เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 13 หิมะสีเลือด
[/b]
“หมดเวลาสนุกแล้วฝ่าบาท!” อยู่ดีๆ ก็มีทหารองครักษ์บังอาจเข้ามาในรถม้า ทำให้หนึ่งเจ้านายกับสามเครื่องสนองความใคร่ที่กำลังเล่นสวาทหมู่อยู่หยุดชะงักไปตามกัน
“เจ้า!”
“บอกพวกนี้ออกไปก่อนเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า”
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว บอกทหารข้างนอกด้วยว่าห้ามใครรบกวน”
“เจ้า..มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่ง” ปากถามอย่างเกรี้ยวกราดมือควานหาดาบประจำตัวแต่ก็ไม่เจอ ได้แต่นอนกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด
“หรือจะให้ข้าคุยเรื่องของเราต่อหน้าพวกนี้ล่ะ ยังไงก็ได้ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว” ทั้งสองกำลังฟาดฟันกันด้วยสายตา ที่คนหนึ่งมีแต่ความเกรี้ยวกราด ส่วนคนมาใหม่เพียงจ้องมองนิ่งๆ แต่แววตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกมาก มุมปากก็ดูเหมือนจะยกขึ้นน้อยๆ ด้วย จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะนิ่งก็ไม่นิ่ง เหมือนแค่ต้องการให้คนที่กำลังจ้องมองเดือดดาลเล่นเฉยๆ จนผ่านไปเป็นครู่คนอารมณ์ค้างโบกมือเพียงเบาๆ เหล่าสนมชายหญิงจึงลงจากรถม้าไป
แอนดีสหยิบแก้วที่วางอยู่บนตั่งเล็กๆ ข้างตัวมากรอกไวน์ลงคออึกใหญ่แล้วถาม “ตามข้ามาทำไม เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!”
“ข้าบังเอิญมาราชการแถวนี้” เลนนี่บอกพลางเดินไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม หันหน้าเข้าหาร่างเปลือยเปล่าที่ยังนอนเอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่ เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นรองข้อมือข้างที่กำลังถือแก้วไวน์ ร่างเปลือยกับท่านั่งเปิดเผยดูยั่วยวน แต่สีหน้ากลับต่างไปยามเจ้าตัวขมวดคิ้วมองตอบด้วยสายตาสงสัย
“เจ้ามีราชการอะไรที่ชายแดนมอนทาร์น่ากัน”
“หึ”
“หรือเจ้ามาสอดแนม”
“สอดแนมอะไรล่ะ สอดแนมเมียมักมากกำลังเอากับโสเภณีหรือไง”
“เจ้า! อย่ามาปากดี ข้าไม่ใช่..”
“ชู่..ปฏิเสธทั้งที่ท่านก็รู้ตัวเองดี” แววตาขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาแบบนี้แอนดีสเกลียดยิ่งนัก เกลียดแต่ก็ยังมอง มองแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว “แล้วนี่หงุดหงิดอะไรล่ะ หรือพวกนั้นปรนเปรอให้ไม่ถึงใจพอ ทำท่านค้างคาหรือไง” ค้างคาเพราะมีคนมาขัดจังหวะนั่นแหละ
ลอร์ดหนุ่มชะงักนิ่งไปเหมือนใจโดนจี้ตรงจุด ตั้งแต่ออกเดินทางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในรถม้า เรียกสนมมาบำเรอทั้งชายหญิง แต่ไม่ว่าจะเสพสมหรือเสร็จสมไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังไม่เต็มอิ่มเหมือนไม่ได้รับการเติมเต็มในสิ่งที่ต้องการ
“หึ” เสียงหัวเราะของเลนนี่เรียกแอนดีสให้หลุดออกมาสู่ความจริง ท่าทางแบบนี้มันบ่งบอกผู้ที่กำลังจับตามองได้เป็นอย่างดี ว่าสิ่งที่คิดคือสิ่งที่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่ากำลังเป็น แอนดีสไม่เคยปิดบังความต้องการของตัวเองได้สักครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าอัศวินผู้สวมภาพหนุ่มขี้เล่นไว้ภายนอก แต่ภายในทั้งฉลาดและมีไหวพริบรอบตัว แถมยังเร่าร้อนโดนใจจนใครได้ลิ้มลองยังต้องโหยหา
