“เอ่อ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าคะ” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบที่แทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่ หญิงสาวมองวิศรุตแล้วหันไปมองนภัทรด้วยสีหน้างุนงง สองคนนี้จ้องหน้ากันราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นแหล่ะ
นภัทรรู้สึกตัวตอนที่ศรารัตน์ถามตน คุณหมอหนุ่มแกล้งกระแอมไอเล็กน้อยก่อนรีบพูด
“คือว่าผมหาแฟ้มเอกสารเรื่องงานวิจัยไม่เจอน่ะครับ พอดีว่าตอนเช้าหยิบติดมือออกมาด้วยตอนที่ออกมาตรวจคนไข้ ไม่แน่ใจว่าลืมเอาไว้ที่นี่หรือเปล่า ผมก็เลยแวะมาดูเผื่อจะเจอ” ศรารัตน์ช่วยนภัทรมองหาแฟ้มที่ว่าแต่ก็ไม่เจอ
“คุณหมอคงไม่ได้ลืมไว้ที่นี่หรอกค่ะ เแต่เอาไว้ถ้าเกิดเจอมันอยู่ในห้องนี้ เดี๋ยวฉันจะฝากพยาบาลไปคืนให้ก็แล้วกันนะคะ” นภัทรเอ่ยขอบคุณในความมีน้ำใจของอีกฝ่ายก่อนจะปรายตามองไปทางวิศรุตที่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไร ศรารัตน์เห็นสายตาของนภัทรพอดีจึงจำเป็นต้องเอ่ยแนะนำวิศรุตอย่างเสียไม่ได้
“คุณหมอคะ นี่พี่ชายแท้ๆของฉันเองค่ะ ชื่อวิศรุต” ศรารัตน์หันไปทางพี่ชายตัวเองแล้วแนะนำอีกฝ่ายบ้าง “นี่คุณหมอ นภัทร คุณหมอเจ้าของไข้ของฉัน” วิศรุตมองหน้านภัทรอีกครั้งก่อนเอ่ยคำว่าสวัสดีออกมาด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นภัทรเองก็ทักทายตอบด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน
“คุณหมอทำท่าเหมือนรู้จักพี่ชายของฉัน สองคนเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ” ศรารัตน์หันไปถามนภัทรที่เริ่มทำหน้า ไม่ถูก แต่วิศรุตชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เปล่าหรอก ฉันกับคุณหมอนภัทรเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายทันที เขาไม่รู้ว่าวิศรุตกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้บอกกับศรารัตน์ไปอย่างนั้น แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ยอมรับว่ารู้จักกับเขา เขาเองก็ได้แต่ต้องตามน้ำ
“ผมกับคุณ... เอ้อ วิศรุต เราจะเคยรู้จักกันมาก่อนได้ยังไงล่ะครับ ที่ผมเสียมารยาทจ้องหน้าคุณวิศรุตเมื่อครู่ ก็เพราะนึกคุ้นหน้า คล้ายว่าเหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งของผมตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย แต่พอมองดีๆก็รู้ว่าไม่ใช่” คนที่ถูกพาดพิงถึงกับสะอึกในสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมา เขายังไม่พร้อมตอบคำถามศรารัตน์ในตอนนี้ ถ้าหญิงสาวรู้ว่าทั้งเขาและนภัทรเคยรู้จักกันมาก่อน แถมเขายังไปหลงรักอีกฝ่ายอย่างหัวปักหัวปำ น้องสาวของเขาวีนแตกลั่นโรงพยาบาลแน่เพราะวิศรุตมั่นใจว่าศรารัตน์ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเรื่องที่ว่าเขาเป็นเกย์
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” นภัทรรีบขอตัวเดินออกจากห้องไปโดยไม่ยอมสบตากับวิศรุตเลย
แม้ว่าจะสงสัยในอาการแปลกๆของหมอนภัทรและพี่ชายตนเองที่บอกว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผู้หญิงฉลาดอย่างศรารัตน์ก็พอจะมองออกว่าเรื่องนี้มีนัยอย่างแน่นอน หญิงสาวจึงมาคาดคั้นเอากับวิศรุตหลังจากที่นภัทรออกไปแล้ว
“นายไม่เคยรู้จักหมอนภัทรมาก่อนจริงๆเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ เมื่อกี้คุณหมอก็ยืนยันเองว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“แต่ฉันเห็นนายกับหมอนภัทรดูท่าทางแปลกๆชอบกล”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันจะไปรู้จักกับคุณหมอนภัทรอะไรนั่นได้ยังไงล่ะ” วิศรุตยืนยันเสียงเข้มก่อนพยายามตัดบทบอกให้น้องสาวพักผ่อนได้แล้ว ศรารัตน์ยอมทำตามแต่โดยดีแม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยข้อสงสัยก็ตามที
