Lv.24 มอนสเตอร์ที่แสนน่ากลัว
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความแหวกแนว พวกเราเจ็ดคน ยืนอยู่หน้าทางเข้าอันสวยงาม ท้องฟ้ามืดสนิทเฉพาะบริเวณนี้ มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาเป็นระยะ ทางเข้าดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์...
“บ่งบอกยี่ห้อดีนะ”
ไวไวคงไม่รู้จะพูดอะไร หรือหาคำบรรยายใดให้กับความรู้สึกในตอนนี้ สงสัยหรือ โอเค ผมจะบรรยายให้ฟัง เริ่มจากเราเดินออกมาจากเมือง ผ่านทุ่งโล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ดอกไม้หลากสีส่งกลิ่นหอมละมุน มีผู้เล่นหลายคนกำลังรุมตบตีมอนสเตอร์อยู่ประปราย ไม่ไกลนักมีน้ำตกสะอาด น้ำใสเห็นตัวปลา ถัดไปมีต้นไม้ร่มรื่น ผสมผสานเข้ากับกำแพงสูง และอาคารสวยงามในเมืองหลวง
มอนสเตอร์หน้าตาน่ารัก เป็นภูติปีกใสตัวน้อยๆ ผีเสื้อตัวโตขึ้นมาอีกหน่อย น้องกระต่ายเบ่งกล้ามสวมนวม กวางที่ไล่ขวิดมอนสเตอร์ราชสีห์ ผู้เล่นที่โดนกระรอกใช้หางตบโฮลอินวัน ช่างรื่นรมย์ซะจริง
ส่วนสถานที่ที่พวกเรากำลังจะไป อยู่ติดกับบรรยากาศงดงามเหล่านั้นเหมือนแบ่งคนละโลก ต้นไม้เหี่ยวเฉาประดับด้วยใยแมงมุมเศษผ้าเน่าไม่ทราบที่มา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเป็นของผู้เล่นบางคน โคนต้นไม้เป็นดินสีแดงก่ำราวกับเลือด ประดับประดาด้วยป้ายหลุมศพหลากหลายรูปแบบ
แม่น้ำแห้งขอด ถึงมีแหล่งน้ำก็เป็นหนองโคลนที่เห็นฟองผุดขึ้นมา แน่นอน ที่นี่มีดอกไม้เหมือนกัน แต่ดอกไม้สีสวยสดม่วงผสมดำสูงเกือบสองเมตร มีฟันแหลมคมเยี่ยงฉลาม น้ำลายยืดย้อยสีเขียวอี๋ช่างน่าเอ็นดู มอนสเตอร์ที่เห็นผ่านๆ ดูน่ารักไม่แพ้กับโลกอันสดใสอีกด้านเลย
ไส้เดือนยักษ์ดำผุดดำว่ายบนผืนดินจนเกิดหลุมบ่อไปทั่ว แมงมุมหน้าตาคุ้นเหมือนตัวที่ไล่ผมสมัยเริ่มเกมใหม่ๆ แต่มีขนาดใหญ่กว่า พร้อมลูกตาที่มากขึ้น อยากเป็นสับปะรดเหรอครับ...
โดยรวมแล้ว ช่างเป็นบรรยากาศที่มีเอกลักษณ์ดีจริงๆ
“ไม่น่าเชื่อว่าเขตที่คนคิดจะเลี่ยงไม่เข้าไปมากที่สุด ติดอันดับ 1 ใน 5 ของเกม จะมีดันเจี้ยนปราสารทแวมไพร์ซ่อนอยู่ด้านใน”
น้ำพูดขึ้นลอยๆ เด็กใหม่อย่างพวกผมพากันหูผึ่งรอฟังข้อมูล
“พ้นส่วนนี้ไปจะเข้าเขตปราสาทแวมไพร์ ยิ่งเข้าไปลึกมาเท่าไหร่ มอนสเตอร์จะยิ่งมีเลเวลมากขึ้นเท่านั้น บอสของดันเจี้ยนอยู่ในห้องบนยอดปราสาท” กลอธิบายง่ายๆ
“บอสเลเวลเท่าไหร่” มีแค่น้ำกับกลที่คุยกัน นอกนั้นเป็นผู้ฟังที่ดี
“ไม่รู้”
“ห๊ะ! นายพูดเหมือนนายเคยไปมาแล้ว” ไวไวหันขวับ