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
“พี่ชายท่านไปไหนแล้วล่ะ” เลนนี่เอ่ยถามเหมือนชวนคุย เล่นเอาสายตาของแอนดีสแข็งกร้าวขึ้นทันที พอรู้ตัวเลยรีบกลบเกลื่อน แต่อัศวินหนุ่มยังเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แอนดีสพยายามใจเย็นถามเสียงแข็ง “เจ้าถามหาอเล็กซิสทำไม”
“ข้าไม่ได้พิศวาสพี่ชายท่านหรอกน่า ไม่ต้องหึง”
“หึ ไม่เจียมตัวเลยนะ”
“เพราะท่านคนเดียวข้าก็รับมือไม่ไหวแล้ว” แอนดีสกัดฟันกรอด นึกอยากได้ดาบสักเล่มจะเอามาฟันใบหน้าหล่อทะเล้นให้เสียโฉมให้ดู
“เจ้า...” ได้แต่ข่มความกริ้วโกรธ เพราะยิ่งเกรี้ยวกราดยิ่งทำให้อีกคนได้ใจ เห็นแววตาสนุกของเลนนี่แล้วแอนดีสมีแต่ความหงุดหงิด “เจ้าปลอมตัวเข้ามาทำไม”
“หาเมีย”
“เซอร์เลนนี่! “เลนนี่ตอบรับเสียงตะคอกเรียกดุๆ ของแอนดีสด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และสายตาพราวระยับที่ท้าทายปนเรียกร้อง ในแบบหนุ่มขี้เล่นของเขา หันไปหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่บรรจุไวน์ชั้นดีไว้กว่าครึ่งมารินใส่แก้ว ยกขึ้นละเลียดจิบด้วยท่าทางสบายอารมณ์ กับการลิ้มรสไวน์ชั้นดีรสชาติกลมกล่อมเคล้าความเกรี้ยวกราดของคนที่เรียกว่าเมีย
“หึ คิดว่าข้าโง่นักหรือไงเจ้าอัศวินชั้นต่ำ” แอนดีสเหยียดยิ้มมองอัศวินหนุ่มด้วยสายตาดูแคลนปนท้าทาย “เจ้าคงไม่เดินทางออกมาจากออสเซนเทียเพราะคิดถึงข้าหรอกมั้ง”
“ทำไมไม่คิดอะไรที่มันเข้าข้างตัวเองหน่อยล่ะแอนดีส ข้าอาจจะคิดถึงท่านจริงๆ ก็ได้นี่ อันที่จริงก็คิดถึงนั่นแหละข้ายอมรับก็ได้” แอนดีสต้องแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง แค่ได้ยินว่าเจ้านายเรียกตัวเลนนี่ก็ผละออกไปทันทีแล้ว นี่ต้องเดินทางมาตั้งไกลจะบอกว่ามาเพราะคิดถึง ใครเชื่อก็โง่ที่สุด
“ตกลงคิดถึง หรือแค่อาจจะคิดถึง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ยินดีหรอกนะที่มีคนคิดถึงโดยเฉพาะคนอย่างเจ้า บอกมาดีกว่าว่าเจ้ามาสอดแนมเรื่องอะไร”
เลนนี่ยิ้มน้อยๆ ให้คนขี้ระแวง แววตาอัศวินหนุ่มดูอ่อนโยนราวกับกำลังมองลีโอ “หึ แล้วทางนี้มีอะไรให้ข้าสอดแนมล่ะ”
“ถ้าไม่มีเจ้าก็คงไม่เดินทางดั้นด้นมาถึงนี่หรอกถูกไหม” ฉลาดที่คิดได้และถูกทีเดียว แต่เลนนี่มีหรือจะยอมรับ
“ก็บอกแล้วไงว่าข้าคิดถึง มาเพราะคิดถึงอย่าเดียวเลย” ดูยังไงก็รู้ว่าโกหกและแอนดีสไม่มีทางเชื่อ ยังไงก็ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นอัศวินชั้นต่ำไร้เกียรติคนนี้ จะเดินทางมาถึงชายแดนเพราะว่าคิดถึงกันจริงๆ ถึงได้ยินแล้วมันจะทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันแปลกจนต้องแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เบาๆ เพราะไม่ต้องการให้อีกคนสังเกตเห็น ว่าตัวเองผิดปกติไป แอนดีสไม่อยากยอมรับว่าตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน ที่รู้สึกอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะไม่เคยมีใครบอกว่าคิดถึงเขามาก่อน พอได้ยินลมหายใจมันเลยแค่สะดุด
แอนดีสเงียบเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเลนนี่เอาแต่นั่งมองนิ่ง ลอร์ดหนุ่มยิ่งเหมือนจะทำตัวไม่ถูก เลยหาอย่างอื่นทำแทน และไวน์ในแก้วที่ถืออยู่หมดพอดี เลยทำเป็นหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่มีไวน์เหลืออยู่ไม่มากมารินดื่ม
“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกจ้อง ข้าจะสั่งให้ทหารจับเจ้าไปควักลูกตาออกซะ”
