเลย ทำงานกลางคืนในสถานที่เสี่ยงขนาดนั้นถ้าตั้งใจเก็บสักหน่อยก็รวยได้ไม่ยาก ประเด็นคือเราทั้งคู่ต่างมีภาระ ไอ้แมนเห็นอย่างนั้นแต่มีน้องชายกับน้องสาวอย่างละคนที่ต้องส่งเสียค่าเล่าเรียน ส่วนผม...ผมมีภาระคือการดูแลตัวเอง รสนิยมความชอบแบบนี้จะหาคู่แท้นั้นคงยาก ฉะนั้นนี่คือแผนเก็บเงินสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียนอย่างโดดเดี่ยว
คืออย่างนี้ครับ...ผมเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน พ่อแม่เองก็มีฐานะพอกินพอใช้ไม่ลำบาก เสียอย่างเดียว...เขาดันรับผมที่เป็นแบบนี้ไม่ได้ แถมตอนนั้นผมก็ดันมีแฟนเป็นตัวเป็นตน หลงรักหัวปักหัวปำสุดๆ ไม่รู้ว่านึกอุตริอะไรขึ้นมา เลยเก็บข้าวของหนีตามกัน แต่หลังจากนั้นผมก็โดนทิ้ง ทำเอาอับอายจนไม่กล้ากลับบ้าน
สรุปแล้วผมหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุสิบแปด เรียนยังไม่จบมหาลัยด้วยซ้ำ
ไม่ต้องมองอย่างสมเพชหรอกนะ ผมเองก็ยังอนาถตัวเองไม่หาย ขนาดไอ้แมนที่ช่วยหาห้องให้อยู่ สอนทักษะบาร์เทนเดอร์ให้ผมหาเลี้ยงตัวเองยังไม่เคยเล่าอดีตอันน่าอดสูให้ฟังเลย ไอ้แมนอายุมากกว่าผมสองปี ถ้าไม่ได้เพื่อนคนนี้ผมคงตกระกำลำบาก ตระเวนหางานจุกจิกที่ไม่ต้องใช้วุฒิ เพราะอย่างนี้ผมถึงตั้งใจเก็บเงิน อาศัยรูปร่างหน้าตาหากำไรให้เต็มที่ ยังไงซะอีกเดี๋ยวก็เหี่ยวทำประโยชน์ไม่ได้อยู่แล้ว อะไรโกยได้ก็โกยไป พอแก่ตัวจะได้ไม่ลำบากคนอื่น ไม่สิ ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีใครจะสนใจผมหรอก สรุปแล้วที่ทำไปน่ะเพื่อตัวเองล้วนๆ
พอทบทวนปณิธานแล้วก็ชักฮึดสู้ ผมดับบุหรี่ทั้งที่สูบไม่ถึงครึ่งมวน เดิมทีก็ไม่ใช่คนติดของพรรค์นี้อยู่แล้ว แต่พกไว้เพราะช่วยคลายเครียดต่างหาก ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากจะทำลายสุขภาพตัวเองนักหรอก
เฮ้อ พรุ่งนี้ก็ทนต่อไปนะหรัญญ์เอ๊ย!ผมให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินกลับเข้าไปในหอพักเก่าโทรมที่แมนเป็นคนแนะนำให้ ห้องเช่าราคาถูกกลางเมืองกรุงน่ะไม่มีหรอก เพราะอย่างนี้ที่นี่เลยเข้าซอยมาลึกพอสมควร แสงไฟอะไรก็ไม่ค่อยมี เข้าขั้นวังเวงขนหัวลุกอยู่พอสมควร
โชคดีที่ผมไม่กลัวผี
แต่กลัวคนน่ะ...ไม่แน่
“อย่าเอะอะแล้วส่งของมีค่ามาให้หมด” เสียงกระซิบขู่มาพร้อมกับของมีคมที่สะกิดหลัง ผมยืนตัวเกร็ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเหม่อถึงขนาดปล่อยให้โจรเข้ามาปล้นเอาหน้าหอพัก พอจะเงยหน้าเรียกไอ้แมนก็ไม่ทัน เพราะมันเข้าห้องไปแล้ว
หวังความช่วยเหลือจากคนเดินผ่านไปมาตอนตีสามย่างตีสี่?