“เคย แต่ตอนนั้นยังไม่มีบอส”
“แสดงว่ามันเพิ่งมาพร้อมกับเพดานเวลที่สูงขึ้นสินะ ยืนตรงนี้ก็ไม่รู้หรอก พวกเราเข้าไปกันเถอะ อลิสอยากจะเจอท่านเคาน์แล้ว”
“เก็บมอนสเตอร์ไประหว่างทาง คงทำให้ระดับพวกเราเพิ่มขึ้นบ้าง ถ้าใครแถวนี้มันไม่นำทางชุ่ยๆ ล่ะก็นะ”
ทัตที่เงียบอยู่นาน กอดอกเปิดปากพูด ดวงตาคมของหมาป่าหนุ่ม ไม่แม้แต่เหลือบมอง ยิ่งทำให้เหยี่ยวบางตัวเดือดกว่าเก่าอีก สุดท้ายผมเลยต้องมาไกล่เกลี่ย ลากแขนทั้งคู่เข้าไปในป่ามืด
ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไป เหมือนหลุดเข้าไปอยู่คนละโลก อากาศเย็นเยียบแฝงกลิ่นไม่พึงประสงค์ พื้นดินแข็งกระด่าง้ต้นไม้รอบข้างราวกับมีชีวิต ดวงตาใบหน้ากลวงโบ๋ปรากฏขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เดินเข้าไปหา กลับรู้สึกเหมือนต้นไม้มันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จังหวะที่กำลังครุ่นคิด กิ่งหนึ่งฟาดลงมาเต็มแรง พอกับแรงดึงจากทางด้านหลัง
กลคว้าคอเสื้อผมถอยจากเจ้ากิ่งไม้ทันเฉียดปลายจมูกไปหน่อยนึง ผมกลืนน้ำลายอึก ทัตกระโจนมาจากทางด้านหลัง เรียกดาบสองมือฟัดกิ่งไม้ขาดสองท่อน
“พวกนายอย่ามัวแต่แข่งกันเอาคะแนน ไอ้ต้นไม้พวกนั้นมันแห่กันมาใหญ่แล้ว!”
ไวไวตะโกนมาจากอีกด้าน พลางกระโดดหลบกิ่งไม้ใช้ไม้เท้าปัดป้อง
“ใช้ไฟ” กลสั่งเสียงเรียบ พ่อมดหนุ่มและนักเวทสมุดเปลี่ยนมาใช้คาถาไฟจัดการพวกต้นไม้ ระหว่างคนอื่นๆ ใช้อาวุธประจำตัวในการคุ้มกัน
“Frie Balls!”
ลูกไฟสีแดงเพลิง และสีดำพุ่งเข้าแผดเผาพวกต้นไม้แห้ง ยิ่งพวกมันดิ้นรนมากเท่าไหร่ ไฟยิ่งลามไปยังพวกเดียวกันมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานรอบตัวกลายเป็นทะเลเพลิง ผมอ้าปากค้าง
“พวกมันไม่ให้ของ ฝ่าออกไปเลย”
ได้ยินแบบนั้น ต่างคนต่างงัดพลังของตัวเองออกมา รุมโจมตีเข้าจุดเดียวกัน เปิดทางโล่งให้วิ่งต่อไปด้านหน้า ผมไม่รอช้ากางปีกบินเผ่นไปคนแรก โดยมีคนอื่นตามหลังมาติดๆ แต่การทำแบบนี้ไม่ต่างจากการเดินลากมอนสเตอร์ทุกตัวที่พวกเราวิ่งผ่าน จากตอนแรกมีแค่ต้นไม้หน้าคน พอผมหันหลังกลับไปมองอีกที แทบจะเป็นลม
ไม่รู้กี่ชนิดเดินตามกันเป็นขบวน คนที่มีอาวุธระยะไกลคอยซัดไปด้านหลังไม่ได้ขาด เสียงร่ายสกิลดังรัวเร็ว พลังเวทหลายบทถูกสาดไปด้านหลัง พร้อมๆ กับจัดการศัตรูที่วิ่งเข้ามาทางด้านหน้าไปด้วย
ผมฉุกใจคิดอะไรบางอย่าง เหตุการณ์แบบนี้ คุ้นๆ เหมือนเคยเกิดมาแล้ว ผมนึกย้อนกลับไปตอนลุยดันเจี้ยนเกาะกับพวกพี่วิน...