“ให้ข้าทำอย่างอื่นได้ไหมล่ะ” แอนดีสถลึงตาใส่เลนนี่ รู้ว่าอย่างอื่นที่หมายถึงคงไม่พ้นเรื่องทะลึ่งลามก เพราะสายตาอัศวินหนุ่มมันไม่ปิดบังสิ่งที่กำลังคิดเลยสักนิด “ข้ารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่ลอร์ดแอนดีส”
“ข้าคิดอะไร”
“คิดว่าวันนี้ข้าจะจัดท่าไหนให้ท่านอยู่ใช่ไหมล่ะ”
แอนดีสส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแสยะออกเหยียดหยัน “เจ้ามันหลงตัวเองจริงๆ “
“หรือไม่จริง ที่หงุดหงิดอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะท่านนอนกับโสเภณีพวกนั้น แต่ไม่เต็มอิ่มได้เท่านอนกับข้าไม่ใช่หรือไง”
“เลนนี่!” ไม่ทันที่เลนนี่จะได้พูดจบดี คนถูกจี้ใจดำก็ตวาดเสียงดังผุดลุกขึ้นยืน หลายเรื่องทำให้แอนดีสโมโหรวมทั้งเรื่องที่เลนนี่เพิ่งพูดถึง ที่พอโดนจี้ตรงจุดเลยควบคุมตัวเองไม่ได้
สายตาคมมีแววขี้เล่นไล่มองร่างเปลือย ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา ตั้งแต่เท้าสองข้างที่แยกออกเล็กน้อยยืนปักหลักมั่น ขึ้นไปตามเรียวขาที่มีเส้นขนสีน้ำตาลอ่อนขึ้นบางๆ ไม่ปิดบังความเนียนละเอียดของผิวเนื้อ ท่อนขายาวดูแข็งแรงปราดเปรียวไปจนถึงอวัยวะกลางลำตัวที่ยังสงบนิ่ง เลนนี่รู้ว่ามันจะตื่นขึ้นทันทียามเขาสะกิดเรียก หน้าท้องแบนราบประดับด้วยไรขนจากช่วงกลางลำตัวขึ้นไปจนถึงแผงอก ลูกคลื่นตื้นๆ จะเกิดขึ้นตรงหน้าท้องช่วงบนยามเจ้าตัวเกร็งกล้ามเนื้อ สูงขึ้นไปเป็นหน้าอกหนั่นแน่นน่าสัมผัสประดับด้วยไรขนบางๆ ที่ขึ้นเป็นกลุ่มสวย ช่วงไหล่กว้างพอดีรับกับกล้ามเนื้อต้นแขน ที่ถึงไม่ดูกำยำเท่าเลนนี่ แต่แบบนี้ก็เล่นเอาอัศวินหนุ่มจ้องมองด้วยสายตาพราว จนเจ้าของร่างกายแสยะยิ้มสมเพช ดูแคลนสายตาที่ไล่ไปตามเรือนร่างราวกับหลงใหล
“เจ้าควรหายใจนะเลนนี่ อย่ามาขาดใจตายในรถม้าของข้า อื้ออออ”
“หึ” เลนนี่ปล่อยเสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอ ขณะที่เขากำลังสูบเอาลมหายใจของแอนดีสมาเป็นของตัวเอง ด้วยจูบดูดดื่มร้อนแรงที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว ทั้งดูดทั้งเผลอกัดอย่างห้ามใจไหว จนแอนดีสที่ย่ามใจว่าอีกคนกำลังมองร่างกายตัวเองเพลิน ตั้งตัวไม่ทันเกือบล้มหงายหลัง ดีที่ยังมีอ้อมแขนแข็งแรงรั้งไว้ แต่พอตั้งตัวได้ก็จูบตอบอย่างไม่ยอมเช่นกัน
ลอร์ดหนุ่มและอัศวินต่างฝ่ายต่างป้อนจูบเร่าร้อนเรียกร้อง ราวกับคนหิวโซที่กำลังตะกละตะกลามยามเห็นอาหารวางล่อ ร่างเปลือยเปล่าถูกลูบไล้สัมผัสไปทั่ว เท่าที่มือสากจากการจับอาวุธของอัศวินหนุ่มจะปัดป่ายไปถึง ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งดูดดึงทั้งเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นแลกความหวานฉ่ำ ร้อนแรงลิ้นแทบไหม้ แอนดีสขยุ้มเส้นผสมดกหนาระบายอารมณ์ไปพร้อมกับมืออีกข้าง ดึงทึ้งชุดทหารที่เลนนี่สวมใส่ หวังให้มันหลุดจากร่างกายกำยำ
ราวกับว่าไม่เคยได้จูบกันมาก่อน ราวกับว่านี่มันจะเป็นจูบครั้งสุดท้ายในชีวิต ลอร์ดหนุ่มหลับตาพริ้มหลงลืมความเกรี้ยวกราดหงุดหงิด ร่างกายทุกส่วนเกิดวาบหวามเกินควบคุม ราวกับเลือดในกายเปลี่ยนเป็นลาวาร้อนแรงไหลพล่านไปทั่วร่าง ยินยอมโอนอ่อนตามแต่อัศวินหนุ่มจะนำพาด้วยจูบเรียกร้องลึกซึ้ง เลนนี่ครอบปากตวัดลิ้นอยู่ภายในแล้วดูดหนักๆ จนแอนดีสเจ็บแปลบ ความเจ็บแปลบที่มาพร้อมกับความเสียวสยิวแผ่ซ่านไปทั้งตัว
แต่..
