ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1-39: updated 8/11/58 -- เวลา 15.55 น.)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1-39: updated 8/11/58 -- เวลา 15.55 น.)  (อ่าน 69182 ครั้ง)

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ลุ้นๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
นี่คือเรื่องที่อิป้าชอบเพิ่งเห็นลงในเล้า อ่านในเด็กดี ซื้อหนังสือมากอด จนช้ำต้องห่อปกใหม่
แต่ตอนนี้ยังไม่อ่าน แปะไว้แล้วจะเข้าอ่าน...รักหมอกานต์กับพี่วิน....หาคู่ให้โอมซะเถอะ..

ขอบคุณมากเลยค่ะพี่จุ๋มที่ยังจำกันได้และรักนิยายเรื่องนี้
ส่วนเรื่องหาคู่ให้โอม... เดี๋ยวขอเอาไปนอนก่ายหน้าผากคิดก่อนนะคะ ฮาๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ลุ้นๆๆๆๆๆๆ

เดี๋ยวมีให้ลุ้นตลอดไปจนจบเรื่องแน่นอนค่ะ อิอิ
ขอบคุณที่คอมเม้นท์ให้นะคะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทราคาขายนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon 
หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com (แอทฮอทเมล์)

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)


หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ (www.mebmarket.com)

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)
[/color]


              นภัทรละมือจากการอ่านฟิล์มเอ็กซ์เรย์คนไข้เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปหยิบมาดูและเห็นว่าหน้าจอขึ้นชื่อว่าวิศรุตโทรเข้ามา คุณหมอหนุ่มกดรับทันทีก่อนจะกรอกเสียงลงไป


            “ฮัลโหล มีอะไรเหรอวิน”


            “คืนนี้ว่างหรือเปล่า” วิศรุตเว้นจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเข้าประเด็นถึงจุดประสงค์ที่ตนโทรมา “ไปกินข้าวกันไหม” นภัทรอมยิ้มก่อนจะถาม


            “โอกาสพิเศษอะไรล่ะ”


            “วันคล้ายวันเกิดของนายไง” คำตอบของวิศรุตทำให้คนฟังยิ้มกว้างพร้อมถามว่ายังจำวันเกิดของตนได้อยู่อีกเหรอ วิศรุตหัวเราะน้อยๆก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “วันเกิดของนายทั้งที จะลืมได้ยังไงล่ะ” เขาไม่เคยลืมวันเกิดของนภัทรเลย สมัยตอนเรียนทุกปีที่ครบรอบวันเกิดของนภัทร เขาอยากจะให้ของขวัญฝ่ายนั้นเหมือนอย่างเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆบ้าง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้า สุดท้ายเลยไม่ได้ให้สักครั้งเดียว


            หลังจากต่อปากต่อคำกับวิศรุตสองสามประโยค คุณหมอหนุ่มก็ถามถึงสถานที่นัดพบซึ่งวิศรุตก็บอกชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองและนัดเวลาก่อนที่จะวางสายไป

 



            ตอนประมาณสามทุ่ม นภัทรไปที่โรงแรมตามที่วิศรุตบอก พนักงานต้อนรับพาชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกก่อนจะเดินนำไปยังลานกว้างที่รอบๆดาดฟ้าในตอนนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยเทียนหอมมากมาย ที่ใจกลางของลานนั้นมีโต๊ะอาหารสำหรับสองที่ตั้งอยู่และวิศรุตเองก็กำลังนั่งรอเขาอยู่เงียบๆ


            บริกรขยับเก้าอี้ให้นภัทรนั่งลง ก่อนจะล่าถอยไปยืนรอรับคำสั่งอยู่ห่างๆ นภัทรมองไปรอบตัวอย่างชอบใจระคนแปลกใจ ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่ามีแกรนด์เปียโนตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่ตนนั่งมากนัก วิศรุตมองสีหน้า นภัทรที่เต็มไปด้วยความสงสัยก่อนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง


            “ฉันลงทุนเหมาสกายบาร์ของโรงแรมนี้ทั้งชั้นเลยนะ ชอบหรือเปล่า” นภัทรหันมายิ้มให้แล้วก็บอกว่าอันที่จริงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ท่าทางวิศรุตคงจะสิ้นเปลืองไปกับงานนี้เยอะพอดู “ฉันแค่อยากทำให้นายพอใจ” คำพูดของฝ่ายนั้นทำให้ นภัทรต้องเสหลบตา


               คุณหมอหนุ่มมองไปรอบตัวอีกครั้ง สกายบาร์ของโรงแรมนี้เป็นห้องอาหารกลางแจ้งแบบเปิดโล่ง ทำให้ในยามค่ำคืนสามารถที่จะเห็นวิวใจกลางกรุงเทพฯที่เต็มไปด้วยแสงสีของความทันสมัยได้อย่างชัดเจน ห้องอาหารที่หรูหราระดับนี้ท่าทางจะแพงมาก การที่วิศรุตยอมปิดเหมาทั้งชั้นแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายคงเตรียมเอาไว้เพื่อเขาจริงๆ นภัทรมองวิศรุตเต็มตาก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายก็มองมาทางตนเช่นกัน


            “ฉันให้เขาเตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว อาหารที่นี่อร่อยหลายอย่าง รับรองว่านายจะต้องติดใจแน่นอน” วิศรุตหันไปส่งสัญญาณให้บริกรนำอาหารขึ้นเสิร์ฟ จากนั้นอาหารหน้าตาน่ารับประทานหลายชนิดก็ทยอยถูกส่งขึ้นมาบนโต๊ะจนหมด ก่อนที่บริกรอีกคนจะเดินเข้ามารินไวน์ให้กับแขกวีไอพีทั้งสอง


            หลังจากที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว วิศรุตก็ทำสัญญาณให้บริกรทั้งหมดออกไปจากสกายบาร์ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่ออยู่กับนภัทรเพียงสองคนเท่านั้น ทั้งคู่นั่งทานอาหารกันอย่างเงียบๆท่ามกลางแสงเทียนและบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนจะโรแมนติก


            “ลองทานนี่ดูสิ” วิศรุตพูดพร้อมกับตักกุ้งแม่น้ำตัวโตใส่จานให้นภัทร “กุ้งแม่น้ำย่างซอสเทอริยากิเป็นอาหารขึ้นชื่อของ ที่นี่เลยนะ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยขอบคุณเบาๆ ดูเหมือนว่าวันนี้วิศรุตจะตั้งอกตั้งใจเอาใจเขาเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นก็ทำให้นภัทรรู้สึกเต็มตื้นในใจอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มมองวิศรุตนิ่งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันหนึ่งเขากับวิศรุตจะกลับกลายจากคนที่ไม่ชอบหน้ามาเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแบบนี้ อันที่จริงเขาควรจะนึกรังเกียจและปฎิเสธในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ทำไม่ได้ด้วยเพราะลึกลงไปในใจแล้วนภัทรเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าความรู้สึกไหววูบที่ตนกำลังเผชิญอยู่มันคืออะไรกันแน่ บางทีอาจเป็นเพราะเขารักวิศรุตขึ้นมาจริงๆ


            “มองอะไรเหรอ” วิศรุตถามเมื่อเห็นว่านภัทรไม่ยอมถอนสายตาไปจากใบหน้าของตนเสียที ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายทักขึ้นมาก็ทำเอาคุณหมอหนุ่มหลุดจากภวังค์ก่อนรีบปฎิเสธว่าไม่มีอะไร โชคดีที่วิศรุตไม่ถามซักไซ้ต่อ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็คงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามอีกฝ่ายว่าอย่างไรเช่นกัน


            หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ววิศรุตก็สั่งให้บริกรจัดการเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย ระหว่างรอเก็บโต๊ะ นภัทรหันไปมองรอบตัวอีกครั้งอย่างต้องการซึมซับบรรยากาศยามค่ำคืน ชายหนุ่มไม่ได้กินเลี้ยงวันเกิดมื้อหรูหราแบบนี้บ่อยครั้งนัก เพราะว่าเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของตนทีไร ชายหนุ่มก็จะแค่ทำบุญใส่บาตรกับครอบครัวในตอนเช้าและทานอาหารเย็นร่วมกันเท่านั้น แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมาเพราะ... วิศรุต


            “วันเกิดของฉันทั้งที นายจะไม่ให้อะไรเป็นของขวัญหน่อยเหรอไง” คุณหมอหนุ่มพูดเสียงกระเซ้า ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการของขวัญมีค่าจากวิศรุตหรอกเพราะที่อีกฝ่ายทำให้เขามันก็มากเกินพอแล้ว วิศรุตยิ้มกับอาการทวงของขวัญของคุณหมอหนุ่มก่อนจะแกล้งถาม


              “แล้วนายอยากได้อะไรล่ะ”


            “ให้อะไรมาฉันก็ชอบทั้งนั้นแหล่ะ” คำพูดของนภัทรเรียกความอุ่นวาบบนใบหน้าหล่อเหลาของวิศรุต ชายหนุ่มหันไปมองยังแกรนด์เปียโนใกล้ๆนั้นก่อนจะหันมองหน้านภัทร ดวงตาโศกสีน้ำตาลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทราวถ่านแล้วเอ่ย


            “อันที่จริง ฉันก็มีบางอย่างที่อยากจะให้นายเหมือนกัน” นภัทรมองตามวิศรุตเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเบนสายตาไปยังด้านหลังตน ชายหนุ่มเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่ยังมีเปียโนตั้งอยู่ด้วยหนึ่งหลัง นภัทรหันกลับมายังวิศรุตอีกครั้งด้วยใบหน้า ที่เต็มไปด้วยคำถามซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบแต่กลับเดินไปยังเปียโนสีขาวแล้วนั่งลง ตอนนี้คุณหมอหนุ่มพอจะเดาออกแล้วว่าวิศรุตจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดเขา


            “ฉันอยากจะเล่นเพลงนี้ให้เป็นของขวัญแด่นาย... ผู้ชายที่ฉันรักจนหมดหัวใจ” วิศรุตยิ้มก่อนจะเริ่มเล่นเพลง Falling for you again* พร้อมกับร้องคลอไปกับทำนองด้วย ถึงแม้ว่าเสียงของฝ่ายนั้นจะไม่ได้ไพเราะถึงขั้นนักร้องมืออาชีพ แต่เพลงนี้ก็ทำให้นภัทรถึงกับยิ้มออกมาได้แบบไม่รู้ตัว

 

There’s this one song that I sang once for you.
But can you still reminisce it like I do?
Night turns to day as time takes its own turn
but I'm still hanging on to those words


* That speaks of love oh so deep that makes my heart weep
and still makes my day every time I start singing it
Do you remember when we first met long ago?

** I cherish this song just like a gift.
To let you know my heart won’t ever drift … far away
Even though years may pass,
and my love for you is here to last
through heaven’s gate or hell’s wrath
I won't ever ever give it up, yes it's true.
There could just be an only you
my only you and you alone
that my heart really truly belong
I pledge my life to, to love you
without asking anything in return.

As time turns its page and seasons may change
It can turn around those feelings inside
as Night turns to day as time takes its own turn
but I'm still hanging on to those words

All I want is to spend all my life loving you
I just wanna grow old with you
I love you....

Forever I’ll save my heart just for you…


(*เพลง Falling For You Again ของแชมป์ ศุภวัฒน์; Loveis)

 

“ขอบคุณนะ” นภัทรเอ่ยเบาๆเมื่อวิศรุตเล่นจนจบเพลง เนื้อหาในเพลงนี้สื่อความรู้สึกในใจของวิศรุตได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร แต่ความรู้สึกที่วิศรุตมีต่อเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย


            “นายอยากจะลองเล่นดูสักเพลงไหมล่ะ” วิศรุตเงยหน้าจากเปียโนแล้วถามนภัทรที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน


            “ไม่ล่ะ ฉันเล่นดนตรีไม่เป็น” คุณหมอหนุ่มพูดเก้อๆ ขณะที่วิศรุตขำพรืด “นี่นายขำอะไรเนี่ย” นภัทรอดสงสัยไม่ได้ว่าการที่เขาเล่นดนตรีไม่เป็น ทำไมมันน่าหัวเราะมากขนาดนั้นเลยเหรอ วิศรุตจึงขำแบบเอาเป็นเอาตายเช่นนี้


            “เปล่าหรอก ฉันแค่นึกว่านายคงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องดนตรีเท่าไหร่ ฉันเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว วันๆนายเอาแต่บ้าอ่านตำราอยู่นั่นแหล่ะ นอกจากเล่นกีฬากับอ่านหนังสือแล้วฉันไม่เห็นว่านายจะสนใจทำอย่างอื่นเลย สงสัยว่าเครื่องดนตรีที่นายเล่นได้ก็คงมีแต่พวกตีฉิ่งล่ะมั๊ง” พูดจบวิศรุตก็อดขำอีกไม่ได้ ชายหนุ่มมองนภัทรที่เริ่มหน้าแดงเพราะคำพูดของเขา เพื่อนๆสมัยมัธยมต่างก็รู้ดีว่านภัทร อิสรีย์ที่เก่งแสนเก่งคนนี้ มีจุดบอดเพียงอย่างเดียวก็คือเรื่องดนตรีเนี่ยแหล่ะ เครื่องดนตรีที่ฝ่ายนั้นพอจะเล่นได้ก็มีแค่การตีฉิ่งประกอบจังหวะเท่านั้น แต่บางครั้งนภัทรก็ยังตีคร่อมจังหวะอยู่เลย


            “หน็อยแน่ นี่นายดูถูกฉันมากไปแล้วนะ อย่างนี้ต้องโดนจัดการซะให้เข็ด มานี่เลย” นภัทรแกล้งตีหน้ายักษ์ดุอีกฝ่ายที่ยังหัวเราะไม่หยุดพร้อมกับถลาเข้าหาวิศรุตอย่างต้องการจะจับฝ่ายนั้นมาทำโทษให้ได้จริงๆ


            “จ้างให้ก็จับไม่ได้หรอกน่า” วิศรุตยิ้มยั่วก่อนจะรีบวิ่งหนีไปจากเปียโนทันที เขาไม่ยอมให้ฝ่ายนั้นจับได้ง่ายๆหรอก


            ทั้งคู่วิ่งเล่นไล่จับกันเหมือนเด็กๆ ใบหน้าของนภัทรและวิศรุตต่างก็ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ทั้งคู่ลืมเลือนหมดทุกอย่างว่าตัวเองเป็นใครและกำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่มีทั้งศัลยแพทย์หนุ่มชื่อดังอนาคตไกล ไม่มีทั้งนักธุรกิจอสังหาฯรายใหญ่ของประเทศ จะมีก็เพียงแค่ชายหนุ่มสองคนที่กำลังเล่นหยอกล้อกันภายใต้ท้องฟ้าที่สุกสกาวไปด้วยดวงดาวยามค่ำคืนเท่านั้น


            “เฮ้อ ไม่ยักรู้ว่าการไล่ตามจับนายมันเหนื่อยอย่างนี้” นภัทรหอบหายใจแบบหมดแรง ในที่สุดเขาก็จับฝ่ายนั้นได้ คุณหมอหนุ่มฉุดมือวิศรุตให้นอนแผ่ยังพื้นปูนซีเมนต์แข็งๆของดาดฟ้าเหมือนกันกับตน


            “เข้าใจแล้วหรือยังล่ะว่าการต้องไล่ตามนายมันเหนื่อยแค่ไหน” คำพูดแฝงนัยของวิศรุตทำให้นภัทรพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าคุณหมอเงียบไป วิศรุตจึงแกล้งเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะถึงยังไงวันนี้ก็เป็นวันเกิดของนภัทร เขาเองก็ควรจะทำให้นภัทรมีความสุขมากที่สุด ไม่ใช่มัวแต่เอาเรื่องเก่าๆมากระแนะกระแหนฝ่ายนั้น “เอ้อ ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามนายตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที” นภัทรเหลียวหน้ามาถามว่าเรื่องอะไร วิศรุตมองตอบอย่างลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมถามถึงสิ่งที่ยังคาใจอยู่


            “ตอนที่ฉันไปห้องนายวันนั้น ฉันเห็นบนโต๊ะอ่านหนังสือมีรูปตอนเด็กของนายที่ถ่ายคู่กับเด็กผู้หญิงอีกคน ฉันก็เลยอยากจะรู้ว่าเธอ เอ้อ เป็นใครเหรอ” ท้ายประโยควิศรุตถามอ้อมแอ้มแบบไม่เต็มเสียง ส่วนนภัทรก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนคนฟังเดาอารมณ์ไม่ถูก


            “หึงเหรอไง”


            “ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันมีสิทธิ์ที่จะหึงหวงนายด้วยเหรอ” คำพูดนี้หลุดออกจากปากของวิศรุตอย่างรวดเร็วราวกลับเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญเอาไว้แล้วหลายรอบก่อนที่จะพูดออกมาแบบไม่ต้องเปลืองเวลาคิดเช่นนี้ นภัทรถอนใจเฮือกเมื่อมองเห็นเค้าความน้อยใจเล็กๆผ่านแววตาสีน้ำตาลโศกคู่นั้นก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว


            “ฉันไม่ได้อยากจะให้นายรู้สึกแบบนั้น”


            “ช่างมันเถอะ ว่าแต่นายจะบอกฉันได้หรือเปล่าว่าเธอคนนั้นเป็นใคร” นภัทรเหลียวหน้ามาสบตาวิศรุตก่อนตัดสินใจเล่าในที่สุด


            “น้ำหวานเป็นรักครั้งแรกของฉัน” เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนั้นชื่อน้ำหวานนั่นเอง วิศรุตคิดในใจขณะที่นภัทรเล่า ต่อไปเรื่อยๆ “เรารู้จักกันเพราะบ้านเราสองคนอยู่ไม่ไกลกันนัก ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันเราทั้งสองจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก  น้ำหวานเป็นคนอ่อนแอและขี้โรคอยู่แล้ว ดังนั้นฉันก็เลยต้องทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายในการที่จะดูแลเธอ หลังๆพอโตขึ้นและอยู่ในช่วงวัยที่พอจะรู้จักกับความรู้สึกพิเศษบางอย่าง เราทั้งคู่ก็เริ่มจะเข้าใจว่าสิ่งเล็กๆที่กำลังก่อตัวและเติบโตหยั่งรากลึกในใจมันก็คือสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นเอง เราสองคนจึงตัดสินใจคบกันตามประสาวัยรุ่น แถมยังวาดฝันว่าอนาคตจะแต่งงานมีความสุขและอยู่กินกันจนแก่เฒ่า แต่แล้ววันหนึ่ง... น้ำหวานก็ป่วยหนักจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล”


            “เธอเป็นอะไร” วิศรุตถามเสียแผ่วเมื่อเห็นว่านภัทรเงียบไป คุณหมอหนุ่มเงยหน้ามองดาวบนฟ้าพลางยิ้มเศร้า


               “หมอบอกว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ป่วยมานานแล้ว แต่เธอก็เก็บเงียบไว้โดยไม่บอกอาการป่วยของเธอให้ใครรู้ แม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง อาการของน้ำหวานทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ฉันยังจำได้ดีเลยว่าวันนี้เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันอยู่ม.2 ฉันไปเยี่ยมน้ำหวานที่โรงพยาบาล น้ำหวานที่เคยเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักในตอนนั้นกลับซูบซีดลงไปมาก ฉันรู้ดีว่าเธอกำลังพยายามต่อสู้กับโรคร้ายเพื่อรอเวลาที่จะได้เจอกับฉันในวันนั้น... เป็นครั้งสุดท้าย”


            “หมายความว่า...”


            “ในที่สุดเธอก็จากไปในวันนั้นเอง... วันคล้ายวันเกิดของฉัน สิ่งสุดท้ายที่เธอให้ไว้เป็นของขวัญวันเกิดก็คือกรอบรูปพร้อมรูปถ่ายคู่กันของฉันกับน้ำหวาน กรอบรูปที่นายถามถึงนั่นแหล่ะ” ท้ายประโยคนภัทรเหลียวหน้ามาบอกกับวิศรุตที่กำลังมองมาที่ตนด้วยความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก


            “จำได้ไหมว่าตอนม.ห้า เราเคยติดอยู่ในตึกเรียนด้วยกัน ตอนนั้นฉันถามนายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร นายตอบว่าหมอ พอฉันถามหาเหตุผล นายก็ไม่ยอมบอก เรื่องของน้ำหวานคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นายอยากจะเป็นหมอสินะ” นภัทรพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่าเขาอยากใช้ความรู้ความสามารถของตนในการที่จะช่วยชีวิตคนอื่น เพื่อที่จะได้ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ให้เขาเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไปและอยู่กับคนที่ตัวเองรักได้นานๆ


            “เล่าเรื่องของนายบ้างสิ ทำไมนายถึงเลือกเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงไม่เลือกเรียนทางด้านสายวิทยาศาสตร์เหมือนตอนม.ปลายล่ะ” นภัทรเปลี่ยนเรื่องพูดโดยการเป็นฝ่ายถามวิศรุตกลับบ้าง เรื่องของเขารังแต่จะทำให้เกิดบรรยากาศหดหู่เปล่าๆ


                “ก็ฉันคิดว่าเศรษฐศาสตร์มันน่าสนใจดี เรียนแล้วก็ได้อะไรเยอะแยะ แต่เหตุผลจริงๆก็คือฉันไม่ได้ชอบพวกวิชาวิทยาศาตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะ” วิศรุตยิ้มแหยๆเมื่อคิดถึงพวกวิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยาสมัยม.ปลายที่ตนทำคะแนนได้ย่ำแย่ทุกครั้ง


             นภัทรอมยิ้มขำกับท่าทางฝ่ายตรงข้ามก่อนถามว่าถ้าไม่ชอบแล้วจะยอมมาเรียนวิชาพวกนี้ให้เหนื่อยเปล่าทำไมกัน วิศรุตเปลี่ยนเป็นยิ้มเขินเล็กน้อยก่อนตัดสินใจสารภาพ


            “ที่ฉันลงทุนมาเรียนสายวิทย์ทั้งๆที่เกลียดเคมี ฟิสิกส์ ชีวะอย่างกับอะไรดี ทั้งหมดก็เพราะนายนั่นแหล่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของนภัทร วิศรุตก็อธิบายต่อ “คะแนนม.ต้นฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็ยังอยากจะเรียนสายวิทย์เพราะอยากจะตามไปอยู่ใกล้ๆนาย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ชอบอะไรด้านวิทยาศาสตร์นี้เลย เชื่อไหมว่าฉันลงทุนให้พ่อจ้างครูมาสอนพิเศษถึงบ้านเพื่อช่วยติวเพิ่มคะแนนสอบให้ฉันเลยนะ ตอนนั้นยังแอบคิดเลยว่าถ้าคะแนนไม่ถึงสายวิทย์จริงๆ ฉันจะอาศัยเส้นสายของพ่อให้ช่วย” นภัทรส่ายหัวระอากับความคิดของวิศรุต แต่อีกใจหนึ่งก็อดขำไม่ได้ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าวิศรุตยอมทนนั่งเรียนติวไปได้อย่างไรในเมื่อตอนสมัยเรียนวิศรุตไม่เคยจะมีทีท่าสนใจการเรียนเลยสักครั้ง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเขางั้นเหรอ?


            “ฉันเองก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ในตอนนั้นทำไปได้ยังไง” วิศรุตพูดขึ้นมาราวกับอ่านความหมายจากดวงตาสีถ่านออก “แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็เลือกที่จะทำอย่างนั้นอยู่ดี”


            “ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่ง เรื่องราวมันจะลงเอยในรูปแบบนี้น่ะเหรอ” วิศรุตพยักหน้าช้าๆ แต่ประกายตาสะท้อนชัดถึงความหนักแน่น เขาไม่มีวันเลิกรักนภัทรเด็ดขาด... ไม่มีวัน


            “แต่ฉันกลับไม่แน่ใจว่านอกจากน้ำหวานแล้ว ตัวเองยังจะสามารถมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนอื่นได้อีกหรือ เปล่า” วิศรุตมองนภัทรที่เงียบไป ในใจของชายหนุ่มปวดยอกไปหมดเมื่อได้ฟังคำพูดจากปากฝ่ายนั้น หัวใจของเขากำลังร้องไห้กับความรักที่ยังหาทางออกไม่เจอ แต่วิศรุตก็เลือกที่จะซ่อนความขมขื่นไว้ภายใต้รอยยิ้มเมื่อยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย


            “วันเกิดทั้งที ขนาดน้ำหวานยังให้กรอบรูปนายเลย ฉันก็คิดว่าตัวเองสมควรจะให้ของขวัญกับนายบ้างเหมือนกัน” วิศรุตไม่ตอบสีหน้าที่แสดงถึงความงุนงงนั้น ชายหนุ่มบอกให้นภัทรหลับตาลงแล้วยื่นมือออกมาข้างหน้าซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ทำตามอย่างว่าง่ายทั้งที่ในใจก็ยังไม่รู้ว่าวิศรุตกำลังจะทำอะไรกันแน่


            วิศรุตค่อยๆล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ของที่อยู่ในมือของชายหนุ่มเป็นแหวนทองคำขาววงหนึ่ง ภายในตัวแหวนเขาได้ให้ช่างสลักอักษรเอาไว้ วิศรุตพลิกมือของอีกฝ่ายให้คว่ำลงก่อนจะค่อยบรรจงสวมแหวนให้กับนภัทรที่ นิ้วนางข้างซ้าย


            “ลืมตาสิ” วิศรุตบอกเมื่อแหวนไปอยู่บนนิ้วมือของนภัทรเรียบร้อยแล้ว “ของขวัญพิเศษสำหรับนายคนเดียว” นภัทร มองดูแหวนที่นิ้วตนเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่คุณหมอหนุ่มก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นของขวัญที่อีกฝ่ายตั้งใจจะให้เขาจริงๆ ยิ่งวิศรุตทำดีกับเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น


            “อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้”


            “แหวนวงนี้ฉันเลือกเองกับมือ ด้านหลังของแหวนก็สลักเอาไว้เป็นชื่อของนาย ‘กานต์... ผู้เป็นที่รัก’ ดังนั้นถ้านายไม่รับไว้ฉันคงจะเสียใจมาก” เป็นอีกครั้งที่นภัทรพูดไม่ออกด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นอยู่ในใจ พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาสีถ่านของตน เป็นน้ำตาของความตื้นตันใจกับความรักที่วิศรุตมอบให้เขามาตลอดสิบสามปีเต็ม


            นภัทรและวิศรุตนอนมองดวงดาวบนฟ้าแล้วกุมมือกันอยู่อย่างนั้นโดยปราศจากคำพูดใดๆ ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง มีเพียงกระแสความอบอุ่นที่ส่งผ่านทางฝ่ามือของทั้งคู่และแสงจากลำเทียนที่ยังคงไม่มอดดับไปเท่านั้น

 

Aislin: กลับมาอัพนิยายประจำสัปดาห์แล้วค่ะ เหมือนเป็นธรรมเนียมเลยเนอะที่จะอัพให้อ่านกันทุกวันเสาร์ คือไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ แต่เพราะวันธรรมดางานเยอะมากเลยไม่ค่อยได้เปิดเว็บอัพนิยายเท่านั้นเอง (เดี๋ยวหัวหน้ามาเห็นแล้วจะโดนดุเอา ฮาๆๆ)

            มาว่ากันถึงนิยายดีกว่าค่ะ ตอนนี้แอบโรแมนติกไม่น้อยเนอะ ว่าไหมคะ??? อิอิ มีการให้แหวนกันด้วย แล้วถ้าหากใครจะพอรู้ความหมายของคำว่า “กานต์” คำๆนี้แปลว่าผู้เป็นที่รักค่ะ เหมือนที่กานต์เป็นที่รักของวิน ฮิ้ววว... แต่เดี๋ยวเรามาลุ้นไปพร้อมๆกันว่าความสุขแบบนี้จะคงอยู่ไปได้นานแค่ไหน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ขอบอกเลยว่าอย่าพลาดด้วยประการทั้งปวง

 

ปล. นิยายเรื่องนี้มีประมาณ 39 ตอนค่ะ (ไม่นับตอนพิเศษแบบจุใจเต็มอิ่มอีก 3 ตอน) ตอนนี้ก็ดำเนินมาเกินครึ่งทางแล้ว ยังไงอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆจนจบนะคะ ส่วนใครอดใจรอไม่ไหว แนะนำให้อุดหนุนรูปเล่มหรือแบบอีบุ๊คก็ตามสะดวกเลยค่ะ จะได้เอาฟินและซาบซึ้งแบบรวดเดียวจบ รับรองว่าคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์แน่นอนจ้า ^0^


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com (แอทฮอทเมล)

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)


หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)
**********************************************************
[/color]


              ตอนเช้าก่อนไปทำงาน วิศรุตแวะมาเยี่ยมศรารัตน์ตามปกติ อาการโดยรวมของศรารัตน์ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้เพราะเธอหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราไปนานพอสมควร ดังนั้นกล้ามเนื้อขาจึงยังคงอ่อนแรงอยู่เนื่องจากไม่ได้ใช้การมานาน หญิงสาวจึงต้องอาศัยการนั่งรถเข็นในระหว่างที่กำลังรักษาตัวโดยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวิศรุตเปิดประตูเข้ามาในห้องก็พบว่าหมอนภัทรกำลังตรวจอาการของศรารัตน์อยู่พอดี


            “อ้าว นายเองเหรอ” นภัทรหันไปทักทายวิศรุตในขณะที่ฝ่ายนั้นก็ยิ้มตอบกลับมาก่อนถามถึงอาการของน้องสาวตน “คุณศราดีขึ้นมากแล้ว อาการบาดเจ็บภายในก็หายเกือบหมด แต่ว่าช่วงนี้คงต้องทำกายภาพฟื้นฟูกล้ามเนื้อไปอีกสักระยะหนึ่ง ถ้าอาการป่วยหายดีวันดีคืนแบบนี้ หมอเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงกลับบ้านได้แล้วล่ะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ที่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้รู้ว่าอีกไม่นานตนก็จะได้กลับบ้านเพราะเธอเบื่อการนอนเฉยๆอยู่ที่โรงพยาบาลเต็มทนแล้ว


            “มาที่โรงพยาบาลทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไงวิน” ศรารัตน์ถามเสียงเรียบ รอยยิ้มเมื่อครู่ที่มีให้กับนภัทรเลือนหายไปจากใบหน้าของหญิงสาว วิศรุตถอนหายใจเบาๆ จนบัดนี้แล้วศรารัตน์ก็ยังคงไม่เลิกทำท่าทีเย็นชาใส่เขาเสียที


            “ไม่เบื่อหรอก ก็ฉันมาเยี่ยมเธอไง”


            “งั้นเหรอ นึกว่าอยากมาที่นี่เพราะจุดประสงค์อื่นเสียอีก” วิศรุตเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์กับคำพูดเสียดสีของศรารัตน์ ถ้าเป็นปกติเขาไม่มีทางยอมให้ฝ่ายนั้นมาพูดจากับเขาแบบนี้แน่ แต่เพราะศรารัตน์กำลังป่วยและสาเหตุสำคัญก็มาจากเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบแทน


            “เอ่อ เอาเป็นว่าคุณศราทำตามที่หมอแนะนำก็แล้วกันนะครับ พักผ่อนเยอะๆแล้วก็ขยันทำกายภาพด้วย” นภัทรเป็นฝ่ายพูดทำลายความอึดอัดภายในห้องลง คุณหมอหนุ่มมองหน้าวิศรุตอย่างสงสารและเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย ตั้งแต่ศรารัตน์ฟื้นขึ้นมา หญิงสาวพูดจากับวิศรุตแทบจะนับครั้งได้และทุกอย่างที่เธอพูดก็มักจะเป็นคำถากถางเย็นชาที่ทำเอาวิศรุตต้องหน้าเสียไปแทบทุกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะครับ เชิญพวกคุณตามสบาย” นภัทรเอ่ยปากขอตัวกับทั้งคู่ก่อนจะตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น ในห้องจึงเหลือแค่วิศรุตกับศรารัตน์เพียงสองคน


            “ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับนาย” ศรารัตน์เอ่ยหลังจากที่เห็นว่านภัทรออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวหันหน้ามาสบตากับผู้เป็นพี่ชาย “เรื่องหมอกานต์”


            “ฉันขอโทษ” คำพูดง่ายๆสั้นๆของวิศรุตไม่ได้ทำให้ศรารัตน์พอใจ หญิงสาวเหยียดยิ้มเย็นชาก่อนจะถามต่อว่าวิศรุตพูดได้แค่ขอโทษเพียงคำเดียวอย่างนั้นเหรอ “ฉันรู้ดีว่าฉันทำผิดกับเธอมาก แต่ฉันหยุดตัวเองไม่ได้ ที่สำคัญคือฉันห้ามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนภัทรไม่ได้”


            “แม้นายจะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีอย่างนั้นน่ะเหรอวิน” ความจริงที่น่าเจ็บปวดนี้ทำให้วิศรุตต้องเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววไหวระริกในขณะที่ศรารัตน์พูดต่อ “ถึงนายจะรักหมอกานต์แค่ไหน แต่ความรักที่ผิดธรรมชาติ ผิดประเพณีแบบนี้ สังคมทั่วไปเค้าจะรับได้เหรอ นายอย่าลืมนะว่าตัวเองเป็นใคร นายคือวิศรุต ทัดเทวา เจ้าของบริษัอสังหาฯยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย เป็นหนุ่มสังคมรูปหล่อที่ใครๆก็จับตามอง ส่วนหมอกานต์ก็เป็นศัลยแพทย์อนาคตไกล ถ้าหากว่ามีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมแบบนี้ นายคิดบ้างหรือเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง”


            “แต่ว่า...”


            “ถึงนายจะบอกว่าตัวเองไม่แคร์กับขี้ปากคนอื่น แต่หมอกานต์ล่ะ หมอกานต์ยังจะรับได้เหรอ ทั้งครอบครัวของเขาอีก นายคิดว่าพ่อแม่ของหมอกานต์จะรู้สึกอย่างไรที่ลูกชายของตนกลายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันทั้งๆที่พ่อแม่เลี้ยงเขามาก็เพื่อหวังให้เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เรียบจบ แต่งงานมีครอบครัวกับผู้หญิงดีๆสักคน จากนั้นก็มีลูกไว้สืบสกุลต่อ แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทลายเพราะความรักของนายคนเดียว” ความจริงที่วิศรุตพยายามจะปฎิเสธตลอดมากำลังพรั่งพรูออกจากปากของศรารัตน์ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ไม่มีคำพูดตอบโต้กลับไปแม้เพียงสักคำเดียว ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นคนบื้อใบ้ไปแล้ว ศรารัตน์มองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายตัวเองด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก หญิงสาวเลือกที่จะเห็นแก่ตัวมองข้ามความรู้สึกเจ็บปวดของวิศรุต ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวของเธอเอง


            “เธอต้องการจะพูดอะไรกับฉันกันแน่” วิศรุตตัดสินใจเอ่ยถามออกมาตรงๆ ชายหนุ่มเชื่อว่าลองศรารัตน์มาพูดกดดันเขาแบบนี้ หญิงสาวคงจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างในใจแน่นอนและเขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาอ้อมค้อมอีกต่อไป


            “ฉันต้องการให้นายเลิกยุ่งกับหมอกานต์ เพราะถึงยังไงรักแบบนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี” พอศรารัตน์พูดตรงๆบ้าง วิศรุตกลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปทันที ในสมองของชายหนุ่มตอนนี้กำลังสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนควรจะทำอย่างไรดี ในใจของวิศรุตลึกๆกำลังดื้อดึงไม่ยอมรับกับคำพูดของหญิงสาว ทว่าริมฝีปากของเจ้าตัวกลับไม่มีแรงปฏิเสธคำพูดของศรารัตน์แม้แต่น้อย “ฉันรู้ว่านายโทษตัวเองมาตลอดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะยอมยกโทษให้นายก็ต่อเมื่อนายสัญญาว่าจะตัดใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับหมอกานต์อีกนับจากนี้เป็นต้นไป”


            “ฉันยังมีทางเลือกด้วยเหรอ” วิศรุตยิ้มขื่นก่อนจะพูดเสียงแหบ “ในเมื่อเธอมีคำตอบให้ฉันอยู่แล้วนี่ศรา”


            “สัญญากับฉันสิ แล้วฉันจะลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด” นานทีเดียวกว่าวิศรุตจะตัดสินใจได้


            “ฉันสัญญา ฉันจะตัดใจและเลิกยุ่งกับนภัทร จากนี้ไปฉันกับเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนอกจากแค่คำว่าคนรู้จักเท่านั้น” ศรารัตน์ยิ้มพอใจกับคำสัญญาจากปากวิศรุต


            “อันที่จริงฉันไม่ได้บังคับนายนะ นายเองต่างหากที่เลือกจะให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ววิน” วิศรุตกำมือแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มกำลังซ่อนความเสียใจไม่ให้ศรารัตน์เห็นทั้งที่ในใจของตัวเองกำลังหลั่งน้ำตา อย่างเจ็บปวด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี ได้แต่ปล่อยให้เรื่องระหว่างเขากับนภัทรต้องจบลงด้วยความเศร้าแบบนี้

 



            นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิศรุตก็มีท่าทีห่างเหินกับนภัทรและคอยหลบหน้าฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ชายหนุ่มไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลเหมือนก่อนเพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับนภัทรต่อหน้าศรารัตน์ เขายังทำใจไม่ได้นักกับเรื่องข้อเสนอของน้องสาว ถ้าหากต้องเจอหน้ากันจริงๆ เขาคงเป็นฝ่ายทำอะไรไม่ถูกและที่สำคัญคือเขากลัวใจตัวเองเหลือเกิน


            นภัทรโทรหาเขาหลายครั้ง แต่เขาก็พยายามเลี่ยงที่จะไม่รับโทรศัพท์จากฝ่ายนั้น หรือไม่บางทีถ้าหากปฏิเสธไม่ได้จริงๆชายหนุ่มก็เลือกที่จะคุยให้น้อยที่สุดก่อนจะพยายามตัดบทโดยอ้างว่างานยุ่ง วิศรุตคิดว่าบางทีการไม่เจอกับนภัทรอาจจะทำให้ตนคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงคิดถึงนภัทรอยู่ดีไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น แต่เขาทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับศรารัตน์ไม่ได้


            ฝ่ายนภัทรก็แปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของวิศรุต คุณหมอหนุ่มรู้สึกได้ว่าหมู่นี้วิศรุตพยายามหลบหน้าตนตลอด มีบางครั้งที่เขาบังเอิญได้เจอกับฝ่ายนั้นตอนมาตรวจอาการของศรารัตน์ แต่วิศรุตก็ไม่ยอมสบตาเขาเลย พอโทรไปหาก็บอกว่างานยุ่งและไม่ว่างออกมาเจอเขา นภัทรเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตงิดในใจลึกๆ เขาไม่รู้ว่าวิศรุตคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำอาการเฉยชาใส่เขาแบบนี้และที่สำคัญเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้วิศรุตเปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก


            นภัทรตัดสินใจมาหาวิศรุตที่บริษัททัดเทวา คุณหมอหนุ่มแจ้งประชาสัมพันธ์ของบริษัทว่าตนมาหาวิศรุต ประชาสัมพันธ์จึงโทรขึ้นไปยังห้องประธานกรรมการบริษัท หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วจึงหันมาบอกกับนภัทรว่าวิศรุตไม่อยู่ แต่สีหน้าอึกอักมีพิรุธของประชาสัมพันธ์สาวตรงหน้าทำให้คุณหมอหนุ่มไม่เชื่อก่อนจะเดินลิ่วตรงไปยังลิฟต์ทันทีท่ามกลางความตกใจของอีกฝ่าย ไหนๆก็มาถึงบริษัทแล้ว ยังไงวันนี้เขาต้องพูดกับวิศรุตให้รู้เรื่องให้ได้


            เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นบนสุดของตึก นภัทรก็เดินออกจากลิฟต์แล้วตรงไปตามทางเดินที่ปูพรมทอดยาวไปเรื่อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่บริษัททัดเทวาแห่งนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าห้องทำงานของวิศรุตอยู่ที่ไหน แต่ก็เดาเอาเองว่าห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูงน่าจะอยู่ชั้นบนสุดของตึก และชายหนุ่มก็รู้ว่าตัวเองเดาถูกเมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน ทางขวามือของเขามีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ป้ายหน้าห้องบอกไว้ว่าเป็นห้องทำงานของประธานกรรมการบริษัท


            “เอ่อ คุณนภัทรใช่ไหมคะ” อิงอรที่เป็นเลขาฯของวิศรุตรีบเดินจากโต๊ะทำงานที่อยู่หน้าห้องมาขวางหน้าคุณหมอหนุ่มไว้เพราะเมื่อครู่ประชาสัมพันธ์ข้างล่างได้โทรขึ้นมารายงานเธอแล้ว นภัทรพยักหน้าก่อนจะบอกว่าตนต้องการพบวิศรุต “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ท่านประธานไม่อยู่ ออกไปพบลูกค้าข้างนอกน่ะค่ะ เอาไว้ถ้าท่านกลับมา ดิฉันจะเรียนให้นะคะว่าคุณ นภัทรมาขอพบ” นภัทรมองหน้าอิงอรอย่างต้องการจับสังเกต แต่สีหน้าของเลขาฯสาวกลับไม่มีแววผิดปกติหรือลุกลี้ลุกลนให้เห็น คุณหมอหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆแล้วพูด


            “ถ้าอย่างนั้นขอผมเข้าไปรอในห้องได้ไหมครับ ผมจะรอจนกว่าคุณวิศรุตจะกลับมา”


            “ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ดิฉันให้คุณเข้าไปรอในห้องนี้ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของท่านประธานน่ะค่ะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากท่านโดยตรง ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ แม้กระทั่งคุณศรารัตน์ก็ตาม” นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจ้องที่ประตูห้องทำงานราวกับจะมองให้ทะลุว่าคนที่ตนอยากพบกำลังแอบหลบหน้าเขาอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า แต่ในที่สุดนภัทรก็ยอมกลับไปโดยดี


            “ถ้าอย่างนั้นฝากบอกคุณวิศรุตด้วยนะครับว่าผมมาหา ให้โทรกลับหาผมด้วย” อิงอรรับคำก่อนจะยืนส่งนภัทรด้วยสายตา เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นจากไปแล้ว อิงอรจึงยกหูอินเตอร์โฟนเพื่อรายงานเจ้านายหนุ่มของตนทันที


            ภายในห้องทำงาน วิศรุตวางหูโทรศัพท์หลังจากที่ฟังอิงอรรายงานเรื่องที่นภัทรมาหาตนจนจบ ชายหนุ่มถอนหายใจบาง ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะหลบหน้านภัทรไปได้ แต่เขาจะหลบฝ่ายนั้นได้นานแค่ไหนกัน


            “แน่ใจนะที่จะทำแบบนี้” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าของวิศรุต เขาเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดจากคนตรงหน้าเมื่อกลางวันนี้เอง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ลึกล้ำของทั้งคู่แล้วก็เรื่องที่วิศรุตสัญญากับศรารัตน์ว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับนภัทรอีก “หลบหน้าเขามันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลยนะเว้ย”


            “ฉันรู้ แต่ฉันกลัวว่ะไอ้โอม ถ้าหากฉันกับเขายังเจอหน้ากันต่อไปเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้ฉันจะตัดใจได้ยังไง”


            “แล้วตอนนั้นที่แกบินไปเรียนต่อที่อังกฤษ ไม่เจอหน้านภัทรตั้งแปดปี แกตัดใจได้ไหมล่ะ” คำถามแกมประชดของภาณุทำให้วิศรุตนิ่งไป แต่นั่นก็คือเมื่อก่อน ไม่ใช่ตอนที่เขากับนภัทรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแบบนี้


            “แกว่าฉันโง่ไหมวะไอ้โอม” จู่ๆวิศรุตก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ภาณุถอนหายใจเฮือกก่อนดึงเพื่อนรักมากอด หลวมๆแบบต้องการปลอบใจฝ่ายนั้น


            “โง่สิ แกมันเป็นคนที่โง่แล้วก็งี่เง่ามากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยไอ้วิน” ภาณุยิ้มขื่นที่มุมปากด้วยความรู้สึกสงสารเพื่อนรักจับใจก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับหัวใจที่กำลังหนาวเหน็บของวิศรุต

 



            หลังจากคุยกับวิศรุตอีกสักพักภาณุก็ขอตัวกลับ ชายหนุ่มเดินไปยังรถของตนที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัท ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างๆรถตน เมื่อฝ่ายนั้นหันมา ภาณุก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่มาดักรอเขาคือนภัทรนั่นเอง


            “นภัทร นาย...”