หลังจากที่แน่ใจว่าแม่น้องสาวตัวดีหลับสนิทแล้ว วิศรุตจึงลอบระบายลมหายใจแรง ชายหนุ่มไม่มั่นใจว่าศรารัตน์จะระแคะระคายเรื่องในอดีตระหว่างเขากับนภัทรหรือไม่ แต่น้องสาวเขาเป็นคนฉลาด อีกไม่นานคงต้องนึกสงสัยแน่ แล้วถึงตอนนั้นเขาจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
วิศรุตหมุนลูกบิดเปิดประตูอย่างเบาเสียงเพราะไม่อยากทำเสียงดังรบกวนคนป่วยที่นอนพักผ่อนอยู่ ในใจก็นึกไปถึงคนๆนั้นที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เขามีหลายเรื่องที่อยากพูดคุย มีถ้อยคำมากมายที่อยากส่งผ่านให้ฝ่ายนั้นรับรู้บ้างถึงแม้ว่ามันจะส่งไปไม่ถึงหัวใจด้านชาของนภัทรเลยก็ตาม แต่วิศรุตกลัว... กลัวการเผชิญหน้ากับนภัทรในเวลาและสถานการณ์แบบนี้
“ไม่ได้เจอกันนานนะ” คำพูดลอยๆแต่สามารถทำให้วิศรุตชะงักหยุดอยู่กับที่ คนที่ถูกเรียกชื่อค่อยๆหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับคนพูด วิศรุตช้อนตาสีน้ำตาลโศกคู่สวยมองฝ่ายตรงข้ามเต็มสองตา
นภัทรที่กำลังยืนหันหลังพิงกำแพงด้านนอกห้องพักผู้ป่วยอยู่ก็มองตอบมาด้วยแววตาที่วิศรุตเองก็ไม่เข้าใจความหมาย แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นแววตาเชือดเฉือนเย็นชาแบบที่นภัทรเคยมีให้เขาบ่อยๆตอนสมัยเรียน
“นายก็ยังเหมือนเดิมนะ” วิศรุตทักตอบพลางฝืนยิ้มบางๆให้ แล้วก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดทำลายความเงียบดี
“แล้วนายล่ะ ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า” คำพูดแฝงนัยของนภัทรที่ถามกลับทำเอาวิศรุตถึงกับตอบไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งจนนภัทรทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางอ้ำอึ้งของคนตรงหน้า ก่อนคุณหมอหนุ่มจะเปลี่ยนมาพูดเรื่องของศรารัตน์แทน “คิดไม่ถึงว่าคนไข้ของฉันจะเป็นน้องสาวของนาย” นภัทรไม่ได้เอะใจเลยว่าศรารัตน์ใช้นามสกุลทัดเทวาจนกระทั่งได้มาเจอกับวิศรุตโดยบังเอิญอีกครั้งหนึ่งในห้องของคนไข้ที่เขาดูแลอยู่
“ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่านายจะเป็นหมอเจ้าของไข้ของยัยศรา น้องสาวฉัน” นภัทรไหวไหล่แล้วบอกว่า
“โลกนี้ช่างมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นมากมายจริงๆ เช่น... เรื่องของฉันกับนาย”
“นายจะพูดอะไร” เสียงที่เข้มขึ้นและห้วนตวัดบอกได้อย่างชัดเจนว่าวิศรุตเริ่มไม่พอใจคำพูดของฝ่ายนั้นขึ้นมาบ้างแล้วก่อนชายหนุ่มจะขึงตาใส่คนพูดจนอีกฝ่ายต้องพูดแก้แต่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้ที่มุมปากเช่นเดิม
“ฉันแค่หมายความว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ฉันกับนายได้มาเจอกันวันนี้ไง นายเข้าใจว่าอะไรล่ะ” วิศรุตปฎิเสธเสียงห้วนสั้นว่าเปล่า ก่อนจะผินหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ “กลับมาจากอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่” จู่ๆนภัทรก็เปลี่ยนเรื่อง ทำเอาวิศรุตปรับอารมณ์ตามไม่ค่อยทัน แต่ก็ยอมตอบคำถามนั้นแต่โดยดี
“ไม่กี่วันนี้เอง พอดีที่บ้านโทรไปบอกว่ายัยศราเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล ฉันก็เลยต้องมาดูหน่อย” นภัทรพยักหน้าเชิงว่ารับรู้ก่อนคุณหมอจะนิ่งไปซักพักแล้วตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุด
“ไปหากาแฟดื่มสักถ้วย แล้วนั่งคุยกันดีไหม จะได้ย้อนคุยถึงเรื่องเก่าๆสมัยเรียนยังไงล่ะ” วิศรุตกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วตัดใจเอ่ยปฎิเสธคำชวนของคุณหมอหนุ่มตรงหน้า
