มาต่อตอนใหม่จ้า าาา
ตอนที่ 21
วันนี้เป็นวันเริ่มงานที่บริษัทคุณมนธิชาอย่างเป็นทางการ
“เชิญทางนี้ค่ะ” เลขาสาวรอรับณัฐวีร์อยู่ที่ล็อบบี้ของตึก เด็กหนุ่มถูกพาขึ้นไปสู่ชั้นผู้บริหารซึ่งเป็นชั้นเกือบบนสุดของตึกทำการ เมื่อลิฟต์เปิดออกโถงกว้างที่มีพื้นพรมลวดลายเรียบขรึมก็ปูลาดไปจนสุดมุมตึกที่เป็นกระจกสูงเกือบสามเมตรยาวจากพื้นจรดเพดาน ด้านขวามือมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่พร้อมมีตู้เอกสารและสิ่งอำนวยความสะดวกอาทิเครื่องใช้สำนักงานประเภทเครื่องถ่ายเอกสารตั้งอยู่ด้วย คาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะของคุณเลขา ถัดไปเป็นประตูห้องทำงานที่เปิดกว้างอยู่ แต่จากมุมนี้ณัฐวีร์ยังมองไม่เห็นว่าเป็นห้องของใคร
“ด้านขวานี้เป็นห้องของท่านประธานค่ะ เดี๋ยวคุณณัฐวีร์จะได้ฝึกงานที่ห้องด้านซ้าย”
การเฉลยของคุณเลขาแอมทำให้คนฟังยิ้มรับ เขาเหลือบมองประตูห้องด้านซ้ายที่ปิดอยู่แล้วจึงหันกลับมาให้ความสนใจเลขาสาวอีกครั้ง “เรียกนัทเฉยๆ ก็ได้ครับพี่แอม ผมยังต้องรบกวนพี่อีกเยอะเลย มีอะไรก็แนะนำผมได้นะครับ”
หญิงสาวถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว “ขอบคุณนะคะ ..เราเข้าไปหาท่านประธานกันเถอะค่ะ ท่านรอคุณอยู่แล้ว”
แอมเดินนำเข้าไปในห้องคุณมนธิชา ก่อน หญิงทำงานเก่งคนนั้นละสายตาจากคอมพิวเตอร์เมื่อมีเสียงขออนุญาต
“นัท มาแล้วหรือ..เข้ามาสิ ป้ากำลังรออยู่เลย” เธอพูดพลางรวบเอาเอกสารบางอย่างเข้าแฟ้มแล้ววางแอบไว้ด้านหนึ่ง “แอมฝากเอาน้ำมาให้นัทหน่อย แล้วแมนมาหรือยัง?”
“มาแล้วค่ะ ให้เชิญมาเลยไหมคะ”
“โอเค.. มาพร้อมกันเลยทีเดียว เดี๋ยวเราต้องออกไปที่สวิสโฮเต็ลใช่ไหม”
เลขาสาวตอบรับก่อนจะถอยออกไปเชิญคนอีกห้องหนึ่งมา
“นัทมาที่นี่ลำบากไหม” คุณมนธิชาเอ่ยถาม
“ไม่ครับ เสียแต่รถเยอะไปหน่อย” ณัฐวีร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้ามาเช้าจะไม่ค่อยติด แถวนี้โรงเรียนเยอะผู้ปกครองยิ่งเยอะกว่า แล้วพอจะขับรถไหวไหมล่ะคะ ถ้าไม่ไหวป้าจะให้คนไปรับ”
“ไม่เป็นไรครับ นัทว่าจะเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้าแล้วครับ มาแบบนั้นสะดวกกว่า แล้วก็เร็วกว่าเยอะ”
“อ้าว แล้วมาจากบ้านเรายังไง”
“เรียกรถมาเองก็ได้ครับ นิดเดียวเอง”
“จะเอาแบบนั้นก็ตามใจนะ แต่ถ้าไม่ไหวนัทบอกพี่แมนเขาได้ ให้เขาไปรับ”
ณัฐวีร์ได้แต่ยิ้มพร้อมตอบในใจว่า ..นั่นยิ่งไม่เอาใหญ่เลยครับ ยอมเสียเงินนั่งแท็กซี่ดีกว่าอีก
ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ที่ยังไม่เลือนหายไปทำให้ณัฐวีร์อยากจะอยู่ให้ห่างอีกฝ่ายไว้ แม้ว่าแม่ไก่จะอธิบายแล้วว่าครอบครัวเราเคยสนิทกันก่อนที่คุณมกรจะไปอเมริกา แต่ณัฐวีร์กลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ทุกครั้งที่เห็นหน้า เขากลับไม่สนิทใจ