            “ตอนที่ฉันขึ้นไปหาวินที่ห้องทำงาน นายเองก็อยู่ในห้องนั้นด้วยใช่ไหม” ภาณุไม่ตอบแต่แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำถามว่านภัทรรู้ได้อย่างไรว่าวิศรุตอยู่ในห้องทำงานเพียงแต่ไม่ยอมออกมาพบหน้าฝ่ายนั้น คุณหมอหนุ่มรู้ดีว่าภาณุสงสัยจึงยอมบอกแต่โดยดี “พอดีตอนฉันกำลังจะมาเอารถที่จอดไว้ บังเอิญเห็นรถของนายพอดี ฉันจำทะเบียนได้ก็เลยรู้ว่านายเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”


            “แล้วนายมารอฉันแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ภาณุถามออกไปแม้ว่าจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าจุดประสงค์ของนภัทรที่มาดักรอเขาคืออะไร


            “ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมหมู่นี้วินถึงพยายามหลบหน้าฉันตลอดเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่” สายตาคาดคั้นของนภัทรทำให้ภาณุอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเลือกได้เขาไม่อยากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยเลย แต่นี่เพราะเขาเลือกไม่ได้


            “ฉันไม่รู้ ถ้านายอยากรู้ก็คงต้องถามจากไอ้วินเอาเอง”


            “ฉันรู้ว่านายรู้ และถ้าหากฉันเอาคำตอบจากวินมาได้ ฉันก็คงไม่ต้องมาถามนายแบบนี้หรอก”


            “ถึงฉันรู้ฉันก็บอกนายไม่ได้อยู่ดี นายถอยไปเถอะฉันจะกลับแล้ว” ภาณุตัดบทก่อนจะใช้รีโมตปลดล็อครถแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับ แต่นภัทรกลับยื้อประตูเอาไว้แล้วจ้องหน้าคู่สนทนา


            “ฉันรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้วินเปลี่ยนไปแล้วก็หลบหน้าฉันแบบนี้ ถ้านายยังเป็นเพื่อนรักของวินแล้วก็ยังอยากเห็นวินมีความสุข บอกฉันมาเถอะนะ ถึงแม้ว่าพอฉันรู้เรื่องแล้วฉันอาจจะช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยการที่ต้องให้วินแบกรับความรู้สึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคนเดียว นายคิดเหรอว่าแบบนี้วินจะมีความสุขได้” คำพูดที่เอ่ยออกมาตรงๆพร้อมกับสายตามั่นคงของคนตรงหน้าทำให้ภาณุอึ้งไป ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแล้วถอนใจ


            “ไปหาที่คุยกันเถอะ”

 



            วิศรุตเดินออกจากลิฟต์ตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องพักส่วนตัวของตน ชายหนุ่มเคยให้อิงอรจัดการซื้อห้องที่คอนโดฯแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว จุดประสงค์เพื่อเป็นที่สำหรับพักผ่อนเวลาที่เขาไม่อยากกลับไปอยู่บ้านทัดเทวา ทันทีที่เดินเลี้ยวผ่านมุมตึก วิศรุตก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนรอตนอยู่หน้าห้อง... คนที่ช่วงนี้เขาพยายามหลบหน้าฝ่ายนั้นมาตลอด


            “มาตั้งแต่เมื่อไหร่” วิศรุตถามเมื่อมายืนประจันหน้ากับฝ่ายนั้นที่หน้าห้อง ชายหนุ่มเสมองไปที่พื้นเพราะไม่อยากสบตาสีถ่านคู่นั้นที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ตน


            “ทำไมนายต้องหลบหน้าฉันด้วย” นภัทรถามทั้งที่ก็รู้คำตอบดี ภาณุเล่าให้เขาฟังหมดแล้วถึงเหตุผลที่วิศรุตหลบหน้าเขา แต่คุณหมอหนุ่มอยากฟังชัดๆจากปากเจ้าตัวมากกว่า อยากฟังให้แน่ว่านี่คือการตัดสินใจของวิศรุตจริงๆ


            “นายก็รู้ดีนี่นา ช่วงนี้ฉันยุ่งๆกับเรื่องไฟไหม้ของโครงการบ้านจัดสรร ไหนจะงานเยอะแยะที่บริษัทอีก”


            “งั้นเหรอ ฉันนึกว่าเป็นเพราะเรื่องที่นายคุยกับคุณศราเสียอีก” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตตัวชาวาบ ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาฝ่ายนั้นทันทีก่อนจะพบกับสายตาเรียบนิ่งของนภัทร


            “นายรู้ได้ยังไง” น้ำเสียงของวิศรุตเบาหวิวแต่นภัทรไม่สนใจ กลับใช้สองมือของตนกุมหัวไหล่ของคนตรงหน้าเอาไว้แล้วเอ่ยช้าๆทว่าชัดเจนทุกคำพูด


            “ฉันแค่อยากรู้ว่านายยอมทำตามที่คุณศราบอกอย่างนั้นเหรอ” วิศรุตสูดลมหายใจลึกก่อนพยักหน้า นภัทรบีบหัวไหล่ของคู่สนทนาแน่น แววตาสีถ่านไหวระริก “พูดออกมาให้ฉันได้ยินจากปากของนาย”


            “ใช่ ฉันทำตามที่สัญญากับศราเอาไว้”


            “เพราะอะไร... นายทำแบบนั้นทำไมวิน นายทำร้ายตัวเองแบบนั้นทำไมกัน” นภัทรพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น วิศรุตตัวเซไปตามแรงมือที่เขย่าตัวเขาอย่างแรงก่อนคลี่ยิ้มเย็นชา ที่เขาทำไปแบบนั้นก็เพื่อต้องการจะจบเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนภัทรเสียที จริงอย่างที่ศรารัตน์พูดทุกอย่าง เรื่องระหว่างเขากับคนตรงหน้ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถึงนภัทรจะรับได้ แต่คนรอบตัวของทั้งเขาและฝ่ายนั้นจะรับได้จริงเหรอ? แล้วเขายังจะมีหน้ามาใช้ความรักเหนี่ยวรั้งนภัทรเอาไว้อีกทำไม ทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่นภัทรมีให้เขามันคืออะไรกันแน่ นภัทรไม่เคยบอกมันออกมาแม้สักครั้งเดียว


            “ถึงฉันจะทำแบบนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย เพราะถึงยังไงนายก็ไม่เคยนึกรักฉันอยู่แล้ว ที่บังเอิญเรามีความสัมพันธ์ทางกายกันในคืนนั้นก็เพราะว่านายแค่เหงาและเพราะรู้สึกสงสารฉันมากกว่า จริงๆแล้วในใจนายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำนภัทร” ใจจริงวิศรุตอยากจะยื้อนภัทรเอาไว้ ชายหนุ่มไม่อยากปล่อยมือจากคนตรงหน้าเลย เขาไม่ได้นึกอยากทำตัวเป็นพ่อพระยอมเสียสละคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจให้กับศรารัตน์เลยสักนิด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากว่านภัทรไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับเขา


            นภัทรค่อยๆปล่อยมือออกจากการเกาะกุมไหล่ของวิศรุตเมื่อฝ่ายนั้นพูดจบ คุณหมอหนุ่มอึ้งไปเมื่อได้ฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกในใจของคนตรงหน้า


            “ให้เรื่องทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะนะ ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน สุดท้ายเรื่องระหว่างเรามันก็ลงเอยด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี” ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉ่ำคลอไปด้วยน้ำใสที่เอ่อล้นเต็มเบ้าตา นภัทรชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้คน ตรงหน้าก่อนเจ้าตัวจะหันหลังให้วิศรุตแทน น้ำตาของวิศรุตทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วยกันกับชายหนุ่มเสมอ นภัทรแข็งใจไม่ หันหน้ากลับไปมองพร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆแต่วิศรุตได้ยินชัดเจนทุกคำพูด


            “การที่เรามีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น คิดเหรอว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ใช่ทั้งความเหงาและความสงสารอย่างที่นายเข้าใจด้วย” วิศรุตเกือบหยุดหายใจก่อนเจ้าตัวจะกลั้นใจถามออกไป


            “นาย... หมายความว่ายังไง” นภัทรมองสีหน้าของวิศรุตพร้อมกับส่งยิ้มขมขื่นให้อีกฝ่าย


            “ช่างเถอะ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันคงไม่สำคัญแล้ว เพราะนายเป็นคนบอกเองว่าถึงยังไงเรื่องระหว่างเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้านายอยากให้ฉันดูแลคุณศรามากนักล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างที่นายต้องการ” นภัทรข่มความน้อยใจเอาไว้ก่อนค่อยๆเดินไปจากตรงนั้นโดยทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลัง วิศรุตจึงไม่ทันได้เห็นน้ำตาที่ไหลรินออกจากดวงตาสีถ่านอย่างเงียบๆ


             ฉันจะทำแบบที่นายต้องการนะวิศรุต ถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะทำมันจะเป็นการฝืนความรู้สึกของตัวเองก็ตามที ฉันรู้ดีว่านายกำลังเจ็บปวด ฉันเองก็อยากจะบอกให้นายรู้ไว้เช่นกันว่าฉันเองก็ไม่ต่างจากนาย เพียงแต่ฉันไม่กล้าเท่านั้น...

Aislin: เอาหมอกานต์กับวินมาเสริ์ฟให้อ่านกันแล้วค่ะ ใครกำลังรอติดตามคู่นี้อยู่ ส่งเสียงหน่อยเร้ววว ฮิ๊วววว...

            ตอนนี้สถานการณ์เริ่มกลับมาอึมครึมอีกแล้วนะคะ ก็แหมมีก้างชิ้นโตอย่างศรา งานนี้ความรักของทั้งคู่หืดจับแน่นอนค่ะ อย่าลืมมาตามลุ้นตามเชียร์กันด้วยนะคะ เพราะสงครามความรักครั้งนี้ยังอีกนานนะคะบอกเลย ฮาๆๆ

            ยังไงอิซลินต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากเลยนะคะที่ยังติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่ ถ้าจะให้ดี ติดตามต่อไปจนจบเรื่องเลยเน้อ แต่ถ้าจะดีที่สุด... รบกวนอุดหนุนรูปเล่มหรือไม่ก็แบบฉบับอีบุ๊คหน่อยเน้อ รับรองว่าคุณภาพคับแน่นสมราคาแน่นอน จะได้เอาไปลุ้น ซาบซึ้งและตบท้ายตอนพิเศษแบบฟินๆชนิดรวดเดียวจบ ใครสนใจหนังสือติดตามได้จากแฟนเพจเลยนะคะ ถ้าหากเป็นอีบุ๊ค เชิญโหลดได้ที่เว็บ MEBMARKET.COM ได้เลยค่ะ


ปล. เดี๋ยวตอนต่อไป จะมีฉากช้ำหัวจิตหัวใจอีกหรือเปล่า ต้องตามเองเนอะ ไม่อยากสปอยด์ให้เสียอรรถรส ฮาๆๆ


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com (แอทฮอทเมล)

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)


หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ
www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)

*********************************************
[/color]




“เหม่ออะไรอยู่คะหมอ” ศรารัตน์แตะหลังมือนภัทรอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าคุณหมอหนุ่มกำลังเหม่ออยู่และก็คงไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่


            “เอ้อ คุณศราว่ายังไงนะครับ” เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้นภัทรหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆให้กับคู่สนทนา “พอดีว่าเมื่อกี๊ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่พอดี ก็เลยไม่ทันได้ฟังที่คุณศราพูด”


            “คือฉันบอกว่าตรงนี้เริ่มร้อนแล้วล่ะค่ะ เราเปลี่ยนไปนั่งเล่นตรงด้านนั้นดีกว่า” ศรารัตน์ชี้มือไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสนาม วันนี้เธอขอให้นภัทรพาออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างเพราะไม่อยากทนอุดอู้นอนพักอยู่แต่ในห้อง แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันหญิงสาวสังเกตได้ไม่ยากเลยว่านภัทรมักจะทำตัวแปลกไป คุณหมอหนุ่มกลายเป็นคนที่พูดน้อยและเงียบขรึมกว่าเดิมทั้งๆที่แต่ก่อนเขามักจะชอบเล่าเรื่องตลกให้เธอฟังแก้เบื่ออยู่เสมอระหว่างที่กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล


            ท่าทีแปลกประหลาดของนภัทรเป็นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ศรารัตน์สังเกตว่าคุณหมอมักจะใจลอยคิดอะไรคนเดียวอยู่เสมอเหมือนกับกำลังมีเรื่องในใจบางอย่าง ซึ่งศรารัตน์เองก็พอจะเดาได้ลางๆว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไร มันจะต้องเป็นเรื่องที่เธอเคยพูดกับวิศรุตให้ชายหนุ่มเลิกยุ่งกับนภัทรอย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อวานนี้อิงอรก็โทรมาหาเธอแล้วรายงานว่าช่วงนี้วิศรุตเองก็ดูแปลกไปเช่นกัน ฝ่ายนั้นเอาแต่หมกตัวทำงานอยู่ที่ออฟฟิศจนดึกดื่น อาหารก็ไม่ค่อยได้ทานตรงเวลาเท่าไหร่ ซึ่งอิงอรเองก็ยังอดเป็นห่วงในสุขภาพของเจ้านายหนุ่มไม่ได้


            “อีกไม่นานฉันก็จะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมคะ” ศรารัตน์ถามขึ้นเมื่อทั้งคู่ย้ายมานั่งยังอีกฝั่งหนึ่งของสนามแล้ว “ฉันเบื่อโรงพยาบาลจะแย่”


            “ร่างกายคุณศราแข็งแรงขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว ผมคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะกลับบ้านได้สมใจคุณแล้วล่ะครับ”


             “คงต้องขอบคุณคุณหมอนั่นแหล่ะค่ะ ถ้าไม่ได้หมอคอยช่วยชีวิตเอาไว้ ป่านนี้ฉันคงจะตายไปตั้งนานแล้ว อีกอย่างคุณหมอก็ช่วยดูแลฉันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด” นภัทรเพียงแค่ยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ในใจของคุณหมอหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เรื่องของวิศรุต ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะลืมฝ่ายนั้นได้เลยสักครั้ง ยิ่งคิดนภัทรก็ยิ่งเจ็บแปลบในใจ


            “คุณหมอเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เห็นเหม่ออีกแล้ว”


            “ขอโทษครับ พอดีว่าช่วงนี้ผมมีเรื่องเครียดๆนิดหน่อย” นภัทรฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ศรารัตน์ทันเห็นว่าในดวงตาสีถ่านคู่นั้นไม่ได้มีรอยยิ้มเจืออยู่เลย แต่กลับแทนที่ไว้ด้วยความเศร้าลึกๆจนหญิงสาวอดเอ่ยออกมาไม่ได้


            “คุณหมอดูแลฉันมามากแล้ว คราวนี้ให้ฉันเป็นฝ่ายดูแลคุณหมอบ้างได้ไหมคะ” นภัทรเข้าใจความหมายโดยนัยของคำพูดนั้นดี ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าศรารัตน์รู้สึกอย่างไรกับตน ซึ่งเขาเองก็ตื้นตันใจกับความรู้สึกลึกซึ้งที่หญิงสาวตรงหน้ามอบให้ ทว่าเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกแบบเดียวกันให้กับศรารัตน์ได้ และคราวนี้นภัทรก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องบอกกับศรารัตน์ตรงๆเสียที


            “คุณศราครับ”


            “หมอได้โปรดฟังฉันให้จบก่อนนะคะ” คำพูดที่ขัดขึ้นมาทำให้นภัทรต้องเงียบไป เมื่อศรารัตน์เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบเธอจึงเอ่ยต่อ “ฉันรู้ว่าหมออาจจะยังไม่ได้รักฉัน แต่อย่างน้อยก็ขอแค่ให้หมอเปิดใจให้ฉันบ้างก็พอ ให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในใจ ในความทรงจำ ในความนึกคิดของหมอบ้างก็ยังดี แม้ว่าข้างในนั้นจะมีคนอื่นอยู่แล้วก็ตาม”


            “ทั้งที่คุณเองก็รู้คำตอบของผมดีอยู่แล้ว ทำไมถึงยังพูดแบบนี้อีกล่ะครับ” ศรารัตน์ยิ้มในหน้ากับคำถามนั้นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ


            “ก็เพราะรู้ยังไงล่ะค่ะว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างหมอกับคนๆนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้” นภัทรขบกรามแน่นอย่างต้องการสะกดกั้นอารมณ์ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่ง เขาไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นสีหน้าของตนในเวลาแบบนี้เลย “จำได้ไหมคะที่ฉันเคยบอกว่าถ้าหากคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใคร อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรก”


            “ขอโทษครับ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้จริงๆ ผมคิดกับคุณศราแค่น้องสาวเท่านั้น” คำตอบที่แทบจะเรียกว่าไร้เยื่อใยของ นภัทรทำให้กระบอกตาของศรารัตน์เริ่มร้อนผ่าวก่อนที่น้ำใสๆจะไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวกลั้น สะอื้นก่อนตัดสินใจถามออกไปตรงๆ


            “แล้วกับวินล่ะค่ะ... หมอรู้สึกยังไงกับวินกันแน่” นภัทรเบือนหน้าไปอีกทางและไม่ยอมตอบคำถามนั้นจนศรารัตน์ต้องถามย้ำอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะถามกลับ


            “คำตอบของผมมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ ในเมื่อตอนนี้ผมก็อยู่ข้างๆคุณแล้ว”


            “ตัวคุณหมออยู่ตรงนี้ แต่หัวใจกลับไปอยู่ที่คนอื่น” ศรารัตน์มองหน้านภัทรด้วยความน้อยใจที่เอ่อล้นจนเต็มอก นภัทรใช้ปลายนิ้วปาดคราบน้ำตาที่แก้มเนียนอย่างเบามือแต่สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้า


            “แต่คุณศราก็เลือกที่จะให้มันลงเอยอย่างนี้ไม่ใช่เหรอครับ” ศรารัตน์ปล่อยให้น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลรินออกมา อย่างไม่ขาดสาย ตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยแบบเดียวกับวิศรุตกำลังพร่ามัวด้วยหยดน้ำตาก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามเอ่ย บางอย่างออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ


            “ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่จำเป็นต้องถามแล้วใช่ไหมคะว่าหมอรู้สึกยังไงกับวิน”


            “ถ้าคุณศราหมายถึงการที่ตัวผมอยู่ที่นี่ข้างๆคุณ แต่ในหัวใจกำลังคิดถึงแต่คนๆนั้น มันก็คงจะเป็นแบบเดียวกับที่คุณกำลังคิด ผม... คงจะรักผู้ชายที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาขึ้นมาจริงๆ” คำพูดที่ได้ยินตรงๆจากปากของนภัทรทำให้ศรารัตน์ยิ่งเสียใจ หญิงสาวเอนตัวพิงพนักโต๊ะม้าหินอย่างหมดแรง แววตาที่เคยทอประกายหวานซึ้งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดที่จะรินไหลออกมาอีก ราวกับว่าศรารัตน์กำลังต่อสู้อยู่กับความคิดของเธอเองว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากนภัทรมัน ไม่ใช่เรื่องจริง


            พงศธรแอบมองทั้งคู่อยู่ด้านหลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก การที่ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจนยิ่งทำให้เขานึกสงสารศรารัตน์เพราะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดีว่าการมอบหัวใจให้กับคนที่เขาไม่เคยนึกรักเราเลยมันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดยากที่จะบรรยาย ก็เหมือนกับเขาที่หลงรักศรารัตน์แม้จะรู้ว่าในสายตาของเธอมีเพียงแค่ผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ก็ตาม พงศธรกัดฟันแน่นด้วยความสงสารศรารัตน์จับใจ ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังนึกสงสารตัวเองด้วยที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่สามารถตัดใจจากศรารัตน์ได้เสียที

 


            ภาคินเดินเข้ามาในร้านคอฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มกวาดสายตาคมกริบไปทั่วร้านก่อนจะพบคนที่เขาต้องการจะเจอกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะติดกระจกที่มุมด้านหนึ่ง ร่างสูงจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาทันที


            หลังจากทักทายคนที่รออยู่ก่อนแล้ว ภาคินจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งก่อนถามขึ้นโดยไม่ต้องการเสียเวลาอ้อมค้อมให้มากความ


            “เรื่องที่ฉันให้ไปสืบ ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”


            “ผมแอบสะกดรอยตามสองคนนั้นมานาน นี่เป็นหลักฐานที่น่าจะยืนยันได้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันครับ” นักสืบพูดพร้อมกับส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับภาคินที่รับไปเปิดดู ข้างในซองนั้นเป็นรูปถ่ายในหลายอิริยาบถของทั้งนภัทร   และวิศรุต ส่วนมากจะเป็นรูปตอนที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง หนึ่งในนั้นมีภาพที่นภัทรกำลังประคองกึ่งโอบกอดวิศรุตเข้าห้องพักที่คอนโดฯส่วนตัวด้วย ดูจากภาพแล้ว ไม่ว่าเด็กอมมือก็ล้วนแต่ดูออกทั้งนั้นว่าสองคนในภาพจะต้องมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


            ภาคินเหยียดยิ้มมุมปากกับหลักฐานที่เขาลงทุนไปจ้างคนให้มาตามติดสืบเรื่องความสัมพันธ์ของวิศรุตและนภัทร ชายหนุ่มเพ่งมองรูปถ่ายในมืออีกครั้งก่อนจะเอ่ยชมว่าอีกฝ่ายทำงานได้ดีมาก จากนั้นจึงล้วงเช็คเงินสดที่เตรียมมาแล้วยื่นให้คนตรงหน้าที่รับไปเก็บไว้


            “คุณภาคินจะให้ผมตามสืบเรื่องสองคนนั้นต่อไปอีกหรือเปล่าครับ”


            “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจมาก” ภาคินตัดบทก่อนจะขยับเสื้อสูทให้เรียบร้อยเตรียมจะลุกจากไป แต่จังหวะที่ชายหนุ่มตวัดสายตามองผ่านกระจกใสไปยังด้านนอกกลับเห็นว่าเมริษากำลังเดินผ่านหน้าร้านไปโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้สังเกตว่าเขาอยู่ในร้านคอฟฟี่ช็อปที่เธอเพิ่งเดินผ่านเมื่อสักครู่นี้


            ตอนแรกภาคินตั้งใจจะรีบลุกวิ่งตามเมริษาไป แต่ว่าเมื่อชายหนุ่มหันไปด้านหลังก็พบว่าเมริษากำลังเดินเข้ามาในร้านคอฟฟี่ช็อปพอดี หญิงสาวเดินตรงไปยังโต๊ะอีกมุมหนึ่งของร้าน ห่างจากโต๊ะตรงที่ภาคินนั่งอยู่พอสมควร ภาคินเหลียวหน้ามองตามร่างระหงของเมริษาก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะหนึ่งที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว


            “ภาณุ” ภาคินอุทานออกมาเบาๆ นี่เมริษาไปรู้จักกับภาณุที่เป็นเพื่อนสนิทของวิศรุตได้อย่างไร ที่สำคัญทำไมทั้งคู่ถึงต้องมานัดเจอกันสองต่อสองแบบนี้ด้วย ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด หรือว่าทั้งคู่จะแอบคิดทำอะไรลับหลังเขา


            “นั่งสิ” ภาณุพูดเมื่อเห็นว่าเมริษามาถึงแล้วแต่ยังไม่ยอมนั่งเสียที


            “ไม่จำเป็นหรอก ฉันมาเพื่อเอานี่ให้คุณ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” เมริษาเปิดกระเป๋าแบรนด์เนมของตนก่อนจะหยิบกล่องที่บรรจุซีดีแผ่นหนึ่งออกมาให้ภาณุที่รับไป


            “นั่งลงก่อนเถอะ บางทีเราอาจจะต้องคุยกันหลายเรื่อง” ภาณุยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงยังเก้าอี้ด้านตรงข้าม ซึ่งในที่สุดเมริษาก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย


            “ที่ให้ไปมันเป็นคลิปที่ฉันแอบถ่ายตอนที่วันชัยกับภาคินวางแผนกันจะทำร้ายคุณวินกับคุณศราเพื่อฮุบสมบัติของทัดเทวา ฉันแอบถ่ายเอาไว้หลายครั้งรวมถึงพวกคลิปเสียงด้วย รับรองว่าเป็นหลักฐานเด็ดที่จะมัดตัวสองพ่อลูกนั่นได้แน่” ภาณุมองแผ่นซีดีด้วยประกายตาวาว คราวนี้ฝ่ายเขามีหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ รับรองว่าวันชัยกับภาคินต่อให้มีอีกสักสิบปากก็แก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้แน่นอน


            “ขอบใจเธอมากที่ยอมกลับใจมาช่วยเหลือพวกเรา รับรองว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้แน่”


            “ไม่ต้องมาขอบใจฉันหรอก ที่ฉันทำไปก็เพราะเห็นแก่เงินที่พวกคุณเสนอให้นั่นแหล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณชอบดูถูกว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงินยังไงล่ะ” คำเสียดสีของเมริษาทำให้ภาณุหลุบตาลงต่ำด้วยความละอายใจแวบหนึ่งที่สะท้อนออกมา   ผ่านทางสีหน้าและแววตาของตน ชายหนุ่มมองเมริษาที่ตั้งท่าจะลุกเดินไปจากตรงนั้น ก่อนที่สติจะระลึกรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ มือหนาก็เอื้อมไปฉวยข้อมือบางมากุมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย


            “ทำอะไรของคุณน่ะ” เมริษามองจ้องมือข้างที่ถูกอีกฝ่ายกุมไว้ด้วยสายตาเยียบเย็น


            “ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคืนนั้น” ภาณุเอ่ยเสียงเบาแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากการเกาะกุมคนตรงหน้าเสียที เมริษามองหน้าชายหนุ่มนิ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ


            “แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ สำหรับเรื่องในคืนนั้นฉันจะถือว่าให้ทานก็แล้วกัน” หญิงสาวใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระค่อยๆปลดมือของภาณุออกก่อนจะรีบเดินไปราวกับต้องการหนีไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยภาณุได้แต่ใช้สายตามองตามโดยที่ไม่กล้ารั้งหญิงสาวเอาไว้อีก


            ภาคินมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดเรื่องอะไรกัน แต่ท่าทีที่แปลกไปของเมริษาทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างจะปักใจว่าเรื่องที่ภาณุนัดเจอกับเมริษาวันนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ ลางสังหรณ์ลึกๆบอกชายหนุ่มว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับวิศรุตและแผนการของเขากับวันชัยอย่างแน่นอน หรือว่าเมริษาจะคิดหักหลังเขากับพ่อแล้วเปลี่ยนมาอยู่ฝั่งเดียวกับวิศรุตแทน ยิ่งคิดภาคินก็ยิ่งรู้สึกระแวงในตัวเมริษามากขึ้นเท่านั้น ไหนจะเรื่องซีดีที่เมริษาส่งให้ภาณุซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคือซีดีอะไร หากว่าหญิงสาวทำอย่างที่เขากลัวจริงๆ แน่นอนว่าเขาเองก็คงปล่อยเธอไปไม่ได้เช่นกันแม้ว่าจะนึกเสียดายคู่นอนที่ทั้งสวยและฉลาดคนนี้เพียงไรก็ตาม ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมให้แผนการที่ตัวเองและผู้เป็นพ่ออุตส่าห์วางแผนมานานแรมปีต้องมาพังทลายลงเพราะผู้หญิงอย่างเมริษาเพียงคนเดียว

 


            วันนี้เป็นวันที่หมออนุญาตให้ศรารัตน์ออกจากโรงพยาบาลได้ ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะไปรับศรารัตน์ด้วยตัวเองแต่เขาดันนึกขึ้นได้ว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดผู้บริหารถึงเรื่องแผนการซ่อมแซมโครงการบ้านจัดสรรทัดเทวาที่ถูกไฟไหม้พอดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงมอบหมายให้ลุงมั่นทำหน้าที่เป็นคนไปรับศรารัตน์มาจากโรงพยาบาลแทน


            หลังจากประชุมงานจนเสร็จ วิศรุตก็ได้รับโทรศัพท์จากลุงมั่นที่ได้โทรมาบอกว่าตอนนี้ศรารัตน์กลับมาถึงบ้านทัดเทวาเรียบร้อยแล้วโดยมีคุณหมอนภัทรรับอาสามาส่งด้วยตัวเอง ชื่อของใครคนนั้นทำให้วิศรุตนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจบอกลุงมั่นไปว่าคืนนี้เขาคงจะกลับบ้านช้าหน่อยเพราะว่ามีธุระอื่นที่ต้องทำอีก จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือเขายังไม่อยากกลับไปที่บ้านทัดเทวาในตอนนี้เพราะกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับนภัทรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งเห็นหน้าฝ่ายนั้น เขาก็ยิ่งเจ็บยอกในใจอย่างบอกไม่ถูก


            วิศรุตกลับมาถึงบ้านทัดเทวาตอนหัวค่ำ หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินอ้อมโรงรถแล้วเดินลัดสนาม หญ้าเพื่อเข้าไปยังตัวบ้าน ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ศรารัตน์ยื่นข้อเสนอบ้าๆแบบนั้นให้เขา เขาเองก็แทบจะไม่ได้โผล่หน้าไปเยี่ยมหญิงสาวที่โรงพยาบาลอีกเลยเพราะไม่รู้ว่าเวลาต้องเผชิญหน้ากับนภัทรและศรารัตน์ เขาควรจะทำท่าทางหรือว่าแสดงสีหน้าอย่างไรดี เวลาหัวค่ำแบบนี้นภัทรก็คงกลับไปแล้ว อย่างน้อยเขาเองก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าอาการของศรารัตน์ดีขึ้นจริงๆอย่างที่ฝ่ายนั้นเคยบอกกับเขา


            วิศรุตเดินใจลอย ในหัวกำลังคิดแต่เรื่องเดิมซ้ำไปมาทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินออกจากตัวบ้าน    แล้วเดินมาทางเดียวกับตนพอดี มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาเสียแล้ว


            “กานต์” วิศรุตอุทานเสียงแผ่ว อุตส่าห์ตั้งใจจะหลบหน้าแล้วเชียวแต่สุดท้ายก็ดันต้องมาเจอกันอีกจนได้ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินหนีก็ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือการปั้นหน้าส่งยิ้มทักทายให้ฝ่ายนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนเต็มทน “นายจะกลับแล้วเหรอ” นภัทรพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะมองคู่สนทนาด้วยแววตาเฉยชาไม่แสดงอารมณ์


            “พอดีวันนี้ฉันออกเวรเร็ว ก็เลยอาสามาส่งคุณศราที่บ้านแล้วก็อยู่คุยเป็นเพื่อนเธอต่อ ตอนนี้ก็กำลังจะกลับพอดี” วิศรุตเหลือบตามองดวงตาสีถ่านคู่นั้นก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่เจ้าตัวพยายามบังคับไม่ให้สั่น


            “ว่างๆนายก็แวะมาที่นี่อีกสิ” คำพูดนั้นทำให้ดวงตาสีถ่านมีแววไหววูบขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาแบบเดิมเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของวิศรุต “ถ้านายแวะมาคุยกับศราบ่อยๆ เธอก็คงหายเหงาและก็คงดีใจที่นายมาเยี่ยม”


            “รู้สึกว่านายจะเป็นห่วงคุณศรามากนะ เป็นห่วง... มากกว่าความรู้สึกของตัวเองเสียอีก” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตต้องกัดฟันข่มใจ “ก็ศราเป็นน้องสาวฉันนี่นา”


            “แค่นั้นน่ะเหรอ”


            “อีกอย่างถึงฉันจะอยากทำตามความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะถ้าความสุขของฉันต้องแลกมากับความทุกข์และคราบน้ำตาของน้องสาวตัวเอง” วิศรุตมองหน้าคู่สนทนานิ่งแล้วพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ที่สำคัญคือ...คนที่ฉันรัก เค้าไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉันเลยด้วยซ้ำไป”


            “วิน ฉัน...” นภัทรสูดลมหายใจลึก เขาไม่ได้นึกอยากให้เรื่องทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้เลย


            “พอเถอะ นายอย่าพูดอะไรอีกเลยกานต์ มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” คำพูดที่ออกจากปากคนตรงหน้าทำให้คุณหมอหนุ่มชะงักไปแบบพูดอะไรไม่ออกอีก ความรู้สึกที่เหมือนกับตัวเองกำลังจะต้องสูญเสียคนที่รักไปทำให้นภัทรปวดหนึบในใจ เขามองวิศรุตที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเต็มสองตา ผู้ชายคนนี้คือคนที่เขาเคยเกลียดขี้หน้ามาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน พอเวลาผ่านไป เขาทั้งสองคนกลับมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันโดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุผลอะไรเขาถึงได้ไปมีความสัมพันธ์ทางกายแบบนั้นกับวิศรุต แต่พอวันนี้... วันที่เขาเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เข้าใจแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับฝ่ายนั้น แต่มันกลับเป็นวันที่ทำให้เขาต้องปวดร้าวใจ ต้องเจ็บปวดกับความรักที่หาทางออกไม่ได้เช่นนี้


            “ทำไมนายต้องทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองเพื่อคนอื่นด้วย” นภัทรหยุดพูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้จนร่างกายของชายหนุ่มแทบจะสัมผัสเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิศรุต “ทำแบบนี้แล้วนายไม่รู้สึกเจ็บที่ตรงนี้บ้างเลยเหรอวิน” คุณหมอหนุ่มยิ้มเศร้าขณะที่มือหนาที่คุ้นชินกับการจับมีดผ่าตัดอยู่เสมอตอนนี้กลับถูกเจ้าตัวยกขึ้นไปทาบทับอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายของร่างตรงหน้า แสงจากดวงไฟรอบสนามหญ้าส่องกระทบแหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของนภัทรเป็นประกายวับวาว วิศรุตมองแหวนวงนั้นนิ่งก่อนจะตัดใจเอ่ยพร้อมกับน้ำใสที่คลอเอ่ออยู่เต็มสองตา


            “ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เพราะอะไรรู้ไหม” ชายหนุ่มกลั้นเสียงสะอื้นลงคอ ทว่าทำได้ยากเหลือเกิน มือหนาของวิศรุตทาบทับไปกับมือของนภัทรก่อนที่จะค่อยๆดึงมือของฝ่ายตรงข้ามให้เลื่อนหลุดออกไปอย่างช้าๆ “เพราะว่าข้างในนี้มันไม่เหลือหัวใจเอาไว้สำหรับความเจ็บปวดอีกแล้ว ฉันมอบความรัก มอบหัวใจ และมอบคนที่รักที่สุดดั่งลมหายใจของตัวเองให้กับศราไปแล้ว นายเข้าใจที่ฉันพูดไหมกานต์” ไม่มีหัวใจ ดังนั้นก็คงจะไม่เจ็บปวดอีก วิศรุตเคยคิดแบบนั้น แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินราวกับหัวใจตัวเองกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกทึ้งจนแหว่งวิ่น “ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราไปเถอะนะ”


            “แล้วนายล่ะ นายลืมเรื่องทั้งหมดได้จริงๆน่ะเหรอ นายสามารถลืมความทรงจำตลอดสิบสามปีได้หมดงั้นเหรอวิศรุต”


            “ได้สิ กับการแค่ลืมเรื่องราวเกี่ยวกับคนเพียงคนเดียว มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเท่าไหร่หรอกสำหรับฉัน” วิศรุตโกหกออกไป ชายหนุ่มรู้ใจตัวเองดีว่าต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีทางลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ไปได้และเขาก็เลือกที่จะไม่ลืมด้วย เขาเคยสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เลิกรักฝ่ายนั้นเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่ที่เขาต้องพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เรื่องของเขากับนภัทรมันก็เหมือนกับการเล่นเกมเดินวนอยู่ในเขาวงกต ทำอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอเสียที “ฉันแค่หวังว่าต่อจากนี้นายจะดูแลศราให้ดี อย่าให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจอีก”


            “ถ้านายต้องการแบบนั้น ฉันก็จะทำอย่างที่นายบอกให้ทำ” วิศรุตพยักหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่ อยู่ ชายหนุ่มเลือกที่จะเดินหนีไปเพราะไม่อยากต้องติดอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว “เดี๋ยวก่อนวิน” เสียงเรียกของนภัทรทำให้วิศรุตชะงักฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับคู่สนทนาอีกครั้งหนึ่ง “ฉันขอ... กอดนายเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ นภัทรก็รั้งร่างของวิศรุตเข้ามากอดแน่นก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ หยดลงมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นอย่างช้าๆพร้อมกับคำพูดที่ทำให้วิศรุตทั้งดีใจและเจ็บปวดไปพร้อมกันเมื่อได้ยินคำที่เฝ้ารอคอยมาแสนนานจากปากของนภัทร “ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ... ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ฉันรู้สึกตัวช้าไป”


            วิศรุตยิ้มออกมาทั้งน้ำตาพร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ได้ยินคำนี้จากปากของนภัทร เพียงเท่านี้เขาก็มี ความสุขมากแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริง คนที่ได้สมหวังและครองคู่กันอย่างมีความสุขกับคนตรงหน้าจะไม่ใช่ตัวเขาแต่กลับกลายเป็นศรารัตน์ก็ตาม


            “ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นายจะทำเพื่อฉันด้วย” วิศรุตหมายถึงการดูแลศรารัตน์ในฐานะคนรัก แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรหรือว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม เขาจะต้องทำให้นภัทรมารักเขาให้จงได้และเขาก็จะไม่มีวันยอมเสียนภัทรให้กับคนอื่นด้วยแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของตัวเอง แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความเป็นพี่น้องที่ตัดไม่ขาดทำให้เขาตัดใจแย่งนภัทรมาจากศรารัตน์ไม่ได้ เขาไม่อยากทำให้น้องสาวของตัวเองต้องเสียใจอีกรอบเพราะแค่เรื่องที่ทะเลาะกันจนเกิดอุบัติเหตุกับศรารัตน์ เขายังจำฝังใจมาจนถึงวันนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตเขามักจะไม่ยอมศรารัตน์ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่คราวนี้เขากลับเลือกที่จะเสียสละคนที่รักให้กับฝ่ายนั้นเพียงเพราะคำๆเดียวที่ค้ำคออยู่ คำว่า... พี่ชาย


            คนที่วิศรุตกำลังนึกถึงกลับกำลังมองมายังทั้งคู่ผ่านทางหน้าต่างห้องนอน บังเอิญว่าห้องนอนของศรารัตน์อยู่ชั้นสองตรงปีกด้านซ้ายของตึก ทำให้ระเบียงห้องหันออกไปทางด้านหน้าของสนามหญ้าพอดี หญิงสาวจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดโดยบังเอิญเมื่อตอนมาแอบดูที่ริมระเบียงว่าคุณหมอนภัทรของเธอขับรถกลับไปหรือยัง ทว่าภาพที่สองหนุ่มกอดกันกลมบริเวณริมสนามหญ้าทำให้ศรารัตน์หน้าตึงขึ้นมาแทบจะทันที หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยแววตาสงบนิ่งก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกตรงระเบียงให้สนิทดังเดิม

 

Aislin: ขออภัยที่อาทิตย์ก่อนหายไป ไม่ได้มาอัพนิยายนะคะ เพราะว่าติดงานที่ต่างจังหวัดค่ะ วันนี้เลยมาขอแก้ตัวด้วยการอัพให้อ่านแบบยาวเป็นพิเศษ ^0^

            ใครที่รอลุ้นรอเชียร์คู่คุณหมอและวินอยู่ ยังต้องปาดเหงื่อกันหน่อยนะคะ เพราะอุปสรรคมีเยอะเหลือเกิน และอุปสรรคที่สำคัญก็คือศรานั่นเอง ตอนนี้ก็ขอทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ก่อน และเดี๋ยวเรามาลุ้นกันต่อในตอนหน้าเน้อว่าศราจะจัดการอย่างไรต่อไป ขอบอกว่าแซ่บแน่นอนค่ะ และเรื่องจะทวีความเข้มข้นไปจนจบเรื่องเลยทีเดียว อย่าพลาดนะคะ


ปล. ใครอยากอ่านตอนต่อไปแล้ว ขอเสียงหน่อยเร้ววววว ฮิ๊วววว!!!!