“ไวไว! ล่วงหน้าไปก่อนเลย ใช้ด้ายของนายกักตัวมอนไว้ เราจะทำเหมือนตอนไปลุยดันเกาะ”
หูกระต่ายขยับ เจ้าตัวอยู่ห่างจากผมไปพอสมควร แต่เรื่องระยะทางไม่เป็นปัญหากับประสาทการรับฟังของเจ้ากระต่ายโจ๊กเกอร์ ไวไวรับคำเร่งฝีเท้าล่วงหน้าไปก่อน สามคนที่เข้าร่วมปาร์ตี้ใหม่ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอะไรกัน ลินเลยเป็นคนรับหน้าที่อธิบายให้พวกนั้นฟังแบบง่ายๆ
“วัตให้ลากพวกมันไปรวมกัน ไวไวจะใช้ด้ายกักมอนไว้ ระหว่างนั้นพวกเรามีหน้าที่จัดการให้หมด”
“พอมอนสเตอร์โดนกักอยู่ในที่แคบๆ พวกมันจะซัดสกิลมั่วโดนพวกเดียวกันเอง เราต้องต้อนจัดการมัน ง่ายกว่าปล่อยให้มันกระจายไปทั่ว”
ผมอธิบายเสริม ทัตเลิกคิ้วดูถูกใจ อลิสหัวเราะคิกคักท่าทางสนุกเต็มที่ น้ำก้มลงมองสมุดตัวเอง คงกำลังเลือกหาสกิลเหมาะๆ ในการล้างบางมอนสเตอร์ หลังพ้นต้นไม้ใหญ่ไป เบื้องหน้าคือจุดที่มีต้นไม้บางตากว่าส่วนอื่น ผมวิ่งนำทุกคนไปหยุดตรงที่ไวไวยืนรออยู่
หลังมอนสเตอร์ตัวสุดท้ายเข้าไปมาในอาณาเขตที่วางไว้ กระต่ายไวไวกำมือแล้วกระชากไปอีกด้าน ให้ด้ายขึงปิดทางเข้า ลินหลบอยู่ด้านหลังพวกเรา เรียกทหารโครงกระดูกออกมาฝูงใหญ่ต้อนให้พวกมันไม่ออกจากเขตอีกแรง ที่เหลือไม่ต้องใช้สัญญาณ ต่างคนต่างพุ่งเข้าหามอน งัดทุกอย่างที่มีออกมาใช้
ผมเรียกเคียวออกมาคอยเพิ่มเลือดให้คนที่อยู่ใกล้เวลาถูกโจมตี พร้อมกับใช้เจ็ดจันทร์เสี้ยวโจมตีมอนสเตอร์เป็นระยะ ด้วยความที่มอนสเตอร์ในโซนป่านี้ ส่วนใหญ่อยู่ระดับ Lv.90 - 95 กลุ่มปาร์ตี้ของเราที่มีเลเวลสูงกว่า ใช้เวลาเพียงไม่นานก็จัดการได้ทั้งหมด เสียงแจ้งเตือนเลเวลอัพดังขึ้น ผมกดหน้าต่างค่าสถานะของตัวเองขึ้นมาดู
ชื่อ : อายุวัต
Lv : 96
เลือด : 104,000
อาวุธ : เคียวเกี่ยวข้าว
เจ็ดจันทร์เสี้ยว
คำสาป : มนุษย์แวมไพร์
คำสาป2 : แวมไพร์บริสุทธิ์
“อัพทีเดียวสองเลเวลเลยแฮะ แถมเลือดเยอะขึ้นด้วย สบายเลยเราทีนี้”
“ดูท่า มอนสเตอร์ด้านในจะให้ค่าประสบการณ์เยอะกว่านะ พวกเราใช้วีธีเดิมในโซนถัดไปดีกว่า” น้ำเสนอ ผมเห็นด้วย
“เป็นแหล่งเก็บเลเวลที่แจ่มใช้ได้ ไม่มีใครมาแจมด้วย” ไวไวผิวปากชอบใจ
“แล้วของพวกนี้ล่ะจะเอาไง” ลินชี้ไปทางของที่ดรอปจากมอนสเตอร์
พวกมอนต้นไม้ไม่ให้อะไรอย่างที่กลบอก นอกนั้นก็...