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
“อะไรนะ! “
“ทูลลาฝ่าบาท” แอนดีสมองตามหลังเลนนี่ที่เปิดประตูราชรถออกไปแบบงงๆ กระทั่งประตูปิดลงแล้วลอร์ดหนุ่มยังไม่รู้ตัว จนทิ้งร่างหนั่นแน่นลงบนเบาะนุ่มนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกทิ้งให้คั่งค้างอยู่บนปากเหวที่ว่างเปล่า ทั้งที่ความต้องการล้นหลาก ร่างกายตื่นตัวเตรียมพร้อมรับการปรนเปรอเหยียดตรง ความปรารถนาฉายชัดบนส่วนปลายที่ฉ่ำเยิ้ม ลมหายใจหอบกระเส่าไม่เป็นจังหวะ
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เป็นปกติ เหมือนจะควบคุมอารมณ์ได้แล้วแต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
“โว้ย เลนนี่” เคร้ง!!!
********************
ขุนเขาเบื้องหน้า เหมือนปราการธรรมชาติที่โอบล้อมพื้นที่กว้างใหญ่ อันประกอบไปด้วยเนินเขาต่างขนาดสลับกัน เกิดแอ่งตรงกลางกลายเป็นทะเลสาบรองรับน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งไหลลงมาจากยอดเขา น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าใสสวยงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ผู้คนขนานนามขุนเขาและทะเลสาบที่เสกสรรขึ้นมาโดยธรรมชาติแห่งนี้ว่า เอวาเลีย ฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปทั่ว แต่พอเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนที่อบอุ่น หิมะเริ่มละลาย จะเห็นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากถูกหิมะปกคลุมมานาน ต้นไม้แตกใบหลากสีขึ้นแซมสลับกันทั้งเขียว ส้ม เหลือง แดง ราวกับถูกแต่งแต้มสีสันลงไปอย่างสะเปะสะปะโดยจิตรกรขี้เมา แต่กลับสวยงามวิจิตรอย่างเป็นธรรมชาติ ที่นี่คือสถานที่ที่ จูเลียน ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย เลือกใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างปราสาท หวังเอาไว้ว่าจะใช้เป็นที่พำนักเพื่อการพักผ่อนให้ห่างไกลจากความวุ่นวายของผู้คน ที่ให้ชื่อว่า เอวาเลียน
ปราสาทเอวาเลียน เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลางภูเขาและทะเลสาบ ที่ความยิ่งใหญ่อลังการนั้นไม่ได้น้อยหน้าปราสาทในเมืองหลวงเลย เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาอีกหลายลูก มองจากข้างล่างเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ก็มีปราสาทหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมากลางป่า ทิศเหนือเป็นหน้าผาหิน มีน้ำตกสองสายไหลคู่กันลงมา ส่วนทิศใต้กับทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ลุ่มของทุ่งกว้างและทะเลสาบ ที่กินพื้นที่ไปถึงทิศตะวันออก ติดหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวเมืองอาศัยอยู่ไม่มาก แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป
“เจ้าชอบไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นท่ามกลางปุยหิมะที่ตกลงมาเอื่อยๆ ขณะที่คนถามแหงนพักตร์นวลปลั่งขึ้นมองไปยังยอดปราสาท ที่การก่อสร้างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และกำลังจะแล้วเสร็จในอีกไม่นาน ด้วยว่างบประมาณนั้นได้รับการถ่ายเทมาให้เกือบเกลี้ยงคลัง
“ข้าชอบที่สุดเลยฝ่าบาท” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังบอกเอาใจ
“ข้าก็เหมือนกันแต่พรุ่งนี้คงต้องกลับจริงๆ แล้วสินะ”
“ข้าก็ชวนฝ่าบาทกลับตั้งหลายวันแล้ว ทำไมท่านไม่ยอมกลับล่ะจูเลียน”