ปล. อยากอ่านไวๆแบบนอนสต็อปไม่มีสะดุด และอยากเก็บสะสมรูปเล่ม (พร้อมเนื้อหาตอนพิเศษ 3 ตอนแบบจัดเต็มจุใจ) สามารถอุดหนุนรูปเล่มได้เน้อ หรือจะเป็นแบบ Ebook ก็ตามสะดวกเลยค่ะ

 

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เหมือนเคยอ่าน แต่จำไม่ได้แล้ว เดี๋ยวรอบนี้จะอ่านให้จบเลย

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

ออฟไลน์ Chutchai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอๆๆๆตอนต่อไป :mew6:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
เหมือนเคยอ่าน แต่จำไม่ได้แล้ว เดี๋ยวรอบนี้จะอ่านให้จบเลย

เกดเคยเอามาลงในเล้าเป็ดแล้วครั้งหนึ่งค่ะ ถ้าตอนนั้นอ่านแล้วลืมแล้ว ตอนนี้มาอ่านใหม่ได้เลย ลงให้อ่านจนจบเหมือนเดิมค่ะ ^0^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4:

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้เช่นกันค่ะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
รอๆๆๆตอนต่อไป :mew6:

มาอัพให้แล้วนะคะ เรื่องกำลังเข้มข้นเลยเชียว ฝากติดตามต่อเนื่องจนจบด้วยเน้อ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
นิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)

 
หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)
**********************************************************
[/color]


หลังจากที่นภัทรกลับไปแล้ว วิศรุตจึงไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะขึ้นไปหาศรารัตน์ที่ห้องนอนส่วนตัวของหญิงสาว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งเอนตัวอยู่ที่เตียงนอนหลังกว้าง ศรารัตน์เหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจกับหนังสืออ่านเล่นในมือของตัวเองต่อจนวิศรุตต้องแกล้งกระแอมเสียงเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว


            “มีอะไรเหรอ” ศรารัตน์วางหนังสือลง คราวนี้หญิงสาวหันไปสบตาสีน้ำตาลโศกนั้นตรงๆ แววตาของผู้เป็นพี่ชายยังคงมีแววฉ่ำน้ำเหมือนกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ทว่าเธอก็เลือกที่จะไม่ถามถึงเรื่องนี้ “ว่ายังไงล่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวถามย้ำเมื่อเห็นว่าคู่สนทนานิ่งไป


            “ฉันแค่จะมาเยี่ยมเธอ เห็นว่าออกจากโรงพยาบาลวันนี้” ศรารัตน์พยักหน้าพร้อมกับบอกว่าคุณหมอกานต์เป็นคนมาส่งเธอด้วยตัวเอง ชื่อของนภัทรทำให้วิศรุตสะอึกพลางนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นที่สนามหญ้าข้างล่างเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา


            “ถ้าจะมาเพราะเรื่องแค่นี้ นายก็กลับไปพักผ่อนเถอะเพราะตอนนี้อาการฉันดีขึ้นมากจนเกือบจะเป็นปกติแล้วล่ะ ขอบใจที่เป็นห่วง” ศรารัตน์พูดกึ่งๆไล่ แต่ว่าวิศรุตก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมออกจากห้องไปเสียที


            “ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดกับเธอ” วิศรุตพูดเสียงหนัก ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววเคร่งเครียดอย่างปิดไม่มิด “อันที่จริงต้องเรียกว่าขอร้องเธอถึงจะถูก” เมื่อเห็นว่าศรารัตน์มีสีหน้าสงสัยในสิ่งที่ตนพูด วิศรุตจึงระบายลมหายใจบางก่อนจะตัดสินใจ ‘เล่า’ เรื่องราวบางอย่างให้ศรารัตน์ฟัง

 


            “คุณหนูเล็กครับ คุณภาคินมาครับ” เสียงเรียกแหบระโหยของลุงมั่นทำให้ศรารัตน์หลุดจากภวังค์ความคิดของตน หญิงสาวสะดุดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าคนที่มาหาเธอก็คือภาคิน ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อน วิศรุตก็ห้ามเด็ดขาดไม่ให้ภาคินเข้าใกล้เธอ แต่วันนี้ฝ่ายนั้นกลับมาหาเธอถึงบ้าน ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่ของเธอคนนี้จะมาไม้ไหนอีกกันแน่ ศรารัตน์นึกในใจก่อนจะบอกลุงมั่นว่าเดี๋ยวอีกสักพักเธอจะลงไปพบกับภาคินที่ห้องรับแขก


            ภาคินนั่งรอไม่นาน คนที่ชายหนุ่มต้องการพบก็ลงมาจากห้องนอนชั้นสอง ศรารัตน์ฝืนยิ้มทักทายผู้เป็นแขกเล็กน้อยตามมารยาทก่อนนั่งลงยังโซฟาฝั่งตรงข้าม เมื่อเด็กรับใช้ที่คลานเข่าเข้ามาเสิร์ฟน้ำล่าถอยออกไปแล้ว หญิงสาวจึงถามถึงธุระการมาบ้านทัดเทวาของอีกฝ่าย


            “มาที่นี่มีธุระอะไรกับฉัน” ภาคินยิ้มในหน้าก่อนจะบอกว่าเขาต้องการมาเยี่ยมอาการของศรารัตน์เพราะได้ข่าวมาว่าคุณหมออนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว


            “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ ดูจากท่าทางก็คงเกือบจะหายดีแล้วสินะ ฉันล่ะดีใจจริงๆที่เธอปลอดภัยครบสามสิบสอง” อาการที่เสแสร้งเป็นห่วงเป็นใยของภาคินทำให้ศรารัตน์ลอบเบ้หน้า หญิงสาวรู้ดีว่าภาคินไม่ได้ดีใจอย่างที่พูดออกมาหรอก ใจจริงคนตรงหน้าอยากจะให้เธอตายไปให้เสียพ้นๆด้วยซ้ำ


            “พูดธุระจริงๆของนายมาเถอะ ที่นายมาที่นี่ก็คงไม่คิดอยากจะมาเยี่ยมอาการฉันเพียงอย่างเดียวแน่” เมื่อสังเกตจากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของภาคิน ศรารัตน์ก็รู้ว่าตนเดาถูกแล้ว


            “ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่บังเอิญไปรู้อะไรบางอย่างมา ก็เลยคิดว่าเธอเองก็อาจจะอยากรู้ด้วย”


            “นายหมายถึงเรื่องอะไร” ภาคินไม่ตอบแต่ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ศรารัตน์ที่รับไปเปิดดู ข้างในซองเอกสารก็คือรูปของนภัทรกับวิศรุตที่นักสืบแอบถ่ายได้นั่นเอง ศรารัตน์ขมวดคิ้วเรียวสวยแทบจะติดชิดเป็นเส้นเดียวก่อนเงยหน้าถามว่า “นี่มันรูปอะไรกัน นายเอามาให้ฉันทำไม”


            “ก็บังเอิญฉันรู้มาว่าเธอเองกำลังกิ๊กกั๊กปลูกต้นรักอยู่กับคุณหมอนภัทรอะไรนั่น แต่ก็น่าแปลกนะที่ทำไมคุณหมอ นภัทรหวานใจของเธอกลับไปทำท่าทางสวีทอี๋อ๋ออยู่กับวิศรุตได้ แถมยังมีการประคองกันเข้าห้องในคอนโดฯส่วนตัวของวิศรุตอีกต่างหาก” ภาคินเหยียดยิ้มสะใจกับสีหน้าซีดเผือดของศรารัตน์ก่อนจะเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดกับวิศรุตและคุณหมอนภัทร อิสรีย์ได้ ในเมื่อทั้งคู่ก็ต่างเป็น... ผู้ชายเหมือนกัน”


            “นี่นาย...” ศรารัตน์พูดไม่ออกเมื่อรู้ว่าเรื่องราวความลับที่วิศรุตเป็นเกย์แถมยังมามีความสัมพันธ์กับนภัทรจะถูกภาคินล่วงรู้จนได้ แต่ที่หนักที่สุดก็คือจากรูปถ่ายตรงหน้านี้ทำให้หญิงสาวถึงกับสะท้านเมื่อรู้ว่าคนทั้งคู่ที่อยู่ในภาพได้มีความสัมพันธ์ทางกายที่เกินเลยไปจนยากจะควบคุมแล้ว


             จากภาพถ่ายตอนที่ทั้งคู่ซุกไซ้ซอกคอกันขณะที่กำลังเปิดประตูห้องคอนโดฯก็ทำให้ศรารัตน์ไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นไปได้นอกเหนือจากนี้ หญิงสาวปารูปในมือทิ้งอย่างหมดแรงก่อนพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ช่างเหมือนหัวใจที่โดนมีดกรีดตรงจุดเดิมซ้ำๆจนเเกิดเป็นแผลบาดลึก


            “ตกลงว่าคนในรูปนี้ก็คือคุณหมอนภัทรคนรักของเธอจริงๆใช่ไหม ตอนแรกฉันก็นึกว่าคนที่กำลังนัวเนียอยู่กับวิศรุตเป็นแค่คนหน้าเหมือนเสียอีก” น้ำเสียงที่แกล้งทำให้ดูเหมือนตกใจของภาคินทำให้ศรารัตน์ทนไม่ไหวอีกต่อไป


            “หยุดพูดเสียทีได้ไหม ฉันไม่อยากฟัง” เมื่อเห็นศรารัตน์เริ่มจะหมดความอดทน ภาคินก็ยิ่งได้ใจใหญ่ ชายหนุ่มแกล้งยิ้มยั่วแล้วพูดต่อ


            “เธอเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ เจ็บใช่ไหมกับการถูกทรยศหักหลัง โดยเฉพาะคนที่ทำนั้นเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเธอเอง”


            “นายต้องการอะไรก็บอกมาตรงๆเลยดีกว่าภาคิน” เมื่อศรารัตน์พูดแบบนี้ก็เข้าทางภาคินพอดิบพอดี ชายหนุ่มไม่ลังเลเลยที่จะพูดจาเป่าหูศรารัตน์ให้เกลียดวิศรุต เขาเชื่อว่าการเอานภัทรมาล่อเป้าแบบนี้จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เพราะโดยพื้นฐานแล้วศรารัตน์ก็ไม่ค่อยถูกกับวิศรุตเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน พอมีเรื่องนภัทร ผู้ชายที่ศรารัตน์กำลังหลงใหลคนนั้นเข้ามาเป็นเครื่องกระตุ้น รับรองว่าถ้าศรารัตน์ไม่ยิ่งเกลียดวิศรุต เขาเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว


            “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ แต่ถ้าหากเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันยอมเสียคนที่ฉันรักให้คนอื่นไปง่ายๆแน่ และไอ้คนที่คิดจะเข้ามาแย่งชิง ฉันก็ไม่คิดจะปล่อยมันเอาไว้เหมือนกัน”


            “หมายความว่า...”


            “ทำลายวิศรุตซะ ถ้าไม่มีมันสักคน คราวนี้เธอก็หมดเสี้ยนหนามตำใจแล้วล่ะศรา” ภาคินพูดพร้อมกับแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมทำเอาศรารัตน์ถึงกับเสียวสันหลังวูบ


            “แต่ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ถึงยังไงวินก็เป็นพี่ชายฉันอยู่ดี” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างแรงเป็นเชิงว่าเธอจะไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเด็ดขาด ความผิดหวังเสียใจและสติความรู้ผิดชอบชั่วดีกำลังตีกันในหัวศรารัตน์จนทำให้หญิงสาวรู้สึกสับสนไปหมด “นายรีบกลับไปเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกเรื่องทั้งหมดกับวินแน่” คำขู่ของศรารัตน์ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลเมื่อภาคินทำท่ายักไหล่แบบไม่ยี่หระกับคำพูดของอีกฝ่าย


            “เธอก็ลองคิดดูดีๆก็แล้วกัน ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เธอรักหมดหัวใจ เธอจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆเหรอ อีกอย่างถึงแม้ว่าเธอจะใจดีเป็นแม่พระปล่อยให้เขาไปมีความสุขกับไอ้วิน แต่เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วความรักผิดเพศแบบนี้มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริงอยู่ดี โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานภาพที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคมอย่างวิศรุตและหมอนภัทร” เมื่อปล่อยระเบิดลูกสุดท้ายไปแล้วภาคินก็เอ่ยขอตัวลา ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าศรารัตน์ที่เจือแววสับสนในใจอย่างรุนแรง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าแผนของเขาจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน อีกไม่นานศรารัตน์จะต้องมาเป็นพวกเดียวกับเขาแน่ แล้วเขาจะใช้ศรารัตน์นี่แหล่ะเป็นไม้ตายทำลายและเหยียบย่ำผู้ชายที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาให้จมดินแบบไม่เหลือซากเลย ทีเดียว


            เมื่อภาคินกลับไปแล้ว ศรารัตน์ก็ยังคงนั่งเหม่อลอยจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง เรื่องราวทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในหัวจนเธอคิดอะไรไม่ออก หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของวิศรุตในคืนที่เธอประสบอุบัติเหตุ


            ‘ฉันทนไม่ได้ที่จะเห็นว่ามีใครอยู่ข้างกายนภัทร และยิ่งทำใจไม่ได้ใหญ่ถ้าหากคนๆนั้นจะเป็นน้องสาวของฉันเอง ฉันจะบอกอะไรให้นะศรา ถ้าฉันไม่ได้ ใครก็อย่าหวังว่าจะได้เลย และเธอเองก็อย่าหวังเลยว่าจะแย่งนภัทรไปจากฉัน ไม่อย่างนั้นเราคงได้เห็นดีกันแน่ศรารัตน์’


             ถ้านายคิดแบบนี้ล่ะก็วิศรุต ฉันเองก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ นายเองก็รู้ดีแก่ใจไม่ใช่เหรอว่าฉันกับนาย... เราสองคนนิสัยเหมือนกันมาก


              ศรารัตน์สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างคนที่ตัดสินใจได้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาเบอร์ของพงศธรแล้วก็กดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็รับ ศรารัตน์จึงกรอกเสียงลงไป


             “คุณพงษ์เหรอคะ รบกวนมาที่บ้านทัดเทวาหน่อยได้ไหมคะ พอดีว่าฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือนิดหน่อย”

 

 

เสียงกริ่งออดคอนโดฯดังขึ้นขณะที่เมริษากำลังจะเข้าไปอาบน้ำพอดี หญิงสาวมองเวลาจากนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง ห้อง ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้วซึ่งก็ถือว่าเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัว ใครกันนะที่มาเวลามืดค่ำแบบนี้ หญิงสาวเดินไปส่องช่องตาแมวที่ประตูก่อนจะยอมเปิดให้เมื่อเห็นว่าคนที่มาหาเธอก็คือภาคินนั่นเอง


             “ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะคะ เมก็นึกว่าใครที่ไหนมาเคาะประตูเสียอีก” เสียงต่อว่าแบบไม่จริงจังนักของเมริษาไม่ได้ทำให้ภาคินรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อเข้ามาในห้องของหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว


               “ที่มาหาก็เพราะคิดถึงเมน่ะสิ อยากจะนอนกอดเมให้หายคิดถึง” ภาคินฝังจมูกเข้ากับแก้มเนียนของเมริษาฟอดใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตามองเมริษาที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำด้วยแววตาหยาดเยิ้มซึ่งหญิงสาวก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่


               “อย่าค่ะ เมยังไม่ได้อาบน้ำเลย” เมริษาบิดตัวออกจากอ้อมกอดของภาคินอย่างมีจริตก่อนจะใช้สองมือยันอกฝ่ายนั้นออกห่างเล็กน้อยพร้อมทำท่าออดอ้อนยั่วยวน “รอแป๊บนึงนะคะ ขอเวลาเมอาบน้ำก่อน รับรองว่าจะให้คุณกอดจนหายคิดถึง    เลยทีเดียว” เมริษาหัวเราะน้อยๆก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของมือแกร่งคู่นั้นซึ่งภาคินก็ยอมอย่างว่าง่าย หญิงสาวเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป


            ลับหลังเมริษา ภาคินก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มเยียบเย็น ชายหนุ่มยังจำตอนที่เห็นเมริษานัดเจอกับภาณุที่คอฟฟี่ช็อปในห้างสรรพสินค้าชื่อดังได้เป็นอย่างดี แถมเมริษายังส่งแผ่นซีดีอะไรก็ไม่รู้ให้กับฝ่ายนั้นไป ยิ่งคิดภาคินก็ยิ่งสงสัยในตัวเมริษา ดังนั้นจุดประสงค์การมาในวันนี้ของภาคินก็เพื่อต้องการที่จะมาหาหลักฐานว่าหญิงสาวหักหลังเขากับพ่อหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีหลักฐานคาหนังคาเขา รับรองว่าเจ้าหล่อนหมดทางแก้ตัวแน่และเขาเองก็คงปล่อยเธอเอาไว้ไม่ได้เช่นกันเนื่องจากเมริษารู้ความลับของเขากับพ่อมากจนเกินไปแล้ว


            ภาคินเดินไปรอบห้องรับแขกอย่างจับสังเกต ก่อนสายตาจะไปหยุดที่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวของหญิงสาว ชายหนุ่มชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปนั่งหน้าคอมพ์แล้วถือโอกาสแอบเปิดดูข้อมูลที่ถูกเซฟไว้ในไดร์ฟต่างๆ เขาลองเปิดหาไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบว่ามีไฟล์ไหนผิดปกติ ภาคินจึงถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะปิดหน้าจอคอมพ์ลงตามเดิม


            ภาคินเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องนอนของเมริษาแทน ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องก่อนสายตาจะไปสะดุดกับกล่องอะไรบางอย่างบนชั้นวางของข้างๆโต๊ะเครื่องแป้ง ไวเท่าความคิด ภาคินรีบเดินไปหยิบกล่องน่าสงสัยนั้นขึ้นมาเปิดดูทันที


            “ทำอะไรคะภาคิน” เสียงเมริษาที่เข้ามาในห้องพอดีทำให้ภาคินชะงักมือที่กำลังเตรียมจะเปิดกล่องออกดู หญิงสาวเองก็ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นถึงสิ่งที่อยู่ในมือของภาคิน “เอามานี่ค่ะ มันเป็นของเมเอง” เมริษารีบแย่งกล่องใบนั้นจากมือของภาคินไปซ่อนไว้ด้านหลังตน พฤติกรรมนั้นของหญิงสาวกลับยิ่งทำให้ภาคินเกิดความสงสัย


            “อะไรกันเม ในกล่องนั้นมีอะไรงั้นเหรอ ทำไมแค่นี้เมต้องถึงกับปิดผมด้วย” ภาคินหรี่ตาลงอย่างจับผิดในขณะที่เมริษาลอบกลืนน้ำลายพลางแก้ตัว


            “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก เมว่าเราอย่าไปสนใจมันเลยค่ะ ไหนว่าคิดถึงเมนักไม่ใช่เหรอคะ เมเองก็คิดถึงคุณเหมือนกันนะ” หญิงสาวปั้นยิ้มก่อนเข้าไปกอดชายหนุ่ม แต่อีกฝ่ายขืนตัวไว้แล้วใช้ความไวแย่งกล่องจากมือของเมริษามาได้สำเร็จ


            “นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงเป็น...” ภาคินอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องมีเพียงเนคไทเส้นหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่เขานึกว่าข้างในกล่องนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่าเมริษาหักหลังเขาเสียอีก ภาคินมองจ้องเนคไทเส้นนั้นก่อนจะหันมาเป็นเชิงขอคำตอบจากเมริษา


            “คือว่าเมตั้งใจว่าจะซื้อเนคไทเส้นนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณน่ะค่ะ แต่ไม่นึกว่าคุณจะมาเห็นก่อนจนได้” คำพูดของเมริษาทำให้ภาคินชะงักไป ที่แท้เขาก็เข้าใจผิดไปเองหรอกหรือเนี่ย ภาคินถอนหายใจบางก่อนจะเข้ามาคลอเคลียเอาใจอีกฝ่ายอย่างต้องการง้องอน


            “ขอโทษครับเม ผมนึกว่าเมซ่อนอะไรเอาไว้ไม่อยากให้ผมรู้เสียอีก” คำพูดของภาคินทำให้เมริษาสะท้านในใจ เป็นอย่างที่เธอเคยคิดไว้ไม่มีผิดว่าหากวันหนึ่งที่ภาคินเกิดรู้ระแคะระคายหรือสงสัยว่าเธอจะหักหลังเขาแล้วล่ะก็ เขาจะต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่ ที่ชายหนุ่มแอบเข้ามาค้นห้องลับหลังเธอแบบนี้ก็แสดงว่าเขาต้องกำลังนึกสงสัยอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ


            “นี่มันเรื่องอะไรกันคะเนี่ย เมงงไปหมดแล้ว” ภาคินมองหญิงสาวที่กำลังตีหน้าซื่ออย่างต้องการลองใจคนตรงหน้า ในขณะที่ดวงตาคมกริบก็พยายามจับสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย


            “พอดีวันนั้นผมไปธุระแล้วบังเอิญเดินผ่านร้านคอฟฟี่ช็อปในห้าง มองเข้าไปก็เห็นเมนั่งอยู่กับคนๆนึง แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นผมรีบมากก็เลยไม่ทันได้เดินเข้าไปทัก ไม่รู้ว่าคนๆนั้นจะเป็นกิ๊กคนใหม่ของเมหรือเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจเลยอยากเข้ามาดูว่าเมซ่อนอะไรเอาไว้ในห้องหรือเปล่า” คำพูดของภาคินทำให้เมริษาต้องลอบกลืนน้ำลาย ยังโชคดีที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่า ผู้ชายที่นั่งกับเธอในร้านคอฟฟี่ช็อปก็คือภาณุผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของวิศรุต ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาแก้ตัวดี


            “ที่คุณเห็นก็คงเป็นวันเดียวกับที่เมไปซื้อของขวัญให้คุณนั่นแหล่ะค่ะ พอดีเมไปแวะดื่มกาแฟที่ร้านนั้นก็เลยบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่า แต่คุณไม่ต้องหึงไปหรอกนะคะเพราะเพื่อนเมคนนี้เค้าเป็นพวกผู้ชายนะยะ”


              คำพูดกลั้วหัวเราะของเมริษากลับทำให้ภาคินมีสีหน้าเครียดขึ้นทันที ฟังจากที่พูดเขาก็รู้เลยว่าเมริษากำลังโกหกเพราะวันนั้นเขาเห็นกับตาตัวเองว่าอะไรเป็นอะไร อีกอย่างเขาก็ไม่เคยได้ข่าวมาว่าภาณุเป็นพวกผู้ชายนะยะแบบที่เมริษาบอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันเชื่ออยู่ดีว่าเมริษาจะไปเป็นเพื่อนเก่าของภาณุได้อย่างไรกัน ดังนั้นคำตอบจึงมีเพียงอย่างเดียวก็คือเมริษากำลังโกหกเขา เมื่อเห็นว่าภาคินท่าทางแปลกไปเมริษาจึงถามขึ้นว่า


               “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดูหน้าเครียดจัง” ภาคินส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ชายหนุ่มรวบร่างบอบบางของหญิงสาวมากอดไว้อย่างหลวมๆเพราะไม่อยากให้เธอเห็นประกายโชนแสงจากแววตากร้าวของเขา ในเมื่อเธอเลือกที่จะทรยศเขาแบบนี้ ก็อย่ามาหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน


            เมริษากอดตอบร่างสูงใหญ่ไว้อย่างหลวมๆเช่นกัน โชคดีที่หลังจากเธอเซฟข้อมูลลงแผ่นซีดีแล้วจัดการส่งให้ภาณุเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็จัดการลบไฟล์คลิปวีดีโอในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทิ้งทันทีเพื่อไม่ให้เหลือเป็นหลักฐานที่สาวมาถึงตัวเธอได้ ไม่อย่างนั้นภาคินไม่ปล่อยเธอไว้แน่ เพราะขนาดศรารัตน์และวิศรุตที่เป็นญาติสนิทเขายังกล้าวางแผนฆาตกรรมเลย แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เป็นแค่คู่นอนชั่วคราวอย่างเธอ ยิ่งคิดเมริษาก็ยิ่งหวาดหวั่นในใจกับความโหดเหี้ยมของภาคิน

 


            “นี่เป็นซีดีที่ได้จากเมริษา” ภาณุยื่นกล่องบรรจุซีดีที่เขาได้มาจากอีกคนให้กับวิศรุตที่รับไป “ฉันลองเช็กดูแล้ว ในแผ่นนั้นมีอยู่หลายคลิปเลยทีเดียว ทั้งคลิปภาพเคลื่อนไหวแล้วก็พวกคลิปเสียงอื่นๆที่ยืนยันได้ว่าสองพ่อลูกนั้นคิดจะฮุบทัดเทวาแล้วก็วางแผนจะฆ่าแกกับยัยศรา ถ้าบอร์ดบริหารได้เห็น รับรองว่าสองพ่อลูกนั่นได้จนมุมแน่” วิศรุตคลี่ยิ้มเยือกเย็น เขาปล่อยให้สองคนนั้นเล่นเกมกับเขามานานแล้ว คราวนี้แหล่ะที่เขาจะพลิกมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง ที่เขายังไม่ทำอะไรกับสองพ่อลูกนั้นเสียทีก็เพราะว่าเกรงจะเป็นการเปิดช่องให้ทั้งคู่ไหวตัวได้เสียก่อน แต่คราวนี้มันจะเป็นทีของเขาบ้างที่จะเอาคืนอย่างสาสม


            “ขอบใจแกมากไอ้โอมที่คอยเป็นธุระเรื่องเมริษาให้” ภาณุตอบกลับว่าไม่เป็นไร อันที่จริงการได้พูดคุยติดต่อกับเมริษาหลายๆครั้ง ถึงแม้ว่าจะต้องมีการทะเลาะหรือกระแนะกระแหนกันบ่อยๆมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นอวลในใจอย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่ามีความสุขที่ได้ทะเลาะกับฝ่ายนั้นบ่อยๆก็ไม่เชิง


            “แล้วแกจะจัดการเปิดโปงสองคนนั้นแล้วปิดเกมนี้เมื่อไหร่วะไอ้วิน”


            “อีกไม่นานหรอก แกคอยดูไปเถอะ” วิศรุตยิ้มแบบมีเลศนัยให้กับภาณุในขณะที่อินเตอร์โฟนบนโต๊ะทำงานของวิศรุตก็ดังขึ้น เป็นอิงอรที่โทรเข้ามาบอกว่าศรารัตน์มาขอพบเขา วิศรุตมองหน้ากับภาณุด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าศรารัตน์มีเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้มาหาเขาถึงที่ทำงานแบบนี้ ท่านประธานหนุ่มเจ้าของทัดเทวานิ่งคิดก่อนจะบอกอิงอรว่าให้ศรารัตน์เข้ามาได้


            เมื่อศรารัตน์เปิดประตูเข้ามาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่วิศรุตยัดกล่องซีดีลงไปในกระเป๋าเอกสารส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทักศรารัตน์ในขณะที่หญิงสาวมีท่าทางเมินเฉยเย็นชา แต่ร่างบางก็ยอมเอ่ยทักทายภาณุตามมารยาทที่ดี


            “เป็นยังไงบ้างศรา เห็นไอ้วินบอกว่าเธอหายดีแล้วนี่นา” ภาณุเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน


            “ก็เกือบปกติแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มตอบภาณุก่อนจะหันไปพูดจุดประสงค์การมาของเธอกับวิศรุต “ที่ฉันมาก็เพื่ออยากจะมาถามความเห็นนายในบางเรื่อง”


            “เรื่องอะไรล่ะ ว่ามาสิ”


            “ฉันอยากจัดงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อเป็นการขอบคุณหมอกานต์ที่ได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้จากอุบัติเหตุถึงสองครั้ง นายเห็นว่ายังไงบ้าง” วิศรุตหันไปสบตากับภาณุทันที ลำพังแค่เรื่องจัดงานเลี้ยงขอบคุณก็ไม่เห็นจำเป็นที่ศรารัตน์จะต้องมาบอกเขาเลยนี่นา ที่หญิงสาวมาหาเขาวันนี้ก็คงต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแอบแฝงแน่ๆ


            “ก็เอาสิ ตามใจ เพราะถึงยังไงฉันก็คงห้ามเธอไม่ได้อยู่แล้วนี่” ศรารัตน์ยิ้มเย็นก่อนจะบอกต่อว่างานเลี้ยงนี้เธอตั้งใจจะจัดขึ้นที่บ้านทัดเทวานั่นเอง


              “ฉันอยากให้งานนี้ดูเป็นงานเลี้ยงแบบอบอุ่น เชิญแขกที่เป็นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” หญิงสาวบอกรายละเอียดคร่าวๆให้วิศรุตกับภาณุฟัง


            “เธอกะจะชวนใครบ้างล่ะ”


            “ก็มีที่แน่ๆคือหมอกานต์ คุณพงษ์ นาย แล้วก็เอ้อ ขอเชิญพี่โอมด้วยนะคะ” ศรารัตน์หันไปยิ้มให้ภาณุโดยไม่สนใจอาการของวิศรุตที่อึ้งไปเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงอะไรนี้ด้วย จะให้เขาทำตัวอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนภัทรและศรารัตน์พร้อมกันแบบนี้ นี่ศรารัตน์จะแกล้งทำให้เขาต้องกระอักกระอ่วนใจไปถึงไหน ลำพังแค่การตัดใจจากนภัทรก็ยากมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาทนเห็นนภัทรอยู่กับศรารัตน์ แล้วแบบนี้เขาจะทนได้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน

 


       
   

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
     วิศรุตเดินหน้าเครียดออกมาจากห้องประชุมบอร์ดบริหาร วันนี้ชายหนุ่มต้องเข้าประชุมเรื่องแผนการจัดงานเลี้ยงประจำปีของบริษัททัดเทวาที่งานนี้จะถูกจัดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า เขาคงจะไม่ออกอาการเครียดแบบนี้เลยหากว่าคุณวันชัยไม่เสนอขึ้นกลางที่ประชุมว่าอยากจะให้ใช้งานนี้เป็นงานสำหรับการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตเป็นคนรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น ซึ่งบรรดากรรมการบริหารส่วนใหญ่ต่างก็มีมติเห็นด้วยกับความคิดของวันชัย เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีและจะมีบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก รวมถึงนักข่าวมากมายจากหลากหลายสำนักด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการโปรโมตบริษัททัดเทวาไปในตัว แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้วิศรุตหนักใจก็คือโครงการบ้านจัดสรรที่เขารับผิดชอบนั้น ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงใหม่เกือบทั้งหมดเพราะเคยเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ ชายหนุ่มลุกขึ้นชี้แจงถึงปัญหาข้อนี้ที่อาจทำให้โครงการสำเร็จไม่ทันงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท แต่วันชัยก็ได้โต้กลับแล้วให้เหตุผลว่าหากวิศรุตเป็นมืออาชีพจริง ลำพังปัญหาแค่นี้ก็ต้องจัดการได้อย่างแน่นอน อีกทั้งงานนี้ยังถือเป็นการแสดงศักยภาพให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ว่าบริษัททัดเทวามีความเป็นผู้นำในด้านอสังหาริมทรัพย์หนึ่งเดียวของเมืองไทย


            “พวกเรารอดูโครงการนี้อยู่นะคุณวิศรุต” มงคลที่เดินตามออกมาจากห้องเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวตามวิศรุตจนทัน ผู้สูงวัยกว่ายิ้มเล็กน้อยอย่างต้องการให้กำลังใจ “หวังว่าคุณคงจะใช้โอกาสนี้พิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของทัดเทวาเพียงใด และผมก็ยังแอบเชื่อมั่นอยู่ลึกๆว่าคุณคงไม่ทำให้ผมผิดหวัง” วิศรุตยิ้มเครียดกับคำพูดนั้นโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ


            หลังจากที่มงคลขอตัวเดินไปแล้ว วิศรุตก็หันไปสั่งอิงอรว่าให้ตามพงศธรไปพบตนที่ห้องทำงานด่วนที่สุด ซึ่งผู้เป็นเลขาฯก็รับคำก่อนจะรีบไปจัดการตามคำสั่งของเจ้านายเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้รอช้าไม่ได้อีกแล้ว

 


            “คุณวิศรุตเรียกผมมา มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอครับ” พงศธรถามขึ้นเมื่อมาถึงห้องทำงานของวิศรุต เจ้าของห้องผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง หลังจากที่อิงอรออกไปจากห้องแล้ว วิศรุตก็บอกให้พงศธรพูดจาตามสบายแบบเดิมได้ ไม่ต้องพูดเป็นทางการมากนักแม้ว่าตนจะอยู่ในฐานะเจ้านายของฝ่ายนั้นก็ตาม


            “ที่ฉันเรียกนายมาก็เพราะเรื่องของโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่เนี่ยแหล่ะ” วิศรุตบอกเรื่องมติที่ประชุมที่อยากให้จัดโปรโมตโครงการบ้านจัดสรรนี้ในงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทให้พงศธรได้ทราบก่อนที่จะถามความเห็นของอีกฝ่ายบ้าง


            “อย่างนี้แปลว่าเราต้องเร่งโครงการให้เสร็จภายในปลายเดือนนี้ใช่ไหม เพราะงานจะมีขึ้นในต้นเดือนหน้าแล้ว” วิศรุตพยักหน้าด้วยแววตาเคร่งเครียด เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นทำให้โครงการเสียหายไปมากทีเดียว แม้ว่าเขาจะพยายามเร่งปรับปรุงโครงการใหม่ทั้งหมดมาตั้งแต่หลังที่เกิดเรื่องซึ่งงานก็คืบหน้าไปเยอะแล้ว แต่เมื่อมีเวลาเหลือเพียงแค่ไม่ถึงสามสัปดาห์เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะทำมันได้สำเร็จหรือเปล่า


            “ถ้างานนี้เสร็จไม่ทัน ชีวิตฉันจบเห่แน่” วิศรุตสบถออกมาเบาๆอย่างเริ่มหัวเสีย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวันชัยต้องการแกล้งเขา ไม่อยากนั้นก็คงไม่เสนอความคิดบ้าๆแบบนี้กลางที่ประชุมบอร์ดบริหารหรอก “ว่าแต่ตอนนี้งานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” วิศรุตหันไปถามพงศธรที่มีสีหน้าเครียดเช่นกันหลังจากที่ได้ฟังเรื่องที่ตนเล่า


            “ตอนนี้ฉันกำลังเร่งให้พวกคนงานต่อเติมอาคารบางส่วนอยู่ คิดว่าถ้าหากเร่งมือกันจริงๆก็น่าจะเสร็จทันกำหนดพอดี ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดนะ” คำตอบของพงศธรทำให้วิศรุตเริ่มคลายใจลง ชายหนุ่มจึงสำทับไปว่า


            “นายช่วยบอกให้พวกคนงานเร่งมือด้วยหรือไม่ก็หาคนงานมาเพิ่มโดยด่วนเลย บอกว่าฉันยินดีจะจ่ายเงินเดือนเพิ่มให้เป็นค่าล่วงเวลา จำไว้ ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ฉันไม่สนใจ ขอเพียงแค่งานเสร็จตามกำหนดก็พอ” พงศธรพยักหน้ารับคำสั่งจากอีกฝ่ายก่อนขอตัวออกไปทำงานต่อ


            ตอนที่พงศธรหมุนลูกบิดประตูห้องทำงานเพื่อจะเปิดเดินออกไป ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยว่าควรจะพูดดีหรือไม่ก่อนจะตัดสินใจหันหน้ามาเอ่ยกับคนที่นั่งพิงพนักอยู่หลังโต๊ะทำงาน


            “คุณศราเชิญฉันให้ไปงานเลี้ยงขอบคุณไอ้กานต์ในคืนพรุ่งนี้ด้วย” วิศรุตส่งเสียงตอบรับในคอเป็นเชิงว่าเขารู้อยู่แล้ว พงศธรมองวิศรุตด้วยสายตาสงบนิ่งก่อนเอ่ยต่อ “ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อย”


            “อะไรล่ะ”


            “ฉันแค่อยากรู้ว่า... ทำไมนายกับไอ้กานต์ถึงมีความสัมพันธ์แบบนั้นต่อกันได้” วิศรุตตัวชาไปหลังจากที่ได้ฟังคำถามจากคู่สนทนา


            “นายรู้เหรอว่าฉันกับกานต์...” พงศธรพยักหน้าช้าๆแล้วบอกว่าเขาเห็นกับตาเพราะคืนนั้นที่บ้านจัดสรรเกิดไฟไหม้ เขาติดต่อวิศรุตไม่ได้ แล้วพอรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่กับเพื่อนรักของตน เขาจึงไปหาทั้งคู่ที่บ้านของนภัทรแล้วบังเอิญได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น


            “ฉันสงสารคุณศรา” คำพูดที่เอ่ยออกมาลอยๆทำให้วิศรุตต้องเม้มริมฝีปากแน่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าในสายตาใครต่อใครต่างก็เห็นว่าเรื่องความสัมพันธ์แบบชายรักชายมันเป็นเรื่องน่ารังเกียจและยอมรับได้ยาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ วิศรุตหัวเราะเบาๆกับตัวเอง แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเจือไว้ด้วยกระแสความขมขื่นใจ


            “ฉันก็สงสารศรา แต่ที่สงสารยิ่งกว่าก็คือตัวเอง พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก”


            “ฉันอาจจะไม่รู้ว่าความรักของนายที่มีต่อไอ้กานต์มันลึกซึ้งแค่ไหน แต่ฉันก็อยากจะเตือนนายเอาไว้ว่าบางทีความหวังกับความเป็นจริง มันก็เป็นสองสิ่งที่อยู่บนเส้นขนาน ซึ่งความจริงข้อนี้ ฉันว่านายเองก็น่าจะคิดได้อยู่แล้ว”


            “ฉันรู้ดี ขอบใจที่เตือนนะ แต่ว่าเรื่องของฉันกับกานต์มันจบไปแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” วิศรุตหลุบตาลงต่ำเพื่อ ซ่อนสายตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้พงศธรเห็น บางทีเรื่องของเขากับนภัทรอาจจะเรียกว่าจบแบบทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยการที่เขาได้ยินคำว่ารักจากปากของฝ่ายนั้น เขาก็มีความสุขมากแล้ว แม้ว่าสุดท้ายเขาจะต้องเป็นคน เอามือของนภัทรไปวางไว้ใส่มือของศรารัตน์ก็ตาม


            พงศธรมองวิศรุตด้วยความสงสารแกมเห็นใจ ผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างวิศรุต ไม่ว่าชายหนุ่มต้องการสิ่งใด เขาก็มักจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง หากแต่สิ่งเดียวที่วิศรุตอยากได้ก็คือผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์... ผู้ชายคนเดียวกับที่น้องสาวของคนตรงหน้าก็ต้องการที่จะครอบครองเช่นกัน


            “เดี๋ยวก่อน” เสียงเรียกดังขึ้นทำให้พงศธรต้องหยุด สายตาคมกริบเหลือบไปทางด้านหลังแล้วบังเอิญสบตากับดวงตาโศกสีน้ำตาลพอดี “นายรังเกียจหรือเปล่า” วิศรุตหมายถึงเรื่องที่เขาเป็นพวกรักเพศเดียวกัน


            “ไม่หรอก” เป็นคำตอบสั้นๆของพงศธรก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป

 

Aislin: มาอัพนิยายประจำสัปดาห์ให้แล้วเน้อ วันนี้ยาวเป็นพิเศษเลย ฮาๆๆ ตอนนี้นิยายทัณฑ์กามเทพก็เหลืออีกแค่ 9 ตอนสุดท้ายก่อนจะปิดท้ายเรื่องนี้แล้วเน้อ (มี 39 ตอนจบค่ะ) แต่ถ้าหากใครอ่านจบแล้ว อารมณ์ยังไม่จบ อยากอ่านตอนพิเศษสุดฟินต่ออีก 3 ตอนเต็มๆ ก็ฝากอุดหนุนรูปเล่มหรือไม่ก็แบบอีบุ๊คหน่อยนะคะ รับรองว่าคุ้มค่าทุกตัวอักษรแน่นอนค่ะ

            เดี๋ยวตอนหน้ามาดูกันว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง อยากบอกแง้มๆว่าแซ่บแน่นอนค่ะ คุณศราเธอออกโรงทั้งที จะธรรมดาได้ยังไง ฮาๆๆ เอาไว้ติดตามอ่านกันนะคะ แล้วเจอกันค่ะ ^0^

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านเช่นกันค่ะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Update นิยายรูปเล่ม

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)


หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)

*********************************************************
[/color]

            งานเลี้ยงขอบคุณคุณหมอนภัทร อิสรีย์ถูกจัดขึ้นที่สนามหญ้าภายในบริเวณคฤหาสน์ทัดเทวา ศรารัตน์เป็นคนจัดการเรื่องงานเลี้ยงนี้ด้วยตัวเอง หญิงสาวจัดการให้พวกคนใช้ดูแลเรื่องการตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม ด้านอาหารและเครื่องดื่มก็จ้างภัตตาคารชื่อดังมาจัดเตรียมให้ ศรารัตน์มองบรรยาศรอบงานด้วยความพอใจแต่แววตากลับนิ่งสนิท


            ภาณุมาถึงที่บ้านทัดเทวาก่อนใครเพื่อน หลังจากที่ทักทายศรารัตน์เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวแยกไปหาวิศรุตที่ยังอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวซึ่งศรารัตน์ก็ไม่ได้ว่าอะไร หญิงสาวจุดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยทว่าแววตากลับมีร่องรอยความขึงเครียดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนต้องทำในค่ำคืนนี้


            “คิดอะไรอยู่” เสียงทักของผู้มาใหม่ทำให้วิศรุตสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวกำลังยืนใจลอยอยู่ เจ้าของห้องหมุนตัวกลับมาก่อนจะพบว่าคนที่เรียกเขาก็คือภาณุนั่นเอง


            “มาแล้วเหรอ มาเร็วก่อนเวลานี่นา”


            “เจ้าของงานอุตส่าห์เชิญทั้งที จะมาสายก็คงจะไม่เหมาะ” ภาณุตอบก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โซฟาในห้องทำงาน “เมื่อกี๊ฉันเห็นนายเหม่อ กำลังคิดเรื่องนภัทรกับยัยศราอยู่ล่ะสิ” วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนยอมรับตรงๆว่าใช่


            “ที่ฉันทำอยู่นี้มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมไอ้โอม”


            “บางทีสิ่งที่ถูกต้องกลับต้องแลกมาพร้อมกับความเจ็บปวดเสมอ” คำตอบของภาณุทำให้วิศรุตเม้มปากแน่น ใช่ เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว


            ไม่นานหลังจากนั้น แม่บ้านก็มาเคาะประตูห้องแล้วบอกว่าศรารัตน์ขอเชิญให้พวกเขาทั้งคู่ลงไปร่วมงานเลี้ยงด้านล่าง เพราะว่าตอนนี้แขกที่เหลือซึ่งก็คือนภัทรและพงศธรต่างก็มาพร้อมหมดแล้ว ภาณุจึงดึงแขนให้วิศรุตลงไปยังสนามด้านล่างพร้อมกันกับตนโดยไม่ลืมบอก


            “ทำหน้าตาให้สดชื่นหน่อยสิ ฉันอยากเห็นเพลย์บอยหนุ่มวิศรุต ทัดเทวาคนเดิม” วิศรุตยิ้มกับคำพูดนั้นโดยไม่ตอบอะไรอีก

 


            เมื่อลงมาถึงสนามด้านล่างก็พบว่านภัทร พงศธรและศรารัตน์นั่งรออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคย ผู้มาใหม่ทั้งสองจึงนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่ก่อน จากตำแหน่งที่นั่งอยู่ทำให้วิศรุตอดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้ก็เพราะว่าชายหนุ่มกำลังนั่งประจันหน้ากับคุณหมอนภัทร อิสรีย์นั่นเอง


            เมื่อแขกมาครบโต๊ะ ศรารัตน์ในฐานะแม่งานก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็พอได้ยินกันทั้งโต๊ะอาหาร


              “วันนี้ต้องขอบคุณคุณหมอกานต์มากๆเลยนะคะที่ให้เกียรติมางานเลี้ยงเล็กๆนี้ พี่โอมกับคุณพงษ์ด้วยค่ะ” ศรารัตน์ไม่ลืมที่จะหันไปบอกกับภาณุและพงศธรด้วยก่อนที่จะหันหน้ามาพูดกับนภัทรต่อ “คุณหมอช่วยชีวิตฉันเอาไว้ถึงสองครั้ง ถ้าไม่ได้คุณหมอ ฉันก็คงจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แน่ๆ ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะถือโอกาสนี้เลี้ยงอาหารตอบแทนน้ำใจคุณหมอกานต์ค่ะ”


               นภัทรยิ้มรับก่อนจะออกตัวว่าเขาเองก็ช่วยสุดความสามารถตามหน้าที่ของคนเป็นหมอก็เท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นบุญคุญอะไร ศรารัตน์ยิ้มเล็กน้อยกับอาการถ่อมตนของคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนหญิงสาวจะให้สัญญาณกับบริกรเป็นเชิงว่าให้เริ่มเสริ์ฟอาหารได้


            งานเลี้ยงเริ่มต้นจากการเสริ์ฟอาหารจำพวกเรียกน้ำย่อย ตามด้วยอาหารหลัก ได้แก่ สเต็กกับไวน์ จวบจนกระทั่งอาหารจานหลักถูกเสริ์ฟจนหมด จากนั้นจึงเป็นพวกของหวานต่างๆ ซึ่งบริกรจัดพวกของหวานและขนมทานเล่นต่างๆแยกเอาไว้ที่ซุ้มอาหารใกล้ๆกับโต๊ะทานข้าว ดังนั้นแขกจึงสามารถที่จะเดินเลือกอาหารและของหวานนานาชนิดได้ตามใจชอบ       ระหว่างมื้ออาหาร นภัทรสังเกตเห็นว่าวิศรุตพูดน้อยกว่าปกติ อันที่จริงก็คือแทบจะไม่พูดเลยหากว่าไม่จำเป็น มีบ้างที่ภาณุเป็นฝ่ายชวนวิศรุตคุยเรื่องต่างๆ หากว่าภาณุไม่ชวนเปิดบทสนทนา วิศรุตก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีบางครั้งคุณหมอหนุ่มเผลอสบตากับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าวิศรุตกลับเป็นฝ่ายเบนสายตาหลบไปเสียก่อน นภัทรจึงได้แต่มองใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าด้วยความปวดยอกในอก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวิศรุตตั้งใจจะหลบตาเขา เขารู้ว่าฝ่ายนั้นรู้สึกเช่นไรซึ่งเขาเองก็รู้สึกไม่ต่าง... ก็แค่เพียงรู้สึกแต่ทำอะไรไม่ได้


            “ขอตัวสักครู่นะ” วิศรุตวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง


            “ไปไหนวะไอ้วิน” พงศธรหันหน้ามาส่งสายตาคำถามให้วิศรุตเช่นกัน คนที่เพิ่งลุกขึ้นจากโต๊ะหันไปพูดกับเพื่อน ทว่าคนอื่นๆกลับได้ยินทั้งโต๊ะ


            “ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวกลับมา” ภาณุพยักหน้าให้ก่อนมองตามวิศรุตไป แววตาของภาณุฉายแววห่วงเพื่อนสนิทเป็นอย่างมาก เขาเห็นว่าวันนี้วิศรุตดื่มไวน์เข้าไปมากกว่าปกติ สาเหตุที่เพื่อนรักดื่มมากขนาดนั้นเขาเองก็รู้ดี วิศรุตคงอยากจะลืมเรื่องบางอย่าง บางทีคนเราก็ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่เพราะความอยากดื่ม แต่เพราะหวังผลข้างเคียงของมันต่างหาก ภาณุถอนหายใจแรงก่อนตัดสินใจเดินตามวิศรุตไปบ้าง ปล่อยให้อีกสามคนนั่งคุยกันต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าศรารัตน์แอบหลิ่วตาเป็นสัญญาณบางอย่างให้กับพงศธร

 


            วิศรุตเดินลัดสนามตรงไปยังตัวบ้านเพื่อเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา เขาเพิ่งรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองดื่มแอลกอฮอล์ไป มากกว่าปกติซึ่งก็ทำเอารู้สึกมึนๆตึงๆพอตัว ทั้งที่ปกติแล้วเวลาดื่มเหล้าเขาจะเป็นคนคอแข็งมาก ทว่าวันนี้สิ่งที่ดื่มก็คือไวน์ชั้นดีซึ่งแน่นอนว่ามันซึมเข้าสู่กระแสเลือดของเขาได้ง่ายกว่าเหล้ามากนัก อีกทั้งปริมาณที่ดื่มเข้าไปมันก็ไม่ได้น้อยๆเลย


            หลังจากล้างหน้าเสร็จ วิศรุตก็ยังไม่ค่อยคลายความมึนตื้อในสมองเท่าใดนัก ชายหนุ่มใช้สองมือลูบหน้าพลางสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติ ขืนใครรู้เข้าว่าเพลย์บอยตัวพ่ออย่างเขามาหมดท่าเพียงเพราะไวน์ไม่กี่แก้วล่ะก็ รับรองว่ารู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น วิศรุตเหยียดยิ้มกับตัวเอง เพราะเรื่องของนภัทรแท้ๆเลย


            “ไหวรึเปล่าวะไอ้วิน” ภาณุที่เดินตามเข้ามาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำท่าจะไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มเข้าไปช่วยประคองให้วิศรุตนั่งพักยังโซฟารับแขก “ฉันว่าแกไปพักก่อนเหอะ เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ตอนอยู่ที่โต๊ะแล้ว”


            “ฉันยังไหว ไม่เป็นไรหรอกน่า” น้ำเสียงคนพูดเริ่มอู้อี้ในขณะที่ศีรษะเริ่มหนักมากขึ้นเรื่อยๆ


            “ไปเถอะ ฉันไปส่งแกเอง เดี๋ยวจะไปบอกพวกที่เหลือให้ว่านายเพลียขอตัวไปพักก่อน” ภาณุไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มตรงเข้าไปประคองเพื่อนรักแล้วค่อยๆพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยจุดหมายก็คือห้องนอนของวิศรุตเอง


            วิศรุตถูกเอามาทิ้งให้นอนแผ่หราอยู่ที่เตียงกลางห้องกว้าง ภาณุส่ายหัวเบาๆอย่างอ่อนใจ บางทีการปล่อยให้เมาหลับไปแบบไม่รู้เรื่องเช่นนี้ก็อาจจะยังดีกว่าการให้ฝ่ายนั้นต้องมาทนเห็นภาพบาดตาบาดใจระหว่างนภัทรกับศรารัตน์ แม้ว่าเขาจะดูออกก็ตามว่านภัทรไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับศรารัตน์ด้วยเลย คุณหมอหนุ่มออกจะอึดอัดกับการกระทำที่แสดงการเอาอกเอาใจของศรารัตน์ตลอดเวลามื้ออาหารค่ำด้วยซ้ำ


            “ฉันเชื่อว่าสักวันแกจะต้องเข้มแข็งขึ้นไอ้วิน” ภาณุทิ้งท้ายก่อนที่จะออกไป ปล่อยให้วิศรุตนอนอยู่ให้ห้องเพียงลำพัง

 


          “หมอกานต์คะ ฉันว่าเราไปตักขนมหวานกันทางนั้นดีกว่าค่ะ” ศรารัตน์ชวนด้วยรอยยิ้มหวานพร้อมกับแตะแขนเป็นเชิงว่าให้ช่วยเดินไปตักขนมกับเธอหน่อยซึ่งนภัทรเองก็ยอมลุกตามไปแต่โดยดี


            พงศธรมองคนทั้งคู่ที่เดินห่างออกไปด้วยแววตาหนักใจพลางระบายลมหายใจยาวเหยียด เขานึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับ ศรารัตน์เมื่อหลายวันก่อน ศรารัตน์มาขอให้เขาช่วย ‘ทำ’ อะไรบางอย่างให้กับเธอ

         


           ‘เรียกผมมาหาแบบนี้ คุณศรามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ’ แม้ว่าจะดีใจที่ศรารัตน์เอ่ยชวนตนให้มาหาถึงบ้านทัดเทวา แต่พงศธรก็นึกรู้ว่าการที่หญิงสาวโทรศัพท์ตามตัวเขาแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของนภัทรอย่างแน่นอน


          ‘ฉันมีเรื่องอยากขอร้องให้คุณพงษ์ช่วยน่ะค่ะ’ ศรารัตน์หยุดเว้นวรรคไปนานก่อนจะเอ่ยเสียงเบา ‘ฉันอยากให้คุณร่วมมือกับฉันบางอย่าง’


          ‘เรื่องวินกับไอ้กานต์ใช่ไหมครับ’ เสียงคนพูดเจือแววขมขื่นอย่างปิดไม่มิด พงศธรสบตาสีน้ำตาลที่เริ่มเป็นประกายโชนแสงของหญิงสาวตรงหน้าก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจแกมเยาะหยันตัวเอง ‘คุณศราจะให้ผมทำอะไรล่ะครับ จะให้วางแผนพรากทั้งสองคนออกจากกันเหรอไง หรือว่าจะให้ช่วยพูดเชียร์คุณศรากับไอ้กานต์บ่อยๆ’


          ‘เรื่องวางแผนคงไม่ต้องรบกวนให้คุณพงษ์ช่วยหรอกค่ะเพราะว่าเรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง’ ศรารัตน์พูดต่ออย่างไม่ยี่หระ ดวงตาสีน้ำตาลแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบไร้ความรู้สึก ‘ที่อยากให้ช่วยก็คือแค่แอบเอาไอ้นี่ผสมในเครื่องดื่มให้หมอกานต์กินก็พอ’ มือบางยื่นขวดเล็กๆที่บรรจุของเหลวใสเอาไว้ให้กับพงศธร ชายหนุ่มรับไปพลางถามด้วยความสงสัย แม้ว่าลึกๆในใจเขาพอจะหาคำตอบให้ตนเองได้แล้วก็ตามว่าของเหลวตรงหน้าคืออะไร


          ‘แมลงวันสเปน’ คำตอบของศรารัตน์ทำเอาพงศธรอึ้งไป ก่อนหลุดเสียงครางออกมาแผ่วเบา


          ‘ทำไม... คุณวางแผนอะไรกันแน่’


          ‘แผนที่จะทำให้วินเจ็บปวดแทบตายทั้งเป็น’ คำพูดสั้นๆแต่ทำเอาพงศธรไหวเยือกไปตลอดทั้งร่าง แค่เพราะเรื่องของ นภัทรทำให้ศรารัตน์ถึงกับตั้งใจจะทำลายวิศรุตให้ย่อยยับไปกับมือจริงๆน่ะเหรอ ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยแววตานิ่งงันพร้อมเค้นเสียงหนัก


          ‘เรื่องนี้ผมคงช่วยคุณศราไม่ได้’ จะให้เขาทำแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อนภัทรเองก็เป็นเพื่อนที่เขารักที่สุด ส่วนวิศรุตนอกจากจะเป็นเจ้านายของเขาแล้ว ฝ่ายนั้นยังเคยมีบุญคุญช่วยเหลือเขาอีกด้วยในตอนที่เขาถูกพวกนักเลงเงินกู้ตามมาทวงหนี้ ‘คุณไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย แค่เพราะไอ้กานต์ไม่ได้...’ คำว่า ’รักคุณ’ ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงว่าเรื่องนี้กระทบกับจิตใจของศรารัตน์มากเพียงใด


          ‘คุณไม่เข้าใจฉันหรอก ไม่เข้าใจหรอกว่าฉันรู้สึกยังไง’ ศรารัตน์เอ่ยเสียงต่ำ ‘ตกลงว่าคุณจะช่วยฉันหรือเปล่าคะ’ เมื่อพงศธรส่ายหน้าแทนคำตอบ หญิงสาวก็พูดโพล่งขึ้นมาทันที ‘แล้วถ้าฉันมีข้อเสนอล่ะ’


          ‘ข้อเสนออะไรผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น ผมไม่มีวันทำร้ายสองคนนั้นเด็ดขาด’


          ‘แล้วถ้าฉันบอกว่า... ฉันให้คุณได้ทุกอย่างขอเพียงแค่คุณยอมช่วยฉันเท่านั้น’ ถ้าพงศธรยอมช่วยล่ะก็ แผนการครั้งนี้ของเธอจะต้องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน นภัทรกับวิศรุตจะต้องไม่มีวันทันคิดอย่างเด็ดขาดว่าพงศธรจะยอมร่วมมือกับเธอ ‘คิดให้ดีๆก่อนตอบนะคะ ฉันรอฟังอยู่’ น้ำเสียงของศรารัตน์เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหลือล้น ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่า พงศธรคิดยังไงกับเธอ ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วผู้ชายตรงหน้าก็ต้องยอมใจอ่อนช่วยเธออยู่ดีนั่นแหล่ะ ศรารัตน์คิดอย่างหมายมาด


          ‘ก็ได้ ผมจะยอมช่วยคุณ’ หลังจากเงียบไปนาน พงศธรก็ตัดสินใจได้ ชายหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาโชนแสงคู่นั้น ‘แต่มีข้อแม้ว่าครั้งนี้จะต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณคิดจะทำร้ายสองคนนั้น’ เมื่อจบคำพูดของพงศธร ดวงตาของศรารัตน์ก็มีแววเยียบเย็นอีกครั้ง

 


          บริกรที่เดินเข้ามาถามว่าจะรับอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ทำให้พงศธรหลุดออกจากภวังค์ความคิด ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้ก่อนตอบว่าไม่รับอะไรเพิ่มแล้ว บริกรคนนั้นจึงเดินเลี่ยงออกไป พงศธรลอบระบายลมหายใจหนักก่อนสายตาจะจับจ้องไปที่ศรารัตน์กับนภัทรที่กำลังเลือกขนมกันอยู่ ชายหนุ่มค่อยๆล้วงขวดแก้วขนาดเล็กที่ศรารัตน์เคยให้ตนออกมาแล้วมองอย่างชั่งใจเล็กน้อย สติความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นปราดไปทั้งร่าง หากแต่สุดท้ายแล้วพงศธรก็เลือกที่จะเปิดจุกขวดแล้วหยดของเหลวที่เรียกว่า ‘แมลงวันสเปน’ ลงไปในแก้วไวน์ของนภัทรสองสามหยด จากนั้นก็เขย่าแก้วเบาๆให้ของเหลวสีใสผสมเป็นเนื้อเดียวกับไวน์นั้น


            ไม่นานนักศรารัตน์กับนภัทรก็เดินกลับมาที่โต๊ะ พงศธรส่งสายตาให้ศรารัตน์เป็นเชิงว่างานของตนสำเร็จแล้ว หญิงสาวลอบยิ้มอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนวางแผนไว้ ทุกอย่างเหลือแค่รอเวลาเท่านั้น


            “อ้าว ทำไมกลับมาคนเดียวล่ะคะพี่โอม แล้ววินล่ะ” ศรารัตน์แสร้งเอ่ยถามภาณุที่เพิ่งกลับมาถึงโต๊ะหลังจากที่อีกฝ่ายเดินตามวิศรุตไป หญิงสาวถามทั้งที่ความจริงเธอก็รู้ดีว่าวิศรุตเป็นอย่างไร ก็เธอเองนั่นแหล่ะที่แอบผสมยานอนหลับเล็กน้อยลงไปในแก้วไวน์ของวิศรุต ประกอบกับผู้เป็นพี่ชายที่วันนี้ดื่มหนักเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นมีเหรอที่เพลย์บอยอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะเมาหลับไปอย่างง่ายดายขนาดนี้


            “ไอ้วินมันรู้สึกเพลียๆน่ะ ก็เลยขอตัวขึ้นห้องไปก่อน” คำพูดของภาณุทำให้นภัทรตีความได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากทนอยู่เห็นหน้าเขาก็เลยแกล้งหลบขึ้นไปบนบ้านก่อน ทำไมเรื่องของเขากับวิศรุตถึงต้องมาอยู่ในสภาพนี้ด้วย ทำไม... นภัทรเฝ้าแต่ถามตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ “นี่ก็ดึกมากแล้ว งั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะศรา ฉันไปก่อนนะเว้ย ไว้เจอกัน” ประโยคสุดท้ายภาณุหันไปเอ่ยกับนภัทรและพงศธร ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะอยู่ต่ออีกแล้ว


            หลังจากส่งภาณุขึ้นรถเรียบร้อย ศรารัตน์ก็หันมาทำท่าจะชวนนภัทรกับพงศธรคุยต่อแต่คุณหมอหนุ่มกลับตัดบท


            “ผมว่าผมเองก็คงต้องขอตัวบ้างแล้วล่ะครับ ขอบคุณคุณศรามากสำหรับมื้อเย็นที่พิเศษแบบนี้” นภัทรยิ้มให้ศรารัตน์อย่างขอบคุณที่เธออุตส่าห์จัดงานเลี้ยงนี้เพื่อเขา ก่อนจะหันไปพูดกับพงศธรบ้าง “แกจะกลับพร้อมกันไหมไอ้พงษ์”


            “เอาดิ ฉันกลับพร้อมแกเลยแล้วกัน” พงศธรพูดโดยไม่สบตากับเพื่อนรัก ลึกๆในใจเขารู้ดีว่าคืนนี้นภัทรอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกหากว่านภัทรดื่มไวน์แก้วนั้น


            “ถ้าอย่างนั้น... แก้วสุดท้ายแล้วดื่มให้หมดนะคะ” ศรารัตน์ยิ้มก่อนยกแก้วไวน์ขึ้น ซึ่งนภัทรเองก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ    ของคนตรงหน้าได้ จึงได้แต่ยกแก้วไวน์ขึ้นบ้าง “ดื่มให้กับหมอกานต์ค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มพราวก่อนค่อยๆละเลียดจิบไวน์ของตนเองพลางมองดูคุณหมอหนุ่มกระดกแก้วไวน์จนหมดในที่สุด ท่าทางตอนนี้คงจะเริ่มกรึ่มๆแล้วล่ะ หญิงสาวคิดในใจพลางตวัดสายตาไปที่พงศธรเป็นเชิงว่าให้เริ่มจัดการตามแผนขั้นต่อไปได้เลย

 


            หลังจากปลีกตัวออกมาได้ นภัทรก็เดินไปที่รถพร้อมกับพงศธร คุณหมอหนุ่มเริ่มเดินไม่ตรงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปไม่น้อยเลยในคืนนี้ พงศธรเหลือบมองอาการของเพื่อนสนิทก่อนเอ่ย


            “แกขับรถไหวหรือเปล่าวะไอ้กานต์ ถ้าไม่ไหวฉันว่าแกขอคุณศราค้างที่นี่จะดีกว่านะ ขับรถตอนเมามันอันตรายนะเว้ย” นภัทรสั่นศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่ร่างกายกลับตรงกันข้าม “เฮ้ย รถอยู่ทางนี้” พงศธรลากนภัทรที่เดินออกนอกทางเดินให้กลับมาก่อนจะดันหลังฝ่ายนั้นให้ไปยังรถ แต่ว่าในที่สุดคุณหมอหนุ่มก็ต้านความมึนและความง่วงงุนไม่ไหว ร่างหนาหนักจึงไถลลงไปกองอยู่ที่พื้นก่อนสติที่เหลือเพียงน้อยนิดจะวูบไปพร้อมเปลือกตาที่หนักอึ้งจนลืมไปไม่ขึ้น


            พงศธรมองร่างที่นอนทอดอยู่ด้วยแววตาที่ไม่แปลกใจนัก ยาปลุกเซ็กซ์คงออกฤทธิ์ในอีกไม่นานนี้ ชายหนุ่มที่ยังมีสติครบถ้วนอยู่ก้มลงประคองร่างของเพื่อนรักแล้วเอามือฝ่ายนั้นมาพาดไว้บนบ่า จุดมุ่งหมายของพงศธรก็คือห้องนอนของวิศรุต ทัดเทวา

 


            พงศธรวางร่างที่ยังไม่ได้สติของนภัทรนอนลงทอดตัวเคียงคู่กับวิศรุตที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องเช่นกันก่อนถอยออกมาดูผลงานของตัวเอง


            “ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน”


            “ผมไม่ได้ช่วยฟรีๆเสียหน่อย อย่าลืมสิ” ศรารัตน์ยิ้มเย็นแล้วบอกว่าเธอไม่มีทางลืมแน่


            “เสร็จเรื่องแล้ว คุณพงษ์กลับไปก่อนเถอะค่ะ” คำพูดกึ่งไล่ของศรารัตน์ทำให้พงศธรเม้มปากแน่นแต่ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี ก่อนที่จะพ้นประตูห้องนอน ชายหนุ่มก็ไม่วายหันมาถามคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ภายในห้อง


            “ตกลงคุณจะไม่ยอมบอกผมจริงๆน่ะเหรอว่าคุณกำลังคิดทำอะไรกับสองคนนี้กันแน่” ศรารัตน์สบสายตาคู่นั้นด้วยแววตาว่างเปล่าแต่ไม่ยอมบอกอะไรจนพงศธรต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเองโดยได้แต่หวังว่าสักวันเธอคงจะบอกเขาในที่สุด


            ศรารัตน์มองประตูห้องที่ถูกปิดลงหลังจากที่พงศธรเดินออกไป หญิงสาวระบายลมหายใจยาว เธอไม่ได้อยากปิดบังพงศธรเลย แต่เรื่องนี้คนยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น พงศธรแค่มีหน้าที่ทำตามที่เธอบอกก็พอ


            “ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้” แม้ปากจะพูดขอโทษแต่ดวงตาของศรารัตน์ไม่ได้มีแววสำนึกอะไรเลย หญิงสาวมองนภัทรที่เริ่มบิดตัวไปมาเพราะความร้อนรุ่มภายในร่างกายจากฤทธิ์ของแมลงวันสเปน สีหน้าของคุณหมอหนุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อย่างห้ามไม่อยู่ ศรารัตน์มองภาพเบื้องหน้าแววตาเรียบนิ่งแต่มุมปากกลับหยักยิ้มเล็กน้อยขณะล้วงเอากล้องวีดีโอออกมา


            จากนั้นกล้องวีดีโอที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบ HD ได้ก็ถูกศรารัตน์กดตั้งอัดแล้วเอาไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าใกล้ๆกับเตียงนอนหลังใหญ่ จากมุมนี้ทำให้กล้องสามารถบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเตียงได้อย่างชัดเจนรวมถึงสิ่งที่จะเกิดในอีกไม่ช้านี้


            ศรารัตน์กอดอกมองผลงานทั้งหมดของตนด้วยแววตาพอใจแล้วจึงค่อยเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่สนใจปฎิกริยาของสองร่างบนเตียงที่เริ่มจะมีการเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น ยาปลุกเซ็กส์ภายในร่างของหมอกานต์คงเริ่มจะออกฤทธิ์แล้ว


            นภัทรรู้สึกตัวร้อนรุ่มอย่างประหลาดทั้งที่ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้เป็นไข้ คุณหมอหนุ่มกวาดแขนสะเปะสะปะไปรอบตัวก่อนสะดุดเมื่อพบว่ายังมีอีกร่างที่นอนทอดกายอยู่ข้างตน ดวงตาสีถ่านปรือขึ้นมาเล็กน้อยก่อนพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มเอี้ยวหน้าไปมองคนข้างกายก็ได้คำตอบทันที ที่นี่น่าจะเป็นห้องนอนของวิศรุต แต่คำถามเกิดขึ้นมาท่ามกลางสติที่เริ่มเลือนลาง แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


            นภัทรพยายามฝืนยันตัวขึ้นมาจากที่นอนหนานุ่มทว่ากลับทำได้ยากนัก เหมือนกับว่าตลอดทั้งร่างของเขากำลังสั่นระริกผิดปกติ คุณหมอหนุ่มสะบัดศีรษะเพื่อหวังจะไล่ความมึนงงให้หมดไป แต่เจ้าตัวก็เริ่มรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในร่างกาย ส่วนอ่อนไหวกึ่งกลางลำตัวของเขากำลังร้อนผ่าวและเริ่มแข็งขึง นภัทรหอบหายใจแรงแล้วกัดฟันแน่น สิ่งที่เขาควรทำอันดับแรกก็คือปลุกวิศรุตที่ยังนอนไม่ได้สติเสียก่อน


            “วิน ตื่นสิ วิน” เมื่อถูกปลุกอยู่สองสามครั้ง วิศรุตจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ ชายหนุ่มพลิกตัวมาอยู่ในท่านอนหงาย ดวงตาสีน้ำตาลโศกเผยอขึ้นจากอาการหลับสนิทเมื่อครู่ เมื่อนภัทรเห็นว่าคนตรงหน้ารู้สึกตัวแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแตกพร่าเพราะเจ้าตัวพยายามสะกดกลั้นอารมณ์รุนแรงภายในเอาไว้ “เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


            วิศรุตสั่นศีรษะเป็นเชิงว่าตัวเองก็ไม่รู้เช่นกัน ชายหนุ่มพยายามใช้แขนดันตัวเองขึ้นนั่งแต่ว่าก็ไม่สำเร็จเพราะฤทธิ์จากยานอนหลับที่ถูกผสมลงในไวน์ที่เขาดื่ม ดังนั้นร่างกายเขาจึงเสมือนคนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ วิศรุตส่งสายตาให้อีกฝ่ายช่วยดึงมือตนให้ลุกขึ้นซึ่งนภัทรก็ยื่นมือออกมาจับไว้ คุณหมอหนุ่มออกแรงดึงแต่ว่าตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียหลักล้มลงมาที่เตียงนอนหลังกว้างในสภาพที่กำลังคร่อมทับอยู่เหนือร่างของวิศรุตอย่างพอดิบพอดี


            “นาย...” ร่างข้างใต้อุทานเสียงแหบเมื่อเห็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาในเพศรสของนภัทร ดวงตาสีถ่านบัดนี้กำลังถูกหลอมละลายด้วยเพลิงแห่งดำฤษณาจากฤทธิ์ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ


            ร่างกายของฝ่ายตรงข้ามที่ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวทำให้วิศรุตเริ่มมึนงงอีกครั้ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแก่นกายแข็งขึงร้อนผ่าวที่บดเบียดเสียดสีอยู่แถวหน้าท้องของตน ก่อนที่วิศรุตจะค่อยๆเอื้อมมือไปเกาะกุมส่วนกลางลำตัวของนภัทรอย่างรู้ดีว่าตอนนี้นภัทรต้องการการตอบสนองอย่างไร


            นภัทรตาปรือก่อนครางออกมาในลำคออย่างพึงพอใจกับสัมผัสนั้น คุณหมอหนุ่มก้มลงขบเม้มริมฝีปากสวยได้รูปของวิศรุตอย่างรุนแรงก่อนที่มือหนาจะเริ่มทำงานของตนในทันที เพียงไม่นานนักทั้งคู่ต่างก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ยอมแพ้สิ้นต่อดำฤษณาที่เข้าครอบงำอารมณ์ เหลือไว้แต่เพียงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและรุนแรงเท่านั้น...

 


            เมื่อศรารัตน์เข้ามาในห้องนอนอีกครั้งก็พบว่ากิจกรรมทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วรวมถึงแผนการของเธอด้วย คนที่เดินตามหลังศรารัตน์มาถึงกับจุดยิ้มริมฝีปากด้วยความสะใจกับภาพที่เห็น เบื้องหน้าเขาคือวิศรุต ทัดเทวาที่กำลังนอนทอดกายเกี่ยวกระหวัดกับผู้ชายอีกคนราวกับต้องการจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายนั้น ถ้าหากว่าคนอื่นได้เห็นแบบที่เขาเห็นนี่ล่ะก็ รับรองว่าวิศรุตได้สิ้นชื่อแน่


            ระหว่างที่ภาคินกำลังนึกสมเพชกับเรื่องราวตรงหน้า ศรารัตน์กลับเดินตรงเข้าไปหยิบกล้องวีดีโอที่ซ่อนเอาไว้ออกมา หญิงสาวเปิดเช็กเทปที่ตั้งอัดไว้เพื่อดูความเรียบร้อยของงาน ถัดจากนั้นจึงเอาแผ่นซีดีออกมาจากตัวกล้องแล้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อย


            “ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำได้ถึงขนาดนี้ เป็นผู้หญิงที่ใจเด็ดจริงๆ” ศรารัตน์หันไปทางภาคินแล้วเอ่ยเสียงเรียบ


            “กับคนที่ทำร้ายฉัน ฉันทำได้มากกว่านี้อีก” ภาคินไม่ได้เหลียวมองศรารัตน์แต่กลับหยุดสายตามองจ้องไปยังสองร่างบนเตียงด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมสะใจ ถ้าวิศรุตรู้ว่าเรื่องนี้น้องสาวตัวเองเป็นคนจัดฉากขึ้นมาละก็ พนันได้ว่าไอ้วินคงแทบกระอักเลือดเชียวล่ะ


            “เตรียมตัวไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน ต้นเดือนหน้าทุกอย่างจะจบ” ภาคินแสยะยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปรับกล่องซีดีที่ศรารัตน์ยื่นให้ ในใจก็คิด ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะทำให้ผู้หญิงโง่ๆคนหนึ่งยอมตกเป็นทาสความริษยาได้ถึงเพียงนี้ ผู้หญิงที่เขาเคยคิดมาตลอดว่าเธอฉลาด ทว่าความฉลาดต่างก็มีจุดบอดทั้งสิ้น และจุดบอดเพียงหนึ่งเดียวของศรารัตน์ก็คือนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ ผู้ชายคนเดียวกับคนที่พี่ชายของเธอหลงรักนั่นแหล่ะ


            ศรารัตน์มองตามภาคินที่เดินออกจากห้องไปพร้อมกล่องซีดีในมือด้วยความรู้สึกหลากใจในการกระทำของตน ริมฝีปากของหญิงสาวแห้งผากเฉกเช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาล เธอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากว่าภาคินได้คลิปนั้นไป รับรองได้ว่า ฝ่ายนั้นจะต้องไม่ปล่อยวิศรุตไว้แน่ นี่เธอทำถูกแล้วน่ะหรือ?


            หลังจากยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ในห้องนานสองนาน ศรารัตน์ก็ปลุกสติตัวเองให้หลุดจากภวังค์ความคิดอันสับสน มาถึงขนาดนี้เธอจะถอยไม่ได้อีกแล้ว หญิงสาวบอกตัวเองเช่นนั้นก่อนจะกดลบข้อมูลในกล้องวีดีโอที่อัดไว้ทั้งหมด เพียงเท่านี้หลักฐานก็ถูกทำลายจนหมดแล้ว


            “ต้นเดือนหน้าทุกอย่างก็จะ... จบ” ศรารัตน์เอ่ยแผ่วเบาแต่ประกายตาแรงกล้า

 

Aislin: สวัสดีบ่ายๆวันอาทิตย์นะคะ เอานิยายตอนใหม่มาเสิร์ฟให้แล้ว เนื้อเรื่องกำลังเข้มขึ้นเลยทีเดียว ศราสุดยอดมากเลยค่ะขอบอก ฮาๆๆ แต่เดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ต้องติดตามกันเอาเองนะคะ วันนี้ไม่ขอทอล์กมาก เพราะต้องออกไปฉลองวันเกิดนอกบ้านแล้ว (เค้าอายุครบ 26 แล้วนะตะเอง) อิอิ ยังไงก็มีความสุขกับนิยายของ Aislin นะคะ แล้วเจอกันตอนต่อไปค่ะ

ปล. รูปเล่มยังมีเหลือ อุดหนุนได้เน้อ (มีตอนพิเศษที่จะไม่โพสลงเว็บแถมให้ด้วยแบบ 3 ตอนเต็มๆ จุใจมากๆๆ)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)

หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)
[/color]


            วิศรุตตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว ชายหนุ่มหันไปมองคนข้างกายที่ยังนอนนิ่งอยู่ แม้ว่าจะมีสติไม่แจ่มใสเต็มที่แต่เขาก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน วิศรุตถอนหายใจกับสภาพเปลือยเปล่าของตนและอีกฝ่าย ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกจากเตียงไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมไว้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป


            หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อย เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำก็พบว่านภัทรตื่นแล้ว คุณหมอหนุ่มตอนนี้กำลังนั่งเอน หลังพิงหัวเตียง ดวงตาสีถ่านมีแววไหวระริก


            “เมื่อคืนนี้...”


            “เรามีอะไรกัน”


            “ได้ยังไง” คำถามสั้นๆของนภัทรแต่ก็ทำเอาเจ้าของห้องตอบไม่ถูกเช่นกันเพราะตัวเองก็ยังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัด


            “เมื่อคืนนายคงเมามาก ขับรถกลับบ้านไม่ไหว ก็เลยต้องนอนค้างที่นี่ แต่ฉันไม่รู้ว่านายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เพราะเมื่อคืนฉันก็... เอ้อ เมามากเหมือนกัน” วิศรุตหยิบเสื้อคลุมในตู้เสื้อผ้าอีกตัวแล้วโยนให้นภัทร “นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยลงไปทานข้าวเช้าด้วยกัน” นภัทรรับเสื้อคลุมไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการความเรียบร้อยของตัวเองตามที่อีกฝ่ายบอก


            วิศรุตค่อนข้างแน่ใจว่านภัทรเองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน แต่คุณหมอหนุ่มก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมาเช่นกัน วิศรุตระบายลมหายใจหนักหน่วงพลางคิดว่าคนที่จะตอบคำถามของเขาได้คงมีแต่ศรารัตน์เท่านั้น


 

            เมื่อวิศรุตกับนภัทรลงมาทานอาหารเช้ากลับไม่พบว่าศรารัตน์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วย เมื่อถามแม่บ้านก็ได้ความว่าอีกฝ่ายทานเสร็จเรียบร้อยแล้วและสั่งไว้ว่าเธอจะนั่งทำงานอยู่บนห้อง ถ้าไม่จำเป็นก็ห้ามใครรบกวน วิศรุตเม้มปากนิ่งโดยไม่พูดอะไรอีก หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นเจ้าบ้านก็เดินมาส่งแขกที่รถ


            “นายกำลังคิดอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า” วิศรุตเอ่ยถามอีกฝ่ายตรงๆ มือหนาจับกรอบประตูรถของนภัทรเอาไว้


            “เรื่องเมื่อคืนน่ะเหรอ” วิศรุตพยักหน้า “คิดสิ แต่ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คงต้องรบกวนฝากนายไปหาคำตอบให้ที” นภัทรทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะก้าวเข้าสู่ตัวรถแล้วสตาร์ตขับออกไป ทิ้งให้วิศรุตยืนครุ่นคิดกับตัวเองคนเดียวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


            เมื่อวิศรุตเข้ามาในห้องทำงานก็พบว่าผู้เป็นน้องสาวกำลังนั่งอ่านเอกสารรายงานผลประกอบการของบริษัททัดเทวาอยู่ ดวงหน้าของอีกฝ่ายฉายแววเคร่งเครียดกับตัวเลขบนเอกสารในมือแต่ก็คงไม่เคร่งเครียดเท่าใบหน้าของวิศรุตในตอนนี้


            “เธอทำแบบนั้นทำไมศรา”


            “ทำอะไรล่ะ” คนพูดวางมือจากเอกสารกองโตแล้วหันมองผู้มาใหม่ด้วยสายตานิ่งสงบไม่สะทกสะท้านต่อคำกล่าวของอีกฝ่าย “หรือว่าเรื่องเมื่อคืนนี้”


            “ฉันต้องการคำอธิบาย”


            “ก็แค่เมื่อคืนหมอกานต์เมามาก ฉันก็เลยให้คุณพงษ์พาขึ้นไปพักบนห้อง... ของนาย ก็เท่านั้นแหล่ะ” ศรารัตน์ทอดเสียงอ้อยอิ่งตั้งใจยั่วให้วิศรุตโกรธ ทว่าวิศรุตยังคงนิ่งรักษาอารมณ์อยู่ได้


            “อย่ามาไขสือเลย เธอก็รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เธอจงใจ!” วิศรุตเน้นเสียงหนักที่ประโยคสุดท้ายแต่ศรารัตน์ถามกลับ


            “มากกว่านั้นนี่คืออะไรล่ะ มีอะไรมากเกินไปกว่าการที่หมอกานต์นอนค้างคืนในห้องนายอีกเหรอ” คำพูดสองแง่สองง่ามเริ่มทำให้วิศรุตหน้าแดงก่ำ ชายหนุ่มหรี่ตาลง


            “แล้วการที่เธอวางยานอนหลับฉัน แล้วก็ใช้ยาปลุกเซ็กส์กับนภัทร เธอหวังจะให้เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอศรารัตน์” ศรารัตน์หันมาจ้องหน้าคนพูดแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นที่ทำเอาวิศรุตถึงกับเสียวสันหลังวาบ


            “แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ช่วยสนองความต้องการให้นายไม่ใช่เหรอไง” หญิงสาวเว้นช่วง “นายควรจะขอบคุณฉันถึงจะถูกนะวิน เพราะเรื่องนี้เราได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย นายพอใจส่วนฉันเองก็พอใจ”


            “ประโยชน์บ้าบออะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ เธอต้องการอะไรกันแน่ศรา ทำไมถึง...”