แต่บางที..เขาอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ เพราะตั้งแต่ครั้งนั้น คุณมกรก็ไม่เคยโทรมา หรือมาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย
ความเคลื่อนไหวใกล้ตัวทำให้ณัฐวีร์เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อย เขาหันไปมองคนมาใหม่แล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นดูตัวหนาขึ้นกว่าล่าสุดที่เคยพบกัน อาจเพราะอยู่ในสูทภูมิฐานสีควันบุหรี่นั่นจึงทำให้ร่างสูงใหญ่กว่าทุกครั้งที่เจอกัน ใบหน้าคมคายเห็นไรเขียวของหนวดตามแนวคางยาวไปตลอดสันกราม ทรงผมก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อก่อนเคยยาวกว่านี้ตอนนี้สั้นแถมเซ็ทมาอย่างดีเสียด้วย
ฝ่ายนั้นหันมายิ้มให้ณัฐวีร์เล็กน้อยแล้วถึงหันกลับไปมองมารดาตนเอง ทำให้คนที่เผลอมองอยู่ต้องรีบกะพริบตาแก้เก้อแล้วหันไปให้ความสนใจกับคุณมนธิชาบ้าง
“มาครบกันแล้วก็คุยเรื่องงานกันเลยนะ..”
รายละเอียดงานที่ได้รับมอบหมายนั้น พวกเขาต้องทำงานร่วมกันเพื่อเรียนรู้งานของบริษัททั้งหมดโดยการศึกษาจากแฟ้มงาน สอบถามคุณแอม และการเดินทางไปดูงานตามที่ต่างๆ ทั้งในต่างจังหวัดและอาจรวมถึงต่างประเทศ
“เรื่องแฟ้มงาน แมนคงเห็นที่แอมเตรียมไว้ให้ในห้องแล้ว เดี๋ยวก็ผลัดกับน้องอ่านกันไปนะ เวลาสงสัยอะไรหรืออยากได้อะไรให้สองคนปรึกษากันก่อนมาถามกับแอม แม่อยากให้รู้จักหาข้อมูลและพูดคุยถามกันเองก่อนมายืมกำลังของคนอื่น ทุกอย่างที่เตรียมไว้ให้เป็นข้อมูลทั้งหมดของบริษัทแล้ว”
หนุ่มสองคนตอบรับคำแล้วนิ่งฟังรายละเอียดต่อ
“อาทิตย์หน้า แม่อยากให้เราสองคนเตรียมไปฮ่องกงกับแม่ นัทมีพาสปอร์ตใช่ไหมคะ?”
ณัฐวีร์ทำตาโตพร้อมกับตอบรับ “มีครับ แต่จะให้ผมไปด้วยหรือครับ”
“ใช่ค่ะ แม่ต้องไปประชุมงานที่โน่น ก็เลยอยากให้ไปด้วยกัน”
“เรื่องนี้ที่บ้านผม..”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ น้องไก่รู้เรื่องแล้ว”
ณัฐวีร์ยิ้มแหยๆ เขาไม่ได้คิดว่าการมาทำงานครั้งนี้จะได้มีโอกาสออกต่างประเทศด้วย เพราะปกติ ถ้าให้พูดกันตรงๆ เขาก็แค่เด็กฝึกงานคนหนึ่ง การที่บริษัทจะมาลงทุนพาไปดูงานต่างประเทศก็ออกจะเป็นการลงทุนที่หนักมากเกินไปหน่อย
“ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เรื่องนี้แม่จัดการได้” คุณมนธิชาเห็นเด็กลำบากใจก็เลยยิ้มปลอบใจมากขึ้น และพูดคุยรายละเอียดงานจนณัฐวีร์คลายกังวลลง
ไปฮ่องกงครั้งนี้ เขามีหน้าที่ติดตามคุณมนธิชาไปทุกที่ เริ่มจากวันแรกต้องไปประชุมกับคณะกรรมการบริหาร วันที่สองไปประชุมกับคู่ค้า 3 ที่ วันที่สามไปเดินงานแฟร์ และวันที่สี่ฟรีหนึ่งวันก่อนวันที่ห้าจะเดินทางกลับ เป็นตารางงานที่ออกจะสบายมากเพราะในการประชุมอะไรนั่น เขาก็แค่ไปนั่งฟังเฉยๆเท่านั้น เป็นการไปศึกษาดูงานจริงๆ
“รายละเอียดของงานที่จะไปฮ่องกงกันในอาทิตย์หน้า แอมเขาเตรียมไว้ให้แล้ว ช่วงอาทิตย์นี้แม่อยากให้เราสองคนอ่านข้อมูลให้ครบ โอเคนะ”
“ครับ..”