หึ ไม่มีทาง
ผมได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาระหว่างหยิบกระเป๋าเงินส่งให้โดยไม่อาจขัดขืน ทิปที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ วันนี้ รวมกับทิปของวันอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เอาไปฝากธนาคารร่วมสามหมื่น...หมดกัน!
“โทรศัพท์ล่ะ”
ยังจะเอาโทรศัพท์ไปอีกเหรอ!
ผมได้แต่กัดฟันอย่างฝืนทน ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่ราเชนทร์ซื้อให้ตอนคบกันเมื่อเดือนก่อน...ทั้งที่คิดว่าจะเอาไปขายในเร็วๆ นี้แล้วเชียว
“นาฬิกาข้อมือนั่นด้วย ส่งมาอย่าชักช้า” ปลายมีดสะกิดแผ่นหลังเป็นระยะ ทำให้ผมต้องทำตามคำนั้นแม้อยากจะประวิงเวลามากแค่ไหนก็ตาม นาฬิกาแบรนด์เนมที่อ้อน...เอ๊ย ราเชนทร์ยกให้ ผมคิดจะเก็บไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เอาไปจำนำแท้ๆ
เข้าใจรึยังล่ะว่าทำไมภาวินถึงได้หมั่นไส้ผมนักหนา
แต่ดูเหมือนกรรมจะตามสนองผมแล้ว
“จะเอาอะไรอีกมั้ย”
“หัวเข็มขัด”
...ไม่ให้แก้ผ้าไปเลยล่ะ!แน่นอนว่านั่นแค่คิดในใจ เพราะความเป็นจริงผมถอดเข็มขัดหัวเหล็กแกะสลักอย่างดีเหมาะสำหรับนักสะสม...แต่นี่ไม่ใช่ของราเชนทร์หรอกนะ เป็นของที่ผมได้มาจากภาวินตอนเข้าทำงานที่คลับใหม่ๆ เขาบอกว่าเป็นบาร์เทนเดอร์ต้องแต่งตัวให้ดูดี จากนั้นก็ถอดของตัวเองสดๆ แล้วเข้ามาช่วยสวมเอวให้ผม อืม...
ข้ามเรื่องนั้นก่อนดีกว่า ยังไงผมกับภาวินก็ไม่เคยมีอะไรกันอยู่แล้ว
“เอารองเท้าด้วยมั้ย”
“ก็ดี”
ผมก้มตัวถอดรองเท้าหนังดูมีคลาส ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นแค่ของมือสองที่ซื้อตามตลาดนัด แต่มืดขนาดนี้จับสังเกตยากยิ่งกว่ายาก โดยเฉพาะกับโจรที่กำลังตาวาว ไม่สิ อย่าว่าแต่โจรกระจอกคนนี้เลย มาเห็นกับตาใครเลยจะเชื่อว่าผมที่พกเงินสดสามหมื่น ใช้ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด สวมนาฬิกาข้อมือแบรนด์ดังรุ่นลิมิเต็ด แถมยังแต่งตัวดูมีราศีจะสวมรองเท้าหนังไร้ยี่ห้อ
แต่ถึงไม่มียี่ห้อก็ใช้เป็นอาวุธได้...
ผมจับรองเท้าด้วยสองมือ ฉวยจังหวะตอนที่โจรกำลังเผอเรอเพราะมัวโลภรอรับของฟาดรองเท้าเข้าเต็มกกหู ถึงจะไม่ค่อยชอบเรื่องวิวาท แต่การเห็นอัศวินแดงฝีมือในคลับทุกวันก็ทำให้ผมพอรู้จังหวะเหมือนกัน
“เฮ้ย!”