ซอมบี้ = เนื้อซอมบี้เน่า ฟันคุด(เอามาทำไม)
ผีโครงกระดูก = กระดูก (อันนี้ลินเหมาเรียบ เห็นว่าจะเอาไปอัพเกรดให้กับทหารโครงกระดูกของตัวเอง)
ดอกไม้กินคน = เมล็ดพืช
แมงมุมสับปะรด = ลูกตา ต่อมพิษ เขี้ยวแมงมุม
ไส้เดือน = เขี้ยว หนัง สูตรสร้างดาบเขี้ยวไส้เดือน สูตรสร้างเสื้อหนังไส้เดือน
ไม่มีพวกชุดหรืออาวุธดรอปให้ แต่ดันมีสูตรมาให้ทำซะงั้น เกมนี้ส่วนใหญ่คนนิยมไปล่าเอาตัวโหดๆ หาของดีๆ เลยมากกว่ามาตีตัวแบบนี้ หรือไม่ก็ไปหาซื้อเอาในตลาด ของที่ดรอปจากมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ จะเป็นพวกวัตถุดิบไว้สำหรับสร้างของชิ้นอื่นมากกว่า
ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสร้างของได้ ถึงจะมีสูตรก็ตาม สุดท้ายก็ต้องพึ่งนักสร้างของอยู่ดี พวกคนที่ได้คำสาปเป็นนักปรุงยา นักตีดาบ อีกทางหนึ่งคือ การไปหาเรียนอาชีพเสริมเป็นพวกนี้จาก NPC ในเมืองหลักๆ แล้วสร้างขึ้นมาเอง
เริ่มแรกยังสร้างได้แค่ของเลเวลน้อยๆ มีโอกาสพังสูง ถ้าสร้างของเยอะๆ สะสมประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ จะเพิ่มโอกาสสำเร็จมากขึ้น แต่ของระดับสูง ย่อมต้องใช้วัตถุดิบที่สูงขึ้นตาม บางอย่างราคาแพงลิบลิ่วในตลาด บางอย่างไม่สามารถหาซื้อได้ต้องไปหาเอง อาจจะจ้างคนอื่นไปหาให้บ้างก็มีเหมือนกัน ทุกคนมีความสามารถของตัวเอง ทั้งจุดเด่นและจุดด้อย ช่วยเหลือกันไปเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบเล่นเกมออนไลน์
เราแบ่งของที่ดรอปจากมอนสเตอร์ตามสมควร คนไหนใช้ชิ้นไหนก็เอาอันนั้นไป ส่วนที่เหลือแบ่งให้เท่าๆ กัน พวกใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ปล่อยทิ้งไว้ไม่เก็บให้รกกระเป๋า อย่างเนื้อกับฟันคุดของซอมบี้ ใครจะไปเอากัน
เคลียของเสร็จ เริ่มออกเดินทางกันต่อ ระยะทางก่อนไปถึงดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือป่าที่พวกเราลุยมา พอพ้นไปจะเป็นพื้นที่สวนของปราสาท และภายในดันเจี้ยน แบ่งเป็นชั้นอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เราเกือบพ้นเขตป่าแล้ว มอนสเตอร์ที่โผล่มาให้กำจัดเล่นมีแต่จำพวกเดิม
จนกระทั่ง...
แซ่ด แซ่ด แซ่ด
เสียงช่างคุ้นเคยดีเหลือเกิน
พั่บๆๆๆ
ตามมาด้วยเสียงกระพือปีก อ่า พวกมอนสเตอร์บินได้สินะ สักพักกลิ่นสาบบางอย่างโชยมาตามลม หางตาเห็นแวบๆ ถึงความเงางามของลำตัวมันที่ดำขลับ บางสิ่งที่บ่งบอกเผ่าพันธุ์
หึ! ผมไม่กลัวหรอกต่อให้เป็นแมลงน่ากลัวแค่ไหน ขอแค่ผมมีหมาป่าอยู่ข้างกาย ย่อมไม่มีอะไรมาทำร้ายผมได้อย่างแน่นอน ผมย่ามใจ ยกยิ้มมุมปาก ไม่สะท้านแบบคนอื่นที่เริ่มระแวงถอยหลังคนละก้าวสองก้าว มือขาวซีดชี้นิ้วไปตรงหน้า มืออีกข้างเท้าสะเอวเหยียบหัวกะโหลกแถวนั้นเท่เหลือหลาย
“จัดการมันเลย พวกเราอย่าไปหวั่น กลนำทีมโลด!”
“...”