            “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่แปลก แต่อีกไม่นานนายก็จะเข้าใจเองนั่นแหล่ะ เข้าใจแบบกระจ่างแจ้งชัดเจนเสียด้วย”

 



            “ดูท่าคงจะมีเรื่องพิเศษอะไรที่ทำให้แกอารมณ์ดีแต่เช้า” คำทักของผู้เป็นพ่อทำให้ภาคินที่กำลังเดินลงบันไดมายิ่งยิ้มกว้างกว่าเก่า ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงยังโซฟาข้างๆวันชัยแล้วพูด


            “ก็แค่ดีใจน่ะครับที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแบบที่เราวางเอาไว้”


            “แล้วเรื่องนั้นว่ายังไง เรียบร้อยดีไหม” คนถูกถามรู้ดีว่าเรื่องนั้นคือเรื่องอะไร ภาคินยิ้มตอบบอกว่าถ้ายังไม่เรียบร้อยแล้วตนจะอารมณ์ดีอย่างนี้หรือ


            “พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ หลักฐานที่จะแฉเรื่องไอ้วินเป็นเกย์น่ะอยู่ในมือผมแล้ว” ใช่แล้ว ทุกอย่างกำลังจะเรียบร้อยในอีกไม่ช้านี้ ถ้าหากว่าเขาแฉความลับของวิศรุตให้ทุกคนในบริษัทได้รู้ รับรองว่าไอ้วินไม่มีหน้าไปสู้ใครได้แน่ ดีไม่ดีตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัททัดเทวาอาจจะต้องเปลี่ยนมือ ใครๆในวงการธุรกิจต่างก็รู้ทั้งนั้นว่าภาพลักษณ์ของผู้บริหารเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งผู้บริหารระดับสูงด้วยแล้ว ภาพลักษณ์นี้ย่อมส่งผลต่อบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


            “อีกอย่างที่พ่อห่วงก็คือเรื่องของเมริษา ผู้หญิงคนนั้นกำลังทรยศเรา” วันชัยพูดเสียงกระด้าง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ไว้วางใจเมริษาเท่าใดนักแม้ว่าเธอจะมีส่วนร่วมในแผนการครั้งนี้ก็ตาม แต่ภาคินกลับเชื่อใจเธอและรับรองว่าเมริษาไม่กล้าหักหลังพวกเขาแน่ แต่ในที่สุดเธอก็ทำ วันชัยอยากจะรู้นักว่าคนเป็นลูกจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร


            “สำหรับคนที่หักหลังเรา ผมไม่ปล่อยไว้แน่” จากคำพูดของภาคินทำให้วันชัยรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีวันยอมให้ใครมาขวางทางความสำเร็จอย่างเด็ดขาด คนอย่างภาคินจะต้องไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้แม้ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม คิดจะทำการใหญ่ มันต้องกล้าได้กล้าเสียแบบนี้แหล่ะถูกแล้ว วันชัยมองบุตรชายด้วยดวงตาที่ฉายแววสบใจ

 


            ช่วงนี้วิศรุตใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการประชุมแผนจัดงานครบรอบของบริษัทเพราะเหลืออีกเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นก็ใกล้จะถึงวันงานแล้ว โชคดีที่พงศธรทำงานที่เขามอบหมายให้ได้อย่างดีเยี่ยม ในที่สุดโครงการบ้านจัดสรรที่เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจกับมันก็สำเร็จจนได้ วิศรุตปลื้มใจลึกๆกับความสำเร็จนี้ หากว่าพ่อกับแม่ได้รู้ว่าลูกชายเพลย์บอยที่เคยไม่เอาไหนอย่างตน คนที่รู้จักแต่ใช้เงินราวกลับเบี้ยที่ไร้ค่า วันนี้กลับทำผลงานเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้ แถมยังเป็นผลงานที่จัดได้ว่า‘ดี’ เกินความคาดหมายเลยทีเดียว พ่อกับแม่เขาคงภูมิใจน่าดู


            “สรุปว่าสคริปต์งานทั้งหมดก็คือในช่วงแรกจะเป็นการฉายสไลด์นำเสนอถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัททัดเทวา ต่อมาจะเป็นการแสดงผลงานของหลายๆโครงการที่ประสบความสำเร็จในรอบหลายปีมานี้ แล้วไฮไลท์จะอยู่ที่การเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทเรา จากนั้นเราจะปิดท้ายด้วยเบื้องหลังผลงานความสำเร็จต่างๆ” วิศรุตทวนตารางงานทั้งหมดที่ถูกสรุปเรียบร้อยแล้วอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มชะงักเมื่อมีข้อเสนอเกิดขึ้นกลางวงที่ประชุม คนที่พูดก็คือหัวหน้าวิศวกรผู้รับผิดชอบโครงการ พงศธรนั่นเอง


            “โครงการใหม่นี้ยังไม่ได้ถูกตั้งชื่อเสียที ผมคิดว่าเราควรจะตั้งชื่อให้มันก่อนที่จะโปรโมตโครงการนี้กับสื่อนะครับ” เสียงส่วนมากในที่ประชุมเห็นตรงกับพงศธร วิศรุตนิ่งไปนานเพราะยังคิดไม่ออกว่าจะตั้งชื่อโครงการนี้ว่าอย่างไรดีทั้งๆที่เขาเองก็เป็นผู้รับผิดชอบโครงการโดยตรงแท้ๆ


            “เอาเถอะครับ แล้วผมจะกลับไปคิดเรื่องชื่อโครงการอีกทีนึง ตอนนี้เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอคุยเรื่องการประชาสัมพันธ์กับโปรโมตตามสื่อก่อน” วิศรุตเปลี่ยนไปประชุมเรื่องอื่นก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขืนให้มานั่งคิดชื่อตอนนี้ ต่อให้คิดทั้งบ่ายก็ยังคิดไม่ออกหรอก แถมจะพลอยเสียงานอื่นไปด้วย ชายหนุ่มสะดุดความคิดตัวเอง นี่เขาเริ่มทำงานเป็นระบบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งที่แต่ก่อนก็ทำแบบสุกเอาเผากินแท้ๆ


            การประชุมดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด กว่าเขาจะหารือและสั่งงานกับฝ่ายต่างๆเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็นพอดี ใกล้ได้เวลาเลิกงานแล้ว วันนี้เขานัดกับภาณุไว้ว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆทานกันเนื่องจากไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายมานานเพราะว่าช่วงนี้เขาติดเรื่องวุ่นๆหลายอย่างทั้งเรื่องงานรวมทั้งเรื่องส่วนตัว


            ชายหนุ่มส่งแฟ้มงานให้อิงอรรับไปก่อนจะขยับเสื้อสูทราคาแพงของตนให้เข้าที่เตรียมจะลุกเดินออกจากห้องประชุม แต่ว่าศรารัตน์ที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะเรียกเอาไว้เสียก่อน


            “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อยวิน” วิศรุตชะงักเท้า ชายหนุ่มหันไปบอกเลขาฯให้ออกไปก่อนได้เลย เขาจะคุยกับน้องสาวตามลำพัง เมื่อศรารัตน์เห็นว่าในห้องประชุมเหลือเพียงแค่เธอและวิศรุตเท่านั้น หญิงสาวจึงเริ่มเปิดประเด็น “นายคิดว่าไงถ้าฉัน... จะแต่งงานกับหมอกานต์”


            “อะไรนะ!” วิศรุตทวนคำเสียงดัง มือที่ถือเอกสารอยู่ดูเหมือนจะอ่อนลงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของศรารัตน์ “เธอว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มถามย้ำโดยหวังว่าที่ตนได้ยินเมื่อครู่คงจะหูฝาดไปเอง


            “ได้ยินไม่ผิดหรอก นายจะว่ายังไงถ้าฉันกับหมอกานต์ เราจะแต่งงานกัน” วิศรุตอึ้งไปอีกรอบก่อนที่ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปจะเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกฝ่ายเกือบจะไม่ได้ยิน


            “แล้วกานต์ว่ายังไงบ้าง”


            “ยังไม่ได้บอก แต่... จะให้นายไปบอก” ศรารัตน์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนไปกอดอกเเล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ บ่งบอกถึงอารมณ์ภายในใจ “ถ้าฉันบอกหมอกานต์แบบนี้ เขาจะต้องไม่ยอมแน่ แต่ถ้านายเป็นคนบอกมันก็ไม่แน่” วิศรุตแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ ทำไมคนๆนั้นต้องเป็นเขาด้วย


            “เธออยากแต่งงานกับกานต์ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”


            “มันก็เป็นทางเดียวที่จะรั้งเขาไว้ได้ และมันก็เป็นทางเดียวที่จะแยกนายออกจากหมอกานต์อย่างเด็ดขาด” ศรารัตน์รู้ว่านภัทรคิดกับเธอแค่เพียงน้องสาวเท่านั้น คุณหมอหนุ่มไม่เคยคิดเกินเลยกับเธอแม้เพียงนิดเดียว ที่เธอทำแบบนี้ก็เพื่ออยากลองใจวิศรุตเท่านั้น แค่เพียงอยากรู้ว่าวิศรุตกล้าที่จะเสียสละนภัทร ผู้ชายที่ตัวเองรักที่สุดให้กับคนที่เรียกว่าน้องสาวอย่างเธอหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง ถ้าหากว่ามีการแต่งงานระหว่างเธอกับนภัทรเกิดขึ้นจริง นั่นมันก็คือสิ่งที่เธอหวังเอาไว้อยู่แล้ว การแต่งงานจะช่วยให้วิศรุตรามือจากนภัทรได้เร็วขึ้น เธอค่อนข้างแน่ใจว่าวิศรุตจะไม่ยอมใช้ผู้ชายคนเดียวกับเธออย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะหากว่าผู้ชายคนนั้นกลายเป็นสามีของเธอตามกฎหมาย แต่หากหญิงสาวคาดผิดไป เธอเองก็จะได้รู้ว่าวิศรุตเป็นพวกพูดอะไรแล้วเชื่อถือไม่ได้ บอกว่าจะปล่อยมือจากนภัทร สุดท้ายแล้วก็แต่งเรื่องมาโกหกเธอทั้งเพ!


            “แล้วถ้ากานต์ไม่ยอมล่ะ” วิศรุตพูดด้วยเสียงแหบแห้งเต็มที


            “ถ้านายพูด ฉันรับรองว่าต้องสำเร็จแน่ อยู่ที่ว่านายจะยอมเอ่ยปากหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” ศรารัตน์เปลี่ยนเป็นเสียงแข็งกระด้าง หญิงสาวหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ตอนนี้เธอไม่สนใจแล้วว่านภัทรจะรักเธอหรือไม่ ตอนนี้เธอรู้แต่เพียงว่าการได้นภัทรมาครอบครองจะทำให้เธอชนะคนตรงหน้าได้ แม้ว่าลึกๆในใจหญิงสาวก็อดจะขมขื่นไม่ได้เมื่อคิดว่าหัวใจของนภัทรเป็นของคนอื่นไปแล้ว สุดท้ายเธอก็แพ้อยู่ดีนั่นแหล่ะ


            “เธอ... จะแต่งงานเมื่อไหร่”


            “ทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อย” ศรารัตน์หมายความอย่างที่พูดจริงๆ

 


            เสียงกดออดหน้าบ้านทำให้นภัทรละมือจากนิตยสารการแพทย์ที่ตนอ่านอยู่ ชายหนุ่มบอกมารดาที่เดินออกมาจากในครัวว่าเดี๋ยวเขาจะออกไปดูเองว่าใครมา ไม่น่าจะเป็นพ่อเพราะว่าพ่อติดราชการที่ต่างจังหวัด นภัทรคิดในใจ


            เมื่อเห็นคนที่มากดออดหน้าบ้านก็ทำเอานภัทรอึ้งไปเล็กน้อย วิศรุตสบตาอีกฝ่ายด้วยความอึดอัดกับจุดประสงค์การมาของตน ดูเหมือนว่านภัทรจะสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาลโศกคู่นั้น


            “เข้ามาก่อนสิ” เจ้าของบ้านเชิญ “แม่กำลังทำกับข้าวอยู่พอดี นายอยู่ทานด้วยกันนะ” วิศรุตสั่นศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ชายหนุ่มบอกว่าเขาแค่จะมาพูดธุระแค่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นว่านภัทรนิ่งไป วิศรุตก็กลืนน้ำลายแล้วพยายามจะพูด แต่ว่าก็พูดไม่ออกเสียทีจนนภัทรต้องถามซ้ำ “ตกลงว่าเรื่องอะไรกันแน่วิน” ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ คนตรงหน้าคงไม่ขับรถถ่อมาหาเขาถึงที่บ้านแบบนี้หรอก


            “ฉันอยากให้นายช่วยบางอย่าง” เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสงสัย วิศรุตก็พูดต่อจนจบ “แต่งงานกับศรา แล้วดูและเธอตลอดไปได้ไหม” คราวนี้คุณหมอหนุ่มนิ่งไปนานจนวิศรุตเองก็หวั่นใจ ชายหนุ่มเห็นประกายตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดในดวงตาสีถ่านคู่นั้น เขารู้ว่านภัทรรู้สึกอย่างไรเพราะเขาเองก็ไม่ต่างจากอีกฝ่าย เจ็บปวดไม่ต่างกัน ทว่าคำตอบของนภัทรคือ


            “ได้สิ” คำตอบง่ายๆสั้นๆนั้นเปรียบเหมือนมีดกรีดหัวใจของวิศรุตให้เกิดเป็นแผลได้อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ “ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันจะทำอย่างที่นายต้องการ” วิศรุตหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้านภัทร ชายหนุ่มกลัวว่า หากเขาเผลอมองสบตากับอีกฝ่ายเข้า กำแพงน้ำแข็งในใจที่ตัวเองสร้างเอาไว้จะต้องพังลงมาอย่างราบคาบแน่นอน


            “ฉันรู้ว่ามันอาจจะเป็นการฝืนใจนาย แต่ว่า...”


            “ถ้าคิดว่าการที่นายยอมเสียสละความรักของตัวเองเพื่อให้คุณศรามีความสุข ฉันก็อยากบอกให้นายรู้เหมือนกันว่า...ถ้าหากการเสียสละของฉันทำให้นายมีความสุขได้ ฉันก็ยินดี” คำพูดของนภัทรเรียกให้น้ำใสๆรื้นขึ้นมาเต็มสองตาของวิศรุต ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่นพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา แต่สุดท้ายน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาจนได้เมื่อได้ฟังคำพูดถัดมาของคนตรงหน้า “ถึงแม้ความเป็นจริงและกฏเกณฑ์ทางสังคมบางอย่างทำให้เราเดินไปด้วยกันไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าข้างในนี้” คนพูดเอามือข้างซ้ายที่สวมแหวนทองคำขาวสลักชื่อที่เขาเคยให้ฝ่ายนั้นเป็นของขวัญวันเกิดมาแตะที่เหนืออกข้างซ้ายของเขา “ใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจฉันเป็นของนาย”


            นภัทรเลื่อนปลายนิ้วมาเช็ดคราบน้ำตาให้วิศรุต เขาไม่อยากเห็นอีกฝ่ายร้องไห้เลย ทุกครั้งที่เห็นน้ำตาของคนตรงหน้า   เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร้องไห้ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ควรทำก็คือการเงยหน้ายิ้มรับกับความเป็นจริงแม้ว่าข้างในจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม


            “นายร้องไห้แล้วทำให้ฉันคิดถึงวิศรุต ทัดเทวาคนเดิมสมัยมัธยม” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนพูด “วิศรุต ทัดเทวาคนนั้นเป็นคนกระด้าง ร้ายกาจ เย่อหยิ่งเอามากๆ แถมยังชอบทำตัวแย่ๆอีก” เมื่อเห็นว่าเรียกความสนใจคนฟังได้ คุณหมอก็ใส่ต่อทันที “นอกจากฐานะเหลือกินเหลือใช้และหน้าตาแล้ว เรียกว่าไม่มีอะไรดีเลย” ฟังไปเรื่อยๆวิศรุตก็เริ่มขมวดคิ้วย่น


            “นายหลอกด่าฉันหรือเปล่าเนี่ย”


            “เพิ่งจะรู้ตัวหรอกเหรอ” สิ้นคำพูดคุณหมอนภัทรก็หัวเราะร่วน ฝ่ายคนที่โดนหลอกด่าก็หน้าแดงก่ำจนถึงใบหู นภัทร ร้ายกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลยทีเดียว


            “มานี่เลยนะกานต์ มาให้ฉันอัดนายซะดีๆ” นภัทรไม่รอให้วิศรุตพูดจบ ชายหนุ่มรีบวิ่งหนีไปตั้งแต่ที่วิศรุตเริ่มพูดแล้ว ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องไล่ตามจัดการเขาอย่างแน่นอนที่ไปหลอกด่าอยู่ตั้งนานสองนาน คุณหมอหนุ่มวิ่งหนีพลางแหย่อีกฝ่ายไปด้วย บรรยากาศตึงเครียดและชวนหดหู่เมื่อครู่กลายเป็นการหยอกล้อสนุกสนานระหว่างชายหนุ่มสองคนเท่านั้น


            บางทีวิศรุตก็อยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้ เวลาที่มีแต่เขาสองคน แต่ในเมื่อเขาเองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เขาจะทำได้ก็คือการเก็บบรรจุความทรงจำนี้ซ่อนเอาไว้ลึกสุดของหัวใจให้นานเท่านาน เก็บเกี่ยวช่วงเวลาของความสุขที่เขาและนภัทรได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดจนกว่าวันนั้นจะมาถึง... วันที่นภัทรจะต้องกลายเป็นของคนอื่น


 Aislin: กลับมาอัพนิยายให้แล้วนะคะ หวังว่าคงไม่รอนานจนเกินไปเนอะ ช่วงนี้งานประจำยุ่งมากเลยค่ะ เวลานอนยังไม่ค่อยมี เลยทำให้อัพนิยายล่าช้าไปนิด ยังไงอย่าเพิ่งงอนและเลิกอ่านไปก่อนเนอะ ไหนๆก็ติดตามมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ก็ฝากติดตามไปจนจบด้วยนะคะ เตรียมตัวนับถอยหลังได้เลย ฮาๆๆ

            ตอนนี้แอบเศร้าเนอะ ทำไมคนรักกันต้องมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้ แถมอุปสรรคที่สำคัญดันเป็นน้องสาวของตัวเองอีกแน่ะ เฮ้อออ... (ขอถอนหายใจยาวๆ) เอาเป็นว่ามาร่วมลุ้นเอาใจช่วยวินกับกานต์ไปพร้อมๆกันนะคะ รับรองว่าเนื้อหาจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆต่อจากนี้แน่นอนค่ะ


ปล. นิยายรูปเล่มเรื่องนี้ยังพอเหลืออยู่บ้าง ใครสนใจติดต่อมาได้ผ่านทางอีเมลหรือแฟนเพจได้เลยค่ะ ช้าหมดอดนะคะ ขอบอก โฮ๊ะๆๆๆ (ในเล่มมีแถมตอนพิเศษแบบจุใจ 3 ตอนเต็มๆด้วยค่ะ โดยตอนพิเศษไม่เอาลงเว็บเน้อ)


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)
*****************************************


            ศรารัตน์กำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น เมื่อครู่นี้คุณหมอกานต์เพิ่งโทรมานัดเธอให้ออกไปพบหลังเลิกงาน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่านภัทรต้องการพบเธอด้วยเรื่องอะไร ต้องเป็นเรื่องนั้นแน่ๆ เรื่องที่เธอมอบหมายให้วิศรุตไปจัดการ ศรารัตน์ถอนหายใจแรง มือก็ค่อยๆคลายสิ่งที่กำไว้ลง หญิงสาวเริ่มลังเลเพราะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจเธอต้องการอะไรกันแน่ อยากจะแต่งงานกับนายแพทย์นภัทร อิสรีย์จริงๆหรือเพียงแค่อยากเอาชนะวิศรุต ทัดเทวาผู้เป็นพี่ชายเท่านั้น หรือบางทีอาจจะทั้งสองอย่าง


            สถานที่นัดพบระหว่างนภัทรและศรารัตน์ก็คือสวนสาธารณะใกล้ๆกับโรงพยาบาลนั่นเอง เมื่อศรารัตน์ไปถึงก็พบว่าคนที่ออกปากนัดได้มาถึงก่อนแล้ว หญิงสาวเดินเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังยืนหันหลังให้ตนอยู่


            “หมอโทรนัดฉันออกมา มีเรื่องอะไรเหรอคะ” เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง นภัทรจึงหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย


            “คุณศราก็คงน่าจะทราบดีว่าเรื่องอะไร” ศรารัตน์นิ่งไปแต่แววตากลับทอแสงกล้า “ผมอยากจะมาพูดเรื่อง... ของเรา”


            “หมอไม่อยากแต่งงานกับฉันใช่ไหมคะ” คนถามจี้ตรงจุดอย่างพอดิบพอดีและไม่อ้อมค้อม ศรารัตน์รู้ความจริงข้อนี้อยู่เต็มอกตลอดมา รู้มาตลอดว่าคนที่อยู่ในใจของผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่เธอและก็คงไม่มีวันจะเป็นด้วย แต่บางครั้งเธอก็ยังอยากมีความหวัง


            “ที่ผมนัดคุณศรามาก็เพียงเพราะอยากจะถาม” นภัทรไม่ตอบคำถามของศรารัตน์แต่กลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามเสียเอง “ถ้าเราแต่งงานกัน คุณจะมีความสุขจริงๆเหรอครับ” คุณหมอหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เหมือนกับดวงตาของใครอีกคนราวกับต้องการจะอ่านความจริงภายใต้ดวงตาคู่นั้นให้ทะลุปรุโปร่ง “ถ้าเราแต่งงานกันแล้ว คุณจะยอมรับตัวตนในแบบที่ผมเป็นได้จริงๆน่ะเหรอครับ” ศรารัตน์เงยหน้าสบตาสีถ่านของอีกฝ่าย หญิงสาวเข้าใจความหมายของถ้อยคำสองประโยคนั้นดีโดยไม่ต้องเสียเวลาตีความให้มากมาย


               “แล้วถ้าคุณหมอเลือกที่จะคบกับวินต่อไป ฉันว่าคนอื่นๆไม่แน่ก็อาจจะรับตัวตนแบบที่คุณหมอเป็นไม่ได้เหมือนกัน” ผู้หญิงฉลาดอย่างศรารัตน์รู้จักการเอาจุดบอดมาบีบให้อีกฝ่ายจนมุมเสมอ แต่ครั้งนี้เธอเองก็คาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับกลับมา


            “สังคมอาจจะขีดกรอบกฎเกณฑ์เอาไว้มากมาย แต่จำเป็นด้วยเหรอครับที่ความรักจะเกิดขึ้นแค่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายเท่านั้น คนทั่วไปหรือแม้แต่คุณศราเองอาจจะมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับวินเป็นเรื่องที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าผมเลือกที่จะรักใครสักคน กฏเกณฑ์ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย”


            “แต่คุณเป็นหมอนะคะ หมอเป็นอาชีพที่ได้รับการศรัทธา ความเชื่อมั่นและการยกย่องเชิดชูจากสังคมทั่วไป หากว่าคนอื่นรู้เรื่องนี้มันจะไม่ดี...”


            “คุณศราก็เลยคิดหาทางออกให้ผมเรียบร้อยแล้วสินะครับ” คำพูดกึ่งประชดของคุณหมอหนุ่มทำเอาศรารัตน์ถึงกับสะอึก หญิงสาวไม่ปฏิเสธเพราะส่วนหนึ่งมันก็คือความจริง ร่างบางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนแย้มยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ย


            “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันรับได้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของคุณหมอและฉันเองก็คงจะมีความสุขมากหากว่าเราสองคนได้แต่งงานกันจริงๆ แม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ความสุขจอมปลอมก็ตาม” ศรารัตน์เว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วพูดต่อด้วยเสียงเรียบเรื่อยไม่บ่งบอกอารมณ์ในใจ “เชื่อเถอะค่ะว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสามคนแล้ว”


            นภัทรฝืนยิ้มแห้งแล้งกับคำพูดนั้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งสามคนจริงน่ะหรือ? มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเขาและศรารัตน์ แต่สำหรับวิศรุตแล้วมันกลับคือทางตันต่างหาก! แม้จะเคยบอกว่าตัวเองยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อให้วิศรุตมีความสุข แต่พอถึงเวลาจริงๆนภัทรกลับอยากจะยกเลิกคำพูดทุกอย่างเสียอย่างนั้น เขาไม่ได้อยากแต่งงานกับศรารัตน์เลย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกไม่ได้ เขาไม่กล้าที่จะทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของคนตรงหน้า


            “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องไปเตรียมตัดชุดเจ้าบ่าวแล้ว” ศรารัตน์หันหลังให้คู่สนทนาเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้อีกฝ่ายเห็นจากนั้นจึงเอ่ยช้าๆแต่ว่าหนักแน่น


            “เราจะแต่งงานกันทันทีหลังจากผ่านงานเลี้ยงครบรอบบริษัททัดเทวาไปแล้ว เอ้อ เชิญคุณหมอมาร่วมงานเลี้ยงด้วยนะคะ” ปลายเสียงแผ่วไปเพราะศรารัตน์ต้องพยายามกลั้นก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากพร้อมกับน้ำใสที่ไหลรินออกมาจาก ดวงตาคู่งามจนเปียกชื้นไปทั้งใบหน้า ตอนนี้เธอควรจะมีความสุขจากการที่ได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก แต่ทำไมเธอถึงร้องไห้ออกมาแบบนี้ ทำไม...


            นภัทรมองแผ่นหลังบอบบางของศรารัตน์ที่ค่อยๆเดินห่างออกไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่าง คำถามในใจเริ่มชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ แบบนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงน่ะเหรอ? จนบัดนี้เขาก็ยังมองไม่เป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์อยู่ดี


 

            เมื่อนภัทรกลับมาถึงห้องทำงานที่โรงพยาบาลก็พบว่าพงศธรมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว คุณหมอหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเพราะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าพงศธรมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร


            “ฉันได้ข่าวมาว่าแกจะแต่งงานกับคุณศรา” เรื่องนี้พงศธรได้ยินมาโดยบังเอิญจากเลขาฯหน้าห้องของศรารัตน์ “เป็นความจริงเหรอวะ” อาการนิ่งเงียบของนภัทรยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาได้เป็นอย่างดี พงศธรชะงักไปในขณะที่ประสานสายตากับคู่สนทนา


            “แล้วแกคิดว่ายังไงล่ะไอ้โอม ฉันควรจะแต่งงานกับคุณศราหรือเปล่า” ประโยคสุดท้ายทำให้ไหล่ของคนที่ถูกถามสะท้านไปเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มก็ควบคุมตัวเองได้ดีพอสมควรขณะที่เอ่ยตอบออกไป


            “ก็ดีแล้วนี่นา คุณศราเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและน่ารัก ที่สำคัญคือเธอเองก็รักแกมาก อย่าทำให้เธอผิดหวังเลยนะ” พงศธรเสียงแผ่วกับประโยคสุดท้าย ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้กับเพื่อนรักก่อนจะเดินเข้ามาตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “แกกับคุณศราเหมาะสมกันจะตายไป”


            “แทบทุกคนพูดว่าฉันกับคุณศราเป็นคู่ที่เหมาะสม แต่บางทีเรื่องของความรัก... ความเหมาะสมเพียงอย่างเดียวมันไม่ได้ช่วยให้คนสองคนมีความสุขหรอกไอ้พงษ์”


 “แล้วแบบไหนที่แกคิดว่าจะมีความสุขล่ะ วินอย่างนั้นเหรอ” ชื่อของวิศรุตทำให้นภัทรต้องบิดริมฝีปากยิ้มอย่างขมขื่น “โลกความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่แกคิดหรอกไอ้กานต์ ถ้าแกไม่ได้แต่งงานกับคุณศรา สักวันหนึ่งแกก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ดีนั่นแหล่ะ ยังไงเมื่อถึงที่สุดแกก็ต้องยอมรับว่าเรื่องความสัมพันธ์ของแกกับวินมันเป็นไปไม่ได้”


             นภัทรได้ยินคำพูดแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทำไมเขายังคงต้องพยายามยื้อความรักที่ผิดธรรมชาติแบบนี้เอาไว้อีก คำตอบคงเป็นเพราะว่าเขาคงจะรักวิศรุตมาก เพราะรักมากจนถึงขนาดยอมมองข้ามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ทางสังคมไป


             พงศธรเข้าใจความรู้สึกของนภัทรดี ชายหนุ่มเองก็รู้สึกแย่เช่นกันที่จะต้องบอกเรื่องนี้กับนภัทรตรงๆ เขาไม่อยากให้เพื่อนรักต้องหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว นภัทรควรตื่นจากฝันเสียที


            “ถ้าฉันแต่งงานกับคุณศราก็เท่ากับว่าฉันกำลังทำร้ายเพื่อนรักของตัวเอง ซึ่งฉันไม่ได้อยากทำเลยสักนิด”


            “ไอ้กานต์...”


            “ฉันรู้มาตั้งแต่แรกว่าแกเองก็รักคุณศราเหมือนกัน เพราะความที่รักมาก แกก็เลยยอมช่วยเขาเพื่อวางแผนมอมยาฉัน”


            “แกรู้...” นภัทรมองพงศธรที่หน้าเสียไปกับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่ หลังจากที่เกิดเรื่องคืนนั้น นภัทรก็กลับมาคิดทบทวนหลายครั้ง วิศรุตไม่น่าจะทำแบบนั้นกับเขาได้เพราะอีกฝ่ายก็มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลยสักนิด ก็เหลือแต่เพียงศรารัตน์กับพงศธร และเขาก็มั่นใจว่าศรารัตน์เพียงคนเดียวคงไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้แน่ถ้าหากว่าพงศธรไม่ได้ให้ความร่วมมือด้วย แต่ปัญหาสำคัญที่เขายังแก้ไม่ตกก็คือศรารัตน์ทำไปเพราะอะไร


            “อย่าโกหกฉันเลยไอ้พงษ์ แกอย่าลืมสิว่าฉันเป็นหมอนะ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโดนยาปลุกเซ็กส์”


            “ไอ้กานต์ ฉัน... ฉันขอโทษ” คำขอโทษแหบพร่าที่ออกจากปากคู่สนทนาไม่ได้ทำให้สีหน้าของคุณหมอหนุ่มคลายลง ที่เขาต้องการจากพงศธรไม่ใช่แค่คำขอโทษ แต่เขาอยากจะรู้จุดประสงค์การกระทำของอีกฝ่ายด้วย


            “ถ้าอย่างนั้นบอกฉันได้หรือเปล่าว่าคุณศราวางแผนอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นกับฉันแล้วก็วินด้วย”


            “นายอย่ามาถามฉันเลย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรนอกจากนี้อีกแล้ว เอ้อ ขอตัวก่อนนะพอดีฉันนัดลูกค้าเอาไว้” พงศธรรีบขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มไม่สามารถทนอยู่เผชิญหน้าและตอบคำถามของนภัทรได้อีกต่อไปเพราะความรู้สึกผิดที่กำลังถาโถมในใจ


            “แกไม่รู้เรื่องจริงๆหรือว่าไม่บอกฉันกันแน่ไอ้พงษ์” นภัทรรำพึงกับตัวเองเบาๆเมื่อพงศธรออกจากห้องไปแล้ว

 



            วันนี้ภาณุว่างก็เลยแวะมาเยี่ยมวิศรุตที่บริษัททัดเทวา แต่อิงอรกลับแจ้งว่าวิศรุตกำลังเข้าประชุมสำคัญครั้งสุดท้ายกับพวกกรรมการบริหารเรื่องการจัดงานเลี้ยงครบรอบบริษัทและไม่รู้ว่าจะประชุมเสร็จกี่โมง ภาณุยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะพบว่านี่ก็เลยเวลาเลิกงานมานานพอสมควรแล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าวิศรุตจะประชุมเสร็จ ชายหนุ่มลังเลใจว่าจะอยู่รอจนเพื่อนรักประชุมเสร็จดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่รอด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าเขาเกลียดการรอคอยเป็นที่สุด


            “เอาเป็นว่าถ้าวินประชุมเสร็จเมื่อไหร่ให้โทรหาผมด้วยแล้วกันนะครับ” เมื่อฝากข้อความไว้กับอิงอรเรียบร้อยแล้ว ภาณุก็ตัดสินใจกลับไปก่อนทั้งที่เดิมตั้งใจจะมาชวนวิศรุตไปกินข้าวเย็นด้วยกันแท้ๆ


            เมื่อภาณุไปเอารถที่จอดไว้ยังอาคารจอดรถของบริษัท ชายหนุ่มบังเอิญได้เจอกับเมริษาที่กำลังยืนกอดอกพิงฝากระโปรงรถอยู่ด้วยท่าทางที่ออกจะหัวเสียไม่น้อย


            “อ้าวคุณ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย” ภาณุเลื่อนกระจกรถลงแล้วชะโงกหน้าออกมาทัก “หรือว่ามาดักรอผม”


            “ไอ้บ้า ใครมาดักรอคุณไม่ทราบ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย รถฉันเสียต่างหาก” เมริษาตอบกลับมาด้วยเสียงขุ่นมัว แค่ลำพังรถเจ้ากรรมเธอมาพยศเอาเสียดื้อๆก็แย่พออยู่แล้ว นี่ยังจะเพิ่มผู้ชายปากดีมายั่วโมโหเธออีก


            “อ่าวเหรอ ผมนึกว่าคุณอยากเจอหน้าผมจนต้องมาจอดรถดักรอเสียอีก” ภาณุหัวเราะขำก่อนจอดรถเอาไว้ริมด้านหนึ่งแล้วเปิดประตูลงไปช่วยดูอาการรถยนต์ของเมริษา


            “ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จู่ๆมันก็สตาร์ตไม่ติด ทั้งที่เดือนก่อนเพิ่งเอาไปเช็กสภาพมาแท้ๆ” เมริษาพูดเมื่อภาณุรับอาสาจะช่วยดูเครื่องยนต์ให้ “ตกลงว่าคุณพอรู้หรือเปล่าว่ารถฉันเป็นอะไร ทำไมถึงเสีย”


             “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ภาณุพูดหลังจากเปิดกระโปรงหน้ารถแล้วลองขยับเครื่องยนต์อยู่สักพักก่อนจะต้องยอมแพ้เพราะตัวเขาเองก็มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์แค่งูๆปลาๆเท่านั้น จึงหาสาเหตุไม่ได้เช่นกันว่าทำไมรถเธอถึงสตาร์ตไม่ติด “เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณไปกับผม เดี๋ยวผมไปส่งที่คอนโดฯเอง ส่วนรถก็ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเรียกช่างเข้ามาดู”


             “โธ่เอ๊ย วางท่าซะดูดี นึกว่าจะซ่อมได้เสียอีก” เมริษาถอนหายใจแรง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนกลับเป็นบึ้งตึงอีกครั้ง


               “เอาเถอะน่า เกิดผมหลับหูหลับตาซ่อมผิดซ่อมถูก รถคุณพังผมไม่รับผิดชอบด้วยนะ มาเถอะ ผมไปส่งคุณไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก” พูดจบภาณุก็ถือโอกาสลากแขนเมริษาให้ไปขึ้นรถเขาทันที หญิงสาวพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของมือใหญ่แต่ว่าภาณุไม่ยอมปล่อยง่ายๆ


               “นี่ปล่อยฉันนะ ฉันเดินเองได้” คราวนี้ภาณุยอมปล่อยแต่โดยดี เมริษาหันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาวาววับก่อนจะสะบัดหน้าพรืดขึ้นไปนั่งรอบนรถ ภาณุอมยิ้มขำกับท่าทางโมโหของหญิงสาวก่อนจะอ้อมไปยังฝั่งคนขับแล้วสตาร์ตรถขับออกไป


                ระหว่างทางกลับคอนโดฯ เสียงท้องร้องของเมริษาดังขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ ภาณุหันมองหญิงสาวเพราะรู้สึกว่าเสียงนี้ดังมาจากข้างตัวของเขาเอง เมริษาหลุบตาลงด้วยความกระดากอาย เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่บ่าย ตอนนี้ท้องเจ้ากรรมของเธอดันกลับมาทำขายหน้าต่อหน้าภาณุอีก ภาณุจุดยิ้มที่มุมปากก่อนเสนอว่าให้หาอะไรทานก่อนกลับคอนโดฯเพราะกลัวว่าเสียงท้องร้องของเมริษาจะดังโครกครากไปมากกว่านี้


            “ผมว่าเราแวะหาอะไรทานแถวนี้ก่อนเถอะ ดูเหมือนท้องของคุณเริ่มจะออกอาการประท้วงแล้ว” เมริษาพยักหน้าหงึกๆ เธอเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เธอหิวจนแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว


            ร้านอาหารที่ภาณุจอดแวะไม่ใช่ร้านอาหารหรูหราราคาแพงตามโรงแรม แต่เป็นเพิงขายบะหมี่ริมถนนข้างทางเท่านั้น ภาณุเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะทานอาหารข้างถนนแบบนี้ได้หรือเปล่า


            “คุณทานได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ทนหิวอีกหน่อยเพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารดีๆเลย”


            “ไม่เป็นไร ฉันทานได้” เมริษาเปิดประตูนำลงไปก่อน หญิงสาวเลือกนั่งโต๊ะริมสุดติดถนน เมื่อทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อยแล้วเมริษาจึงเริ่มสั่งทันที ดูจากรายการอาหารที่หญิงสาวสั่ง ภาณุก็คิดว่าเธอคงจะหิวมากจริงๆถึงได้สั่งมาเยอะขนาดนั้น และเพียงไม่นาน ชามบะหมี่ที่สั่งก็ถูกยกมาตั้งจนเต็มโต๊ะ


            “นี่คุณไปตายอดตายอยากที่ไหนมาเนี่ย สั่งอย่างกับว่าจะกินเผื่อไปจนถึงเย็นวันพรุ่งนี้” ภาณุกวาดตามองบะหมี่น้ำ ชามโต ไม่น่าเชื่อว่าเมริษาจะทานได้หมดทั้งๆที่เธอก็ดูรูปร่างบอบบางกระเพาะเล็กแท้ๆ


            “เถอะน่า กินหมดก็แล้วกัน” และหญิงสาวก็ทำได้อย่างที่พูดไว้จริงๆ ภาณุได้แต่มองภาพนั้นด้วยความทึ่ง


            “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคุณจะกินอาหารแบบนี้ได้ คุณออกจะดูเป็นพวกคุณหนูไฮโซแท้ๆ” เมริษาชะงักไปกับคำพูดนั้น มือที่กำลังถือแก้วน้ำอยู่ก็วางลง


            “ก็แค่เคยเป็น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ฉันก็ต้องทำใจยอมรับสภาพตัวเองให้ได้ก็เท่านั้น” ภาณุเงียบไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไปจี้ปมในใจของคนตรงหน้าเข้าพอดี เขาเคยให้ลูกน้องไปสืบประวัติเมริษาจึงได้รู้ว่าตอนนี้ฐานะทางบ้านของเธอกำลังอยู่ให้ขั้นเกือบจะล้มละลาย จากคุณหนูกลายเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาเท่านั้น เมริษาคงจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากพอสมควร


            “ผมขอโทษ”


            “ช่างมันเถอะ ฉันอิ่มแล้ว เรียกคนขายมาเก็บเงินแล้วเราไปกันดีกว่า” เมริษาสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่เตรียมจะลุกออกจากโต๊ะ แต่ว่ากลับมีเสียงเล็กๆดังขึ้นข้างโต๊ะที่เธอและภาณุนั่งอยู่


            “พี่คะช่วยหนูซื้อทองม้วนหน่อยนะคะ หนูจะหาเงินไปเรียนหนังสือ” เด็กหญิงหน้าตามอมแมมคนหนึ่งยื่นถุงขนมทองม้วนมาตรงหน้าเมริษา หญิงสาวยิ้มบางๆก่อนจะช่วยซื้อไว้หนึ่งถุง เธอยื่นแบงค์ร้อยให้เด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วบอกว่าไม่ต้องทอนเงิน สร้างความดีใจให้กับเด็กคนนั้นเป็นอย่างมากถึงขนาดพูดขอบคุณเธออยู่หลายครั้งทีเดียว


            “คุณชอบกินทองม้วนเหรอ” ภาณุถามขึ้นหลังจากจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวและขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว “ผมเห็นคุณให้เงินเด็กนั่นไปตั้งเยอะ เกินราคาขนมเสียอีก”


            “ก็ไม่ได้ชอบกินหรอก ถือว่าซื้อมาเพื่อช่วยเป็นค่าเรียนของเด็กมันน่ะ คุณชอบกินหรือเปล่า ถ้าชอบฉันจะยกให้” เมริษายื่นถุงขนมให้ภาณุที่รับไปอย่างเก้อๆ ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวด้วยความรู้สึกที่แปลกไปจากเดิม อย่างน้อยเธอก็มีส่วนดีบ้าง ไม่ได้แย่ไปเสียหมดอย่างที่เขาเคยเข้าใจ ภาณุยิ้มบางๆกับความคิดตัวเองก่อนจะออกรถเพื่อไปส่งอีกฝ่ายที่คอนโดฯซึ่งไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนั้นมากนัก


            ภาณุมาส่งเมริษาถึงหน้าห้อง แม้หญิงสาวจะบอกว่าไม่จำเป็นแต่ชายหนุ่มก็ดึงดันโดยอ้างเหตุผลว่าถ้าจะส่งก็ต้องส่งให้ถึงที่เลย เมริษาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้มากความจึงต้องยอมในที่สุด


            “ถามจริงๆนะ คุณมาทำดีกับฉันเพื่อเหตุผลอะไรหรือเปล่า”


            “ผมทำผิดกับคุณไว้มาก ก็เลยอยากจะขอโทษ” เมริษาเริ่มหน้าตึงเมื่อคิดว่าที่ภาณุมาทำดีด้วยก็เพราะต้องการขอโทษเรื่องที่ล่วงเกินเธอในคืนนั้น


            “ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นล่ะก็ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น” ภาณุทำท่าจะเอ่ยแต่ว่าถูกอีกฝ่ายตัดบท “ขอบคุณมากที่มาส่ง ขอตัวก่อนนะคะ” เมริษาหมุนตัวจะเดินเข้าไปในห้องแต่ว่ามือบางกลับถูกอีกฝ่ายยึดเอาไว้ หญิงสาวปรายตาไปยังมือของภาณุที่จับอยู่แต่ชายหนุ่มไม่ยี่หระ


            “ผมรู้ว่าคุณโกรธผมมาก ให้ผมได้มีโอกาสชดเชยในสิ่งที่ผมทำพลาดไปด้วยเถอะนะครับ ผมอยากให้เราทั้งคู่ลองเปิดโอกาสทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น” สายตากึ่งเว้าวอนของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เมริษาเม้มริมฝีปากแน่น เธอชักจะใจอ่อนกับแววตาแบบนี้เสียแล้วแต่ปากก็มักจะไวกว่าสติยับยั้งชั่งใจเสมอ


            “เรากลับไปมึนตึงเย็นชาต่อกันแบบเมื่อก่อนน่ะดีแล้ว ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่คุณพูด... ไม่กลัวว่าฉันจะอ่อยคุณหรือยังไง คุณยิ่งชอบหาว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงหน้าเงิน อยากจะจับผู้ชายรวยๆอยู่ด้วย”


            “คราวนี้ผมจะยืนนิ่งยอมให้คุณจับแต่โดยดี” คำพูดแฝงนัยนั้นทำให้เมริษาหน้าแดงวูบ หญิงสาวมองภาณุที่อมยิ้มเล็กๆอยู่ด้วยประกายตาที่แสดงถึงความเขินอายที่น้อยคนนักจะได้เห็น


            “กลับไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน” หญิงสาวเสพูดตัดบท ขืนอยู่เผชิญหน้านานกว่านี้ รับรองว่าเธอต้องถูกผู้ชายตรงหน้าต้อนจนมุมอย่างแน่นอน เมริษาหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง ตั้งใจว่าจะปิดประตูตามทันทีแต่ว่าภาณุกลับใช้มือยันเอาไว้ได้ เมริษามองหน้าชายหนุ่มเป็นเชิงถามว่ายังมีเรื่องอะไรจะพูดอีก


            “พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงครบรอบบริษัททัดเทวา คุณแต่งตัวสวยๆนะ แล้วผมจะมารับไปงานด้วยกัน” พูดจบภาณุก็ผละไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ เมริษาได้แต่มองตามหลังชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มเล็กๆ รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดกึ่งออกคำสั่งเมื่อสักครู่ของภาณุ

 


            “วิน” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้วิศรุตหันไปมอง นภัทรนั่นเอง “ทำไมไม่เข้าไปรอในบ้านล่ะ” คุณหมอหนุ่มถามเมื่อสังเกตเห็นว่าวิศรุตคงมายืนตากน้ำค้างรอเขาที่หน้าบ้านนานแล้ว วันนี้เขาออกเวรช้าจึงกลับบ้านดึกกว่าทุกวัน


            “ไม่เป็นไรหรอก ฉันมาไม่นานก็จะกลับแล้ว” วิศรุตยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย “แค่คิดถึงนายก็เลยแวะมาหาน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน” ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่นภัทรจะต้องแต่งงานกับศรารัตน์ เขาอยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายนี้กับ นภัทรให้มีความสุขที่สุด เพราะหลังจากงานเลี้ยงครบรอบบริษัทเสร็จสิ้นลง งานต่อไปก็คืองานแต่งงานระหว่างน้องสาวเขากับชายหนุ่มตรงหน้า


            “นายเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้คงวุ่นวายน่าดูเพราะว่าพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงครบรอบบริษัทแล้ว” นภัทรเอื้อมมือไปไล้ใบหน้าหล่อคมของวิศรุตอย่างแผ่วเบา หมู่นี้วิศรุตดูซูบลงกว่าเดิม คุณหมอหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปตามสันจมูกโด่งเรื่อยไปยังแก้มที่ตอบลงเล็กน้อยเพราะผลพวงจากการโหมงานหนักของเจ้าตัว “นายต้องดูแลตัวเองบ้างนะวิน ต้องทานข้าวให้เป็นเวลา นอนพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็อย่าคิดมากด้วยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” วิศรุตยิ้มรับคำพูดนั้นพร้อมน้ำที่เริ่มคลอเอ่อเต็มสองตาอีกครั้งหนึ่งด้วย ความตื้นตันใจ           