โจรกระจอกหน้าสะบัด รีบยกมือปิดหน้าพัลวันเพราะตอนแรกตั้งใจยืนขู่ข้างหลังผมปกปิดตัว แต่ตอนนี้น่ะเหรอ...รอยยางรองเท้าที่ประทับบนแก้มทำให้ผมระรื่นเป็นอย่างมาก รีบยกเท้าถีบแล้วยึดทั้งมีดทั้งกระเป๋าเงินและของมีค่าทั้งหมดคืน
สิ่งแรกที่ผมทำคือโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
พลเมืองดีมั้ยล่ะ
“สวัสดีครับ ผมอยากแจ้งความคดีปล้...” พูดไม่ทันจบประโยคดีไอ้โจรกระจอกก็สู้ตายลุกขึ้นมาชนผมเต็มแรงจนโทรศัพท์หลุดมือ แล้วยังพยายามแย่งมีดคืนอีกต่างหาก ถึงตอนนี้ผมเองก็เลือดเข้าตาเหมือนกัน ถ้าไม่ทุ่มสุดตัวมีหวังขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งในฐานะศพโดนแทงตายแน่ๆ
เพราะผมเห็นหน้ามันแล้ว
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย!” ในเมื่อไม่ถูกจี้ ผมก็ตะโกนไม่รีรอที่จะตะโกนสุดเสียงทันที ให้ตายเถอะ ไม่เคยต้องตะเบ็งขนาดนี้มาก่อนเจ็บคอชะมัด ถึงจะไม่มีใครตื่นมาตอนดึกดื่น แต่อย่างน้อยผมก็หวังว่าไอ้แมนอาจจะโผล่หน้ามาดูบ้าง มันคงไม่รีบเข้านอนเร็วนักหรอก
และก็ได้ผล
ไอ้แมนจำเสียงผมได้ เปิดประตูมาดูอย่างตกใจ
“ช่วยกูด้วยแมน!”
คราวนี้โจรกระจอกไม่มีทางเลือก เลิกยุ่งกับมีดแล้วผลักผมกระเด็นเตรียมหนี
โชคช่วยที่ผมล้มลงข้างๆ กับรองเท้าที่ถอดทิ้งระเกะระกะพอดี พอคว้าเข้ามือผมก็ปาออกไปเต็มแรง ฟาดเข้าเต็มๆ หลังหัวโจรกระจอกจนหน้าแทบทิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังตาลีตาลานวิ่งหนี ผมเลยจัดให้อีกข้างเพื่อเข้าคู่กัน
ครั้งนี้หวืดเพราะใส่แรงมากไป ลอยข้ามหัวโจรกระจอกไปโดนคนที่กำลังวิ่งสวนมาพอดี
“ช่วยจับโจรด้วยครับ!” ผมรีบบอก เพราะความมืดเลยเห็นเงาดำๆ พอไอ้แมนเข้ามาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นก็รีบวิ่งตามไปหวังจะจับคนร้ายให้ได้ แต่ก็ต้องยืนอึ้งเพราะโจรกระจอกนอนตาเหลือกอยู่กับพื้น จมูกมีเลือดกำเดาไหลกลบปากเหมือนถูกหมัดน็อก ส่วนผู้ลงมือก็เป็นใครไปไมได้นอกจากคนที่ถือรองเท้ามือสองของผมพลิกไปพลิกมาอย่างสนใจ
“เดินเท้าเปล่าเดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก เอ้า รีบใส่เถอะ”
ผมเผลอถอยหลังโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อคนคนนั้นก้มตัวลงวางรองเท้าสองข้างกับพื้นขัดกับภาพลักษณ์อย่างจัง
“คุณมาที่นี่ได้ไง คุณคีรี”
“ฉัน...” คีรีนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนพยายามหาเหตุผล ทำไมถึงเป็นคนที่ซื่อขนาดนี้นะ “ฉันอยากให้ช่วยทำแผลน่ะ”
ว่าจบท่านประธานก็ชี้ไปให้ดูแผลตรงหางคิ้วที่มีเลือดซึมเล็กๆ เทียบไม่ได้กับโจรกระจอกที่นอนตาเหลือกเลือดอาบหน้าไม่ได้สักกะผีก!
“รัญ...กูเรียกรถพยาบาลก่อนหรือแจ้งตำรวจก่อนดีวะ”
“เอาที่มึงสบายใจเถอะ” ผมตอบแมนด้วยความรู้สึกสับสนพอกัน บอกตามตรงตอนเจอโจรผมแค่ตกใจ แต่พอเจอคีรีเอาตอนดึกๆ ดื่นๆ ในสถานการณ์เหนือคาดขนาดนี้ ผมขนหัวลุก!
ให้ตาย หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ!!หลังให้ปากคำตำรวจและมองส่งโจรขึ้นรถโรงพยาบาล ผมก็จำใจพาคีรีเข้าห้องเพื่อทำแผล
ความจริงก็อยากไล่กลับอยู่หรอก แต่ผมข้องใจกับพฤติกรรมประหลาดของเขาจนถ้าไม่ถามวันนี้คงนอนไม่หลับ
“ไหนคุณบอกว่าจะไม่ตามที่อยู่ผมแล้วทำเกินขอบเขตไงครับ”
“ฉะ...ฉันขอโทษ”
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คำสัญญาอะไรเชื่อถือไม่ได้สักนิด!