“อย่าดีกว่า รบกวนเวลานายเปล่าๆ อีกอย่างฉันไม่อยากไปย้อนคิดถึงเรื่องเก่าๆอีกแล้ว” เรื่องของเขากับนภัทรมันจบลงตั้งแต่คืนนั้น คืนที่นภัทรปฎิเสธความรักของเขาอย่างไม่ไยดี เรียกให้ถูกก็คือมันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ แค่คิดมาถึงตรงนี้ วิศรุตก็รู้สึกสมเพชตัวเองเต็มทน ชายหนุ่มยิ้มขื่นกับตัวเองก่อนหมุนตัวตั้งใจจะเดินหนีไปจากตรงนั้นเพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทนกับสายตาแบบนั้นของนภัทรที่มองมาไม่ได้อีกต่อไป
“ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าครั้งนี้เราจะต้องกลายมาเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม” นภัทรพูดไล่หลัง
“สักวันนายอาจจะนึกเสียใจก็ได้ที่เราได้มาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง” วิศรุตพูดเบาๆกับตัวเองโดยไม่ได้หันกลับไปมองนภัทรอีกเลย
การดำเนินชีวิตประจำวันของวิศรุตไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนักหลังจากที่ได้พบนภัทรอีกครั้งที่โรงพยาบาลในวันนั้น ชายหนุ่มเข้ามาทำงานที่บริษัทบ้างเป็นบางวันเพื่อไม่ให้ผู้บริหารและบรรดาพนักงานคนอื่นๆค่อนแคะเอาได้ว่าประธานกรรมการของทัดเทวาทำตัวลอยชายไปวันๆ ไม่เอาการเอางานอย่างที่คุณมงคลชอบกล่าวหาเขาบ่อยๆ เมื่อนึกถึงคุณวรุตผู้เป็นบิดาที่เป็นคนสร้างบริษัทแห่งนี้ให้เติบใหญ่ขึ้นมากับมือ ชายหนุ่มในฐานะลูกชายคนเดียวก็ควรจะเข้ามาดูแลบริษัทบ้าง อย่างน้อยก็ช่วงที่ศรารัตน์กำลังนอนเจ็บหนักอยู่ที่โรงพยาบาลขณะนี้
พอนึกถึงศรารัตน์ วิศรุตก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครอีกคน การเผชิญหน้ากับนภัทรอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวในวันนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว แม้ว่าวิศรุตจะเคยสัญญากับตัวเองมาตลอดว่าจะลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนๆนั้นออกไปจากใจ ช่วงเวลาที่เขาไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกก็เหมือนว่าเขาจะทำได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ในตอนแรกๆจะยังทำใจไม่ได้ แต่ความรู้สึกในเวลาต่อมาก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนตอนสมัยม.ปลายอีกแล้ว เขาเคยคิดว่าตัวเองสามารถลืมนภัทรได้จริงๆ แต่เปล่าเลย พอเขากลับมาเมืองไทย ข่าวคราวของเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็ยังคงเป็นนภัทรอยู่ดี เขาอยากรู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงและตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ นภัทรจะเคยนึกถึงเขาบ้างไหมนะ แล้วเขาเคยอยู่ในความทรงจำของฝ่ายนั้นบ้างหรือเปล่า นึกมาถึงตอนนี้วิศรุตได้แต่แค่นยิ้มกับตัวเอง ไม่มีทางที่คนอย่างนภัทรจะมาคิดถึงเขาหรอก ฝ่ายนั้นจะมามัวคิดถึงคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดได้อย่างไร เพราะนภัทรไม่ได้มอบความรักให้เขาอย่างที่เขามอบให้ฝ่ายนั้นอย่างหมดใจ แต่เพียงสิ่งเดียวที่เขาได้รับจากฝ่ายนั้นเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับความรู้สึกพิเศษที่มีให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา นั่นคือ... ความเกลียดชัง
วิศรุตหมุนปากกาในมือเล่นอย่างใจลอย ความคิดของชายหนุ่มวนไปวนมาถึงเรื่องของนภัทรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้เขา ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเวลาไม่ได้ช่วยให้ตัวเองลืมฝ่ายนั้นได้เลย ถ้าเพียงศรารัตน์ไม่ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล... ถ้าเพียงเขาไม่กลับมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมอาการน้องสาว... ถ้าเพียงนภัทรไม่ใช่นายแพทย์นภัทร อิสรีย์ แพทย์เจ้าของไข้ของศรารัตน์... ถ้าเพียงแต่เขาลบเหตุการณ์ในคืนนั้นออกไปจากหัวใจและความทรงจำได้... ถ้าเพียง...