            “ขอบคุณนะกานต์” วิศรุตพูดพร้อมกับการเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ซึ่งนภัทรเองก็กอดตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน


            “ให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อนายบ้างเถอะวิน ให้ฉัน... ได้ตอบแทนความรักของนายบ้าง”


            “แค่นายสัญญาว่าจะดูแลศราให้ดี ฉันก็ถือว่านายตอบแทนความรักของฉันแล้ว” วิศรุตยิ้มบางๆกับคำพูดของตัวเอง วันนี้เขาไม่มีข้อกังขาอะไรอีกแล้วกับเรื่องที่ว่านภัทรรู้สึกยังไงกับเขา แค่นภัทรบอกว่ารักเขา เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เท่านี้จริงๆที่เขาต้องการจะได้ยินจากอีกฝ่าย


            “ถึงแม้ในความเป็นจริงเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่สำหรับฉัน... นายจะอยู่ในนี้เสมอ” นภัทรยกมือวิศรุตไปแนบตรงหน้าอกด้านซ้าย ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน วิศรุตรู้ดีว่านภัทรไม่ได้โกหก


            “ถ้านายบอกฉันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อตอนเรียนม.ปลาย ฉันก็คงมีความสุขมาก” เมื่อเห็นว่าคุณหมอหนุ่มชะงักไป วิศรุตจึงพูดต่อ “แต่นายก็เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้”


            “ขอโทษที่ฉันรู้ใจตัวเองช้าไป ขอโทษ...” วิศรุตใช้มือทาบทับริมฝีปากของนภัทรเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเอ่ยคำใดออกมา


            “ฉันไม่ได้โกรธนายหรอก ดีใจมากกว่า เพราะถ้านายบอกรักฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันก็คงจะมีความสุข แต่ก็คงจะไม่เท่าวันนี้ วันที่เราสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน... วันที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ยินคำบอกว่ารักจากปากของนาย”


               นภัทรสบตาชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนบรรยายไม่ถูก เขาไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วจะต้องมารักคนที่ตัวเองเคยเกลียดแสนเกลียดอย่างวิศรุตได้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องที่น่าหนักใจอะไรแบบนี้ แต่ถ้าไม่มีเรื่องนี้ ไม่มีเรื่องของศรารัตน์ให้ปวดหัว เขาเองก็คงจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองรักคนตรงหน้ามากมายขนาดไหน แต่ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รู้เสียที...เขารักวิศรุต ทัดเทวามากเหลือเกิน

 

Aislin: มาอัพนิยายประจำสัปดาห์ค่ะ เรื่องทัณฑ์กามเทพก็ใกล้จะถึงโค้งสุดท้ายเข้าไปทุกทีแล้วเน้อ ยังไงก็มาตามลุ้นไปพร้อมๆกันนะคะ สงสารวินกับกานต์มากเลย คุณผู้อ่านที่ตามลุ้นมาตั้งนานคงว่าโอ๊ย... เมื่อไหร่จะหมดขวากหนามละเนี่ย อยากบอกว่ากว่าจะฟันฝ่าไปได้ เล่นเอาหืดจับแน่นอนค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ตัวละครทุกตัวและอิซลินด้วยนะคะ

            ใครที่สนใจรูปเล่มยังสั่งซื้อเข้ามาได้เลยนะคะ ยังมีเหลืออยู่จ้า ส่วนอีบุ๊คก็โหลดได้จากเว็บเม็บเลยคร้าบบบบ ยังไงฝากอุดหนุนด้วยนะคะ มีตอนพิเศษสุดๆแถมให้แบบจุใจตั้ง 3 ตอนแน่ ^0^

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)


หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)

**************************************************************


          ศรารัตน์มองภาพสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกเงาบานสูงในห้องนอน หญิงสาวกำลังอยู่ในชุดราตรีเกาะอกสีชมพูหวานที่ยาวกรอมข้อเท้า บนชุดมีคริสตัลปักเป็นลวดลายงดงามเข้าชุดกับเครื่องประดับราคาแพง ยิ่งขับเน้นให้บุคคลที่สวมใส่ดูอ่อนหวานและน่าทะนุถนอมขึ้นไปอีก ศรารัตน์สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มบางๆแต่แววตาเจือไว้ด้วยความเศร้า

 
           “วันนี้แล้วสินะที่เรื่องทุกอย่างจะต้องจบ” หญิงสาวรำพึงกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา เธอเคยหวนกลับไปคิดอยู่หลายครั้งว่าที่เธอกำลังทำอยู่นี้มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วน่ะหรือ แต่สุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้กลับมาทุกครั้งก็คือใครที่มันทำร้ายเธอ เธอก็จะทำร้ายมันให้พินาศย่อยยับไปเช่นกัน

 

 


            เมื่อแต่งตัวเสร็จ ศรารัตน์ก็เข้ามาในห้องพระ หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้ารูปถ่ายขนาดเท่าตัวจริงของบิดาและมารดาที่แขวนไว้บนผนังตรงข้ามกับแท่นบูชาพระพุทธรูป เธอสบตากับบิดามารดาที่อยู่ในภาพถ่ายด้วยอาการนิ่งเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยเสียงเครือ


            “ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ พ่อกับแม่จะเห็นด้วยกับสิ่งที่ศราทำหรือเปล่าคะ” ดวงตาสีน้ำตาลมีแววหม่นหมองฉายชัด แต่ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้ อย่างไรเธอก็กลับตัวไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เธอต้องการแค่ความสงบ อย่างน้อยก็ให้เธอได้มีเวลาคิดอะไรเงียบๆคนเดียวบ้าง


            “ทำไมเธอเข้ามาอยู่ในนี้ล่ะ” วิศรุตเข้ามาทำลายความเงียบนั้นลง ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหลังผู้เป็นน้องสาว


            “แล้วนายเข้ามาทำอะไรล่ะ” คนที่ยืนอยู่ก่อนย้อนถามกลับบ้าง


            “ฉันอยากมาบอกพ่อกับแม่ว่า... วันนี้เป็นวันแห่งความสำเร็จของฉัน อยากให้ท่านได้เห็นว่าลูกชายที่เคยไม่เอาอ่าวคนนี้ก็สามารถที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เหมือนกัน” วิศรุตหมายถึงเรื่องโครงการบ้านจัดสรรของทัดเทวาที่เขาดูแลอยู่ ในที่สุดเขาก็ทำมันสำเร็จจนได้


            “พ่อกับแม่ก็คงจะดีใจมาก” ศรารัตน์หมายความอย่างที่พูดจริงๆ แต่ก่อนวิศรุตไม่ใช่แบบนี้ แต่ก่อนคนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจกับเรื่องใดทั้งนั้นนอกจากการใช้ชีวิตอย่างที่ตนต้องการและมีความสุขที่สุด ใช้เงินราวกับเบี้ยไร้ค่าและไม่เคยรู้คุณค่าของสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ตอนนี้คนตรงหน้าเธอเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้วิศรุตกลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เป็นแบบที่พ่อและแม่ของเธอเคยคาดหวังว่าจะให้อีกฝ่ายเป็น


            “ว่าแต่เธอยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าเข้ามาทำอะไรในนี้ นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว เธอยังไม่ออกไปที่งานอีกเหรอ” ศรารัตน์ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเพราะลุงมั่นมาเคาะประตูเรียกเสียก่อน ชายชราผู้ดูแลบ้านเข้ามาบอกศรารัตน์ว่าตอนนี้คุณหมอนภัทรมาถึงแล้วและกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขก


            เมื่อเห็นสีหน้าฉายแววสงสัยของวิศรุต ศรารัตน์ก็ชิงบอกก่อน


             “ฉันขอให้หมอกานต์มารับน่ะ จะได้ไปด้วยกัน” วิศรุตพยักหน้าน้อยๆพร้อมส่งเสียงในลำคอเบาๆเป็นเชิงรับรู้ ชายหนุ่มเสหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพราะไม่อยากให้ศรารัตน์เห็นความไหววูบภายในดวงตาสีน้ำตาลโศกของตน “นายจะไปพร้อมกันหรือเปล่า”


            “ไม่หรอก เธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันขออยู่ในห้องนี้อีกสักพัก” ศรารัตน์ไม่ถามต่อ หญิงสาวเดินตามลุงมั่นออกไปทิ้งให้วิศรุตยืนอยู่ในห้องคนเดียว


            “การต้องทนเห็นคนที่เรารักไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเหลือเกินครับคุณพ่อคุณแม่” วิศรุตเอ่ยออกมาอย่างอัดอั้น อย่างน้อยพ่อกับแม่ก็คงรับฟังเขาแม้ว่าชายหนุ่มก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าพ่อกับแม่ยังไม่ด่วนจากไป ท่านทั้งสองคงจะผิดหวังไม่น้อยถ้ารู้ว่าลูกชายคนเดียวของท่านมีรสนิยมทางเพศที่ไม่เหมือนคนอื่นแบบนี้

 


             วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ภาคินรอคอยมานานแสนนาน... วันที่เขาจะได้เห็นความพินาศของวิศรุต ทัดเทวา คืนนี้ชายหนุ่มจะใช้วีดีโอที่แอบอัดเรื่องบัดสีของวิศรุตและนภัทรมาทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของประธานกรรมการบริษัททัดเทวาให้ย่อยยับลงกับมือ อยากจะรู้ว่าวิศรุตจะทำหน้าอย่างไรเมื่อได้เห็นวีดีโอเทปชุดนี้ แค่คิดภาคินก็อดรู้สึกกระหยิ่มในใจไม่ได้


            ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เก็บของขนาดเล็กข้างหัวเตียงก่อนจะหยิบเอาวัตถุมันวาวสีดำออกมาจากภายในลิ้นชัก ภาคิน จ้องมองของที่อยู่ในมือเขม็ง คืนนี้เขามีลางสังหรณ์ลึกๆว่าไม่แน่เขาอาจจะต้องใช้มัน ชายหนุ่มระบายลมหายใจหนักก่อนเอาปืนกระบอกนั้นเก็บไว้บริเวณกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทราคาแพง หวังว่าเขาคงจะไม่ต้องใช้มันหรอกนะ


            เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ภาคินจึงเดินลงมาบริเวณห้องโถงของบ้าน เจอกับวันชัยที่นั่งเอกเขนกรออยู่


            “แกจะไปพร้อมพ่อเลยหรือเปล่า” ผู้เป็นบิดาถามพร้อมขยับตัวเตรียมพร้อม แต่ภาคินส่ายหน้า


            “พ่อไปที่งานก่อนเถอะครับ ผมต้องไปจัดการธุระก่อน เดี๋ยวค่อยตามไป” จากคำพูดที่เน้นเสียงว่าไปจัดการธุระก็ทำให้วันชัยเข้าใจได้อย่างดี ผู้สูงวัยกว่าจึงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกจากตัวบ้านเพื่อไปขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว


            ลับหลังที่วันชัยเดินออกไป ภาคินจึงหันไปถามลูกน้องคนสนิทว่าของที่ตนสั่ง หามาได้หรือยัง ลูกน้องคนนั้นพยักหน้าก่อนล้วงมือไปหยิบขวดขนาดย่อมภายในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วยื่นให้เจ้านายหนุ่ม ภาคินมองขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีใสในมือตัวเองแล้วแค่นยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องไปจัดการธุระที่ค้างคามานานให้เสร็จสิ้นไปเสียที

 


            เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บริเวณโต๊ะอาหารดังขึ้น เมริษาจึงละมือจากการจัดแต่งทรงผมของตัวเองแล้วรีบเดินไปรับสายทันที หน้าจอมือถือแสดงชื่อคนที่โทรมาก็คือภาณุ


            “เดี๋ยวผมไปรับนะครับ ตอนนี้ออกจากบ้านมาได้พักใหญ่แล้ว คุณเตรียมพร้อมไว้แล้วกัน คิดว่าอีกไม่นานเกินชั่วโมงก็คงจะถึง” เมริษาพยายามท้วงว่าเธอไปเองได้ แต่ภาณุไม่ฟังว่าบอกเขาจะมารับเธอแล้วไปงานพร้อมกันจากนั้นชายหนุ่มจึงรีบวางสายไปเพราะต้องการตัดบทมัดมือชกไม่ให้เมริษาปฏิเสธได้อีก


               หญิงสาวมองโทรศัพท์ในมือด้วยรอยยิ้มหวาน ลึกๆรู้สึกได้ถึงความอุ่นซ่านที่เกิดขึ้นมาภายในใจ ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหน แม้แต่ผู้ชายที่เธอคบมาเนิ่นนานอย่างภาคิน


            หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงกริ่งออดห้องของเธอก็ดังขึ้น เมริษายกมือจัดปอยผมให้เรียบร้อย ดวงหน้าสวยหวานหันไปมองนาฬิกาติดผนัง เพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงหลังจากที่ภาณุโทรมา สงสัยรถคงไม่ติด เมริษาฉวยกระเป๋าคลัตช์ใบเล็กและโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือเตรียมพร้อมก่อนรีบเดินไปเปิดประตูให้คนที่มากดออด


            “ฉันพร้อมแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ทำไมคุณมาเร็วจัง” เมริษาพูดรัวก่อนจะต้องยิ้มค้างเมื่อเห็นว่าคนที่มากดออดไม่ใช่ภาณุแต่กลับเป็นอีกคน “ภาคิน” เมริษาอุทานเสียงแผ่ว เท้าเดินถอยหลังกลับไปอย่างไม่รู้ตัว


            “ทำไมตกใจขนาดนั้นล่ะครับเม ไม่ดีใจเหรอไงที่เห็นผม” ภาคินจุดยิ้มที่มุมปากดุจที่เคยทำประจำ


            “เอ่อ คุณมาหาเมหรือคะ” เมริษาแสร้งฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งๆที่ใบหน้าของเธอเริ่มมีเหงื่อเย็นๆผุดออกมา หญิงสาวไม่รู้ว่าที่ภาคินมาหาเธอในตอนนี้มีจุดประสงค์อะไรแต่เธอก็เชื่อแน่ว่าจะต้องไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเสียวสันหลังวาบ


            “ผมก็มาหาเมนั่นแหล่ะ กะว่าจะทำเซอร์ไพรซ์มารับเมไปงานด้วยกัน” ภาคินพูดพร้อมกับแทรกตัวเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะอาหารก่อนจะเบือนหน้ามาถาม “หรือว่าเมกำลังรอใครอยู่” คำพูดที่เหมือนรู้ทันทำให้เมริษาเริ่มหน้าซีด หญิงสาวกัดกรามแน่นพยายามข่มใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบเป็นปกติ


            “เมก็รอคุณนั่นแหล่ะ ทำไมคุณมาเร็วจัง แต่โชคดีนะคะที่เมแต่งตัวเสร็จนานแล้ว ไม่งั้นคุณคงต้องรอเมนานเลยล่ะค่ะ” เมริษาเดินเข้าไปออดอ้อนภาคินแต่ฝ่ายนั้นกลับพูดกลับด้วยน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา


            “นึกว่ารอไอ้ภาณุเสียอีก” ชื่อภาณุทำให้เมริษาสะดุ้งสุดตัว หมายความว่าภาคินรู้เรื่องที่เธอ...


            “พูดอะไรของคุณน่ะ เมจะไปรู้จักเค้าได้ยังไง” หญิงสาวยังคงยืนกรานปากแข็งแต่ในใจก็รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ ยิ่งจ้องมองลึกลงไปยังสายตาคมกริบประดุจมีดของภาคินก็ยิ่งทำให้เมริษากลัว แต่ไวเท่าความคิด หญิงสาวแอบกดโทรศัพท์มือถือที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังให้เข้าสู่โปรแกรมการตั้งอัดเสียง ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนนี้ เธอก็ยังมีหลักฐานเอาผิดกับภาคินได้


            “อย่าโกหกผมเลยเม ผมเห็นกับตาวันนั้นที่คุณนัดกับมันที่ร้านคอฟฟี่ช็อป และผมก็รู้ด้วยว่าคุณไปหามันทำไม” ภาคินใช้มือข้างหนึ่งบีบดวงหน้าสวยหวานในอุ้งมือให้เหยเก ชายหนุ่มมองใบหน้าที่เริ่มบิดเบี้ยวของเมริษาด้วยแววตาไร้ความรู้สึกก่อนเอ่ยต่อช้าๆ คำพูดของภาคินทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่เธอคิดน่ะถูกต้องแล้ว “คุณร่วมมือกับมันแล้วทรยศผมกับพ่อ” พูดจบก็สะบัดเมริษาอย่างแรงจนหญิงสาวล้มลงไปกองกับพื้น มือข้างที่ถือโทรศัพท์ก็คลายออก โทรศัพท์จึงหลุดมือแล้วไถลไปอีกด้านหนึ่ง


              เมริษาไม่มีเวลามัวแต่ไปคิดถึงโทรศัพท์เพราะตอนนี้ภาคินกำลังย่างสามขุมเข้ามาหาเธอ แววตาของอีกฝ่ายฉายแววเหี้ยมแบบที่เธอเองไม่เคยเห็นมาก่อน


            “เมเปล่านะ คุณกำลังเข้าใจผิด” เมริษาค่อยๆกระเถิบไปด้านหลังจนในที่สุดเมื่อแผ่นหลังเธอปะทะกับตู้ใบใหญ่ เมื่อนั้นเธอก็รู้ว่าหมดทางหนีเสียแล้ว “เรื่องนี้เมอธิบายได้ คุณฟังเมก่อนนะคะ”


            “กลัวเหรอครับเม” เมริษาไม่ตอบคำถามนั้น แต่ภาคินก็รู้ว่าเธอกำลังกลัว... กลัวอย่างมากเสียด้วย “ถ้าคิดจะหักหลังผม เมก็รู้นี่นาว่าผลสุดท้ายแล้วมันจะเป็นยังไง” ภาคินล้วงขวดแก้วที่ได้จากลูกน้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อตามด้วยการแกะซองเข็มฉีดยา เมริษากลืนน้ำลายและตัวสั่นเมื่อนึกรู้ว่าภาคินจะทำอะไร


            “ไม่นะภาคิน คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” ภาคินไม่สนใจ ชายหนุ่มใส่ถุงมือยางที่เตรียมมาก่อนจะใช้เข็มฉีดยาสูบของเหลวที่อยู่ในขวดขึ้นมาจนเต็มกระบอกฉีด เมริษามองภาคินด้วยความหวาดกลัวสุดขีดกับเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เธอไม่รู้ว่าของเหลวนั้นคืออะไร แต่ที่เธอรู้แน่ๆคือภาคินตั้งใจจะฆ่าเธอปิดปาก


            “ไม่ต้องห่วงหรอกเม เห็นแก่ที่เธอเคยให้ความสุขฉันอยู่หลายครั้งหลายหน คราวนี้ฉันจะให้เธอตายแบบสบายๆหน่อย” ภาคินเดินถือเข็มฉีดยาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “ยานี้เป็นยาเสพติดชนิดใหม่ รับรองว่าถ้าเธอได้ใช้มันจะต้องผ่อนคลายและมีความสุขมากแน่ๆ แต่ว่าถ้าหากได้รับการฉีดสารนี้เข้าเส้นเลือดเกินขนาดล่ะก็...”


            “แก... ไอ้ภาคิน ไอ้ชั่ว” เมริษาบริภาษอีกฝ่ายอย่างรุนแรง หญิงสาวรวบรวมกำลังใช้สองมือผลักภาคินให้ออกห่างจากตัวแล้วตั้งใจจะวิ่งหนีไปที่ประตู แต่ชุดราตรีตัวยาวที่เธอกำลังใส่อยู่ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปอย่างยากลำบาก  ภาคินจึงใช้มือกระตุกชายกระโปรงชุดเดรสของเธอเอาไว้ได้ก่อนจะลากอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว


            “ฤทธิ์เยอะนักนะเมริษา” ภาคินเค้นเสียงต่ำก่อนจะพลิกตัวกดร่างหญิงสาวเอาไว้ข้างใต้ มือหนาของภาคินบีบเค้น ลำคอระหงของเมริษาจนเกือบทำให้ร่างบางขาดอากาศหายใจ “จุดจบของคนทรยศแบบเธอก็คือ... ความตาย” เมริษาใช้สองมือพยายามแกะอุ้งมือที่แข็งแกร่งราวคีมเหล็กนั้นให้พ้นจากการเกาะกุมลำคอของเธอแต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุดก่อนผงกศีษะขึ้นมาแล้วกัดไปที่ข้อแขนภาคินอย่างแรงจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลงแทบไม่เป็นภาษา


            เมริษาฉวยโอกาสเพียงน้อยนิดนั้นใช้สองเท้ายันภาคินให้ออกห่าง อาศัยจังหวะที่ภาคินกำลังกุมแผลที่โดนกัดที่แขนรีบวิ่งไปทางประตูห้อง เธอจะต้องรอดออกไปจากห้องนี้ให้ได้ เมริษาคิดในใจอย่างแรงกล้าแม้ว่าร่างกายของเธอกำลังเหนื่อยหอบจากการขาดอากาศหายใจไปนาน แต่ภาคินไม่ปล่อยให้เมริษาทำอย่างนั้นได้ง่ายๆ ชายหนุ่มข่มความเจ็บปวดบริเวณท่อนแขนที่โดนคมเขี้ยวแล้วพุ่งตามไปจิกกระชากผมของหญิงสาวให้ถลากลับมานอนหมอบที่พื้นด้วยอาการจุกในช่องท้อง


            “ตอนแรกฉันไม่อยากใช้กำลังกับเธอเลยนะเมริษา แต่เธอบังคับให้ฉันต้องทำ” ภาคินพูดจบก็เงื้อและสะบัดมือลงไปบนใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวอย่างแรง เมริษาหันไปตามแรงตบของฝ่ามือใหญ่อย่างไม่อาจต้านทานได้ สมองของเธอเริ่มมึนงงกับภาพตรงหน้า เธอเห็นลางๆว่าภาคินหยิบเอาเข็มฉีดยาที่ตกอยู่ข้างๆนั่นขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ


            “หลังจากที่จัดการกับเธอแล้ว ฉันจะไปจัดการกับไอ้วินต่อในงานเลี้ยง อยากรู้จังเลยว่าถ้าฉันเอาไอ้คลิปบัดสีนั่นมาประจานความทุเรศของไอ้วินต่อหน้าแขกคนอื่นๆและบรรดาพวกนักข่าว อยากจะรู้นักว่าไอ้วินจะทำหน้ายังไง”


            “แกมันสารเลว ทำร้ายได้แม้กระทั่งญาติพี่น้องของตัวเอง แกมันไม่ใช่คน”


            “ใครขวางทางฉัน ฉันก็กำจัดได้หมดแหล่ะ อย่างเช่นเธอไงเมริษา”


            “อย่านะภาคิน... อย่า...” เสียงอ้อนวอนที่ฟังดูไร้เรี่ยวแรงจากปากเมริษาไม่ได้ทำให้ภาคินละความตั้งใจ เมริษาพยายามดิ้นรนแต่ว่าก็ไม่เกิดผลใดๆอยู่ดี ภาคินกดตรึงร่างของเธอไว้แน่นจนเธอไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็จัดการฉีดของเหลวใสนั้นเข้าไปในเส้นเลือดของร่างตรงหน้าอย่างช้าๆจนหมดกระบอกฉีดยา เมริษาได้แต่นอนน้ำตาไหล พรากกับสิ่งเลวร้ายที่อีกฝ่ายทำกับตน สติความระลึกรู้ของเมริษาเริ่มเลือนรางไปทีละน้อยเพราะยาเสพติดที่เริ่มจะออกฤทธิ์ หญิงสาวรู้แก่ใจดีว่าเธอเหลือเวลาอีกไม่นาน หากแต่ความคิดสุดท้ายที่เธอพอจะระลึกได้ก็คือ... ภาณุ


            ภาคินมองเมริษาที่เริ่มมีสภาพลมหายใจติดขัด กล้ามเนื้ออ่อนแรง และตลอดทั้งร่างเริ่มชักเกร็งด้วยความพอใจ ยาที่ลูกน้องเขาให้มาได้ผลดีจริงๆ ยานี้เป็นยาเสพติดชนิดรุนแรง หากว่าใช้ในปริมาณนี้น้อยและพอดีจะทำให้ร่างกายเคลิบเคลิ้ม ผ่อนคลายเหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่ม แต่หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดอาการช็อคและยาจะมีฤทธิ์กดการหายใจอย่างรุนแรง ซึ่งปริมาณที่เขาฉีดเข้ากระแสเลือดของเมริษานั้นก็ไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว


            ภาคินเดินเข้าไปใกล้ร่างของเมริษาแล้วใช้มือข้างที่ใส่ถุงมือยางหยิบเอาเข็มฉีดยานั้นยัดใส่มือของหญิงสาว แค่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเมริษาเสพยาเกินขนาดก็หมดเรื่องแล้ว ไม่มีใครจะสามารถสืบสาวเอาเรื่องกับเขาได้ หากว่ามีคนสงสัยเขาก็แค่อ้างว่าตัวเองทะเลาะกับเมริษา จากนั้นก็อ้างต่อว่าเมริษาอาจจะเครียดก็เลยใช้ยาเสพติดเกินขนาดแบบนี้ ภาคินเชื่อว่าด้วยอำนาจเงินและนามสกุลทัดเทวาที่ค้ำคอของเขาอยู่ รับรองว่าเรื่องจะต้องจบแบบง่ายๆแน่นอน ชายหนุ่มมองผลงานตัวเองแล้วยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม เขาเดินไปกระซิบข้างหูเมริษาที่ตอนนี้เริ่มมีอาการหอบหนักอย่างรุนแรง


            “หลับให้สบายนะเม ลาก่อน” ภาคินเดินถอยห่างจากร่างนั้นก่อนจะเปิดประตูห้องออกไปด้วยสีหน้าที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้เมริษานอนระทวยด้วยลมหายใจที่อ่อนแรงเต็มทน


            โทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนักเกิดดังขึ้นมา คงจะเป็นภาณุที่โทรหาเธอ เมริษาพยายามประคองสติที่เหลือน้อยเต็มทีและสะกดลมหายใจหอบหนักก่อนค่อยๆเอื้อมมือที่อ่อนแรงไปทางด้านที่มีโทรศัพท์ของเธอตกอยู่ เสียงมือถือของเธอยังคงดังต่อเนื่อง เมริษาพยายามยืดแขนออกไปสุดตัวแต่ก็ไม่ถึงอยู่ดี หญิงสาวรู้ว่ายังไงเธอก็ไม่รอดแน่แล้ว คนสุดท้ายที่เธออยากจะพูดด้วยที่สุดก็คือภาณุ แต่เธอคงไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว


            “ฉันยะ...ยกโทษให้... คุณ” เมริษารำพึงคำพูดสุดท้ายก่อนที่ร่างจะชักกระตุกรุนแรงและแน่นิ่งไปในที่สุด ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลงในขณะที่เสียงมือถือของเธอก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น

 



            ตลอดระหว่างทางที่ขับรถมาเพื่อมารับเมริษาที่คอนโดฯ ภาณุพยายามโทรเข้ามือถือหญิงสาวอยู่หลายครั้งแต่เธอก็ไม่รับ ประกอบกับวันนี้รถติดมากเป็นพิเศษทำให้ภาณุยิ่งกระวนกระวายใจเพราะนึกสังหรณ์ใจลึกๆ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเมริษา และเมื่อมาถึงที่หมาย ภาณุก็รีบจอดรถและตรงดิ่งไปที่ห้องของหญิงสาวทันที


            ภาณุเคาะประตูห้องของเมริษาและพยายามโทรหาอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูรับ เมื่อลองหมุนลูกบิดก็พบว่าถูกล็อกจากด้านใน ภาณุพยายามตบประตูเรียกอยู่นานแต่ก็ไร้วี่แววเมริษา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไปติดต่อที่ออฟฟิศเพื่อขอกุญแจสำรองโดยอ้างว่าตนเป็นสามีของเจ้าของห้อง เมื่อได้กุญแจมาแล้ว ชายหนุ่มจึงไขเข้าไปทันที


            ภาพเบื้องหน้าทำให้ภาณุต้องตาค้างด้วยความตกใจ สภาพเมริษาที่นอนทอดกายอยู่บนพื้นขณะที่ในมือยังกำเข็มฉีดยาเอาไว้  ขวดแก้วเปล่าถูกวางทิ้งไว้อยู่ข้างตัวทำให้เลือดในกายของภาณุเย็นเฉียบ เมื่อได้สติ ภาณุจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของเมริษาแล้วเขย่าเรียกเสียงสั่นระริก


            “เม คุณเป็นอะไรไป ตื่นสิ ผมมารับคุณแล้ว คุณเป็นอะไรไป... เม” ภาณุเขย่าร่างตรงหน้าอย่างแรงแต่ก็ไม่ได้ผล ร่างกายของเมริษาไม่ตอบสนองเขาเลย ชายหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือไปจับชีพจรของหญิงสาวด้วยมืออันสั่นเทา เขากำลังกลัวความคิดของตัวเอง อย่าให้เป็นแบบที่เขาคิดเลย


            ภาณุมือไม้อ่อนเมื่อจับแล้วไม่รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของชีพจรอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือความจริง เมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อน เมริษายังคุยโทรศัพท์กับเขาอยู่เลย เธอบอกว่าจะรอเขามารับแต่สุดท้ายเธอก็ไม่รอเขา


            ชายหนุ่มกอดร่างบอบบางที่ยังหลงเหลือไออุ่นแนบอกกว้างของตน เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ จากสภาพที่เห็นก็น่าจะเดาไว้ว่าเมริษาฉีดยาอะไรบางอย่างเข้าเส้นเลือดและก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องตาย แต่เธอจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน เธอไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ ภาณุมั่นใจในความคิดของตัวเอง


            เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ภาณุหันไปมองต้นเสียงทันที ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเมริษามาเปิดดูก็พบว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามา มันคือข้อความจากเครือข่ายโทรศัพท์ที่เตือนว่ามีคนโทรเข้ามาแต่เมริษาไม่ได้รับ คงจะเป็นสายจากเขาที่เธอไม่ได้รับ ภาณุคิด แต่เมื่อกดออกจากโปรแกรมข้อความ ภาณุก็พบว่ามีอีกโปรแกรมหนึ่งในโทรศัพท์มือถือที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้... การตั้งอัดเสียง


            ทันทีที่ภาณุกดปุ่มเล่น โทรศัพท์มือถือก็กลายเป็นลำโพงกระจายเสียงขนาดย่อมทันที สิ่งที่ได้ยินนั้นทำเอาชายหนุ่มถึงกับตัวชาไป ที่แท้เหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นฝีมือของภาคิน ไอ้สารเลวนั่นฆ่าเมริษาเพื่อปิดปากและเป็นการจัดการโทษฐานที่หญิงสาวหักหลังพวกมันสองพ่อลูก ที่แท้เมริษาไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่เป็นการถูกฆาตกรรมต่างหาก! ภาณุกัดฟันแน่นด้วยความแค้นและสงสารเมริษาจับใจ น้ำตาหยดหนึ่งพลันร่วงหล่นลงมากระทบกับใบหน้าของร่างที่นอนนิ่งอยู่


            “ผมจะให้มันชดใช้ในที่สิ่งมันทำกับคุณ” ภาณุกำโทรศัพท์ที่เป็นหลักฐานสำคัญเอาไว้แน่น เมื่อครู่ชายหนุ่มได้ยินว่านอกจากจะจัดการกับเมริษาแล้ว ภาคินจะใช้คลิปบางอย่างเพื่อจัดการแฉวิศรุตกลางงานเลี้ยงคืนนี้ แม้ภาณุจะไม่รู้ว่าคลิปที่ว่านั้นมันเป็นคลิปอะไร แต่ชายหนุ่มก็ไม่ไว้ใจและเชื่อแน่ว่ามันไม่เป็นผลดีกับเพื่อนรักของเขาอย่างแน่นอน


            ภาณุเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนหรูของตน เขาเสียเวลาไปนานกว่าจะมาถึงคอนโดฯของเมริษาเพราะว่ารถติด ป่านนี้งานเลี้ยงก็น่าจะเริ่มไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะไปถึงงานทันหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเตือนวิศรุตให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป


             เมื่อคิดดังนั้นภาณุก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมากดหมายเลขของวิศรุตและโทรออก แต่ไม่สามารถติดต่อได้เพราะอีกฝ่ายน่าจะแบตฯหมด ภาณุสบถอย่างหัวเสีย ทำไมถึงเวลาคับขันมือถือของวิศรุตมักจะติดต่อไม่ได้เสียทุกครั้ง ชายหนุ่มนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมาโทรหานภัทรแทน หวังว่านภัทรจะช่วยวิศรุตเอาไว้ได้ทัน ภาณุภาวนาในใจด้วยความร้อนรน


Aislin: ขออภัยจริงๆที่หายไปนานถึงราวสองสัปดาห์นะคะ วันนี้มาอัพนิยายต่อให้แล้ว หวังว่าคงไม่นานจนลืมกันไปแล้วเน้อ ฮ่าๆๆ

            ตอนนี้ก็นะ... เมริษาม่องแท่งแล้วเพราะภาคิน เสียดายมากๆที่โอมมาไม่ทัน แต่เดี๋ยวเรามาลุ้นต่อกันในตอนหน้าดีกว่าเน้อว่าโอมจะช่วยหยุดความชั่วของภาคินได้หรือเปล่า เพราะถ้าหากไม่สำเร็จคนที่จะแย่ก็คือเพื่อนที่โอมรักมากที่สุดอย่างวินนั่นเอง แถมยังมีแผนการร้ายกาจของศราอีกล่ะ เฮ้ออ... ปาดเหงื่อแป๊บ แต่อยากบอกว่าเรื่องราวจะลุ้นและเข้มขึ้นไปจนถึงตอนจบแน่นอนค่ะ อย่าลืมติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ^0^

            เรื่องรูปเล่มก็ยังติดต่อสั่งซื้อได้เหมือนเดิมเน้อ ในเล่มมีตอนพิเศษที่จะไม่โพสลงเว็บจำนวน 3 ตอนอย่างจุใจให้อ่านกันค่ะ (จุดเริ่มต้นความรักของวิน สถานการณ์หวานๆโรแมนติกและอารมณ์หงหวงที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักนิยายเรื่องนี้ ห้ามพลาดเน้อออ แล้วจะเสียใจ อิอิ)

ปล. เจอกันตอนหน้านะคะ สัปดาห์หน้าเน้อ ^-^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัเดทนิยายรูปเล่มเรื่อง "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com (แอทฮอทเมล)

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)

 
หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)

***************************************************
[/color]


           งานเลี้ยงครบรอบบริษัททัดเทวาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่โรงแรมหรูระดับห้าดาวย่านใจกลางเมือง นักข่าวสายงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายสำนักต่างมาพร้อมกันที่นี่เพื่อทำข่าวใหญ่เกี่ยวกับการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวา ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่สื่อมวลชนทั่วไปจับตามองกันมาตั้งแต่เริ่มวางโครงการแล้ว เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงของทัดเทวาลงมาลุยโครงการนี้เอง ดังนั้นผลงานนี้จะเป็นตัววัดศักยภาพที่ชัดเจนของการเข้ามารับตำแหน่งสูงสุดทางด้านบริหารของบุตรชายคุณวรุต ทัดเทวา อดีตราชาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของเมืองไทย


           “ยิ้มไม่หุบเลยนะวิน กะแค่ทำงานโปรเจ็กส์เล็กๆสำเร็จแค่งานเดียว ไม่เห็นต้องทำหน้าบานตอนให้สัมภาษณ์นักข่าวขนาดนั้นก็ได้” ภาคินเดินเข้ามาหาวิศรุตที่เพิ่งผละตัวแยกออกมาจากนักข่าวที่มารอสัมภาษณ์ได้สำเร็จ “แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจกับความสำเร็จนี้ล่ะเพราะบางทีมันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา”


             “พูดอะไรของแก ภาคิน อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์” วิศรุตเลือกที่จะเดินหนีแต่อีกฝ่ายอ้อมมาดักหน้าเขาเอาไว้


             “ฉันแค่จะเตือนแกว่าอย่าหลงระเริงกับความสำเร็จให้มากนัก ระวังไว้เถอะ สิ่งที่แกกลัวมาตลอดมันจะเป็นจริงขึ้นมา” แม้จะไม่เข้าใจว่าภาคินพูดถึงอะไรแต่วิศรุตก็อดกังวลไม่ได้ ชายหนุ่มแอบหวั่นใจอยู่ลึกๆว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจนทำให้งานล่มแบบที่ฝ่ายนั้นบอกจริงๆ


               หลังจากที่ภาคินเดินไปแล้ว วิศรุตก็ลอบระบายลมหายใจหนักหน่วง ชายหนุ่มบังเอิญหันไปมองอีกด้านหนึ่งของงานจึงได้ทันสบกับดวงตาสีถ่านที่มองมาทางเขาอย่างพอดิบพอดี วิศรุตจุดยิ้มมุมปากให้ฝ่ายนั้นแต่แววตากลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าเมื่อพานมองเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างกายของนภัทร... ศรารัตน์นั่นเอง


             วิศรุตเลือกที่จะสลัดภาพนั้นออกไปจากศีรษะ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วสาวเท้ายาวๆเพื่อหนีไปจากตรงนั้น เขาไม่อยากทนดูภาพบาดตาให้ทรมานใจอีกต่อไป


              “จะไปไหนเหรอคะหมอ” นภัทรชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวตามวิศรุตไปเมื่อศรารัตน์รั้งเขาเอาไว้ คุณหมอหนุ่มมองวิศรุตเดินหายลับไปในงานก่อนจะหันมาฝืนยิ้มให้หญิงสาวแล้วบอกว่าไม่มีอะไร แต่ในใจกำลังอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ส่วนพงศธรที่ยืนอยู่ด้วยกันก็นึกรู้ว่านภัทรคิดอะไรอยู่ในใจ


             ศรารัตน์ยืนคุยอยู่กับนภัทรและพงศธรอีกสักพักหนึ่งก่อนที่หญิงสาวจะขอตัวโดยอ้างว่าจะไปคุยงานต่อเมื่อสังเกตเห็นถึงสายตาของภาคินที่มองจ้องมาที่ตนเป็นเชิงส่งสัญญาณว่าให้เธอปลีกตัวออกมาเพื่อไปคุยกันที่อื่น พงศธรได้ทันเห็นสัญญาณที่ภาคินส่งให้ศรารัตน์พอดี ชายหนุ่มหรี่ตาลงด้วยความสงสัยในขณะที่สมองก็กำลังประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นพงศธรก็บอกกับนภัทรว่าตนจะไปเข้าห้องน้ำ แต่แท้จริงแล้วชายหนุ่มแอบสะกดรอยตามศรารัตน์ไปต่างหาก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ และที่สำคัญคือภาคินมาเกี่ยวอะไรด้วย


              นภัทรมองตามพงศธรไปอย่างงงๆ ตอนนี้เหลือชายหนุ่มอยู่เพียงลำพัง วิศรุตก็เดินหายไปแล้วและเขาเองก็ไม่รู้จะไปตามหาอีกฝ่ายได้ที่ไหน คุณหมอหนุ่มจึงเปลี่ยนใจเป็นเดินดูงานรอบๆบริเวณห้องจัดเลี้ยงแทน


              ห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากถึงขนาดที่สามารถนำนิทรรศการขนาดย่อมมาจัดแสดงได้ นภัทรเดินชมผลงานโครงการต่างๆที่ประสบความสำเร็จของทัดเทวาที่ถูกจัดแสดงไว้บนบอร์ดไปเรื่อยๆอย่างใคร่สนใจนัก ในใจชายหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เรื่องของวิศรุต โดยที่ไม่ทันระวัง นภัทรจึงชนเข้ากับสตาร์ฟหญิงคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ของที่อีกฝ่ายถือมาด้วยจึงกระเด็นหลุดจากมือและไปกองอยู่ที่พื้นแทน


               “ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ” เสียงขอโทษดังขึ้นพร้อมกัน นภัทรเก็บของที่ตกอยู่ซึ่งก็คือแผ่นซีดีสีขาวในกล่องใสแล้วส่งคืนให้กับสตาร์ฟคนนั้นที่รับไปพร้อมกับกล่าวขอบคุณคุณหมอหนุ่มก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบเดินจากไปทันที ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา ชายหนุ่มคิดโดยไม่ได้นึกเฉียวใจแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่อยู่ในมือของสตาร์ฟคนนั้นมันคือแผ่นซีดีอะไร

 


                 พงศธรแอบสะกดรอยตามศรารัตน์มาอย่างเงียบเชียบจนพบว่าศรารัตน์เข้าไปในห้องเก็บของซึ่งไกลจากห้องจัดเลี้ยงพอสมควร พงศธรแอบมองเข้าไปตอนที่ศรารัตน์กำลังเปิดประตูห้อง ภาคินก็อยู่ในห้องนั้นด้วย ความสงสัยที่กำลังปะทุอยู่ในใจทำให้พงศธรตัดสินใจแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่ผ่านทางประตู โชคดีที่ห้องนี้ไม่ได้เก็บเสียง ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้ยินทุกคำพูดในห้องนั้นอย่างชัดเจน


                 “ฉันจัดการสั่งลูกน้องไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ไอ้วินกล่าวสุนทรพจน์แนะนำโครงการจบ คลิปนั่นก็จะถูกเปิดทันที”


                  “นายแน่ใจนะว่างานนี้จะไม่มีพลาด” ศรารัตน์พูดเสียงเย็นชาซึ่งภาคินก็รับรองเสียงหนักแน่นว่าลูกน้องของเขาไว้ใจได้ทุกคน รับรองว่างานนี้ไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน


                 “ถ้าคลิปบัดสีระหว่างไอ้วินกับหมอนภัทรถูกเปิดขึ้นกลางงานล่ะก็ พรุ่งนี้คงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ หึ ผู้บริหารระดับสูงของทัดเทวามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ รับรองว่าไอ้วินต้องเสียเครดิตในสายตาของพวกกรรมการบริหารแน่นอน จากนั้นบอร์ดก็จะลงมติไม่ไว้วางใจมัน เท่านี้ก็เรียบร้อย” ภาคินยิ้มกริ่มกับแผนการของตน ทว่าพงศธรที่แอบฟังอยู่ถึงกับตัวชาไปทันที ที่แท้ศรารัตน์ก็ร่วมมือกับภาคินวางแผนทำร้ายวิศรุตโดยหลอกใช้ตนกับนภัทรเป็นเครื่องมือ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมศรารัตน์ถึงมาขอร้องให้ตนช่วยวางยาปลุกเซ็กส์นภัทร ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง


                 “อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้ล่ะ” ภาคินยักไหล่แล้วบอกว่าตนไม่ลืม


                 “ฉันสัญญา งานนี้ก็แค่เล่นสนุกกับไอ้วินเท่านั้น ไม่มีใครถึงตายหรอก” ภาคินแอบลูบปืนในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท ชายหนุ่มโกหกศรารัตน์ ถ้ามันถึงคราวจำเป็นล่ะก็ เขาเองก็ไม่สามารถรับปากได้เหมือนกันว่าจะไม่มีใครตาย


                เมื่อนัดแนะแผนการขั้นสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็แยกกันไปโดยภาคินออกจากห้องมาก่อน จากนั้นศรารัตน์จึงค่อยเดินตามออกมาเพราะหากว่าใครมาเห็นเข้าจะได้ไม่ผิดสังเกต จังหวะที่ภาคินเปิดประตูออกมา พงศธรหลบแทบไม่ทัน ชายหนุ่มเบียดตัวเข้าไปหลบระหว่างผนังกับซอกตู้ หัวใจของพงศธรเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะโดนภาคินจับได้ ทว่าภาคินไม่ได้สังเกตแต่กลับเดินผ่านซอกนั้นไปเลย พงศธรเลยถอนหายใจโล่งอก แววตาของชายหนุ่มกลับมาขึงเครียดอีกครั้งเมื่อนึกรู้ว่าศรารัตน์ยังอยู่ในห้องเก็บของนี้


                “คุณพงษ์” ศรารัตน์อุทานเสียงแผ่วด้วยดวงหน้าซีดเผือดเมื่อหันไปเจอพงศธรยืนอยู่ตรงประตู ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงทันที แววตาของผู้มาใหม่ทำให้ศรารัตน์แน่ใจว่าพงศธรคงได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับภาคินแน่ๆ


                 “คุณหลอกใช้ผม” พงศธรกำหมัดแน่น เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต “คุณหลอกให้ผมวางยาปลุกเซ็กส์ไอ้กานต์ จากนั้นคุณก็ถ่ายคลิปตอนที่มันกำลังมีอะไรกับวินแล้วก็เอามาเป็นหลักฐานเพื่อแฉว่าประธานบริษัท       ทัดเทวาเป็นเกย์ คุณร่วมมือกับไอ้ภาคิน... คุณร่วมมือกับมันเพื่อทำร้ายพี่ชายของตัวเอง” พงศธรกระชากเสียงแหบเครือ ในใจรู้สึกเจ็บแปลบกับการถูกศรารัตน์หลอกใช้ ตอนแรกเขาก็แค่สงสัยว่าศรารัตน์วางแผนจะทำอะไร แต่นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าทำถึงขนาดนี้ เธอใจร้ายเกินไปแล้ว


              “คุณพงษ์ ฉัน...”