ผมแปะปลาสเตอร์ยาบนหางคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าท่านประธานคนนี้หนังหนาจริงๆ โดนแก้วลอยใส่หน้าแต่มีรอยช้ำเล็กๆ แค่คืบเดียว ถ้าเช็ดเลือดออกก็แทบจะไม่เห็นอะไรเลย หรือที่ไม่ยอมทำแผลสักทีเพราะอยากเรียกร้องความเห็นใจกันนะ
พอทำแผลให้คนสำออยเสร็จผมก็สำรวจไอโฟนกับนาฬิกาที่โจรทำตกกระแทกพื้นตอนโดนรองเท้าฟาดหน้า โชคดี...ที่ตรงนั้นเป็นพื้นหญ้า ไอโฟนของผมมีรอยตรงมุมเคสนิดหน่อย ถือว่าราคายังไม่ตก ส่วนนาฬิกาแข็งแรงทนทาน สมกับเป็นแบรด์เนมชื่อดังแม้ว่าผมจะไม่เคยจำชื่อเลยก็ตาม
“คุณหรัญญ์”
“ครับ” ผมเงยหน้ามองคนที่ขยับตัวยุกยิกอยู่บนเตียง...คืองี้ครับ หอพักผมไม่มีโซฟาหรือเก้าอี้หรอกนะ ถ้าจะนั่งก็ต้องนั่งบนเตียงเท่านั้นแหละ เข้าใจความอัตคัดของผมมั้ย
เห็นสีหน้าอึดอัดของคีรีที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมก็ก้มหน้าก้มตาเช็คข้าวของถ่วงเวลาไปเรื่อย ผมบอกแล้วว่าเป็นคนน่าเบื่อ ถามคำตอบคำอย่างนี้อีกเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงจะขอกลับไปเอง
“ฉัน...” คีรีพูดตะกุกตะกัก “ฉันเอาของมาคืน”
ผมพยายามทำอารมณ์ให้นิ่งที่สุดเมื่อเห็นเขาค่อยๆ หยิบยางรัดผมสีน้ำตาลออกมาวางบนเตียงอย่างกับของล้ำค่า
“คุณนี่เอง” และนี่คือปฏิกิริยาจากผม...เฉยชาสิ้นดี
“ใช่ ฉันเอง ฉันเอง” คีรีหน้าแดงน้อยๆ เมื่อแสดงตัวว่าเป็นคู่นอนของผม แต่โทษเถอะ ทำไมผมต้องตื่นเต้นด้วยทั้งที่พอเดาได้อยู่แล้ว
“ขอบคุณที่เอามาคืนนะครับ” ผมหยิบยางรัดผมคล้องกับข้อมือ ราวรอจังหวะนี้อยู่แล้ว คีรีรีบฉวยจับมือผมแล้วดึงเข้าหาตัวจนใบหน้าโน้มใกล้ชิดโดยไม่ได้ตั้งใจ
“คุณหรัญญ์”
น้ำเสียงแหบพร่าที่ชวนให้ใจสั่น ดวงตาใต้กรอบแว่นที่มองตรงอย่างแน่วแน่แฝงความระคนเขินพร้อมกับใบหน้าที่เลื่อนเข้าใกล้เรื่อยๆ ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าวินาทีนั้นผมคิดว่าคีรีน่ารักดี
“เราเป็นอะไรกันเหรอครับ”
แต่ความน่ารักนั้นมาพร้อมสัญญาณอันตราย
คนเรียบร้อยมาดธุรกิจที่ยืนถือขวดปากฉลามพร้อมตี คนที่ต่อยโจรสลบเหมือดในหมัดเดียว ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่คิดจะเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก
ฉะนั้นภาพที่ออกมาจึงไม่ใช่ฉากจูบแสนวาบหวาม เพราะสิ่งที่ประทับบนริมฝีปากของเขาคือนิ้วชี้ของผมที่ทาบลงไปในระยะห่างใบหน้าที่ใกล้กันจนได้ยินเสียงลมหายใจ
รวมถึงได้ยินเสียงพูดไร้เยื่อใยของผมด้วย
วูบหนึ่ง ดวงตาที่แฝงความรู้จักแสนบริสุทธิ์ปานสาวน้อยเพิ่งมีความรักคล้ายจะแข็งกระด้างขึ้นจนน่าตะลึง
เป็นแค่เสี้ยวนาทีที่สังเกตเห็นเพราะคีรีผละตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว
ยังดีที่เป็นคีรี
ถ้าเป็นราเชนทร์แม่งคงเลียนิ้วผมก่อนสักเที่ยวถึงค่อยยอมหลบ!