‘ก๊อกๆ’
เสียงเคาะประตูทำให้นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัททัดเทวาหลุดจากภวังค์ ชายหนุ่มอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ คงเป็นคุณอิงอร เลขาฯของเขาที่เอาแฟ้มงานกองโตมาให้พิจารณาอีกเป็นแน่ วิศรุตคิดแล้วก็แอบเบ้หน้าด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อไหร่ที่ศรารัตน์กลับมาคุมงานที่บริษัทได้ เขาจะหนีไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เมืองนอกเสียให้รู้แล้วรู้รอด
คนที่มารบกวนการทำงานของเขาเป็นอิงอรจริงๆ แต่เบื้องหลังเลขาฯของเขายังมีอีกคนเดินตามเข้ามาด้วย
“ท่านประธานคะ คุณภาณุมาขอพบค่ะ” วิศรุตเงยหน้าขึ้นมองแขกที่มาขอพบก่อนจะยิ้มกว้างเพราะกำลังนึกอยากเจอเพื่อนสนิทคนนี้อยู่พอดี หลายวันมานี้เขาแทบไม่ได้ติดต่อภาณุเลยเพราะต้องเริ่มศึกษางานที่บริษัทระหว่างที่ศรารัตน์ไม่อยู่ ประจวบกับช่วงนี้ภาณุเองก็กำลังยุ่งๆกับบริษัทอัญมณีซึ่งเป็นกิจการของทางบ้าน โอกาสจะได้เจอกันก็หาได้ยากกว่าเมื่อก่อน เพราะตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ จะให้เที่ยวเตร่ด้วยกันบ่อยๆเหมือนสมัยเรียนคงไม่ได้อีกแล้ว
“ผมมารบกวนเวลาทำงานของท่านประธานกรรมการหรือเปล่าครับเนี่ย” วิศรุตขำพรืดกับคำเรียกขานที่เพื่อนสนิทใช้แซวตนเอง ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้อิงอรเป็นเชิงว่าให้ช่วยเตรียมของว่างกับกาแฟเข้ามาให้ด้วยซึ่งเลขาฯคนนี้ของเขาก็รู้หน้าที่ตนเป็นอย่างดี
“ว่าไงไอ้โอม ทำไมวันนี้มาหาฉันถึงที่ทำงานได้เนี่ย ลมอะไรหอบมา” วิศรุตถามหลังจากอิงอรออกไปแล้ว
“ถามได้ ก็ลมคิดถึงน่ะสิ” ภาณุขำกับหน้าปูเลี่ยนๆของเพื่อนสนิทที่ทำท่าขนลุกกับคำตอบที่ได้รับ
“นี่ถ้าฉันเป็นผู้หญิงได้ฟังแบบนี้จะต้องหัวใจละลายจนอ่อนยวบแน่เลย” วิศรุตพูดแซวภาณุอีกสองสามคำก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานมากขึ้น “แล้วตกลงว่าที่นายมาหาฉันเนี่ยเพราะคิดถึงอย่างเดียวหรือว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า”วิศรุตถามเพราะสงสัยว่าร้อยวันพันปีภาณุไม่เห็นเคยจะมาหาเขาที่บริษัทสักครั้ง โดยเวลานัดเจอกันทุกครั้งจะนัดเจอที่ข้างนอกเสียมากกว่า
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ พอดีฉันมาเจรจางานแถวนี้ เสร็จแล้วก็เลยคิดว่าจะมาชวนนายไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน อีกอย่างจะได้เลยไปเยี่ยมยัยศราด้วย” ตั้งแต่ศรารัตน์ป่วยเข้าโรงพยาบาล เขายังไม่ได้ไปเยี่ยมเลยสักครั้ง จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวเหมือนที่สนิทสนมกับวิศรุต แต่เพราะศรารัตน์ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวของวิศรุต เพื่อนสนิท เขาก็ควรจะแสดงน้ำใจบ้าง อย่างน้อยเขาเองก็รู้จักฝ่ายนั้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
บทสนทนาเว้นช่วงไปตอนที่อิงอรเอากาแฟและของว่างเข้ามาเสริ์ฟให้กับทั้งคู่ ภาณุละเลียดชิมกาแฟหอมกรุ่นฝีมืออิงอรก่อนจะเอ่ยชมว่าอร่อยซึ่งทำเอาคนชงถึงกับหน้าบานกับคำชมของเพื่อนสนิทเจ้านายไม่น้อย ก่อนจะขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ
“ว่าไงล่ะ จะไปด้วยกันหรือเปล่า” ภาณุถามเพราะเห็นวิศรุตนิ่งไปกับคำชวนของตน เขาเองไม่ได้จะคิดมากอะไรหากว่าวิศรุตจะปฏิเสธเพราะพอรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างวิศรุตและศรารัตน์ไม่ค่อยปกติเหมือนพี่น้องคู่อื่นๆ คงจะกลัวมีเรื่องกับยัยศรา แต่ละคนก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ภาณุคิดในใจ
“ฉันได้เจอเขาแล้ว” จู่ๆวิศรุตก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาภาณุงงไปเล็กน้อยว่าคู่สนทนากำลังพูดถึงใคร “ฉันเจอกับนภัทรแล้ว” วิศรุตต่อให้เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนสนิท
“อะไรนะ”ภาณุถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู ก่อนที่วิศรุตจะถอนหายใจเฮือกแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจอกับนภัทรที่โรงพยาบาลให้คู่สนทนาฟังเพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะมีความลับกับเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว
“สรุปว่านภัทรกลายมาเป็นหมอเจ้าของไข้ยัยศราเนี่ยนะ” วิศรุตพยักหน้ายอมรับ “แล้วยัยศรารู้หรือเปล่าว่านายเคยชอบนภัทร เอ้อ เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ฉันโกหกไปว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เหมือนยัยศราดูจะสงสัยนิดหน่อย แต่ก็ช่างเถอะเพราะอย่างน้อยนภัทรก็ช่วยยืนยันว่าเราไม่เคยรู้จักกัน ยัยศราคงไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้นักหรอก” เมื่อคิดถึงเรื่องตอนนั้น วิศรุตอดรู้สึกเสียวแปลบในใจไม่ได้ เขากับนภัทรเป็นได้แค่เพียงคนที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น
เหมือนภาณุจะสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติไปของวิศรุต ชายหนุ่มจึงเอ่ยออกมาว่าไม่ต้องไปเยี่ยมศรารัตน์เป็นเพื่อนเขาก็ได้ เพราะวิศรุตอาจจะยังไม่พร้อมจะเจอนภัทรในเวลานี้ อีกอย่างเขากลัวว่าวิศรุตจะไปปะทะคารมกับศรารัตน์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดตั้งแต่เด็กอีกด้วย คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากจะไปชวนคนป่วยทะเลาะแบบนั้น ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากวิศรุตทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย เวลาคงจะทำให้วิศรุตเข้มแข็งขึ้นจริงๆ
“ฉันจะไปกับนายด้วย นภัทรเป็นหมอคงมีงานต้องทำเยอะ คงไม่ได้มาดูแลคนไข้อย่างยัยศราเพียงคนเดียวหรอก อีกอย่างถึงต้องเจอกันก็แล้วยังไงล่ะ ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะต้องวิ่งหนีอีก นายคิดดูสิว่าเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องวิ่งหนีหรือหลบหน้าคนที่เพิ่งจะรู้จักกันด้วย”
การคาดการณ์ของวิศรุตนั้นผิดเมื่อทั้งเขาและภาณุเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไปแล้วพบว่านอกจากศรารัตน์แล้วยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องด้วย ร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อกาวน์สีขาวที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกลากมาใกล้ข้างเตียงคนป่วยยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่สองคน ใบหน้าคุณหมอหนุ่มที่ประดับด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ยามเมื่อสนทนากับศรารัตน์กลับคลายยิ้มลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ภาณุและวิศรุต