มีเพียงความเงียบเป็นเสียงตอบลับ ผมหันกลับไปด้านหลัง ทุกคนยังอยู่ครบ ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง หลังต้นไม้ต้นใหญ่ที่แห้งเหี่ยว มีร่างหมาป่าหลบอยู่ไกลลิบ
“ต่อให้ตาย ไม่มีทางเข้าไปเด็ดขาด”
น้ำเสียงราบเรียบหนักแน่นบ่งบอกว่าคนพูดเอาจริง ทำให้ผมหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ประจวบกับเจ้าแมลงติดเกราะตัวเขื่องบินมายืนต่อหน้าพวกเรา เรด้าบนหัวโบกพลิ้วราวกับยอดหญ้า เสียงประกาศแจ้งเตือนเรื่องมอนสเตอร์ดังขึ้น
มอนสเตอร์พิเศษ คุณปีเตอร์ Lv.99 จำนวน 3 ตัว เนื่องจากเป็นมอนสเตอร์ระดับพิเศษ จึงมีคำเตือนสำหรับผู้เล่น มอนสเตอร์ตัวนี้จะทำการพุ่งเข้าใส่คนที่หวาดกลัวด้วยการใช้เรด้าตรวจจับ หากกำจัดได้มีโอกาสได้ไอเทมระดับแรร์
ของแรร์สุดหายากไม่อยู่ในหัวของผมเลยตอนนี้ เพราะมีอย่างอื่นรบกวนอยู่
พระเจ้า! หมาป่าของผมกลัวแมลงสาบ!! ขอหัวเราะให้ฟันร่วงแปบ ฮ่าๆๆ
“เจ้านั่นไปหลบซะไกล เห็นทีเจ้าตัวนี้คงมีแต่พวกเราจัดการแล้วล่ะ พวกสาวๆ คงไม่ถูกโรคเท่าไหร่”
ไวไวพึมพำ น้ำหัวเราะ เดินเข้ามาสะกิดไหล่กระต่าย ชี้ให้ดูภาพตรงหน้า
“เจ้าพวกแมลงร้าย ห้ามมารังแกเพื่อนของอลิสนะ!” สาวในชุดกระโปรงสวยเปลี่ยนจากมีดเป็นปืนกระบอกเงินยิงใส่แมลงติดเกราะบินไปคนละทิศละทาง ก่อนจะถูกฝ่ามือจากโครงกระดูกยักษ์ที่ลินเรียกมาตบป้าบแบนติดพื้น ถึงจะแค่ Lv.99 แต่มีความสามารถสมเผ่าพันธุ์ นอกจากมึนหนวดหงิกงอแล้ว ไม่มีอากาศบาดเจ็บนอกเหนือจากนั้น กลายเป็นฝั่งพวกเราเริ่มกลืนน้ำลายอึกแทน
“อึดเป็นบ้า สู้ต่อไปมีแต่จะเสียเวลา”
ทัตลองใช้ดาบในมือฟันดู แทบไม่สะกิด
“ของดีแค่ไหนเป็นตัวนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไปต่อกันเลยดีกว่า นายหมาป่านำทางเลย”
น้ำส่ายหัวตะโกนบอกกลที่อยู่ไกลลิบ ไม่รู้จงใจรึเปล่า พวกมอนสเตอร์พอรู้ว่ามีคนหลบอยู่อีกฟาก พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายบินไปทางนั้นทันที ผมเห็นกลผงะถอยหลัง ยิ่งแสดงท่าทางไม่ชอบหน้าพวกมันมากเท่าไหร่ พวกมันยิ่งบินไล่ตื้อมากเท่านั้น
กลวิ่งสุดฝีเท้าผ่านกลุ่มพวกเราไป แถมหิ้วผมติดมือไปด้วย ผมสุดแสนจะเห็นใจ เลยตะโกนบอกคนอื่นๆ ที่วิ่งตามมา โดยมีเหล่าแมลงติดเกราะคุณปีเตอร์บินตามหลัง
“รั้งพวกมันไว้ พ้นเขตป่าพวกมันน่าจะไม่ตามเราแล้ว”
พ่อมดหนุ่มจัดการตามที่ขอ โครงกระดูกยักษ์ถูกเรียกออกมาอีกรอบ ไล่จับเหยียบให้คุณปีเตอร์นิ่งอยู่กับที่ ไวไวใช้ด้ายมัดรวดเร็ว น้ำร่ายเวทกรงน้ำแข็งกักอีกสองตัวไว้ ก่อนพวกเราจะเผ่นป่าราบ กลวิ่งนำหน้าไม่มีทีท่าว่าจะชะลอฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย
พอหลุดจากเขตป่า บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไป ไม่มีต้นไม้แห้งเหี่ยวและมอนสเตอร์ที่เคยเห็น รอบข้างเงียบสงบ ต้นไม้ทุกต้นมีใบสีเขียวเข้ม ท้องฟ้าสีหมึกไร้ดวงดาว พระจันทร์เต็มดวงสีแดงลอยเด่นถูกบดบังด้วยเมฆจนเหลือเพียงเศษเสี้ยว ผมหันขวับไปมองกลทันที
กลได้รับคำสาปคล้ายกับผม เวลาที่พระจันทร์เต็มดวง เจ้าตัวจะอยู่ในร่างหมาป่าตัวเขื่อง สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตายังคงเป็นชายหนุ่มร่างสูงใบหน้านิ่งเรียบตามเดิม ผมถอนหายใจโล่งอก
“ที่นี่พิเศษกว่าที่อื่น ถ้าฉันโดนแสงจันทร์...”