พอถูกปล่อยมือผมก็รีบลุกเดินห่างออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง ถ้าเกิดโดนจับกด...ผมเชื่อว่าบาร์เทนเดอร์อย่างผมคงขัดขืนท่านประธานยอดนักสู้ไม่ไหวแน่นอน
ผมกำไอโฟนแน่นเตรียมจะเรียกความช่วยเหลือทุกเมื่อ
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นหรอก” คีรีเอ่ยออกมาในที่สุด บรรยากาศวาบหวิวที่เจ้าตัวพยายามสร้างโอกาสทำแต้มมลายหายไปพร้อมเสี้ยวหน้าที่ไม่ยักมีความเจ็บแค้น ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะโดนผมตอกกลับจนหน้ามืดไล่ปล้ำเหมือนในละครซะอีก “ปวดหัวจัง...”
กลับมาใช้ยุทธวิธีเรียกคะแนนสงสารสินะผมมองคีรีที่พูดเสียงอ่อนแรงพลางกุมแผลตรงหางคิ้วอย่างคาดเดาว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ เจ็บใจเป็นบ้าที่เขาดันเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักที่สุดในช่วงนี้ จะให้ตัดสัมพันธ์ก็ทำไม่ลง
“ไทลินอลมั้ยครับ”
“ขอบคุณ”
ผมเดินไปหยิบยาสามัญส่งให้คีรีพร้อมกับแก้วน้ำ เฝ้าสังเกตทุกอิริยาบถของท่านประธานที่ดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นหนักหนา
“รถของคุณล่ะ”
“จอดไว้หน้าปากซอยไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่ ฉันกลัวเธอเห็นแล้วหนีอีกเลยตั้งใจเดินมาหา...”
อ้อ ตั้งใจเดินมาเคาะประตูห้องเอาโต้งๆ แบบไม่ให้ผมได้เตรียมตัวสินะ
“คุณใจกล้ากว่าที่คิดนะ”
คีรีไม่ตอบ แต่เขาได้แสดงความดื้อรั้นออกมาโดยการทานยาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงผมทันที
คนคนนี้ช่าง...ผมรู้สึกเหมือนถูกใช้ประโยชน์จากความงกให้อีกฝ่ายทำแต้มชอบกล
“ถอดแว่นก่อนสิครับ” ในเมื่อไล่ซึ่งหน้าไม่ได้ผมที่คิดจะลงไปนอนกับแมนก็เข้าไปจัดท่าทางให้ท่านประธานที่ชิ่งเอาหัวซบหมอนและไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นมาให้หลับสบาย เขารีบร้อนขนาดนอนทั้งแว่นตาเชียวนะ ให้ตายสิ
น่ารัก
ผมลอบตกใจเมื่อเผลอคิดแบบนี้เป็นรอบที่สอง แต่ภาพของท่านประธานมาดเข้มที่ทำตัวไม่ถูกเวลาโดนผมพูดตัดโอกาส แต่ก็พยายามจะสานต่ออย่างตะกุกตะกักจนคล้ายเป็นความดื้อด้านชวนอ่อนใจก็น่ารักจริงๆ
โดยเฉพาะตอนที่เขาพลิกตัวหันมาให้ผมช่วยถอดแว่นโดยทำทีเป็นหลับไปทั้งที่เปลือกตายังสั่นระริก เห็นแล้วผมก็ใจเต้นตึกตักเหมือนกับสมัยวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มมีความรักและไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนั้นยังไง
ตอนแรกตั้งใจจะลงไปนอนกับแมนให้เขาเก้อไปแท้ๆ
แต่หลังอาบน้ำเสร็จ ผมก็ทิ้งตัวนอนข้างๆ คีรีที่ขดตัวอย่างกับดักแด้บนเตียงเล็กแคบเพื่อเว้นที่ให้โดยเฉพาะทั้งรอยยิ้มบนมุมปาก
คีรีไม่ได้ฉวยโอกาสถลาเข้ากอดทั้งตัวเหมือนที่ราเชนทร์ชอบทำ เขาเพียงเลื่อนนิ้วแตะเส้นผมที่กระจายตัวบนหมอนของผมอย่างมักน้อย
ผมลืมตามองอยู่อย่างนั้น จนมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำเกินไปกว่านี้ก็เริ่มข่มตาหลับ
คีรีทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย และเป็นตัวเองได้กว่าตอนอยู่กับราเชนทร์ราวหนังคนละม้วน
ถ้าเทียบตรงนี้แล้ว...