คำตอบจากคุณมกรทำให้ณัฐวีร์พยักหน้ารับตามไปด้วย เมื่อได้รับมอบหมายงานทุกอย่างเรียบร้อย
“อ้อ แล้วเดี๋ยวยังไงเย็นนี้ไปทานข้าวกับแม่นะ แม่จะเลี้ยงเด็กฝึกงานใหม่สองคนเสียหน่อย” คุณมนธิชาว่าแล้วโบกมือบอกว่าเสร็จธุระกับทั้งสองคนแล้ว พวกเขาจึงเดินออกจากห้องนั้นมุ่งกลับมาที่ห้องทำงานของตนเอง
ทันทีที่ก้าวพ้นเข้ามายังห้องทำงาน ร่างสูงใหญ่ของฝ่ายนั้นก็หันกลับมารวบตัวณัฐวีร์เข้าไปกอดไว้ทันที
ความที่ยังไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว คนตัวเล็กกว่าเลยได้แต่แนบหน้ากับแนวไหล่กว้างและปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหลังลูบไหล่เขาอยู่พักใหญ่ๆ กระทั่งสติกลับมาดีแล้วนั่นแหละเจ้าตัวถึงเริ่มร้องออกมา
“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ..” มือสองข้างเริ่มยกขึ้นมาดึงเสื้อบริเวณเอวของอีกฝ่าย ดึงได้สูงที่สุดแค่นั้นจริงๆ เพราะแขนถูกล็อคไว้ด้วยอ้อมแขนอุ่นๆ เอ้ย แขนแข็งๆ นั่น
“อ้ะ ขอโทษด้วย.. พี่ดีใจที่ได้เจอกันมากไปหน่อย..” คนตัวโตกว่าละอ้อมแขนออกแต่ยังไม่ปล่อยมือจากหัวไหล่คนตัวเล็กกว่า “นัทโตขึ้นนะ ดูสูงขึ้นแล้วก็ไหล่กว้างขึ้น..ว่าแต่สูทนี่มันไม่พอดีตัวหรือเปล่า”
อีกฝ่ายว่าแล้วก็ขยับปลดกระดุมเสื้อสูทให้แล้วก็จับแขนขึ้นพับปลายแขนเสื้อให้ทั้งสองข้างก่อนจะดันให้มันร่นขึ้นมาจนเกือบถึงข้อศอก
“แบบนี้ดูหล่อขึ้นอีกเยอะเลย..”
ณัฐวีร์ยืนอึ้งอย่างไม่ทันตั้งตัวเขาก้มมองแขนของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่แม่เลือกให้ใส่กับสูทสีดำที่เป็นแพทเทิร์นทางการ กลายเป็นชุดลำลองไปทันทีที่ปลดกระดุมและพับแขนแบบนี้
“เดี๋ยวคุณป้ามนว่าเอานะครับ” ณัฐวีร์ร้องบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่ว่าหรอก..แบบนี้ดูดี นัทชอบไหม”
ณัฐวีร์ก้มมองตัวเองอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย “ครับ..”
มกรเองก็ยิ้มกว้างตอบรับเช่นกัน เขาเอื้อมมือมาคว้ามืออีกฝ่ายไปแล้วดึงร่างนั้นให้เดินตาม “เดี๋ยวนัทนั่งโต๊ะนี้นะ พี่นั่งโน่น”
โน่นของคุณมกรคือห่างออกไปประมาณห้าก้าวได้
“แล้วเดี๋ยวพี่เอาแฟ้มมาให้”
ร่างสูงใหญ่ผละไปทำให้ณัฐวีร์หย่อนตัวลงนั่งกับโต๊ะทำงาน.. แล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าเขาถูกบรรยากาศนั้นทำให้ไขว้เขวจนลืมตกใจเรื่องถูกกอดไปเลย..
(ต่อด้านล่าง)