“เจ้านี่ก็แปลกนะกรอสเซ่ ตอนอยากมาก็เร่งเร้าจะมาให้ได้ มาถึงแล้วทั้งทียังจะรีบกลับอีก” กรอสเซ่แสดงสีหน้าขัดใจอย่างไม่ปิดบัง แต่สำหรับจูเลียนแล้วช่างเป็นภาพที่ดูกระเง้ากระงอด จนอดเดินเข้ามาเกาะแขนออดอ้อนไม่ได้ “ก็ข้าอยากอยู่ที่นี่กับเจ้านานๆ นี่นา”
“แต่เราควรจะกลับเมืองหลวงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วนะจูเลียน ไว้ค่อยมาใหม่ก็ได้” จูเลียนทำท่าคิด หันกลับไปมองยังตัวปราสาทที่ตั้งตระหง่านอีกครั้งอย่างแสนรัก สองขาเดินไปหยุดอยู่ใต้ซุ้มประตูที่ตกแต่งด้วยแผ่นหินสลักรูปเทวดาตัวน้อย ที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกเล็กๆ แสนน่ารัก
“นั่นสิ ไว้สร้างเสร็จเมื่อไหร่เรามาอยู่ที่นี่ด้วยกันนะกรอสเซ่” กวีหนุ่มชะงักไป แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว มองแผ่นหลังของหนุ่มน้อยที่กำลังชื่นชมปราสาทเบื้องหน้า ที่แม้การก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จดี ก็เห็นถึงความสวยงามยิ่งใหญ่และอลังการ ปราสาทกลางเทือกเขาที่ฤดูหนาวจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตามยอดไม้ ถึงฤดูร้อนก็คงจะอบอุ่นและสวยงามด้วยสีสันของใบไม้ที่ดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ หากได้มาอยู่กับคนรักคงให้ความรู้สึกหวานซึ้งชวนฝันไม่น้อย ถ้าเป็นนางคนนั้นที่เขามีใจหมายปอง กวีหนุ่มคงมีความสุขยิ่งกว่าใคร
“กรอสเซ่” ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นแผ่วเบา กรอสเซ่จึงมองไปทางต้นเสียงด้วยแววตานิ่งแต่ไม่ขานรับ จนคนเรียกขมวดคิ้วสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ฝ่าบาท” เหมือนกรอสเซ่เพิ่งหลุดออกมาจากจินตนาการชวนฝันของตัวเอง กับสาวน้อยที่เขาหมายปอง ตรงหน้าคือหนุ่มน้อยผู้เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจดลบันดาลให้เขาได้ทุกอย่าง แต่หาได้มีจิตพิศวาสด้วยไม่ เพราะไม่อาจบันดาลให้นางมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างที่หวัง หากอยากได้กวีหนุ่มต้องพยายามเอาชนะใจนางเอง
“ว่ายังไงล่ะ เจ้ารอไหวไหม รอวันที่เอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นานหรอก”
กวีหนุ่มยิ้มโดยแยกริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อย จนแทบจะเรียกว่ายิ้มไม่ได้ “ข้าอยากให้มันเสร็จวันนี้เดี๋ยวนี้เลยจูเลียน เราจะได้อยู่ด้วยกันสักที”
“ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันได้ แต่เป็นเจ้าเองต่างหากที่ไม่ยอมมาอยู่กับข้า” พักตร์นวลปลั่งบูดบึ้งขึ้นทันที กรอสเซ่บ่ายเบี่ยงการค้างแรมที่กระโจมเดียวกันกับจูเลียนมาตลอด นับตั้งแต่เดินทางมาถึงหลายวันก่อน นั่นทำให้จูเลียนน้อยอกน้อยใจ และมักจะพูดต่อว่าคนรักทุกครั้งที่มีโอกาส แต่กระนั้นจูเลียนก็ไม่ได้โกรธกรอสเซ่จริงจังเลย เมื่อที่ได้ยินคำปลอบใจ
“ยอดรักของข้า” เพียงคำแรกกษัตริย์หนุ่มน้อยก็แทบอ่อนระทวย “โปรดอภัยด้วย ข้าเพียงแต่อยากรอเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตอนเอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์” กรอสเซ่จับไหล่จูเลียนทั้งสองข้างหมุนให้หันไปมองทางปราสาทที่อยู่ตรงหน้า “ท่านก็เห็นข้างนอกที่ว่าสวยงามแล้ว การตกแต่งข้างในยิ่งสวยงามน่าประทับใจมากกว่า ข้าอยากอดใจรอที่จะได้ชื่นชมมันไปพร้อมกับฝ่าบาทในรังรักของเรา” และนั่นก็ทำให้ใจดวงน้อยของยุวกษัตริย์โอนอ่อนตามทุกอย่างที่คนรักกล่าวอ้าง จูเลียนปลื้มปริ่มยิ้มหวานทั้งวัน