คำพูดลอยๆ เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ชะงัก ประจบเหมาะกับเมฆเคลื่อนตัวออกจากพระจันทร์ แสงสีแดงนวลตาส่องลงมากระทบทุกสิ่งที่บนผืนดิน ร่างของกลค่อยๆ เปลี่ยนไป ผมงอกยาวขึ้นพร้อมกับก้มตัวลง เพียงไม่กี่วินาที จากชายหนุ่มกลับกลายเป็นหมาป่าขนสีเข้ม
หมาป่าตัวใหญ่ยืนนิ่งดูสง่าและทรงพลัง ดวงตาหรี่มองทุกคน พร้อมอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อเป็นการบอกเตือนเพื่อนร่วมทีมถึงข้อจำกัด
“ฉันจะกลายเป็นหมาป่า และไม่สามารถกลับเป็นแบบเดิมได้จนกว่าจะออกจากเขตนี้ หรือหลบจากแสงจันทร์ได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง”
ผมขมวดคิ้ว เมฆไม่มีทางบังดวงจันทร์นานเป็นชั่วโมงแน่ ในขณะที่พวกเราอยู่ในป่า มีต้นไม้มากมาย แต่ไม่สามารถบดบังได้ตลอด เพราะแสงจันทร์บางส่วนยังส่องผ่านมายังผืนดินอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ นั่นเท่ากับว่า กลต้องอยู่ในร่างหมาป่าจนกระทั่งเข้าไปในปราสาทแวมไพร์ และต้องหลบเลี่ยงส่วนที่เป็นหน้าต่าง ครบหนึ่งชั่วโมงจึงจะกลับร่างคนได้ ส่วนหนทางที่ง่ายที่สุดคงเป็นอย่างที่กลบอก ออกจากที่นี่ซะ ซึ่งมันขัดกับเป้าหมายตั้งแต่แรกของพวกเรา
“อยู่ในร่างนี้กลยังสู้ได้ปกติ งั้นช่างมัน ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ที่ไหน แล้วไอ้ดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์มันเป็นยังไง"
ไวไวถาม ทุกคนเพิ่งนึกขึ้นได้ ดวงตาทุกคู่หันไปมองหมาป่าที่เดินมานั่งอยู่ข้างๆ ผมเป็นตาเดียว อืม กลมานั่งแบบนี้ ตัวสูงเกือบไหล่ผมแหนะ หมายักษ์
“ที่นี่แบ่งออกเป็นสามโซน โซนแรกคือป่าที่พวกเราผ่านมา โซนที่สองคือพื้นที่รอบๆ ปราสาท ส่วนสุดท้ายคือปราสาทแวมไพร์”
กลใช้เล็บเขียนบนดินเป็นภาพคล่าวๆ เจ้าตัวบอกว่ามอนสเตอร์ในส่วนที่พวกเราอยู่จะมีแค่ค้างคาวกับแวมไพร์ชั้นต่ำ Lv.95 - 100 เท่านั้น ขอบเขตไม่กว้างมาก วิ่งเต็มฝีเท้าไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงตัวปราสาท ตัวปราสาทของแวมไพร์รูปร่างแบบเดียวกับพวกปราสาททางฝั่งตะวันตก มีหอคอยและยอดแหลม กำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบ
ประตูหน้าและหลังจะมีแวมไพร์ระดับล่างเฝ้าอยู่ พวกเราจะลอบเข้าไปทางกำแพงเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะโดยไม่จำเป็น หากพวกมันรู้ตัว มีหวังได้ป่าวประกาศจนแห่กันมาทั้งปราสาทแหงๆ เจ้าพวกแวมไพร์ชั้นล่างมี Lv.100 – 110 ถ้ามาเป็นฝูง พวกเราคงโดนเก็บเรียบไม่ต้องสืบ
หลังจากเข้าไปในปราสาทได้ จะแบ่งเป็นอีกส่วนหนึ่ง จุดนี้คือดันเจี้ยนที่แท้จริง มอนสเตอร์มีแต่แวมไพร์ระดับกลางจน ระดับสูง ระดับขุนนาง และสุดท้าย ระดับราชาที่อยู่ในห้องบนยอดหอคอย ระดับเลเวลกลยังไม่มีข้อมูล เพราะก่อนหน้าที่เกมจะอัพแมพใหม่ เพิ่มเลเวลเป็น 200 ดันเจี้ยนยังไม่เปิด หมาป่าหนุ่มเข้ามาถึงส่วนรอบปราสาทเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ใหม่ ยังไม่มีใครเข้าถึง พวกเราเป็นกลุ่มแรก ได้ยินแบบนี้ รู้สึกตัวเองยิ่งใหญ่ชะมัด