“สวัสดีครับคุณหมอ” วิศรุตเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อนพร้อมใบหน้าฉาบรอยยิ้มที่นภัทรมองออกว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจยิ้มให้เขาเป็นแน่ ก่อนคุณหมอหนุ่มจะทักทายตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ ดวงตาสีถ่านภายใต้แว่นตาไร้กรอบมองไล่ไปยังอีกคนหนึ่ง ที่มากับวิศรุตด้วย ก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้กับฝ่ายนั้น เพราะถึงจะแสร้งว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ถึงอย่างไรภาณุเองก็เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาสมัยตอนเรียนมัธยม การทำเฉยเมยต่ออีกฝ่ายดูจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปในความคิดของนภัทร ซึ่ง ชายหนุ่มก็ไดัรับรอยยิ้มสุภาพกลับคืนมาเช่นกัน แม้จะไม่มีคำทักทายที่บ่งบอกว่าทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม วิศรุตคงเล่าเรื่องให้ภาณุฟังแล้ว นภัทรคิดในใจเงียบๆ
“เอาอีกแล้วนะวิน ทำไมจะเข้ามาไม่มีการเคาะประตูก่อนล่ะ” เสียงศรารัตน์ดังขึ้นทำลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ วิศรุตสบตาศรารัตน์อย่างไม่ค่อยพอใจนัก จริงอยู่ว่าเขาผิดที่ไม่ได้เคาะประตูก่อน แต่น้องสาวตัวดีไม่น่าจะหลอกด่าเขาเรื่องความไม่มีมารยาทต่อหน้าบุคคลอื่นแบบนี้
ศรารัตน์เมินสายตาไม่พอใจนั้นแล้วหันไปทักทายผู้มาใหม่อีกคนที่ตอนนี้เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงของเธอ
“สวัสดีค่ะพี่โอม” ภาณุรับไหว้หญิงสาวก่อนจะวางของเยี่ยมเอาไว้ตรงชั้นวางของใกล้ๆกัน
“เป็นไงบ้างน่ะเรา กระดูกเหล็กจริงๆเลยแม่คนนี้” ศรารัตน์หัวเราะเล็กน้อยกับคำชมกึ่งประชดของเพื่อนสนิทพี่ชายก่อนจะบอกว่าตอนนี้ตนดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้เพราะตัวเองก็ชักเบื่อการนอนนิ่งๆแบบนี้เต็มที
“นึกว่าจะชอบที่นี่จนไม่อยากกลับซะอีก” วิศรุตอดพูดขึ้นมาลอยๆไม่ได้ ดูจากตอนเข้ามาที่เห็นว่าศรารัตน์กำลังหัวเราะพูดคุยอย่างร่าเริงอยู่กับคุณหมอเจ้าของไข้ ไม่ได้มีแววเบื่อโรงพยาบาลสักนิดอย่างที่เจ้าตัวพูด
“จะมาชวนทะเลาะอะไรอีกล่ะวิน”ศรารัตน์สีหน้าเข้มขึ้นกับคำพูดของพี่ชาย เจอหน้าทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลย
“ถ้าคุณศรามีเพื่อนคุยแล้ว อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ แล้วจะมาคุยด้วยใหม่วันหลัง” นภัทรคลี่ยิ้มอบอุ่นให้กับคนป่วยที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียงก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป โดยหลังจากนภัทรออกไปแล้ว ทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบทันทีจนภาณุกลัวว่าจะเกิดสงครามน้ำลายขึ้นมาเสียก่อนหากบรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงหาเรื่องคุยขึ้นมา