ผมให้คีรีนำไปก่อนครึ่งแต้มแล้วกัน
ส่วนอีกครึ่งแต้มที่โดนหัก ก็เพราะยังระแวงกับผีนักเลงที่ไม่รู้จะเข้าสิงตอนไหนเนี่ยล่ะ เฮ้อ!
ผมตื่นเพราะรู้สึกหายใจไม่ออก
เหมือนกับถูกคว้าไปตะกองกอดอย่างเอาแต่ใจ ดิ้นรนขัดขืนแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้หลุดพ้นสักนิด
ปฏิกิริยาที่ตอบสนองไปตามสัญชาตญาณคือ ‘เท้า’ ครับ เท้า ฝ่าเท้าที่ถีบออกไปเต็มแรงเพื่อหาอิสระ แต่เรื่องมันเศร้าตรงที่อ้อมกอดนั้นแข็งแกร่งเกินไป แม้จะหงายหลังร่วงหล่นจากเตียงก็ลากผมตามลงไปด้วยไม่ยอมปล่อย
“โอ๊ย! เอาอีกแล้วนะรัญ”
ผมมั่นใจเต็มร้อยว่าคนที่กำลังนอนทับอยู่นี้คือราเชนทร์
“คุณมาได้ยังไง”
ตัวผมยังโดนกอดแน่น ให้ความรู้สึกเหมือนโดนเชือกเส้นใหญ่มัดติดกับตอไม้มากกว่าความอบอุ่นด้วยไอรัก ราเชนทร์แสร้งทำเป็นนึก เพิ่งมาสังเกตเอาตอนนี้เองว่าเขาเตรียมตัวขนาดใส่ชุดนอนลายหมีบราวน์ตัวโปรด
“คุณคีรีล่ะ” ผมรู้จักความกวนประสาทอันน่ากระทืบของแฟนเก่าดี เขารู้ว่าถ้าพูดออกไปผมต้องโกรธ ก็เลยชอบทำอมพะนำแทน ไม่รู้เอาซะเลยว่ายิ่งทำให้ผมอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่
“ทำไมถามถึงผู้ชายคนอื่นอย่างนี้ล่ะ ไอ้แว่นนั่นมาหานายเหรอ หืม”
ราเชนทร์กอดผมแล้วโยกตัวน้อยๆ อย่างกับกล่อมเด็ก ผมหมดแรง...ปล่อยให้เขาบ้าบอตามใจชอบขณะครุ่นคิดว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
คีรีกลับไปก่อนงั้นเหรอ กลับไปตอนไหนล่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่เจอกับราเชนทร์ หรือไม่...ก็เป็นราเชนทร์ที่โกหกหน้าตาย แฟนเก่าของผมเก่งเรื่องนี้สุดๆ ไปเลย
ความหน้าด้านหน้าทนของราเชนทร์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ผมขอเลิก เพราะไม่ว่าจะเค้นคอให้ตายยังไง ถ้าเขาจะปกปิดซะอย่างก็ไม่มีวันพูดความจริงออกมา แถมบางครั้งยังสร้างเรื่องหลอกๆ ดึงความสนใจ สรุปแล้วผมรู้สึกเป็นไอ้โง่ที่ต้องตามเขาทุกอย่างตอนอยู่ด้วยกัน
“ปล่อย”
“วันนี้อากาศดี เราสองคนมานอนกลิ้งกันแบบที่นายชอบดีมั้ย”
“ปล่อย”
“...”