“เท่ากับว่า หลังจากเข้าไปในปราสาท เราต้องงมทางกันเองสินะ” น้ำสรุป
“ไม่แน่น้า อลิสว่า มันอาจจะคล้ายกับดันเจี้ยนระดับสูงที่อื่นก็ได้จ๊ะ” พวกเราหันไปมอง เป็นทัตที่อธิบายต่อแทน
“ดันเจี้ยนระดับสูงที่พวกเราเคยไป ภายในจะแบ่งเป็นชั้นๆ ยิ่งมากชั้นเท่าไหร่ เลเวลของมอนสเตอร์จะยิ่งสูงขึ้นตามลำดับ และปิดท้ายที่ชั้นสุดท้ายจะเป็นบอสใหญ่สุด ประเด็นคือ เรายังไม่รู้ว่าแต่ละชั้นแยกกันเลยรึเปล่า ดันเจี้ยนที่เคยเจอมามีสามแบบ” กิ่งไม้ใกล้มือถูกเอามาใช้ประโยชน์ ทัตขีดเส้นจากปราสาทออกมาวงนอกวาดรูปใหม่ขึ้นมาอีกสองรูป ด้านซ้ายเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านขวาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสองอัน เจ้าตัวชี้ไปที่รูปซ้าย
“แบบแรก มอนสเตอร์สามารถตามเราไปชั้นถัดไปได้”
กิ่งไม้วาดลูกสรแบบทางสะดวก แล้วย้ายไปชี้รูปสอง ขีดตัดตรงช่องหว่างระหว่างสี่เหลี่ยมอันแรกกับอันสอง
“แบบสอง ทุกชั้นตัดขาดจากกัน จะไม่มอนสเตอร์ข้ามไปอีกชั้นเด็ดขาด แต่เราสามารถเดินไปชั้นไหนก็ได้ และแบบสุดท้าย คล้ายแบบสอง เดินหน้าได้ แต่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ถ้าคิดจะออกจากดันเจี้ยน ต้องสู้ให้ชนะบอส หรือยอมตายออกสถานเดียว” พูดจบก็โยนกิ่งไม้ทิ้ง ผมยิ้มแห้ง
“ขอให้เป็นแบบสองแล้วกัน แบบนั่นยังพอมีช่วงให้พักหายใจบ้าง”
“พวกเราเตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน หลังจากนี้คงลุยกันยาว” ลินลุกขึ้นปัดชายเสื้อคลุมหลังนั่งสุมหัววางแผนกันนานสองนาน ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่มีมอนสเตอร์มาสอยพวกเรานั่นก็เพราะ จุดที่เราอยู่เป้นจุดเชื่อมระหว่างป่าส่วนนอก กับป่าส่วนใน เลยไม่มีมอนตัวไหนข้ามมาจัดการเรา
คุยกันเสร็จ ก็เริ่มปฏิบัติการ พวกเราจะลุยผ่านป่า จัดการมอนสเตอร์ทุกตัวที่เข้ามาขวาง ตรงไหนมีเยอะค่อยเลี่ยงหลบไปอีกทาง
พวกแวมไพร์ชั้นต่ำมีแขนขาคล้ายคน แต่มีปีกค้างคาวบนหลัง เล็บยาว ฟันแหลมคมไม่มีเพศ มักอยู่ใกล้กับพวกค้างคาวสองสามตัว มีครั้งหนึ่งพวกเราลงมือช้าไปหน่อย มันแหงนคอส่งเสียงเรียกตัวอื่นมาทำเอาตึงมือไม่น้อย หลังจากนั้นเลยจัดการให้รวดเร็วที่สุด แล้วค่อยเก็บสมุนค้างคาวทั้งหลาย
พอถึงกำแพงปราสาท กำแพงหินถูกตัดอย่างดีเรียงกันแข็งแกร่งสูงจนต้องแหงนคอตั้งฉาก พวกมีปีกอย่างผมกับทัตสบายหน่อย บินข้ามไปได้ง่ายๆ ผมเป็นคนดูต้นทาง ทัตผูกเชือกให้คนอื่นปีนตามมา ไวไวกับกลเล่นง่าย เลือกต้นไม้สูงๆ ใกล้กับกำแพงสักหน่อย แล้วกระโดดข้ามมาเลย
หลังกระโดดลงเท้าเหยียบพื้น จังหวะเดียวกับมีพวกแวมไพร์ระดับล่างเดินผ่านมาพอดี มอนสเตอร์ตัวนี้เหมือนคนไม่มีผิด ต่างแต่เอกลักษณ์ของพวกแวมไพร์ เช่นตัวขาวซีด หูแหลม