“เราไปดูข้างในกันเถอะ” จูเลียนเดินนำเข้าไปภายในปราสาท ที่เริ่มมีการตกแต่งบางส่วนที่สร้างเสร็จแล้ว โดยเฉพาะห้องนอน ที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันหรูหราน่าอยู่ ตามคำสั่งของจูเลียนที่อยากให้ห้องนี้เสร็จก่อนห้องอื่นๆ ภายในห้องคัดสรรของตกแต่งมาอย่างดีที่สุดตั้งแต่พรมปูพื้นจรดเพดาน ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและโคมไฟคริสทัลระย้า แท่นบรรทมยกสูงรองฟูกหน้านุ่ม ปูข้างในด้วยผ้าไหมเนื้อนุ่มละเอียด คลุมทับอีกชั้นด้วยผ้าเนื้อหนาแต่นุ่มและอุ่น ลวดลายที่ถักทอเดินดิ้นทอง บ่งบอกถึงความหรูหราและรสนิยมผู้เป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังมีห้องสำหรับอัศวินประจำตัวที่อยู่ติดกัน ห้องเสวย ห้องบัลลังก์ ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง ห้องสมุด ห้องอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีอีกหลายห้อง และที่ขาดไม่ได้คือห้องละคร ที่จูเลียนสั่งให้ใช้ชั้นบนสุดใต้หลังคาปราสาททั้งชั้น สร้างเป็นห้องสำหรับการละครโดยเฉพาะ
******************
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเรียกให้คนที่กำลังเดินท่อมๆ ไปตามทางมืดหยุดชะงัก หันมาทางต้นเสียงอย่างตกใจแทบจะทันที และพอเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงกลับยิ่งตกใจจนตัวสั่น
“เอ่อ ท่านนั่นเอง คือข้าเปล่า..มาทำอะไร ข้าแค่มาเดินเล่น”
สายตาคมกวาดมองฝ่าความมืดรอบตัว แม้ตอนนี้หิมะจะหยุดตก แต่พื้นดินก็ปกคลุมด้วยหิมะหนาและหนาวจนไม่เหมาะที่จะออกมาเดินเล่นสักนิด “มืดๆ นี่นะ”
“นอนไม่หลับ ข้านอนไม่หลับ แล้วท่านล่ะ”
“กลับที่พักของเจ้าไปซะ”
“ใช่ข้าควรกลับที่พัก ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” บอกพลางทำท่ารีบร้อนก้าวออกไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีก
“เดี๋ยว” เจ้าของเสียงเข้มเรียกไว้พลางเดินเข้ามาใกล้ สายตาคมดุเพ่งมองฝ่าความมืดหาพิรุธ
คนที่เรียกไว้ยังเงียบเลยทำตัวไม่ถูกว่าจะไปหรืออยู่ ตัดสินใจถามออกมาแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะสายตาคมที่กำลังมองอย่างสำรวจ ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย “ท่านเรียกข้าไว้ทำไมหรือเซอร์ราเชล”
“เจ้าออกมาทำไมมืดๆ อย่างนี้ “
“ท่านถามข้าไปแล้วนะ”
“แล้วเจ้าตอบหรือยังล่ะ”
“เอ่อ คือ..”
“บอกมา!” กรอสเซ่ตกใจเข่าแทบทรุด ราเชลไม่ตะคอกถามเปล่าแต่ยังกระชากคอเสื้อขึ้นจนเขาต้องเขย่งยืน เห็นได้ชัดว่าอัศวินหนุ่มไม่ได้เกรงใจเขาในฐานะคนรักของกษัตริย์เลยสักนิด รูปร่างหรือก็ต่างกันลิบลับจนเห็นถึงความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างชัดเจน อัศวินหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ดูกำยำล่ำสันแข็งแรง พอกวีประจำราชสำนักมายืนเทียบใกล้ๆ จึงมองเห็นความบอบบางสะโอดสะองขึ้นมาทันที
“ข้า ข้ามาเดินเล่นจริงๆ เซอร์ราเชล”
“มันไม่หนาวเกินไปที่จะออกมาเดินเล่นกลางดึกหรอกหรือไง”
“ข้าก็กำลังจะกลับเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เดี๋ยวนี้ไง ปล่อยข้าสิ”
“หึ” ราเชลปล่อยคอเสื้อกรอสเซ่จนร่างสะโอดสะองเซเกือบเสียหลัก อัศวินหนุ่มนึกสมเพชในความปวกเปียก ถูกตะคอกแค่นี้ยังตัวสั่นงันงก แต่ความลุกลี้ลุกลนจนเกินเหตุนั่นราเชลก็ไม่ได้มองข้ามมันหรอกนะ “ไปสิเดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”
“เอ่อ..คือ ไม่เป็นไรข้าเดินไปเองได้”
“ไป” กรอสเซ่หลบสายตาคมที่จ้องมองผ่านความมืดสลัว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงยอมเดินออกไปจากตรงนั้นเงียบๆ มีราเชลก็เดินตามไปเงียบๆ เช่นกัน จนถึงกระโจมที่พัก กวีหนุ่มรีบเข้าไปในกระโจมตัวเอง และถอนหายใจเสียงดังออกมาทันทีอย่างโล่งอก