“พี่ซื้อพวกผลไม้กับของบำรุงมาเยอะเลย ศราทานเยอะๆนะครับจะได้หายไวๆ ไอ้วินน่ะบ่นบ่อยๆว่าศราทิ้งบริษัทให้มันรับผิดชอบคนเดียว มันจะเฉาตายอยู่แล้วเพราะโดนเพ่งเล็งจากพวกผู้บริหารแล้วก็ญาติๆที่เป็นกรรมการบริษัท ไอ้วินบ่นจนพี่ฟังหูจะแฉะอยู่แล้วเนี่ย ใช่ไหมไอ้วิน” ภาณุพูดติดตลกแถมท้ายประโยคโยนให้วิศรุตด้วยซะงั้น แต่ตอนนี้วิศรุตและศรารัตน์ไม่มีอารมณ์จะขำกับคำพูดของภาณุเท่าใดนัก
“ยัยศราคงยังไม่อยากรีบออกจากโรงพยาบาลเท่าไหร่หรอกมั๊ง ปากก็บอกว่าเบื่อ แต่เมื่อกี้ตอนที่คุยกับคุณหมอไม่เห็นเธอจะแสดงอาการเบื่อให้เห็นอย่างที่พูดเลย” วิศรุตที่ยืนกอดอกอยู่พูดขึ้น ภาณุส่งสีหน้าจะบ้าตายให้เพื่อนสนิทแทนคำพูด ชายหนุ่มรู้ดีว่าวิศรุตเริ่มก่อสงครามน้ำลายอีกแล้ว ซึ่งศรารัตน์ก็ดูท่าทางจะยอมคนเสียเมื่อไหร่
“หมอกานต์เค้ามาคุยเป็นเพื่อนแก้เบื่อให้ฉันต่างหาก นายก็อย่ามาหาเรื่องนักเลย วันนี้ฉันอารมณ์ดีๆอย่ามาทำให้อารมณ์เสียเลย ขอร้อง” สรรพนามที่ศรารัตน์ใช้เรียกนภัทรเปลี่ยนไปจากคุณหมอนภัทรเป็นหมอกานต์ และจากที่นภัทรเคยเรียกน้องสาวเขาว่าศรารัตน์กลับเปลี่ยนเป็นคุณศรา มันบ่งบอกได้ดีถึงความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นถึงขนาดให้เรียกชื่อเล่นกันได้อย่างสนิทปาก วิศรุตกัดกรามแน่น ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววไม่พอใจให้เห็นครู่หนึ่งก่อนจะหายไปแทบจะทันที แต่ถึงอย่างนั้นภาณุก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี ดีที่ศรารัตน์ไม่ทันเห็นเพราะหญิงสาวเชิดหน้าเมินไปอีกทาง
“ถ้าเป็นแค่เพื่อนคุยแก้เหงาแก้เบื่อก็แล้วไป แต่อย่าให้เป็นมากกว่านั้นก็แล้วกัน” วิศรุตลงท้ายเสียงหนักในประโยคสุดท้าย ถ้าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องวิศรุตกับนภัทรมาก่อนก็คงจะคิดว่าเป็นเพราะวิศรุตเกิดอาการหวงน้องสาวคนสวยขึ้นมากะทันหัน แต่สำหรับศรารัตน์กับภาณุแล้วมันไม่ใช่
ศรารัตน์นึกแปลกใจกับคำพูดของพี่ชาย แต่ด้วยความรั้นและไม่ยอมลงให้พี่ชายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เธอแค่นยิ้มเย็นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์คนฟังให้ยิ่งขุ่นขึ้นไปอีก
“ถ้าเป็นมากกว่านั้นแล้วจะทำไมล่ะ หมอกานต์เองก็จัดว่าโอเค ถึงแม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีแต่ก็ไม่ได้ขัด สนอะไร หน้าที่การงานก็มั่นคง อัธยาศัยก็ดีมีน้ำใจ แถมหล่ออีกต่างหาก”
“เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เธอยังไม่รู้จักนิสัยแท้จริงของหมอนั่นดีพอเลย แล้วมาพูดอย่างกับว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปีงั้นแหล่ะ”
“แต่นายเองก็พูดเหมือนรู้จักเขามาเป็นสิบปีงั้นแหล่ะ ถ้าจะมาเพื่อชวนทะเลาะล่ะก็ วันหลังไม่ต้องมานะ” คำพูดของ ศรารัตน์ทำเอาวิศรุตสะอึก ใช่สิเขารู้จักนภัทรมาเป็นสิบปีถึงได้รู้ว่าฝ่ายนั้นแบบคนแบบไหน เย็นชาไม่มีหัวใจแค่ไหน แต่บางทีไอ้นิสัยแบบนี้นภัทรอาจจะแสดงเฉพาะกับเขาเท่านั้นก็ได้ กับคนอื่นฝ่ายนั้นคงดีด้วยไม่มากก็น้อย วิศรุตได้แต่เม้มปากแน่น