ทัตยื่นแขนไปล็อคคอ ลากมารุมยำหลังพุ่มไม้เป็นอันเรียบร้อย พวกเราเลือกจัดการพวกแวมไพร์ระดับล่างที่แตกฝูง หรือมีจำนวนไม่เกินสามตน พอจัดการมากๆ เข้า เลเวลเริ่มอัพ จัดการง่ายมากขึ้น ใช้เวลาร่วมชั่วโมง ถึงเก็บกวาดแถวประตูทางเข้าปราสาทจนหมด
“ฉันว่าแบบนี้ชักเข้าท่านะ เราเก็บพวกที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดเลยดีมั้ย ถือเป็นการเก็บเลเวลไปในตัว พอเข้าไปในด้านใน เจอมอนสเตอร์ระดับสูงกว่า จะได้ไม่ต้องสู้แบบหืดขึ้นคอนัก” ไวไวเสนอ ผมพร้อมสนอง
“เอาสิ ไม่นอนสักวันไม่เป็นไรหรอก แถมฉันยังรู้สึกคึกคักมากกว่าปกติ ตั้งแต่เข้ามาในเขตของพวกแวมไพร์”
“เพราะเป็นถิ่นพวกเดียวกันแน่เลย นายแวมไพร์ รู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้านรึเปล่าจ๊ะ” อลิสหัวเราะคิกคัก ผมเบ้ปาก
“ฉันไม่มีปัญหา ที่เหลือล่ะว่าไง”
ทัตกอดอกเลิกคิ้วถามลินกับน้ำที่ดูเป็นคนธรรมดาทั่วไปมากที่สุดในทีม ทั้งคู่มองปรึกษากันนิดหน่อยค่อยหันมาตอบ
“พวกเรายังไหว เอาไว้เหนื่อยค่อยอู้ให้พวกนายจัดการแล้วกัน”
น้ำพูดติดขำ ลินยิ้ม แต่ดวงตาไม่ยิ้มตาม เจ้าตัวทำแบบที่น้ำพูดแน่ๆ ผมขอฟันธง!
“มาแล้ว” เสียงเตือนจากหมาป่าตัวโต แต่ละคนกระชับอาวุธในมือทันที แวมไพร์ระดับล่างสี่ตนกำลังเดินมายังจุดที่พวกเราอยู่ หลังจากนี้คงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก บรรดาแวมไพร์ระดับล่างรอบปราสาท โดนจัดการเรียบ เสียเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว จากการไล่เก็บแบบระมัดระวัง สลับพักฟื้นร่างกายก่อนลุยต่อ แต่ผลที่ได้รับกลับมาถือว่าคุ้มค่า
เลเวลของผม ไวไว ลิน เลื่อนขึ้นอีกคนละหลายระดับ ของที่ดรอปจำเป็นพวกชุดแวมไพร์ระดับล่าง เครื่องประดับจำพวกสร้อย แหวน ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังอยู่ แล้วก็พวกขวดยาเพิ่มเลือดระดับกลาง ยาแก้พิษเลือดลดตลอดเวลา กับยาสมานแผลที่เกิดจากเล็บและเขี้ยวแวมไพร์
กลุ่มปาร์ตี้รวมคนหน้าตาดี กำลังยืนอยู่หน้าประตูปราสาทบานใหญ่ พลังทุกคนเต็มเปี่ยมพร้อมจะลุยแหลกทุกเมื่อ
“หวังว่าจะได้ของดีๆ มากกว่าพวกตัวที่อยู่ด้านนอกนะ” กระต่ายบ่น
“พวกด้านในระดับสูงกว่า ถ้ายังงกให้ของไม่ดี ค่อยเอาข้าวของในปราสาทไปขายทำกำไร” ลินเสริมให้ที่เหลือหันไปมองแบบหวาดๆ มาฆ่าเขาไม่พอ ยังจะปล้นเข้าอีกเรอะ
“ตื่นเต้นจัง อยากเจอแวมไพร์หล่อๆ สวยๆ บ้าง เบื่อพวกหน้าตาบ้านๆ แล้ว” อลิสพึมพำด้วยสีหน้าคาดหวัง
“แค่จัดการให้หมดก็พอ อย่างอื่นฉันไม่สนหรอก” ทัตดูจะเป็นอีกคนนอกจากกล ที่ไม่ค่อยสนของ น้ำยิ้มอยู่ด้านหลัง จะบอกว่าผมกับกลตัวติดกัน สองคนนี้ไม่ต่างเท่าไหร่นะ
ทางกลไม่ได้พูดอะไร เอาหัวโตๆดันแขนผม อย่างกับจะบอกว่า เจ้าตัวจะคอยปกป้องผมเอง ผมยิ้มลูบขนนุ่มบนแผงอก แล้วหันหน้าไปยังประตู ออกแรงเปิดบานประตูออกกว้าง จะแวมไพร์หรือตัวอะไรก็ดาหน้าเข้ามาเลย พวกเราพร้อมลุย ไม่กลัวอยู่แล้ว