              “คุณจำได้ไหม ผมเคยบอกว่าถ้าผมช่วยคุณวางยาไอ้กานต์ในครั้งนั้น ผมขอให้คุณวางมือหยุดทำร้ายพวกเขาสองคน แต่วันนี้คุณกลับเอาคลิปบ้าๆนั้นมาทำลายไอ้วิน นี่น่ะเหรอที่คุณสัญญากับผม ตอบมาสิศรารัตน์ ตอบมาว่าคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร” พงศธรเขย่าตัวศรารัตน์จนเซ หญิงสาวขืนตัวออกแล้วพูดเสียงดังไม่แพ้กัน


               “คุณไม่มีวันเข้าใจฉันหรอก ไม่มีวัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความผิดหวัง มือที่ยึดหัวไหล่อีกฝ่ายค่อยๆคลายลงอย่างหมดแรง พงศธรค่อยๆถอยห่างจากศรารัตน์ออกมาเรื่อยๆ ปากก็พูด


               “ผมจะไม่มีวันยอมให้คุณทำร้ายเพื่อนของผมทั้งสองคนอีกต่อไปแล้ว ผมจะไปบอกวิน” ศรารัตน์เบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าพงศธรจะเอาแผนการนี้ไปบอกกับวิศรุต เธอจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด


                 “โอ๊ย” เสียงอุทานดังขึ้นจากด้านหลังทำให้พงศธรชะงักแล้วหันกลับไปมอง ศรารัตน์ล้มลงไปนั่งกับพื้นแล้วกำลังกุมขาเอาไว้ ใบหน้าเรียวสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางกำลังบิดเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่เมื่อครู่เธอสะดุดชายกระโปรงตัวเองล้มลง


                “คุณเป็นยังไงบ้างศรา” สุดท้ายพงศธรก็อดใจอ่อนกับผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ ชายหนุ่มรีบเข้าไปดูอาการศรารัตน์ที่เหมือนข้อเท้าจะแพลงด้วยความเป็นห่วง “เจ็บตรงนี้หรือเปล่า” พงศธรชะโงกหน้าจะเข้ามาดูแผลที่เท้าใกล้ๆแต่ว่าก็ไม่พบรอยอะไรเลย มาเฉลียวใจอีกทีก็ตอนที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มากระทบตรงท้ายทอยอย่างแรง จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป


                ศรารัตน์ทิ้งกระบองเหล็กในมือลงพื้น หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วมองพงศธรที่นอนสลบอยู่ที่พื้นด้วยสายตาที่ทอแววรู้สึกผิด


               “ขอโทษนะคะคุณพงษ์ที่ต้องทำแบบนี้ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้คุณมาทำลายแผนการนี้เด็ดขาด”

 


                ระหว่างที่กำลังเดินดูนิทรรศการอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือของนภัทรก็ดังขึ้น คุณหมอหนุ่มมองชื่อที่โทรเข้ามาอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีภาณุไม่ค่อยจะโทรหาเขา ทำไมวันนี้อีกฝ่ายถึงโทรมาได้ นภัทรนิ่งคิดเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็กดรับสาย


              “ไอ้กานต์ วินอยู่ด้วยหรือเปล่า” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนผิดธรรมดา ซึ่งนภัทรก็ปฏิเสธไปว่าตอนนี้ตนอยู่ในงานคนเดียว ภาณุโทรหาเขามีเรื่องอะไรหรือเปล่า “ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกวินแต่ติดต่อไม่ได้เลย”


              “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าวินไปไหน ตอนนี้ไอ้พงษ์ก็หายตัวไปด้วย” นภัทรตอบกลับไป พงศธรไปเข้าห้องน้ำนานเกินไปแล้ว


               “แกฟังดีๆนะไอ้กานต์ ไอ้ชั่วภาคินมันฆ่าเมริษา แล้วตอนนี้มันกำลังจะเอาคลิปบ้าอะไรก็ไม่รู้มาแฉไอ้วินกลางงานเลี้ยง แกต้องไปหาคลิปนั้นให้เจอ แล้วสกัดอย่าให้มันเอาคลิปนั่นไปเปิดเด็ดขาด”


                  “คลิปนั้นมันคือคลิปอะไรล่ะ แล้วทำไมไอ้ภาคินต้องทำอย่างนั้นด้วย” แม้ว่าจะตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ภาณุโทรมาบอกว่าวิศรุตกำลังเป็นเป้าหมายในคืนนี้ แต่ด้วยความสุขุม ชายหนุ่มจึงพยายามตั้งสติแล้วถามกลับอย่างใจเย็น แต่เหมือนว่าภาณุจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว สังเกตได้จากน้ำเสียงที่เริ่มเคร่งเครียดมากขึ้นทุกขณะ


                  “ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นคลิปอะไร แต่ได้ยินว่ามันเป็นคลิปบัดสีของไอ้วินอะไรทำนองนี้ อย่าเพิ่งถามมากเลย แกต้องไปหยุดคลิปนั้นก่อน”


                “แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”


                  “ฉันรถติดอยู่ แต่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก คิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะถึง” ภาณุมองการจราจรเบื้องหน้าตนที่แทบไม่ขยับเลยด้วยความหัวเสีย เขาชักไม่มั่นใจแล้วว่าที่บอกว่าอีกไม่นานน่ะมันจะไม่นานจริงๆหรือเปล่า “งานวันนี้สำคัญกับชื่อเสียงของไอ้วินในฐานะประธานกรรมการของทัดเทวามาก ถ้าเกิดมีการแฉไอ้คลิปนั่นจริง ไอ้วินคงจบเห่แน่” ภาณุย้ำก่อนจะวางสายไป


                 แววตาสีถ่านของนภัทรมีร่อยรอยของความเคร่งเครียด ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือของตน ถ้าตามกำหนดการก็ใกล้จะได้เวลาที่วิศรุตจะขึ้นไปพูดสุนทรพจน์บนเวทีแล้ว นภัทรคิดว่าหากจะมีการเปิดคลิปเพื่อเล่นงานวิศรุตจริงอย่างที่ภาณุบอก คลิปนั้นจะต้องถูกเปิดหลังจากที่วิศรุตกล่าวสุนทรพจน์จบแน่ ซึ่งนั่นแปลว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิดเท่านี้


                  นภัทรเม้มริมฝีปากแน่นพยายามคิดให้ออกว่าจะไปตามหาซีดีคลิปนั้นได้ที่ไหน... ซีดี...หรือว่า... ภาพตอนที่เดินชนกับสตาร์ฟคนนั้นแล้วกล่องแผ่นซีดีสีขาวตกลงมาก็ผุดวาบเข้ามาในห้วงความคิด นภัทรพยายามทบทวนความจำ ดูเหมือนว่าสตาร์ฟคนนั้นจะรีบเร่งเพื่อทำอะไรสักอย่าง ต้องเป็นซีดีอันนั้นแน่ๆ นภัทรกระตุกวูบในใจ ชายหนุ่มหันมองไปรอบตัว อย่างแรกที่เขาต้องทำก็คือเตือนวิศรุต แต่เขาจะเตือนฝ่ายนั้นได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้วิศรุตก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ นภัทรคิดว่าวิศรุตคงจะไปเตรียมตัวพูดสุนทรพจน์อยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ ตอนนี้ไม่มีเวลาอีกแล้ว เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง


                 เมื่อคิดได้ดังนั้นนภัทรก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้เอง เขาต้องหาทางทำลายไอ้แผ่นซีดีนั้นให้ได้ก่อนที่มันจะกลายเป็นอาวุธทำลายชื่อเสียงของวิศรุตให้ย่อยยับในค่ำคืนนี้


                 ด้วยความที่พอจะจำหน้าตาของสตาร์ฟผู้หญิงคนนั้นได้ นภัทรจึงวิ่งไปเกือบทั่วทั้งงานเพื่อตามหาเอาแผ่นซีดีจากผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มหอบตัวโยนเมื่อพยายามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอตัวอีกฝ่ายเสียที เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องจัดเลี้ยงก่อนจะไปสะดุดกับลำโพงตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ทั้งสองข้างเวที คุณหมอหนุ่มใช้เวลาคิดไม่นานก่อนจะนึกได้ว่าสตาร์ฟคนนั้นและแผ่นซีดีน่าจะอยู่ที่ไหน


               นภัทรคว้าตัวสตาร์ฟผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้นมาถามด้วยน้ำเสียงรัวเร็วว่าห้องควบคุมเสียงอยู่ที่ไหน เมื่อได้ คำตอบแล้วคุณหมอหนุ่มจึงรีบวิ่งออกจากห้องจัดเลี้ยงไปอย่างรวดเร็ว จุดหมายของนภัทรในตอนนี้ก็คือห้องควบคุมเสียงที่อยู่ไม่ไกลจากห้องจัดเลี้ยงนัก ขณะเดียวกันบนเวที พิธีกรก็เริ่มดำเนินรายการเพื่อนำเข้าสู่ช่วงสำคัญของงานเลี้ยงแล้ว นั่นก็คือการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวานั่นเอง พิธีกรกล่าวเชิญวิศรุตขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์เป็นลำดับแรก


                “สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนทุกท่าน ผม วิศรุต ทัดเทวา ในนามของประธานกรรมการบริหารบริษัททัดเทวามีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านได้ให้ความสนใจและอนุเคราะห์สนับสนุนบริษัททัดเทวามาโดยตลอด...”

 


                  ขณะที่นภัทรวิ่งไปยังห้องควบคุมเสียงก็ได้ยินที่วิศรุตกล่าวสุนทรพจน์ด้วย ชายหนุ่มหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทั้งๆที่อากาศภายในโรงแรมก็ไม่ได้ร้อน คุณหมอหนุ่มกัดฟันแน่น ในใจก็บอกตัวเองว่าจะต้องทำให้ได้ เขาจะต้องปกป้องคนที่เขารักให้ถึงที่สุดและเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายวิศรุตเป็นอันขาด ไม่นานนักชายหนุ่มก็มาถึงห้องควบคุมเสียง


                 เมื่อเปิดเข้าไปในนั้น สตาร์ฟภายในห้องออกจะตกใจไม่น้อยกับการพรวดพราดเข้ามาของเขาแบบนี้ นภัทรกวาดตาไปรอบห้องก่อนจะไปสะดุดกับคนๆหนึ่ง สตาร์ฟผู้หญิงคนที่เดินชนเขานั่นเอง ไม่รอช้า คุณหมอหนุ่มเริ่มสาวเท้ายาวเข้าไปหาอีกฝ่ายแทบจะทันที


                  “แผ่นซีดีสีขาวที่น้องถือมาอยู่ที่ไหน” นภัทรถามปนหอบ แววตาสีถ่านมีแววจริงจังเสียจนคนที่ถูกถามกลับเป็นฝ่ายอึกอักเสียเอง


                  “เอ่อ... คือ...” นภัทรไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปค้นกองซีดีที่วางอยู่บนแผงควบคุมทันทีจนสตาร์ฟคนอื่นๆต้องรีบเข้ามาห้ามแล้วบอกว่าที่นี่ห้ามคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเข้ามาอย่างเด็ดขาดแต่เจ้าตัวไม่ยอมฟัง เสียงวิศรุตที่กำลังพูดอยู่บนเวทีเปรียบเสมือนระเบิดที่รอเวลาปะทุ เขาจะต้องหาให้เจอและหยุดคลิปนั้นให้ได้


                 “คุณเข้ามาในนี้ไม่ได้นะครับ” สตาร์ฟสองสามคนเข้ามาห้ามนภัทร แต่ชายหนุ่มสะบัดแขนออกและยังคงค้นหาซีดีต่อไป ในที่สุดเขาก็เจอแผ่นซีดีเจ้ากรรมนั่น นภัทรเบิกตากว้างด้วยความดีใจก่อนจะรีบคว้าออกมา แต่ว่าโดนเหล่าสตาร์ฟขัดขวางเอาไว้แล้วถามว่านภัทรจะเอาแผ่นซีดีเพลงที่เปิดในงานเลี้ยงนี้ไปทำไมกัน คุณหมอหนุ่มมีสีหน้างุนงงเมื่อรู้ว่าแผ่นซีดีนี้เป็นเพียงแค่แผ่นซีดีเพลงธรรมดาเท่านั้น


                “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” เมื่อเห็นสีหน้าของนภัทรที่แสดงถึงความไม่เชื่อ สตาร์ฟคนหนึ่งจึงดึงแผ่นซีดีสีขาวนั้นออกจากมือของคุณหมอหนุ่มแล้วนำไปใส่คอมพิวเตอร์เปิดให้อีกฝ่ายดู ปรากฏว่าเป็นเพียงแค่ซีดีเพลงอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ


                นภัทรแทบหมดแรงเมื่อได้เห็นอย่างนั้น เท่ากับว่าที่เขาวิ่งตามหาแผ่นซีดีไปทั่วทั้งงานก็แทบจะสูญเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่แผ่นซีดีที่เขาหาพบจะเป็นเพียงแค่ซีดีเพลงเท่านั้น อย่างนั้นแผ่นซีดีที่มีคลิปของวิศรุตจะไปอยู่ที่ไหนกันถ้าไม่ใช่ที่นี่


              “ผมว่าคุณลองไปหาแถวๆตรงบริเวณที่ควบคุมจอโปรเจ็กเตอร์ในห้องจัดเลี้ยงดีกว่านะครับ เพราะว่าจอฉายตรงนั้นจะมีคอมพิวเตอร์ต่อเพื่อควบคุมโดยตรง ที่ห้องนี้เป็นเพียงแค่การควบคุมเสียงที่ออกลำโพงรอบบริเวณทั่วงานเท่านั้น บางทีแผ่นซีดีที่คุณหาอาจจะอยู่ที่นั่น” คำพูดของทีมงานคนนั้นทำให้นภัทรฉุกใจคิดขึ้นมาได้ ถ้าหากว่าคลิปนั้นสำคัญมากจริงๆ ภาคินไม่มีทางปล่อยเอาไว้กับสตาร์ฟทั่วไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ชายหนุ่มต้องตัวชาวาบอีกรอบเพราะค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าคลิปนั้นตอนนี้คงไปรอเปิดอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว


              นภัทรรีบร้อนออกจากห้องควบคุมเสียงแทบทันที เมื่อชายหนุ่มเข้ามาถึงห้องจัดงานก็เป็นเวลาเดียวกับที่วิศรุตเพิ่งพูดสุนทรพจน์ประโยคสุดท้ายจบลง


               “...ซึ่งผลงานนี้เป็นผลงานที่ผมและพนักงานทัดเทวาทุกคนภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ณ บัดนี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ภายใต้ชื่อโครงการว่าบ้านเทวานิรมิต”


                ข้างล่างเวที ภาคินพยักหน้าส่งสัญญาณกับลูกน้องของตนให้จัดการเปิดคลิปได้เลย ชายหนุ่มยิ้มสะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ อีกชั่วอึดใจรับรองว่าวิศรุต ทัดเทวาได้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งพาดหัวทุกฉบับแน่


                ในขณะที่แขกทุกคนรวมทั้งสื่อมวลชนพากันให้ความสนใจกับจอโปรเจ็กเตอร์ตรงหน้าที่กำลังขึ้นว่าโหลดข้อมูลจากแผ่นซีดีอยู่ พงศธรที่เพิ่งฟื้นจากสลบก็วิ่งเข้ามาในห้องจัดงานแล้วรีบเข้ามาสมทบกับนภัทร ยังไม่ทันที่นภัทรจะได้พูดอะไร พงศธรก็ชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงรัวเร็วทว่ากลับเบาเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น


               “ไอ้ภาคินกำลังใช้คลิปที่ถ่ายตอนแกกับวินมีอะไรกันในคืนวันงานเลี้ยงของคุณศรามาแฉว่าไอ้วินเป็นเกย์ แกต้องหยุดคลิปนั้นให้ได้ก่อนที่มันจะสายไปนะไอ้กานต์” นภัทรอึ้งไปเมื่อได้รู้เสียทีว่าคลิปเจ้าปัญหานั้นก็คือคลิปบัดสีของเขากับวิศรุตนั่นเอง ชายหนุ่มประสานสายตากับพงศธรแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นและแหบพร่าอย่างคนที่ไร้เรี่ยวแรง


                “ไม่ทันแล้วไอ้พงษ์” พงศธรมองตามสายตาของนภัทรไปก็รู้ได้ว่าตอนนี้คลิปได้ถูกเปิดแล้ว ในที่สุดเขาก็มาไม่ทัน เท่ากับว่างานนี้เขาได้ทำร้ายวิศรุตผู้เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายรวมถึงเพื่อนที่เขารักที่สุดอย่างนภัทรด้วยสองมือของเขาเอง


                 พงศธรหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของนภัทร ชายหนุ่มหันไปมองทางศรารัตน์ที่ยืนห่างออกไปและกำลัง มองมาที่ตนพอดี หญิงสาวจุดยิ้มที่มุมปากราวกับผู้ชนะ ในขณะที่คลิปโหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังถูกเปิดขึ้นบนจอโปรเจ็กเตอร์ สื่อมวลชนจากทั่วทุกสำนักต่างถ่ายรูปและเตรียมอัดวิดีโอข่าวกันอย่างคึกคักกับผลงานชิ้นเยี่ยมที่สุดของวิศรุต ทัดเทวา

 
Aislin: กลับมาแล้วจ้ะ หายหน้าหายตาไปหลายวันเลย อิอิ พอดีช่วงนี้งานยุ่งๆค่ะเลยไม่ค่อยได้อัพนิยาย (เหตุผลแก้ตัวที่เก่ามากกกกกก)

            มาว่าถึงนิยายตอนนี้กันดีกว่าค่ะ เป็นไงบ้างคะ ลุ้นไหมๆๆ อยากรู้อ่ะสิว่าจะเป็นยังไงต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคลิปลับของวินถูกเปิดขึ้นต่อหน้าสื่อหลายสำนัก วินและกานต์ (คนในคลิป) จะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร และศรากับภาคินจะมีแผนการอะไรอีกบ้าง พลาดไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคะ แต่ถ้าหากอยากอ่านต่อไวๆ ได้โปรดคอมเม้นท์ให้นิยายเรื่องนี้หน่อยเถอะค่ะคุณผู้อ่าน ปล่อยให้นักเขียนจ้อคนเดียว บางทีมันก็เหงานะคะ ฮาๆๆ (คอมเม้นท์มาซะดีๆ กร้ากๆๆ)



ปล. แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าเน้อ ขึ้นอยู่กับคอมเม้นท์ล่ะนะ เม้นท์ให้ชื่นใจก็จะมาอัพให้อย่างว่อง หุหุ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)

 
หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)


**********************************************************

ภาพเคลื่อนไหวที่อยู่บนจอโปรเจ็กเตอร์กลับเป็นภาพที่วันชัยและภาคินกำลังปรึกษากันในการวางแผนทำร้ายวิศรุตและศรารัตน์เพื่อฮุบสมบัติของทัดเทวา ซึ่งคลิปนี้เป็นคลิปที่ได้มาจากเมริษานั่นเอง ภาพภาคินกับวันชัยที่เด่นหราอยู่ในคลิปอย่างชัดเจนทำให้คนทั้งคู่หน้าซีดเผือดและตกใจมากกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่กลับตาลปัตรไปแบบนี้ แทนที่คลิปนี้จะเป็นคลิปลับเพื่อแฉว่าวิศรุตเป็นเกย์ แต่ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ กลายเป็นว่าตอนนี้ภาคินและวันชัยกลับโดนแฉเข้าเสียเอง


              วิศรุตมองโปรเจ็กเตอร์ที่กำลังฉายคลิปไปเรื่อยๆสลับกับมองไปรอบตัวด้วยความมึนงง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมโครงการบ้านเทวานิรมิตของเขาถึงเป็นคลิปนี้ไปได้? ส่วนนภัทรก็สบตากับพงศธรด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน สองคนหันไปทางศรารัตน์เป็นตาเดียว หญิงสาวน่าจะเป็นคนเดียวที่ทำให้คำตอบเรื่องนี้กระจ่างออกมา


               “ปิด ปิดเดี๋ยวนี้เลย ฉันบอกให้ปิดไง” วันชัยตะโกนก้องไปทั่วห้องจัดงานด้วยแรงอารมณ์ ชายสูงวัยก้าวเท้ายาวเพื่อจะไปปิดคลิปด้วยตัวเองแต่ว่าศรารัตน์พูดขัดเสียงกร้าว


                “ไม่ต้องปิด วันนี้ทุกคนจะได้รู้ทั่วกันไปเลยว่าธาตุแท้ของนายวันชัยกับภาคิน ทัดเทวานั้นเลวแค่ไหน” ศรารัตน์พูดเสียงกระด้าง หญิงสาวเดินขึ้นไปหยุดที่โพเดียมบนเวที ในขณะที่สื่อจากทุกสำนักถ่ายรูปกันมือเป็นระวิงเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอการแฉเบื้องลึกเบื้องหลังกลางงานแบบนี้มาก่อน “จากคลิปนี้ทุกท่านคงจะเห็นแล้วว่าคุณวันชัยและคุณภาคิน ทัดเทวา ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมีพฤติกรรมที่เป็นความผิดร้ายแรงอย่างยิ่ง ทั้งคู่ร่วมมือกันยักยอกเงินของบริษัท นอกจากนี้ยังเคยวางแผนฆาตกรรมดิฉันเพราะดิฉันบังเอิญได้รู้ความลับเรื่องการยักยอกเงินและวางแผนฆ่าคุณวิศรุตเพื่อที่จะฮุบกิจการของทัดเทวาเอาไว้”


                “ไม่จริง เธอโกหก เธอใส่ร้ายฉันกับลูก นังหลานไม่รักดี แกมันโกหก” วันชัยกระชากเสียงแข็ง สีหน้าของวันชัยในตอนนี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะแรงอารมณ์


            “จากคลิปที่เป็นหลักฐานอยู่ทนโท่ตรงนี้แล้ว อากับภาคินยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอคะ” วันชัยหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเมื่อหลักฐานทั้งภาพและเสียงมันชัดขนาดนี้ ภาคินมองศรารัตน์พลางกำมือแน่นด้วยความเค้น ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ที่แท้ศรารัตน์ก็แสร้งทำเป็นว่ายอมร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดวิศรุต แต่ที่แท้เธอก็ซ้อนแผนหักหลังเขาด้วยการเอาความลับมาแฉกลางงานเลี้ยงแบบนี้


            “ศรารัตน์ แกทรยศฉัน” ภาคินคำรามเสียงดังด้วยความแค้น ตอนนี้บรรดาแขกคนอื่นๆ ทั้งบรรดากรรมการบริหารรวมถึงลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทกำลังมองมาที่เขาและวันชัยพร้อมกับเสียงวิจารณ์ที่ดังเซ็งแซ่ถึงความจริงที่เพิ่งเฉลยออกมา


            “นี่มันเรื่องอะไรกันศรา ทำไม...” วิศรุตถามขึ้นด้วยเสียงร้อนรน ทำไมไม่มีใครบอกเขาเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ศรารัตน์หันมองผู้เป็นพี่ชายแล้วยกมือปรามบอกว่าอย่าเพิ่งถามอะไร ตอนนี้เธอขอจัดการกับเรื่องทั้งหมดก่อน


                “มอบตัวเถอะ ยังไงซะหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้คุณสองคนก็หนีไม่รอดหรอก” คำพูดนี้ศรารัตน์หันไปบอกกับภาคินและวันชัย แต่ภาคินตะคอกกลับ


                  “แกอย่านึกว่าแกแน่นะศรารัตน์ ฉันไม่ยอมแพ้พวกแกสองพี่น้องหรอก พวกแกก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะไอ้วิน... ไอ้คนวิปริต ไอ้พวกชอบ...”


                “หยุดได้แล้วภาคิน ไอ้สารเลว ไอ้ฆาตกร” คำว่าชอบเพศเดียวกันยังไม่ทันได้หลุดออกจากปากของภาคินเพราะภาณุเข้ามาขัดจังหวะพอดีพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ภาคินหันไปมองผู้มาใหม่อย่างตกตะลึง ภาณุรู้เรื่องเมริษา “จับมันเลยครับคุณตำรวจ” ภาณุชี้มาที่ภาคิน “ผมมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่ามันเป็นฆาตกรที่ฆ่าเมริษา”


                วิศรุตต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้รู้ว่าเมริษาตายแล้ว ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่นแล้วมองไปทางภาคินอย่างคิดไม่ถึง ในใจก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ตนเองก็มีส่วนทำให้เมริษาต้องตาย ถ้าหากว่าเขาไม่ขอให้เมริษาร่วมมือ ถ้าหากว่า...


              “อย่าไปฟังมันครับคุณตำรวจ มันรวมหัวกันใส่ร้ายผมกับลูก” วันชัยกรีดเสียงแหลมอย่างไม่ยอมแพ้ เขาไม่มีวันจะมายอมจนแต้มแบบนี้เป็นอันขาด


                 “ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณทั้งสองคนไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ ทั้งเรื่องคดียักยอกเงิน วางแผนฆาตกรรมคุณศรารัตน์และคุณวิศรุต รวมถึงการที่คุณภาคินเป็นผู้ต้องสงสัยในการตายของคุณเมริษาด้วย” ตำรวจจะเข้ามาเชิญตัวภาคินและวันชัยให้ไปโรงพัก แต่ตอนนี้ภาคินเลือดเข้าตาแล้ว ชายหนุ่มผลักตำรวจที่จะเข้ามาคุมตัวเขาอย่างแรง จากนั้นจึงวิ่งขึ้นไปยังโพเดียม บนเวทีที่ศรารัตน์ยืนอยู่


               “แกจะทำบ้าอะไรน่ะภาคิน” ศรารัตน์ถามเสียงสั่นเมื่อเห็นว่าภาคินชักเอาปืนจากภายในเสื้อสูทมาจ่อที่ขมับตน เมื่อตั้งสติได้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันชัยจึงฉวยโอกาสที่ทั้งหมดกำลังตะลึงงันอยู่รีบวิ่งเข้าไปสมทบกับภาคิน ในขณะที่แขกในงานและสื่อมวลชนต่างก็ตื่นตกใจเพราะไม่คิดว่าภาคินจะบ้าคลั่งขนาดเอาปืนออกมาขู่กลางงานเลี้ยงแบบนี้


                “อย่าทำอะไรบ้าๆนะภาคิน ปล่อยศราเดี๋ยวนี้” วิศรุตที่ได้สติก่อนใครเพื่อนรีบพูดขึ้น ชายหนุ่มกลัวว่าน้องสาวจะเป็นอันตรายเพราะภาคินไว้ใจไม่ได้เลย “ปล่อยศราก่อน แล้วมีอะไรค่อยมาพูดกันก็ได้”


                “วางปืนลงเถอะครับ ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงก็ไม่ต้องกลัว ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับคุณแน่นอน” ตำรวจพยายามพูดเกลี้ยกล่อมภาคิน แต่เพื่อความปลอดภัยจึงต้องชักปืนออกมาเล็งเพื่อควบคุมสถานการณ์เอาไว้ด้วย


                 “ไม่ พวกแกรวมหัวกันใส่ร้ายฉันกับพ่อ ฉันไม่ยอม” ภาคินใช้มือหนึ่งล็อกคอแล้วกระชากศรารัตน์ลงจากเวที อีกมือหนึ่งก็ถือปืนเอาไว้ข่มขู่ไม่ให้ใครเข้าใกล้ “อย่าตามมา ไม่งั้นนังนี่เป็นศพแน่” เมื่อเห็นว่าวิศรุตไม่ยอมและจะตามไปช่วยศรารัตน์ ภาคินจึงยิงมาที่วิศรุตเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตน โชคดีที่วิศรุตกลิ้งตัวหลบได้ทัน


                “เป็นอะไรหรือเปล่าวิน โดนตรงไหนหรือเปล่า” นภัทรรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของวิศรุต เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปลอดภัยก็โล่งใจ


                  การยิงปืนข่มขู่ของภาคินจุดชนวนให้ตำรวจต้องพยายามเข้าควบคุมสถานการณ์ ตำรวจสองนายพยายามยิงสกัดทางหนีของภาคินกับวันชัยแต่ก็ไม่ได้ผล เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้บรรดาแขกผู้มาร่วมงานทั้งหมดแตกฮือ ต่างพากันวิ่งหนีและหาที่หลบกันจ้าละหวั่น


                    วิศรุตใช้สายตาเพ่งมองท่ามกลางแขกที่แตกตื่นไปรอบบริเวณห้องจัดเลี้ยงอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่าภาคินและวันชัยกำลังลากศรารัตน์หนีไปทางประตูด้านข้าง ชายหนุ่มมองหน้านภัทรเป็นเชิงรู้กันก่อนทั้งคู่จะรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ส่วนภาณุด้วยความที่แค้นภาคินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปเช่นกัน ชายหนุ่มวิ่งไปอีกทางกะว่าจะไปดักอีกด้านหนึ่งแทน ในขณะที่พงศธรก็วิ่งตามวิศรุตและนภัทรไปติดๆ ในใจของเขาตอนนี้นึกเป็นห่วงศรารัตน์จับใจ

 


                  ภาคินและวันชัยลากศรารัตน์ที่พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์มาที่ลานจอดรถ แต่ก็พบว่าตำรวจได้ดักทางหนีเอาไว้หมดแล้ว ยิ่งคิดภาคินยิ่งแค้นใจ ชายหนุ่มออกแรงใช้ท่อนแขนรัดคอศรารัตน์ให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีกจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออก


                  “มอบตัวเถอะภาคิน หนีไปก็ไม่รอดหรอก ตำรวจล้อมเอาไว้หมดแล้ว” ศรารัตน์พยายามพูดด้วยเสียงอ้อแอ้แต่ภาคินไม่ฟัง ชายหนุ่มกล่าวโทษว่าเป็นเพราะเธอ เขาและพ่อถึงต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ วันชัยเหลียวมองภาคินแล้วพูดเสียงเครียด


                 “ตำรวจมันคงจะไปดักรอที่รถแล้ว เราจะทำยังไงกันดี” ภาคินมองไปรอบตัวอย่างเริ่มจนมุม ที่ลานจอดรถมีตำรวจเต็มไปหมด ถ้าหากว่าเขาหนีออกไปทางด้านหน้าโรงแรมก็คงจะต้องเจอกับด่านตำรวจที่มารอดักเช่นกัน ชายหนุ่มกัดฟันแน่นแล้วตัดสินใจ ในเมื่อพวกนั้นบีบให้เขาจนมุม เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว หากวันนี้เขาไม่รอด พวกมันก็ต้องไม่รอดเหมือนกัน!


                   “ไปที่ดาดฟ้าโรงแรม” ภาคินหันไปพยักหน้ากับวันชัยขณะที่กระชากศรารัตน์ไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า


                 ระหว่างที่กำลังรอลิฟต์มาจอด วิศรุต นภัทร พงศธรและภาณุก็ตามมาถึง ศรารัตน์จะร้องขอให้ช่วย แต่ภาคินกลับบีบลำคอเธอไว้แน่น ภาพที่ภาคินกำลังทำร้ายศรารัตน์ทำให้วิศรุตตากร้าวด้วยความเดือดดาล ชายหนุ่มจะรีบเข้าไปช่วยน้องสาวแต่โดนภาคินตวาดห้ามเอาไว้


                “อย่าเข้ามานะไอ้วิน ไม่งั้นฉันเป่าสมองน้องแกกระจุยแน่” เมื่อเห็นว่าภาคินเอาปืนเลื่อนไปจ่อกะโหลกของศรารัตน์ วิศรุตก็ได้แต่ยืนฮึดฮัดไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะกลัวน้องสาวจะได้รับอันตรายหากภาคินบ้าดีเดือดขึ้นมาจริงๆ


                “แกต้องการอะไร บอกมาฉันจะให้แกทุกอย่าง” วิศรุตพยายามต่อรองแต่ภาคินไม่ฟัง เมื่อลิฟต์มาถึงวันชัยและภาคินก็ใช้ปืนขู่ทั้งหมดก่อนจะดันศรารัตน์ให้เข้าไปในลิฟต์ก่อนที่ตัวเองจะตามเข้าไปติดๆ


              วิศรุต นภัทร พงศธรและภาณุสบตากันด้วยความกังวลระคนหวั่นใจอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง นภัทรพยายามกดเรียกลิฟต์อีกครั้งแต่ว่าตอนนี้วิศรุตร้อนใจด้วยความเป็นห่วงศรารัตน์จนทนรอลิฟต์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งไปทางบันไดหนีไฟเพื่อขึ้นตามพวกภาคินไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเพื่อนๆที่เหลือ

 


                วิศรุตขึ้นมาทันพวกภาคินและวันชัยพอดี ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายบนดาดฟ้าของโรงแรม ท้องฟ้ายามค่ำคืนช่วยบดบังสายตาที่แสดงถึงความสบใจของภาคิน อย่างน้อยถ้าคืนนี้เขาหนีไม่รอด เขาก็จะได้ใช้โอกาสนี้ จัดการวิศรุต คู่แค้นตลอดกาลของตนไปพร้อมกับศรารัตน์เลย ถ้าจะตายก็ตายกันหมดทั้งตระกูลทัดเทวานี่แหล่ะ


               “ปล่อยศราไปเถอะนะ ฉันรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแกเกลียดฉันมาก ศราไม่เกี่ยวอะไรด้วย ปล่อยเธอไปซะ” วิศรุตพูดด้วยเสียงที่พยายามข่มไม่ให้สั่นสะท้าน ชายหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบของภาคินแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ


                 “หยุด อย่าเข้ามานะไอ้วิน ไม่งั้นฉันจะฆ่าศราจริงๆ ไม่เชื่อก็คอยดู” ภาคินยิ่งกดปลายกระบอกปืนให้กดลึกลงยังขมับของศรารัตน์ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ


                  “คนที่แกอยากจะฆ่าที่สุดก็คือฉันไม่ใช่เหรอไง ตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงนี้แล้ว แกกล้าฆ่าฉันไหมล่ะไอ้ภาคิน หรือว่าเก่งแต่เป็นหมาลอบกัด” ดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายไหววูบเป็นประกายท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี


                “แน่นอน ฉันอยากจะฆ่าแกที่สุดไอ้วิน” ภาคินมองคู่แค้นของตนด้วยแววตาโชนแสงกร้าว “ตั้งแต่เด็กแกก็ดูถูกฉันตลอด หาว่าฉันเป็นแค่ไอ้ลูกที่ขอมาเลี้ยง ฉันต้องยอมเป็นลูกไล่ให้แกโขกสับและระบายอารมณ์ แกดูถูกหาว่าฉันเป็นพวกกาฝากที่มาเกาะใบบุญของทัดเทวา แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าแกน่ะนอกจากจะใช้เงินเป็นอย่างเดียวแล้ว แกก็ไม่เคยทำประโยชน์ให้ทัดเทวาเหมือนกัน” คนพูดหยุดหอบด้วยแรงอารมณ์ที่กำลังประทุอยู่ในใจ


                “แกก็เลยวางแผนจะฆ่าฉันแล้วก็ศรางั้นสิ”


               “บริษัททัดเทวาเติบโตมาอย่างยิ่งใหญ่และมั่นคงจนเป็นแนวหน้าของวงการอสังหาฯได้ขนาดนี้ มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของฉันกับพ่อทั้งนั้น ทายาทที่ไม่ได้เรื่องอย่างแกไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมาอ้างความชอบธรรมอะไรทั้งสิ้น” ภาคินเค้นเสียงหนักแล้วหันปลายกระบอกปืนไปทางวิศรุต “ถ้าไม่มีแกสักคน เรื่องทุกอย่างมันก็คงไม่ต้องจบลงแบบนี้”


                 “ถ้าอย่างนั้นเรามาตัดสินกัน ระหว่างฉันที่เป็นทายาทแท้จริง กับแก... ไอ้พวกกาฝากของตระกูล เรามาลองพิสูจน์กันสักตั้งไหมว่าใครมันจะแน่กว่ากัน” วิศรุตท้าทายอีกฝ่ายให้มาสู้กันแบบตัวต่อตัว เมื่อเห็นว่าภาคินมีแววตาลังเล ชายหนุ่มจึงตั้งใจยั่วให้อีกฝ่ายโกรธ เขาเชื่อว่าถ้าหากสู้กันแบบตัวต่อตัวโดยไม่ใช้ปืนแล้วล่ะก็ เขาไม่เป็นรองฝ่ายนั้นแน่ “หรือว่านายก็แค่ไอ้พวกดีแต่ปาก” คำพูดยั่วโมโหของวิศรุตได้ผล ภาคินหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำก่อนจะรับคำท้าของอีกฝ่ายทันที


               ภาคินให้วันชัยเป็นคนจับศรารัตน์ไว้แทนพร้อมกับให้ปืนเอาไว้ด้วย ชายหนุ่มเดินมาหยุดหน้าวิศรุตที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ทั้งคู่ประสานสายตากันด้วยแววตาที่สื่อถึงความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด ภาคินแสยะยิ้มเหี้ยมแล้วพูดเบาๆให้วิศรุตได้ยิน


              “วันนี้จะเป็นวันตายของพวกแกสองพี่น้อง”


              “ไม่รู้เหรอไงว่าฉันกับศราเป็นพวกหนังเหนียว แกพยายามวางแผนฆ่าเรามาตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายเราก็รอดมาได้ทุกที” วิศรุตจุดยิ้มมุมปากเช่นกัน การต่อสู้ตัวต่อตัวแบบนี้เขาถนัดเป็นที่สุด “ถ้านายยังจำได้ คราวที่แล้วในโกดังนั่น ฉันอัดแกจนหน้ายับไปหลายวันเลยนะภาคิน” ภาคินขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำปรามาสจากอีกฝ่าย ครั้งที่แล้วเขาพลาดไป รับรองว่าไม่มีรอบสองแน่


                ภาคินเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน ชายหนุ่มต่อยโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าของวิศรุต แต่อีกฝ่ายเอียงตัวหลบทันก่อนจะใช้สันมือกระแทกไปที่หลังของภาคินอย่างแรงจนเซไป


                ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กัน นภัทร พงศธรและภาณุก็ขึ้นมาถึงดาดฟ้าแล้ว ศรารัตน์หันไปมองทั้งสามคนก่อนจะบอกให้ช่วยตนด้วย หญิงสาวพูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุดเพราะวันชัยเอามืออีกข้างบีบคอเธอไว้จนเกือบจะขาดอากาศหายใจ


                พงศธรถลาจะเข้าไปช่วยศรารัตน์ด้วยความเป็นห่วงแต่วันชัยก็เอาปืนมาขู่ไว้ ทั้งสามคนที่ไม่มีปืนก็ได้แต่รีรอไม่กล้าเข้าไปเพราะกลัวว่าวันชัยจะยิงตัวประกันจริงๆ จึงได้แต่รอคุมเชิงอยู่ห่างๆ


                ฝ่ายภาคินกับวิศรุตที่กำลังสู้กันอยู่อีกมุมหนึ่งก็เป็นไปอย่างดุเดือดเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องแค้นเคืองและบาดหมางใจกันมานาน สุดท้ายแล้วภาคินก็กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ วิศรุตได้จังหวะพลิกตัวขึ้นคร่อมภาคินก่อนจะระดมรัวกำปั้นใส่แบบไม่ยั้งมือจนภาคินมึนไปหลายตลบ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติก่อนจะใช้สองมือที่ว่างอยู่กระชากคอเสื้อของวิศรุตเพื่อยื้อร่างอีกฝ่ายเอาไว้ให้อยู่ในท่านั้นแล้วตะโกนเสียงดังบอกวันชัยให้ใช้โอกาสนี้ฆ่าวิศรุตทิ้งเสีย