ราเชนทร์ค่อยๆ คลายอ้อมกอดและยกมือสองข้างขึ้นเหนือหัวพร้อมทำคิ้วตกปากเบะราวกับยอมมอบตัว การเล่นเกินจริงของเขาบางครั้งก็น่าตลก แต่บางทีก็น่าหงุดหงิด
ผมไม่ได้ลุกไปไหน แต่นั่งคร่อมราเชนทร์แล้วกระดิกนิ้วแบมือทวงของ
“กุญแจห้อง”
“แหม อยากไปหาฉันเองก็ไม่บอก”
“กุญแจห้องผม ไม่ใช่ห้องคุณ”
“ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลยนะรัญ”
ราเชนทร์ก็ยังเป็นราเชนทร์ ปากพูดเสียงหวานหยอกเอินรักใคร่ชวนให้ใจสั่น แต่มือแกล้งเนียนลูบสะโพกผมแถมยังเกี่ยวกับขอบกางเกงนอนอีกต่างหาก
“อ๊ะ ล้วงผิด”
ไม่ทันยกมือจะต่อยหน้าคนฉวยโอกาส ราเชนทร์ก็รีบทำเป็นเนียนลากปลายนิ้วผ่านแนวโค้งช่วงล่างของผมก่อนจะล้วงเข้ากางเกงตัวเองเพื่อหยิบกุญแจห้องของผมคืน แต่พอเห็นผมยังแบมือกระดิกนิ้วรอ เขาก็ค่อยๆ หยิบออกมาทีละดอก...สองดอก...สามดอก
ผมต้องทนนับหนึ่งถึงสิบซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเพื่อไม่ให้ระเบิดอารมณ์ออกมา
“เอามาทั้งหมดนั่นแหละ”
จะเล่าอะไรให้ฟัง...ตอนเลิกกันผมต้องทนกับการบุกกรุกของเขาจนขวัญผวา ราเชนทร์เอากุญแจห้องผมไปปั๊มไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะทวงแค่ไหนก็ยังมีอันใหม่เผยโฉมออกมาให้ตามจัดการอยู่เรื่อย
“โทษทีนะรัญ วันนี้ฉันพกมาแค่สามดอกน่ะ ถ้าอยากได้คืนทั้งหมดนายคงต้องไปช่วยกันหาที่ห้องฉันแล้วล่ะ”
ยุบหนอ พองหนอผมลุกจากตัวราเชนทร์ แต่พอหันหลังให้หน่อยก็โดนกอดหมับอีกครั้ง
“คิดถึง...” น้ำเสียงกระซิบข้างหูมาพร้อมสัมผัสแนบชิดคลอเคลียซุกหน้าเข้ากับกลุ่มผมอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ถึงกับเผลอใจอ่อนขึ้นมาวูบหนึ่ง
ก็แค่วูบเดียวจริงๆ
“คุณไปเปลี่ยนตัวเองให้ได้ก่อนค่อยมาขอคืนดี” ผมหันไปผลักอกราเชนทร์
“ฉันพยายามแล้วนะ นายไม่เห็นความพยายามจากหยาดเหงื่อแรงใจของฉันเลยเหรอ”
ผมกวาดสายตาขึ้นลงเป็นคำตอบ
“ก็ได้...ฉันคงพยายามไม่พอ”
ราเชนทร์ยักไหล่ ลบความคิดที่จะแตะเนื้อต้องตัวผมอีก
“เมื่อคืนคีรีนอนที่นี่ใช่มั้ย”
ผมสะดุ้ง แล้วทำไมต้องตกใจเหมือนแอบคบชู้ด้วยล่ะเนี่ย ผมกับราเชนทร์ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
“เอากับมันรึเปล่า”
ผมไม่ตอบ แต่ราเชนทร์ถลกผ้าปูเตียงพลิกไปมาแล้วยกดม ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ
“ดีมาก ไม่ผิดข้อตกลงกันไว้”
“ข้อตกลง?”
เอาอีกแล้ว ผมเกลียดชะมัดเวลาเขาหันมาคลี่ยิ้มมีเลศนัย มันทำให้ผมเกิดความอยากรู้แทบจุกอก แต่ก็จนปัญญาจะสาวเอาความจริง
“คุณกับคีรีรู้จักกัน?”