ภาณุกลัวว่าเรื่องจะยิ่งบานปลายเข้าไปใหญ่ แล้วเกิดศรารัตน์ระแคะระคายเรื่องนภัทรกับวิศรุตขึ้นมามันจะยิ่งแย่ ชายหนุ่มเลยพยายามตัดบทสนทนาให้จบลงแค่นี้
“เอ่อ พี่ว่าศราพักผ่อนดีกว่านะ”
“ที่พูดเพราะห่วงหรอกนะ ไม่อยากให้โดนผู้ชายหลอก เธอก็รู้ดีนี่นาว่ามีผู้ชายตั้งเยอะแยะอยากจะเลื่อนระดับตัวเองด้วยการเกี่ยวดองกับทัดเทวา” ภาณุตกใจกับคำพูดแรงของเพื่อนสนิท ถ้าวิศรุตหมายถึงผู้ชายคนอื่นเขาจะไม่แปลกใจเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้วิศรุตหมายถึงนภัทร อิสรีย์ คนพูดก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านภัทรไม่น่าจะเป็นผู้ชายที่เลวถึงขนาดหลอกใช้ความรู้สึกของผู้หญิงเพื่อยกระดับฐานะตัวเองหรอก
ดูเหมือนว่าวิศรุตก็ตกใจกับสิ่งที่ตนพูดออกไปเช่นกัน แต่เขายอมให้ศรารัตน์ชอบนภัทรไม่ได้เด็ดขาด และถึงนภัทรจะไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยคนที่ได้หัวใจของฝ่ายนั้นไปจะต้องไม่ใช่ศรารัตน์ คนๆนั้นจะต้องไม่ใช่น้องสาวของเขาคนนี้!
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายไม่เกี่ยว ฉันตัดสินใจเองได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่ทันเกมของคนอื่น ดังนั้นนายสนใจเรื่องของตัวเองไปเถอะ อย่ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน เพราะขนาดเรื่องส่วนตัวของนาย ฉันเองก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งสักครั้ง” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเย็นเยียบ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมวิศรุตถึงมีอคติกับหมอกานต์ของเธอนักหนา ทั้งที่แต่ก่อนเธอควงหรือคบผู้ชายคนไหน วิศรุตไม่เห็นจะเคยสนใจ ตอนนี้นึกยังไงถึงมาห่วงว่าเธอจะโดนผู้ชายอย่างหมอกานต์หลอก ศรารัตน์เหลียวหน้าไปสบตาวิศรุตอย่างถือดี ในตอนนี้ความอยากเอาชนะพี่ชายมีเหนือกว่าอะไรทั้งหมด
วิศรุตแค่นเสียงเย็นชาก่อนสาวเท้ายาวๆออกจากห้องไปพร้อมกับประตูที่ถูกปิดดังปังตามแรงอารมณ์อย่างไม่เกรงใจคนป่วยห้องอื่นเลยสักนิด
ภาณุมองตามวิศรุตไปอย่างเข้าใจความรู้สึก เขาเป็นเพื่อนสนิทกับวิศรุตมานานหลายปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ วิศรุตคงกำลังเกิดอาการที่เรียกง่ายๆว่า ‘หึง’ น้องสาวตัวเองกับนภัทรอยู่แน่ๆ ถ้าทั้งคู่ลงเอยกันจริงๆ คนที่เสียใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นวิศรุตอย่างแน่นอน
Aislin: วันนี้พอกลับมาจากต่างจังหวัดเลยรีบมาอัพให้อย่างว่องไวเลยค่ะ หวังว่าคงจะสนุกกับการอ่านนะคะ ตอนนี้พระ-นายก็เจอกันแล้ว แต่เจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะเอื้อสักเท่าไหร่ ต้องมาลุ้นเองว่าจะเป็นยังไงต่อไป แต่ก่อนที่ Aislin จะอัพตอนต่อไปให้ได้อ่านกัน ไหนๆๆขอเสียงแฟนๆนิยายเรื่องนี้หน่อยเร้วววววววว.... ความเร็วของการอัพนิยายจะมาพร้อมกับความดังของเสียงนักอ่าน ก๊ากๆๆ (มีต่อรองด้วยเว้ยเฮ้ยยย)
ปล. อย่าลืมไปกด LIKE ในแฟนเพจ www.facebook.com/Aislin.Napoon นะคะเพราะเร็วๆนี้เกดจะอัพหน้าปกนิยายเรื่องนี้ให้ได้ยลโฉมกัน แล้วก็จะแจ้งรายละเอียดอื่นๆเกี่ยวนิยายด้วย เราจะได้ไม่พลาดทุกการติดต่อเน้อ ^0^