“ทำไมต้องถอนหายใจแรงขนาดนั้น”
“ท่าน! “กรอสเซ่หันมาทางต้นเสียงพบว่าราเชลเดินตามเข้ามาก็ตกใจจนตาโต ร่างกายสั่นเทาก่อนหน้านั้นที่เริ่มดีขึ้นกลับมาสั่นอีก จนกวีหนุ่มต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอัศวินหนุ่มตามเข้ามาถึงข้างใน ไม่ได้ยินเสียงไม่ได้รู้สึกเลยด้วยซ้ำถึงการมีอยู่ของใครอีกคน กรอสเซ่นึกว่าราเชลยังอยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ
“ท่านตามข้าเข้ามาในนี้ทำไม” กรอสเซ่ถามพลางก้าวถอยหลังเพราะราเชลเองก็ก้าวเข้ามาหาช้าๆ แต่ละก้าวหนักแน่นมั่นคง สายตาหรือก็จริงจังจนแทบไม่กล้าสบตา
“ท่าทางเจ้ามันน่าสงสัย”
“ท่านสงสัยอะไรข้าล่ะ”
ตุบ! ร่างสะโอดสะองถอยไปสะดุดกับอะไรบางอย่างจึงหงายหลังล้มลง พอก้นกระแทกพื้นจึงรู้ว่ามันเป็นที่นอนนุ่ม แต่อะไรก็ไม่ทำให้กวีหนุ่มตกใจได้เท่ากับร่างกายกำยำ ที่ขึ้นมายืนจังก้าคร่อมทับร่างของเขาอย่างคุกคาม
อัศวินหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนที่นอน ส่วนอีกข้างชันขึ้นวางท่อนแขนทั้งที่ยังคร่อมร่างกรอสเซ่อยู่ ราเชลกระชากคอเสื้อจนร่างกวีหนุ่มปลิวติดมือขึ้นมา “จะบอกดีๆ หรือให้ข้าใช้วิธีเค้นเอาคำตอบ ว่าเจ้าออกไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ในที่มืดๆ คนเดียว”
“ข้า ข้าไปธุระส่วนตัวนิดหน่อย อยู่ดีๆ ก็ปวด ท่านก็รู้นี่ว่ามันจำเป็น”
“แล้วทำไมไม่บอกข้าดีๆ แต่ทีแรก”
“ข้า ข้าก็อายเป็นนะ”
“หึ เรื่องแค่นี้อายทำไม”
“ท่านจะตามมาถามข้าแค่นี้หรือไง” ราเชลตวัดสายตามองดุๆ จนกรอสเซ่หลบตาแทบไม่ทัน สายตาของราเชลจริงจังจนน่ากลัว แตกต่างจากหนุ่มอารมณ์ดีที่กรอสเซ่เคยเห็น
“ข้ามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของทุกคนที่นี่ แค่อยากเตือนเจ้าว่าออกไปค่ำๆ มืดๆ แบบนั้นอีกมันไม่ปลอดภัย” กรอสเซ่มองราเชลอีกครั้งรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดและน้ำเสียง แต่แววตาที่มองตอบมาเรียบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก เดาอารมณ์และความคิดไม่ได้
“ข้า ข้ารู้แล้วท่านจะลุกออกจากตัวข้าได้หรือยัง” ไม่เพียงแต่ราเชลจะไม่ยอมลุก แต่คอเสื้อที่ถูกขย้ำกำยังเหมือนมีแรงเพิ่มขึ้น จนร่างกรอสเซ่ลอยเข้าไปไกลใบหน้าอัศวินหนุ่ม ลมหายใจกรอสเซ่สะดุด
“ระวังตัวเจ้าไว้ดีๆ ด้วย”
อุก! ร่างของกรอสเซ่ถูกปล่อยทิ้งลงอย่างแรง แม้จะเป็นที่นอนนุ่มแต่ก็เล่นเอาจุกไม่น้อยจากแรงที่ส่งมา ราเชลลุกขึ้นยืนหลังตรง ทิ้งสายตาน่ากลัวไว้ให้กรอสเซ่แล้วเดินออกไปจากกระโจม เหลือไว้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่นในใจของกวีหนุ่ม ที่ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก แม้จะเพียงแค่ตอนนี้ แต่ก็รู้ดีว่ารอดจากสถานการณ์อันตรายมาได้อย่างหงุดหงิดแล้ว
ราเชลยืนอยู่หน้ากระโจมที่พักของกวีประจำราชสำนัก ห่างออกมาจากกระโจมของจูเลียนที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกระโจมทั้งหมดพอสมควร อัศวินหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากเวรยามที่วางไว้ทั้งคืน แสงสว่างสลัวมาจากไฟกองใหญ่ตรงจุดศูนย์กลาง และคบไฟที่ตั้งไว้เป็นระยะ อัศวินหนุ่มมองซ้ายมองขวาแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป
“มีอะไรผิดปกติไหม” ราเชลยิ้มบางๆ ตามแบบคนอารมณ์ดี สาวเท้าเดินเข้าไปหาเฮนริชที่นั่งอยู่บนขอนไม้หน้ากระโจมที่พักของจูเลียน เบื้องหน้าเพื่อนรักคือกองไฟที่กำลังลุกโชน ราเชลพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ที่ทำให้เฮนริชขมวดคิ้ว หันมองหน้าอย่างต้องการคำอธิบาย แต่ก็มีเพียงความเงียบ ทั้งสองคุยกันทางสายตาก็เข้าใจตรงกันในสิ่งที่กำลังสงสัย
ราเชลเป็นคนเบนสายตามองไปทางอื่นก่อน “ทำไมเจ้าไม่นอน”
“ข้ายังไม่ง่วง”
“หึ หรือเจ้าชอบนอนคนเดียวมากกว่าล่ะ”
“ไม่เกี่ยว”
“เจ้าน่าจะนอนพักนะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าด้วย” แต่ไม่ทันที่เฮนริชจะได้ตอบอะไร บุคคลที่สามก็เดินล่องลอยเข้ามา ราเชลหันไปถามคนที่มาใหม่ “เจ้าออกมาทำไมลีโอ”
“ข้าตื่นก็ออกมานะสิ” ลีโอตอบเสียงเนือยขณะเดินมาทรุดตัวลงนั่งระหว่างเฮนริชกับราเชล ร่างผอมบางห่มคลุมด้วยผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนา
“พวกข้าทำเจ้าตื่นหรือไง” ราเชลถามเสียงอ่อนพลางจับหมวกที่ติดกับเสื้อคลุมขึ้นคลุมหัวให้ลีโอ ที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนก้อนผ้ากลมๆ เพราะเจ้าตัวนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น ถึงบริเวณที่พักแรมจะกวาดหิมะออกไปกองไว้รอบๆ แต่ความหนาวก็ยังหนาวเย็นจนยะเยือกไม่ต่างกันเลย
ลีโอหาวยาวๆ แล้วตอบ “เปล่า ข้าตื่นเอง แล้วพวกท่านไม่นอนหรือไง”
“กลับไปนอนไป” เฮนริชบอกเสียงดุเมื่อเห็นลีโอทั้งหาว ทั้งกอดตัวเองแน่นวางคางเกยลงบนเข่า แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจหรือยังไม่ทันได้ตื่นดีก็ไม่รู้ เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจึงไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับเสียงเนือย
“ใกล้เช้าหรือยังล่ะ”
เฮนริชยังนั่งมองลีโอเงียบๆ ราเชลจึงตอบคำถามแทน “อีกนาน เจ้ากลับเข้าไปนอนได้แล้วไป”
“ข้าไม่อยากนอนคนเดียวนี่”
“ทำไมล่ะ ปกติตอนอยู่เมืองหลวงเจ้าก็นอนคนเดียวไม่ใช่หรือไง”
“แต่นี่มันไม่ปกติไงเซอร์ราเชล”
“หรือเจ้ากลัวอะไร”
“มีพวกท่านอยู่ด้วยข้าไม่กลัวหรอก” ลีโอขยับหาที่เหมาะแล้วฟุบหน้าลงกับเข่าของตัวเองอีกรอบ ได้ยินเสียงเฮนริชปรามเบาๆ แต่เด็กน้อยไม่สนใจ
“ระวังไฟด้วย”
“ตรงนี้อุ่นจัง อุ่นกว่าในกระโจมอีก” เสียงของลีโอแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราเชลก้มลงมาดูก็พบว่าเด็กน้อยหลับไปแล้วในท่านั่งกอดตัวเอง ราเชลอมยิ้มมองลีโอด้วยสวยตาอ่อนโยนปนเอ็นดู จนหันมามองหน้าเฮนริชก็ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น
“เจ้ายิ้มทำไม”
“หึ เด็กน้อยของเจ้าหลับไปแล้ว”
“เมื่อไหร่พวกเจ้าจะเลิกเรียกว่าลีโอเป็นเด็กน้อยของข้าสักที”
“หรือไม่ใช่”
“แล้วพวกเจ้าไม่ได้เอ็นดูลีโออยู่เหมือนกันหรอกหรือไง” เป็นความจริงที่เหล่าอัศวินต่างให้ความรักและเอ็นดูลีโอเหมือนเป็นน้องน้อยๆ ของพวกเขา แต่หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือไปไหนมาไหนทำอะไร ส่วนมากคนที่ทำหน้าที่ดูแลลีโอมากกว่าคนอื่นๆ จะเป็นเฮนริช ราเชลยิ้มแปลกๆ ให้เพื่อนที่มองตอบอย่างเข้าใจ
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้เจ้าพาลีโอเข้าไปนอนข้างในก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจรอบๆ อีกสักหน่อย” ราเชลบอกพลางลุกขึ้นยืนเหล่มองเพื่อนทางหางตา เห็นเฮนริชยังนั่งเงียบและถอนหายใจออกมาเบาๆ สายตายังจับอยู่ที่ลีโอ จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มร้ายของราเชลที่ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป เฮนริชเข้าเวรยามช่วงหัวค่ำไปแล้วตอนนี้จึงเป็นเวลาพักผ่อน
ต่อถัดไปจ้า...