“เดาดูสิ”
ราเชนทร์นั่งไขว่ห้างบนเตียงทั้งที่ไร้ผ้าปูนอน สบตาผมอย่างท้าทาย
“พวกคุณตกลงกันปั่นหัวผมเล่นรึไง”
“จุ๊ๆ ฉันออกจะจริงใจนะที่รัก”
ราเชนทร์ส่งจูบ ส่วนผมหมดแรงโต้ตอบ
“อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ ยังไงผมก็ไม่เอาทั้งคู่นั่นแหละ”
“รัญหนอรัญ” ราเชนทร์กลั้วหัวเราะ “ตอนฉันจีบนายใหม่ๆ ก็พูดว่าจะไม่เอาฉันไม่ใช่รึไง แล้วดูตอนนี้สิ ถ้าให้ยกนิ้วนับต่อให้ใช้สองมือยังไม่พอเลย...”
ผมชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว
“ถ้าคุณไม่ออกจากห้องผมในห้าวินาที ผมจะโทรเรียกตำรวจ”
“ข้อหาบุกรุกเหรอ”
“ข้อหาอนาจาร” ผมมองเหยียดใส่ราเชนทร์ที่ทำหน้าเจื่อน “ห้า”
“เดี๋ยวสิรัญ นายจะโดนข้อหาแจ้งความเท็จแทนนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรนายสักหน่อย”
“สี่”
“อย่างน้อยถ้าจะแจ้งจับกันจริงก็ให้ฉันได้ทำอะไรๆ ก่อนสิ”
“สาม”
“แค่ล้วงก็ได้เอ้า”
“สอง”
“นี่นายรังเกียจฉันมากใช่มั้ยเนี่ย”
“หนึ่ง”
สุดท้ายราเชนทร์ก็ลุกจากเตียงนอนของผมสักที เขาทำหน้าเหมือนไม่มีทางเลือก แต่ตอนเดินสวนออกจากห้องก็ยังไม่วายทำท่าจะโอบกอด ผมเลยรีบยืนหลบมุมเพราะกลัวจะถูกกระชากเข้าไปจูบซ้ำรอยเดิมกับตอนไม่สบาย
“ถ้าคิดถึงฉันเมื่อไหร่ มาหาที่ปริ้นส์รูมแล้วกัน”
ราเชนทร์ขยิบตาส่งท้าย
“แล้วไม่ต้องกลัวว่าฉันจะนอกใจหรอกนะ ทั้งกายทั้งใจฉันเป็นของนายคนเดียว รัญจ๋า”
ผมปิดประตูกระแทกใส่ดังโครม เกือบจะทำดีแล้วเชียวแต่ตายตอนจบซะได้นะราเชนทร์
เสียงหัวเราะแว่วเข้ามาพร้อมกับการเคาะประตูเบาๆ เป็นเชิงบอกลาอีกครั้ง หมอนั่นรู้ดีว่าผมมักขนลุกเวลาได้ยินคำจ๊ะจ๋า แต่ถึงอย่างนั้นก็ชอบเอามาแหย่อยู่เรื่อย ให้ตายสิ!
-----------------
เริ่มมีลับลมคมในขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นแล้วเหมือนกันค่ะ
ไปๆ มาๆ คลับคล้ายจะกลายเป็นนิยายสอบสวน รัญจะกลายเป็นรัญดะอิจิหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป!
เพจนักเขียนที่จะตั้งใจอัพอย่างสม่ำเสมอ เอาใจช่วยด้วยนะคะ!ตัวอย่างตอนหน้า
“พี่แว่นครับ”
ก่อนเข้างานตอนหกโมง ผมที่มาก่อนเวลาตัดสินใจเดินเข้าหาบิชอปคนเก่งประจำคลับ ที่เรียกว่าประจำคลับก็เพราะว่าแม้บิชอปจะมีสองคน แต่ไม่ได้คุมชั้นหนึ่งชั้นสองอย่างอัศวิน คลับน่ะมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่ตำแหน่งเลขาดูแลจัดการภาพรวมอย่างบิชอปนั้น
แบ่งออกเป็นคลับกับผับ
บิชอปฝั่งคลับเป็นคนแปลก ที่แปลกไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นเด็กเรียนหรอกนะ เพราะการที่ผมลังเลแล้วลังเลอีกกว่าจะเข้ามาคุยกับเขาได้ เป็นเพราะบิชอปที่ชื่อ ‘แว่น’ และสวม ‘แว่น’ คนนี้แทบไม่เคยเปิดปากพูดเลยต่างหาก!