                 “พ่อ ยิง... ยิงไอ้วินเดี๋ยวนี้เลย” จังหวะคับขันที่วันชัยกำลังเล็งปืนเพื่อยิงวิศรุต มือที่ล็อกคอศรารัตน์อยู่ก็คลายลงเล็กน้อย หญิงสาวจึงใช้โอกาสนี้สะบัดให้หลุดจากวันชัยแล้วพยายามแย่งปืนจากผู้เป็นอา


                ด้านนภัทร พงศธรและภาณุที่รอท่าอยู่แล้วก็รีบเข้ามาช่วยศรารัตน์ทันที พงศธรเข้าไปช่วยศรารัตน์ออกมาในขณะที่ภาณุกับนภัทรเข้าไปแย่งปืนกับวันชัยจึงทำให้ปืนลั่นขึ้นหนึ่งนัดแต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเพราะกระสุนเฉียดไป พงศธรกอดศรารัตน์เอาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วงและต้องการปกป้องร่างในอ้อมแขนตน


                เสียงปืนที่ก้องไปทั่วทั้งดาดฟ้าทำให้วิศรุตชะงักจากร่างที่อยู่ในสภาพเริ่มสะบักสบอมของภาคิน ชายหนุ่มหันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจเพราะนึกเป็นห่วงศรารัตน์ นภัทรและเพื่อนอีกสองคน แต่การที่วิศรุตทำอย่างนั้นทำให้ตัวเองเสียสมาธิและในที่สุดก็พลิกกลับเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบภาคินจนได้


               อีกด้านหนึ่ง ภาณุและนภัทรอาศัยแรงที่เหนือกว่าผลักวันชัยจนล้มกระเด็นไปอยู่ใกล้กับตรงที่ภาคินและวิศรุตกำลังต่อสู้กันอยู่ ปืนในมือวันชัยจึงหลุดกระเด็นไถลไปอีกฝั่งด้านหนึ่งของดาดฟ้า


              เมื่อภาคินเห็นได้จากทางหางตาว่าวันชัยเสียท่าอีกฝ่ายและถูกผลักล้มจนหัวแตกเพราะกระแทกกับพื้นซีเมนต์ ชายหนุ่มรีบละมือจากการบีบคอวิศรุตที่กำลังหน้าเขียวเพราะขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็วิ่งไปดูวันชัยที่กำลังนอนหมดแรงอยู่ที่พื้นใกล้ๆกันทันที


              “พ่อ เป็นยังไงบ้าง พ่อ...” เมื่อเห็นว่าวันชัยมีเลือดซึมออกจากบริเวณศีรษะที่แตก ภาคินก็ยิ่งโมโหจะเข้าไปจัดการกับภาณุและนภัทร


              “ปืน... ปืน...” ภาคินตวัดสายตามองตามที่วันชัยชี้ ปืนของเขาตกอยู่อีกด้านหนึ่ง ไวเท่าความคิด ภาคินจึงรีบวิ่งถลาเข้าไปจะหยิบปืน ซึ่งภาณุกับนภัทรก็จะรีบวิ่งเข้าไปแย่งปืนเช่นกัน แต่ไม่ทันเสียแล้ว ภาคินไปถึงปืนก่อน


               “ตายซะเถอะไอ้วิน” ภาคินประทับปืนจะยิงวิศรุตที่พยายามพยุงตัวยืนขึ้นมาจากอาการบอบช้ำที่ถูกทำร้าย แต่เมื่อเห็นว่าภาคินกำลังเล็งปืนมาทางตน วิศรุตจึงพยายามป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณโดยการกัดฟันข่มความเจ็บปวดแล้วกระชากร่างของวันชัยที่อยู่ใกล้ๆกับตนมาบังวิถีกระสุนแทน ทำให้ภาคินพลั้งมือฆ่าวันชัยตาย


              “พ่อออออออออออออ....” ภาคินตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่าร่างของวันชัยค่อยๆล้มลงต่อหน้าตนเองท่ามกลางความตกใจของทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้แต่ศรารัตน์ยังกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า ภาคินจ้องวิศรุตด้วยความแค้นที่สุดในชีวิต ชายหนุ่มจะยิงวิศรุตอีกรอบ นภัทรกับศรารัตน์ร้องเสียงหลง


             “วินระวัง/วินหลบไป” ศรารัตน์ตะโกนลั่นเมื่อเห็นว่าภาคินจะทำอะไร ส่วนนภัทรที่ได้สติก็รีบพุ่งตัวเข้ามาผลักวิศรุตให้พ้นจากวิถีกระสุน ทั้งคู่ล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกัน รอดจากการถูกยิงอย่างหวุดหวิด


              แต่ภาคินไม่ยอมหยุดแค่นั้น ตอนนี้เลือดเข้าตาแล้ว ชายหนุ่มไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีก มาถึงตอนนี้เขาไม่คิดเสียดายชีวิต อย่างน้อยถ้าเขาตายเขาก็จะไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายรอดเช่นกัน ภาคินเดินย่างสามขุมเข้าไปหาวิศรุตกับนภัทรที่ล้มลงอีกด้านหนึ่ง มือที่ถือปืนอยู่ไม่สั่นแม้แต่น้อยราวกับรอเวลานี้มานานแล้ว วิศรุตกุมมือนภัทรเอาไว้แน่น ไม่มีร่อยรองความกลัวในแววตาสีน้ำตาลโศกแม้เพียงสักนิด ในขณะที่ศรารัตน์ พงศธรและภาณุเบิกตากว้างด้วยความตกใจ


              “ถ้ารักกันมากนัก เดี๋ยวฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้” โดยไม่มีใครคาดคิด ศรารัตน์สะบัดหลุดจากอ้อมกอดของพงศธรแล้วเข้าไปแย่งปืนจากมือของภาคินท่ามกลางความตกใจของทุกคน


              “หนีไปเร็ววิน ไม่ต้องห่วงฉัน... บอกให้หนีไปไง” ศรารัตน์ตะโกนบอกด้วยเสียงแหบพร่าขณะที่พยายามจะเบนปลายกระบอกปืนให้หันไปทางอื่น แต่วิศรุตไม่ยอมหนี เขาไม่มีวันจะทิ้งน้องสาวตัวเองให้เป็นเหยื่อของคนเลวอย่างภาคินแน่ ชายหนุ่มบอกนภัทรให้พาทุกคนหนีไปก่อน เดี๋ยวทางนี้เขาจะจัดการเอง


               “ไม่มีทาง ถึงตายฉันก็จะต้องปกป้องนายให้ได้วิน” นอกจากนภัทรจะไม่ยอมทำตามแล้ว คุณหมอหนุ่มยังเข้าไปช่วยวิศรุตกับศรารัตน์แย่งปืนกับภาคินด้วย ส่วนพงศธรกับภาณุก็มองหน้ากันด้วยความวิตกและหวาดเสียว ก่อนที่พงศธรจะได้สติแล้วบอกให้ภาณุรีบไปนำตำรวจขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้า ส่วนตนจะเข้าไปช่วยเพื่อนอีกแรง


            หลังจากที่ภาณุรีบลนลานลงไปขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยแล้ว พงศธรก็อ้อมไปด้านหลังแล้วล็อกคอภาคินเอาไว้หวังจะให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากปืน แรงดึงจากทางด้านหลังทำให้มือภาคินที่ถือปืนอยู่บิดไปอีกข้างหนึ่งเป็นโอกาสให้ นภัทรใช้เข่ากระแทกลำตัวของภาคินเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายทิ้งปืน แต่ภาคินก็ไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ ชายหนุ่มใช้ขายันนภัทรจนอีกฝ่ายล้มลงก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่ศอกกลับหลังเพื่อสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมของพงศธรและมันก็ได้ผลเพราะในที่สุดพงศธรก็ยอมปล่อยมือจากการล็อกคอภาคิน

 
           ภาคินจะกระแทกศรารัตน์ให้หลุดออกไปอีกคนแต่หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เธอออกแรงดันปลายกระบอกปืนลงต่ำก่อนจะ ช่วยกันกับวิศรุตเพื่อพยายามปลดปืนออกมาจากมืออีกฝ่าย แต่เสียงปืนในมือภาคินกลับดังขึ้นอีกรอบ


            ภาคินสบตาสองพี่น้องทั้งวิศรุตและศรารัตน์ด้วยความเกลียดชัง ซึ่งทั้งคู่ก็มองภาคินด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันเท่าใดนัก ชั่วอึดใจ ร่างของคนๆหนึ่งก็ล้มลงพร้อมกับเลือดที่เปรอะชุดที่สวมอยู่จนแดงฉาน

 

Aislin: มาอัพนิยายต่อให้แล้วจ้ะ เรื่องกำลังเข้มข้นอยู่เลยใช่ไหมคะท่านผู้ชมมมม ฮาๆๆๆ และแล้วก็ตัดจบแบบค้างคาอีกเช่นกัน อยากอ่านต่อเชิญคอมเม้นท์โลดดด (นี่เอาคอมเม้นท์มาล่อเลยนะคะเนี่ย หุหุ)

            เดี๋ยวตอนหน้ามาลุ้นกันดีกว่าว่าใครจะโดนยิง คุณผู้อ่านลองทายมาได้เลยเน้อออ มาถึงตอนนี้จะมีคนสงสารศราบ้างไหมเนี่ย เมื่อความจริงเฉลยออกมาแล้วว่าเป็นแผนของศรา หลายๆคนคงโล่งใจที่จะไม่เห็นศึกสายเลือด (เพื่อแย่งหมอกานต์) อิอิ และเดี๋ยวตอนหน้ามาลุ้นกันต่อเน้อ แล้วมาดูกันว่าเกมชิงอำนาจในโลกธุรกิจอสังหาฯ ของบรรดาทายาททัดเทวาจะจบลงเช่นไร อย่าลืมติดตามกันนะคะ


 

ปล. ตอนนี้รูปเล่มยังเหลืออยู่บ้าง ใครสนใจติดต่อมาได้ทางแฟนเพจหรือทางอีเมลได้เลยนะคะ อยากบอกว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะแถมตอนพิเศษแบบจุใจให้เลย 3 ตอน (ไม่เคยเอาลงเว็บใดๆ มีเฉพาะในเล่มเท่านั้นค่ะ) หรือจะอุดหนุนแบบอีบุ๊คก็ยินดีเน้อ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยาทรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)


หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)

*********************************************


             ภาคินแสยะยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองร่างของวิศรุตที่ล้มลงด้วยความสะใจ วินาทีนั้นนภัทรและพงศธรตัวชาไปกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าที่วิศรุตโดนยิง ศรารัตน์หวีดร้องดังลั่นก่อนจะถลาเข้าไปประคองร่างผู้เป็นพี่ชาย คำพูดที่เอ่ยออกมาสั่นพร่าแทบไม่เป็นภาษา


           “วิน นายต้องไม่เป็นไรนะ ทำใจดีๆเอาไว้” วิศรุตหายใจหอบหนักแต่ก็ยังอดเป็นห่วงศรารัตน์ไม่ได้เมื่อเห็นว่าภาคินกำลังเล็งปืนมาที่เขาทั้งสองคนอีกครั้ง


            “ศรา... ระวัง...” ศรารัตน์หันไปมองภาคินที่กำลังเล็งเป้ามาที่ตนอย่างไม่กลัว


            “ตายตามพี่แกไปเถอะนังคนทรยศ” ยังไม่ขาดคำ เสียงปืนก็ดังขึ้นรัวหลายนัดพร้อมกับร่างภาคินที่กระตุกและล้มลงตรงหน้าของหญิงสาว ดวงตาคมกริบเบิกโพลงด้วยความแค้นที่อัดแน่นในใจ ภาคินกระอักเลือดออกจากปากก่อนค่อยๆหันศีรษะมาทางศรารัตน์และวิศรุต “ฉัน... เกลียด... พวกแก” จากนั้นตลอดทั้งร่างของภาคินก็แน่นิ่งไปโดยที่ดวงตายังคงเบิกกว้างจับจ้องอยู่ที่สองพี่น้องทัดเทวา ดวงตาคู่นั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มเกลียดชังวิศรุตและศรารัตน์เพียงใด


            เมื่อได้สติ นภัทรกับพงศธรจึงรีบวิ่งมาหาวิศรุตที่นอนหายใจรวยรินอยู่ใกล้ๆกับศรารัตน์ ภาณุเองก็เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มรีบวิ่งแหวกกลุ่มตำรวจเข้ามาหาเพื่อนรักของตนด้วยสีหน้าซีดเผือด นภัทรเอามือของวิศรุตไปกุมไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ขณะที่เลือดสีแดงสดก็ยังคงไหลออกจากบาดแผลที่โดนยิงอย่างไม่ยอมหยุดง่ายๆ


            “วิน นายต้องเข้มแข็งไว้นะ นายต้องอดทน ไม่ต้องห่วง ฉันจะรักษานายเอง” ริมฝีปากของนภัทรสั่นระริก ภาพวิศรุตที่นอนจมกองเลือดกำลังบีบเค้นหัวใจของชายหนุ่มอย่างรุนแรง วิศรุตฝืนยิ้มบางๆให้คุณหมอหนุ่ม


            “กานต์... ศรา... ปลอดภัยใช่ไหม” น้ำเสียงแผ่วระโหยของวิศรุตเรียกหยาดน้ำตาของศรารัตน์ให้ไหลลงมาเป็นทาง ถึง   ขนาดนี้แล้ววิศรุตก็ยังเป็นห่วงเธอ หญิงสาวจับมือวิศรุตแน่นแล้วบอกว่าเธอปลอดภัยดีและชายหนุ่มจะต้องไม่เป็นอะไร วิศรุตไม่ทันได้ตอบก็หมดสติไปก่อนท่ามกลางความตกใจของทุกคน

 


            วิศรุตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเพราะเสียเลือดมากและกระสุนโดนอวัยวะสำคัญ ทั้งหมดวิ่งกรูตามร่างของวิศรุตที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ศรารัตน์มองภาพนั้นด้วยความหวั่นใจไม่น้อย ในใจก็พยายามปลอบตัวเองว่าวิศรุตจะต้องไม่เป็นอะไร และที่สำคัญคือหญิงสาวเชื่อมือหมอนภัทร เชื่อแน่ว่าเขาจะต้องรักษาชีวิตของพี่ชายเธอเอาไว้ได้อย่างแน่นอน เธอเชื่อ... อย่างน้อยตอนนี้ก็พยายามบอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น


            เมื่อวิศรุตถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว ศรารัตน์ก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แถวนั้นด้วยอาการหมดแรง หญิงสาวโทษตัวเองอยู่ในใจว่าเรื่องนี้เธอเป็นต้นเหตุทั้งหมด ถ้าไม่เป็นเพราะแผนการบ้าๆของเธอ วิศรุตก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพปางตายแบบนี้ พงศธรมองอาการของศรารัตน์ด้วยความเครียดไม่แพ้กัน ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วกุมมือเธอเอาไว้


            “ทำใจดีๆนะครับคุณศรา วินต้องไม่เป็นอะไร” แม้จะปลอบไปอย่างนั้นแต่ลึกๆพงศธรก็อดจะกลัวไม่ได้ สภาพวิศรุตที่ถูกยิงอาการปางตายทำให้ชายหนุ่มพูดปลอบอีกฝ่ายได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก


            “เพราะแผนการโง่ๆของฉันเอง เพราะฉันเองแท้ๆ ถ้าฉันบอกวินเรื่องแผนการนั่นก่อน วินก็คงจะไม่โดนยิง” ศรารัตน์น้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกผิดที่กดทับในใจอย่างรุนแรง เพียงเพราะต้องการให้แผนการนี้แนบเนียนที่สุด หญิงสาวจึงเลือกที่ จะไม่บอกใคร เธอยอมถูกพงศธรเข้าใจผิด ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงร้ายกาจที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งพี่ชายร่วมสายเลือดของตัวเอง เธอเลือกที่จะจัดการทุกอย่างโดยไม่ขอความเห็นชอบจากวิศรุต เพราะถ้าหากวิศรุตรู้ล่ะก็ แผนการเปิดโปงความชั่วของวันชัยและภาคินก็คงไม่แนบเนียนขนาดนี้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็คาดการณ์ผิดจนได้


            “วินเป็นคนดวงแข็ง อีกอย่างไอ้กานต์ก็เป็นหมอผ่าตัดชื่อดัง พี่เชื่อว่าไอ้วินต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนาน” ภาณุเข้ามาช่วยปลอบด้วย ถึงแม้ว่าจะหนักใจไม่น้อยกับอาการบาดเจ็บของเพื่อนรัก แต่อีกใจหนึ่งภาณุก็โล่งใจที่ภาคินตายแล้ว อย่างน้อยคนผิดก็ได้ชดใช้กรรมที่ก่อไว้ และเมริษาก็ไม่ได้ตายฟรี “สรุปว่านี่ก็เป็นแผนการของศราตั้งแต่ต้นเลยเหรอ แล้วก็เรื่อง เอ้อ คลิปอะไรนั่นด้วย” ศรารัตน์พยักหน้ารับแล้วค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟัง

           


           ‘ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดกับเธอ’ วิศรุตพูดเสียงหนักขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลโศกมีแววเคร่งเครียดอย่างปิดไม่มิด ‘อันที่จริงต้องเรียกว่าขอร้องเธอถึงจะถูก’ เมื่อเห็นว่าศรารัตน์มีสีหน้าสงสัยในสิ่งที่ตนพูด วิศรุตจึงระบายลมหายใจบางก่อนจะตัดสินใจ ‘เล่า’ เรื่องราวบางอย่างให้ศรารัตน์ฟัง ‘จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกเธอว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอถึงสองครั้งสองคราน่ะ ที่แท้แล้วเป็นฝีมือของอาวันชัยกับภาคิน’


          ‘นายรู้ได้ยังไง’ น้ำเสียงศรารัตน์คลางแคลงใจ หญิงสาวไม่อยากเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะกล้าทำได้ถึงขนาดนี้เพราะเธอเอง ก็เป็นหลานแท้ๆของวันชัย


          ‘เรื่องนี้เมริษาเป็นพยานให้ได้ ตอนนี้เธอกลายมาเป็นพวกของเราแล้ว เธอจะคอยสืบเรื่องจากสองพ่อลูกนั่นแล้วมารายงานเรา’ ศรารัตน์นิ่งไปกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รู้ เมื่อครู่วิศรุตบอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับเธอ ตอนนี้เธอเริ่มอยากรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไร


          ‘เอาเป็นว่าขอบใจที่บอก แล้วฉันจะระวังตัวให้มากกว่านี้ เอ้อ แล้วนายมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันอีกหรือเปล่า’


          ‘ฉันอยากจะขอร้องเธอให้ร่วมมือกับฉัน ตอนนี้ฉันกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดกับสองคนนั้นอยู่ ฉันรู้ว่าตอนนี้หน้าฉันเธอยังไม่อยากจะมอง แต่ถ้าเราพักเรื่องของ... นภัทร แล้วเรามาร่วมมือกันเปิดโปงแผนชั่วของ...’ ชื่อของนภัทรทำให้ ศรารัตน์ชะงักไป ดวงตาสีน้ำตาลไหววูบเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นนิ่งสนิทตามเดิม


          ‘เรื่องนี้ฉันจะเก็บไปคิดอีกทีหนึ่ง นายออกไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อน’


          ‘แต่ว่าเรื่องนี้รอไม่ได้นะศรา’ วิศรุตพยายามท้วงแต่ศรารัตน์ยังคงมีท่าทีเฉยชาจนคนพูดเริ่มหมดความพยายาม


          ‘ตามใจเธอก็แล้วกัน ถ้าเธออยากปล่อยให้ไอ้พวกที่ทำร้ายเธอลอยนวล ให้พวกนั้นได้เสวยสุขอยู่ในทัดเทวาต่อไปก็ตามใจเธอ แต่ฉันไม่มีวันยอมแน่’ วิศรุตพูดทิ้งท้ายก่อนออกไปจากห้องด้วยความหัวเสียไม่น้อย


          เมื่อลับหลังอีกฝ่าย ดวงตาเรียบสนิทของศรารัตน์ก็เป็นประกายเจิดจ้าทันที เธอไม่ได้จะปล่อยให้พวกนั้นลอยนวลหรอก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เธอก็มีวิธีจัดการในแบบของเธอเช่นกัน

 


            “หลังจากนั้นฉันก็แกล้งทำเป็นพวกเดียวกับภาคิน แต่เพื่อให้มันวางใจฉันเต็มที่ ฉันก็เลยวางแผนแอบอัดคลิปตอนที่วินกับหมอกานต์มีอะไรกันเพื่อให้แนบเนียนสมจริงมากขึ้น โดยที่ไม่ได้บอกคุณพงษ์และปล่อยให้เข้าใจผิดอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันก็ได้ผล ภาคินเชื่อสนิทใจว่าฉันกำลังหักหลังวินและจะเอาคลิปนั้นไปแฉเพื่อทำลายชื่อเสียงของพี่ชายตัวเอง”


            “ขอโทษนะครับคุณศราที่ผมเข้าใจคุณผิด” พงศธรเอ่ยขอโทษศรารัตน์ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่คิดถือสาเพราะรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดเธอเป็นต้นเหตุตั้งแต่แรก


            “แต่ที่พี่สงสัยก็คือคลิปที่ถ่ายไอ้วินกับไอ้กานต์อยู่ที่ไหน ทำไมคลิปที่อยู่ในมือของภาคินถึงเป็นคลิปหลักฐานที่พวกเราได้มาจากเมริษาล่ะ”


            “คลิปที่ถ่ายวินกับหมอกานต์อันนั้นฉันทำลายทิ้งไปแล้วค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งคู่ที่ยังสงสัยอยู่ ศรารัตน์จึงอธิบายต่อ “ตอนที่ภาคินมาเอาคลิปจากฉันไป ตอนนั้นฉันแอบเอาแผ่นซีดีที่วินได้จากเมริษามาสับเปลี่ยนกับแผ่นซีดีที่อัดคลิปของวินกับหมอกานต์น่ะค่ะ” คนฟังจึงถึงบางอ้อ พงศธรเหลียวมองศรารัตน์ด้วยความชื่มชมในความฉลาดของอีกฝ่าย แผนการนี้ช่างแนบเนียนเหลือเกิน ไร้ช่องโหว่จนแม้แต่จอมเจ้าเล่ห์อย่างภาคินก็มองไม่ออก


            “แล้วศราก็เลือกที่จะปิดบังวินไว้” หญิงสาวพยักหน้ารับคำพูดของภาณุ


            “ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ถ้าฉันรู้ว่าวินจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ สู้บอกแผนการในตอนนั้นก็ยังจะดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยวินจะได้ระวังตัวเองมากขึ้น”


            “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับคุณศรา คุณทำดีที่สุดแล้ว ใครมันจะไปรู้ได้ล่ะว่าไอ้ภาคินจะพกปืนมาในงานเลี้ยงด้วย” คำปลอบของพงศธรไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ เมื่อพูดถึงวิศรุต ศรารัตน์ก็มีสีหน้าหมองไปทันที หญิงสาวชะเง้อหน้าไปทางห้องฉุกเฉินด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าป่านนี้คนในห้องนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง


            ผ่านไปหลายชั่วโมง ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก นภัทรเดินออกมาในขณะที่ศรารัตน์ พงศธรและภาณุก็รีบเข้าไปถามอาการของวิศรุตด้วยความเป็นห่วง


            “วินเป็นยังไงบ้างคะ ปลอดภัยหรือยัง”


            “ไอ้วินไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมวะ แล้วเข้าไปเยี่ยมได้หรือเปล่า”


            “ว่าไงล่ะไอ้กานต์ ตกลงไอ้วินเป็นยังไงบ้าง” นภัทรมองหน้าทั้งสามคนที่รอลุ้นคำตอบจากเขาโดยเฉพาะศรารัตน์ ดวงตาสีน้ำตาลแบบเดียวกับวิศรุตกำลังจ้องเขาเขม็ง คุณหมอหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว แม้จะผ่านการผ่าตัดรักษาคนไข้มามากมาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกหนักใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลยในชีวิต


            “วิน... กระสุนโดนอวัยวะสำคัญ ตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตราย” คำพูดของนภัทรดับความหวังในใจของศรารัตน์เสียจนแทบมอด มือที่ยื่นไปกุมแขนของนภัทรไว้เปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบประดุจน้ำแข็ง “ถ้าหากพ้นคืนนี้ไปได้ก็น่าจะ... ไม่มีปัญหาครับ” พูดจบนภัทรก็ขอตัวแยกไปทันที คุณหมอหนุ่มเดินห่างจากทั้งสามคนไปเรื่อยๆ เขาไม่อยากให้ใครต้องเห็นความอ่อนแอในดวงตาของเขา นภัทรสูดลมหายใจลึกพลางสะกดกลั้นน้ำใสๆที่กำลังคลอเอ่อดวงตาสีถ่าน นายต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้นะวิน

 


            นภัทรเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าเตียงในห้องฉุกเฉินซึ่งวิศรุตนอนอยู่ สายจากเครื่องมือแพทย์ที่ถูกโยงไปทั่วร่างคนตรงหน้าทำให้นภัทรเม้มปากแน่น คุณหมอหนุ่มเอามือของวิศรุตที่ยังอุ่นอยู่มาแนบแก้มแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว


            “ฉันมีเรื่องมากมายที่อยากจะอยากจะบอกกับนาย เมื่อไหร่นายจะตื่นซะทีล่ะวิน” นภัทรไล้มือไปตามใบหน้าหล่อเหลาของวิศรุตที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นซีดเผือด “นายอย่าเป็นอะไรไปนะ อย่าทิ้งฉันไปแบบนี้”


            ศรารัตน์ที่แอบฟังอยู่หลังม่านกั้นเตียงผู้ป่วยชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของนภัทร หญิงสาวมองนภัทรที่กำลังกุมมือวิศรุตอยู่ด้วยความปวดใจกับภาพที่เห็น เธอเห็นกับตาว่านภัทรมีสีหน้าตกใจเพียงไรเมื่อเห็นว่าวิศรุตโดนยิง คุณหมอหนุ่มหน้าซีดไร้สีเลือดเมื่อตอนที่พี่ชายของเธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และสิ่งที่เธอกำลังเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือนภัทรกำลังร้องไห้... นภัทร ร้องไห้ให้กับวิศรุต


            “ลืมตาสิวิน ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันอยู่ข้างๆนายแล้วนะ” นภัทรมองร่างที่ยังไม่รู้สึกตัวผ่านดวงตาที่คลอเอ่อไปด้วยน้ำใส คุณหมอหนุ่มพยายามกลั้นก้อนแข็งๆลงคอแต่ก็ทำได้อย่างยากเย็น ตั้งแต่เป็นหมอมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ถึงขนาดนี้ อาชีพของเขาเป็นอาชีพที่บางครั้งก็ต้องทำใจให้คุ้นชินกับความตายเพราะไม่อาจฝืนกฎธรรมชาติได้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน คนที่นอนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือผู้ชายที่เขารัก จะให้เขาทำใจได้อย่างไรหากว่าจะต้องสูญเสียวิศรุตไปจริงๆ


            ภาพเมื่อในอดีตแล่นวาบเข้ามาในห้วงความคิดของนภัทรอีกครั้ง ภาพตอนที่น้ำหวานจากไปทำให้นภัทรยิ่งกลัว... กลัวว่าภาพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สอง


            “จำได้ไหม ตอนวันเกิดฉันที่ผ่านมา นายเคยร้องเพลงให้ฉันฟังเพลงหนึ่ง” นภัทรกะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำที่คลอเอ่ออยู่ ตรงบริเวณหน่วยตา ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปค่อยๆเอ่ยเนื้อเพลงท่อนหนึ่งออกมา คุณหมอหนุ่มได้แต่หวังว่าวิศรุตจะรับรู้ได้ถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ “There could just be an only you...my only you and you alone that my heart really truly belong. I pledge my life to… to love you without asking anything in return” 


            ศรารัตน์น้ำตาไหลพราก เพราะเธอที่เป็นต้นเหตุใช่ไหม? เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้วิศรุตบาดเจ็บก็แย่มากพออยู่แล้ว แต่ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือเธอกำลังทำร้ายหัวใจของคนสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่เธอรัก ส่วนอีกคนก็เป็นผู้ชายที่รักและห่วงใยเธอมากเหลือเกิน ความเห็นแก่ตัวของเธอกำลังทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด ภาพเบื้องหน้าทำให้เธอได้รู้ว่านภัทรรักวิศรุตมากแค่ไหน ความรักผิดธรรมชาติแบบที่เธอเคยปฏิเสธมาตลอด บัดนี้มันกำลังฉายชัดอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว


            “ฉันขอโทษนะวิน... ขอโทษจริงๆ” ศรารัตน์กัดริมฝีปากจนเจ็บ หญิงสาวพร่ำขอโทษวิศรุตซ้ำไปซ้ำมาในใจอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน


 

            อาการบาดเจ็บของวิศรุตพ้นขีดอันตรายมาอย่างปาฏิหาริย์ หลังจากตรวจเช็กอาการและบาดแผลอย่างละเอียดแล้ว นภัทรจึงสั่งย้ายวิศรุตไปพักที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ซึ่งหลังจากสลบไม่ได้สติไปถึงสองวันวิศรุตจึงค่อยรู้สึกตัว เมื่อพยาบาลโทรไปแจ้งว่าชายหนุ่มรู้สึกตัวแล้ว ศรารัตน์จึงรีบมาที่โรงพยาบาลทันที จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง สายตาก็มองเห็นจากช่องกระจกใสที่ประตูว่าวิศรุตไม่ได้อยู่คนเดียว นภัทรเองก็อยู่ในนั้นด้วย


            ศรารัตน์มองวิศรุตที่กำลังยิ้มกว้างให้นภัทรด้วยแววตาเจือความเศร้า ทั้งที่เธอควรดีใจถึงจะถูกที่วิศรุตอาการดีขึ้นแล้ว แต่ทำไมเมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว หญิงสาวถึงรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นมาบีบขยี้จนแหลกสลาย ศรารัตน์ฝืนยิ้มเศร้าให้ตัวเอง ตั้งใจจะหันกลับแต่บังเอิญว่าดันเจอกับภาณุเสียก่อน


            “ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะศรา” ภาณุสงสัยก่อนจะเดาอะไรได้ลางๆเมื่อเห็นสีหน้าของศรารัตน์ “วินคงดีใจมากที่เห็นว่าเธอมาเยี่ยม”


            “พี่โอมเข้าไปเถอะค่ะ เดี๋ยวศรากลับก่อนดีกว่า วันหลังค่อยมาใหม่” ศรารัตน์เอ่ยขอตัวแล้วเดินเลี่ยงออกไป เมื่อมองเข้าไปในห้อง ภาณุก็เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นถูกต้องแล้ว ชายหนุ่มเรียกศรารัตน์เอาไว้


            “ถ้าศราไม่มีธุระที่ไหนต่อ พี่ว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันไหม” ศรารัตน์สบตาอีกฝ่ายอย่างลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมตกล


            ภาณุพาศรารัตน์มานั่งคุยและดื่มกาแฟกันที่ร้านคอฟฟี่ช็อปของโรงพยาบาล หญิงสาวสังเกตเห็นภาณุสวมชุดดำจึงทักขึ้นโดยไม่ทันได้คิด


            “ตอนเช้าพี่เพิ่งไปลอยอังคารของเมริษามาน่ะ” คำตอบของภาณุทำให้ศรารัตน์เงียบไป เมื่อเห็นท่าทางของคู่สนทนาภาณุก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูด ชายหนุ่มรู้ว่าในใจศรารัตน์ก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยกับเรื่องการตายของเมริษา แต่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว คนชั่วก็ได้ชดใช้กรรมอย่างสาสมไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปโทษหาว่าใครผิดอีก “ว่าแต่ที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง”


            “เรื่องที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อบริษัทมาก หุ้นบริษัทก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว พวกนักข่าวเองก็ตั้งใจจะเล่นข่าวนี้เป็นพิเศษ แต่สุดท้ายเราก็ใช้ทั้งเงินและอำนาจธุรกิจที่อยู่ในมือบังคับให้เรื่องมันจบลงจนได้” ภาณุมองอีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ หลายวันที่ผ่านมา ศรารัตน์คงต้องเหนื่อยมากพอดู ทั้งเรื่องพี่ชายที่มาโดนยิงอาการปางตาย อีกทั้งยังต้องรับมือกับเรื่องยุ่งๆที่บริษัทอีก


            “ตอนนี้วินก็ฟื้นแล้ว ขอโทษนะที่พี่ขอถามตรงๆ ศราจะทำยังไงกับเรื่องของวินแล้วก็กานต์” คำถามที่ไม่อ้อมค้อมของภาณุสามารถทำให้ศรารัตน์เกิดความกระอักกระอ่วนใจได้ในทันที หญิงสาวใช้หลอดคนกาแฟปั่นในแก้วเล่นก่อนจะถามย้อนกลับ


            “แล้วถ้าเป็นพี่โอมล่ะคะ จะทำยังไง”


            “คำถามนี้พี่คิดว่าศราเองก็คงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากจะพูด” สีหน้าที่แสดงถึงอาการตั้งใจฟังของคู่สนทนาทำให้ภาณุยิ้มบาง “แต่ละคนมีมุมมองต่อความรักไม่เหมือนกัน เราอาจจะเห็นเป็นสิ่งหนึ่ง แต่คนอื่นกลับเห็นเป็นอีกอย่าง การจะทำให้คนอื่นเห็นในแบบที่เราเห็นหรือว่ามองในองศาเดียวกับที่เรามอง บางทีมันก็เป็นไปไม่ได้”


            “พี่โอมตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่คะ”


            “ไอ้วินแอบรักกานต์ข้างเดียวมาตลอดสิบสามปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา วินเสียน้ำตาไปมากมายกับความรักที่หลายคนบอกว่ามันผิดครรลองธรรมชาติ แต่ในที่สุดก็มีวันนั้น... วันที่กานต์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากไอ้วิน รู้ไหมว่าในใจของผู้ชายที่ชื่อวิศรุตมันทั้งมีความสุขและก็เจ็บปวดไปพร้อมกัน สุขที่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตอบสนองความรู้สึกที่ตนมีให้มานาน ทว่าก็ทุกข์เมื่อรู้ว่าน้องสาวก็ชอบผู้ชายคนเดียวกับตัวเอง แต่สุดท้ายวินก็เลือก เลือก... ที่จะเอามือของนภัทรไปวางไว้ใส่มือเธอด้วยสองมือของตัวเอง” ศรารัตน์ใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างช้าๆ ขณะที่ภาณุก็พูดต่อไปเรื่อยๆด้วยแววตาสงบนิ่ง


            “แม้เธอกับวินจะเป็นเหมือนพี่น้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แต่ลึกๆแล้ววินก็ทั้งรักและเป็นห่วงเธอมากนะศรา วันที่เธอถูกภาคินจับตัวจะพาไปทำร้ายที่โกดังร้างนั่น ไอ้วินเข้าไปช่วยเธอแบบไม่ห่วงตัวเองแม้แต่น้อย หมอนั่นบ้าเลือดมากจนแม้แต่พี่เองก็ยังกลัว ร่องรอยแผลฟกช้ำบนหน้าไอ้วินก็เป็นผลมาจากการไปฟัดกับภาคินนั่นแหล่ะ”


            “ทำไม... ทำไมวินไม่บอกฉันเรื่องนี้” ศรารัตน์เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดมาตลอด หญิงสาวเข้าใจว่านภัทรต่างหากที่เข้าไปช่วยเธอจากภาคิน แต่สุดท้ายคนที่ช่วยเธอจริงๆก็คือวิศรุต


            “ตอนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาก็เหมือนกัน เมื่อเห็นว่าเธอโดนจับเป็นตัวประกัน คนที่วิ่งตามจะเข้าไปช่วยเธอเป็นคนแรกโดยไม่ห่วงชีวิตตัวเองก็คือไอ้วิน พี่รู้ว่าไอ้วินรักกานต์มาก รักพอๆกับที่รักน้องสาวตัวเอง ไม่อย่างนั้นคนที่เย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแบบวินก็คงจะไม่ยอมปล่อยมือจากคนที่ตัวเองรักมาตลอดสิบสามปีได้ง่ายๆแน่” แม้จะสงสารศรารัตน์แค่ไหน แต่เขาจำเป็นต้องพูด ศรารัตน์ควรที่จะมีโอกาสได้มองความรักด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากเดิม


            “นิยามความรักของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน นิยามความรักของวินคือการเสียสละ นิยามความรักของกานต์คือความมั่นคง ถ้าลองรักไปแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจง่ายๆ แล้วนิยามความรักของศราล่ะ เป็นแบบไหน”


            “พี่โอม” ภาณุประสานสายตากับศรารัตน์อยู่ชั่วอึดใจก่อนที่หญิงสาวจะหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความรู้สึกบางอย่าง เอาไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้น


            “ไม่ว่าจะเป็นความรักชายหญิง หญิงหญิง หรือแม้กระทั่งชายชาย ถึงอย่างไรมันก็คือ... ความรัก”


Aislin: สวัสดีค่ะ ยังไม่ลืมกันไปใช่ไหมคะเนี่ย ขออภัยที่หายหน้าไปนานมากๆเลยค่ะ วันนี้มาอัพให้แล้ว บางคนทายว่าคนที่โดนยิงคือภาคิน แต่กลับกลายเป็นวินซะงั้น แง่มๆ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะภาคินและวันชัยได้ชดใช้กรรมตามสมควรแล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้ก็มาลุ้นกันเนอะว่าความรักของวินและหมอกานต์จะจบลงอย่างไร ช่างเป็นความรักที่ทรหดเหลือเกิ้นนนนน อีก 2 ตอนก็จะอัพให้จบแล้วค่ะ จริงๆยังมีตอนพิเศษอีก 3 ตอน แต่ขอไม่อัพ ให้อ่านพิเศษเฉพาะคนที่อุดหนุนหนังสือหรืออีบุ๊คนะคะ ถือว่าเป็นของขวัญสมนาให้เป็นพิเศษแล้วกันเนอะ อยากบอกว่าในตอนพิเศษเนี่ยมีครบทุกรสชาติเลย ใครสงสัยว่าวินรักกานต์ได้ยังไง ทำไมรักปักใจขนาดนั้น แล้วโมเม้นท์หึงหวงของหมอกานต์จะเป็นอย่างไร หวานซึ้งหรือชวนเร้าอารมณ์แค่ไหน อย่าพลาดดดดด 555+

 
ปล. หนังสือเหลืออยู่ไม่กี่เล่มแล้ว ใครสนใจรีบหน่อยนะคะ เพราะหมดล็อตนี้จะไม่พิมพ์เพิ่มแล้วจ้ะ อาจจะอีกหลายปีถึงเอามาพิมพ์ซ้ำอีกรอบ ^0^ ใครสนใจติดต่อได้ที่อีเมลหรือแฟนเพจได้เลยเน้อ

 



ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nixnix

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านรวดเดียวเลย...รอตอนต่อไปคะ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4: :pig4:

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อ่านรวดเดียวเลย...รอตอนต่อไปคะ

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตอนนี้ค่ะ (เกือบจบแล้ว เย่ๆๆ)
ฝากติดตามต่อจนจบด้วยเน้อ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
อัพเดทนิยายรูปเล่ม "ทัณฑ์กามเทพ"

ราคาเล่มละ 430 บาท

ติดต่อ www.facebook.com/Aislin.Napoon  หรือ  Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com (ฮอทเมล)

ปล. ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแบบจุใจอีก 3 ตอนแถมให้ด้วยนะคะ (ไม่อัพลงเว็บค่ะ)

หรือถ้าหากสนใจแบบ Ebook สามารถโหลดได้จากเว็บ MEB ได้เลยค่ะ

www.mebmarket.com

(Search ชื่อเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ”)



*********************************


            เมื่ออาการบาดเจ็บจากการโดนยิงดีขึ้นมากจนเกือบจะหายเป็นปกติ นภัทรจึงอนุญาตให้วิศรุตออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ศรารัตน์มารับผู้เป็นพี่ชายด้วยตัวเอง ตลอดระหว่างทางจากโรงพยาบาลกลับบ้านทัดเทวา หญิงสาวไม่ยอมพูดอะไรกับวิศรุตสักคำ แม้ว่าวิศรุตจะพยายามทำลายบรรยากาศอึดอัดภายในรถโดยการยกเรื่องต่างๆมาพูดก็ตาม แต่ ศรารัตน์ก็ยังตอบน้อยเสียจนแทบจะนับคำพูดได้ ในใจของหญิงสาวตอนนี้กำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างเงียบๆ

 
           “เดี๋ยวสิศรา ฉันมีเรื่องอยากจะพูดด้วย” ศรารัตน์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนแล้วหันมาสบตาผู้พูดด้วยแววตาไม่แสดงอารมณ์


            “ขึ้นไปคุยที่ห้องทำงานก็แล้วกัน”

 


            “ไอ้โอมกับไอ้พงษ์เล่าให้ฉันฟังหมดแล้วเรื่องแผนการของเธอ” วิศรุตเริ่มเปิดประเด็นถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ “ขอบใจเธอมากนะที่เลือกยืนข้างฉัน” ศรารัตน์ถอนหายใจบางแล้วส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร


            “นายไม่ต้องมาขอบใจฉันหรอก ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น อาวันชัยกับภาคินสมควรที่จะได้รับกรรมแล้ว ทั้งเรื่องยักยอกเงินบริษัทแล้วก็เรื่องที่วางแผนฆ่าเราสองคนด้วย” หญิงสาวยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยต่อ “ฉันต่างหากที่ควรจะขอบคุณนาย ถ้าไม่ได้นาย ฉันก็คงจะตายไปแล้ว” ศรารัตน์หมายถึงเรื่องที่วิศรุตมาช่วยเธอเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่โดนภาคินจับไปที่โกดังร้างแล้วก็ล่าสุดที่เขาตามไปช่วยเธอที่ถูกภาคินจับเป็นตัวประกัน


            วิศรุตยิ้มให้ผู้เป็นน้องสาวด้วยความคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอบคุณแบบนี้จากปากของศรารัตน์ แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่เด็ก เขากับศรารัตน์มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ศรารัตน์เองก็ยอมลงให้เขาง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นการได้ยินคำพูดขอบคุณจากอีกฝ่ายในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากแล้ว


            “ในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็จบลงเสียที” ศรารัตน์ระบายลมหายใจเป็นเชิงว่าโล่งอกที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปในทางที่ดี หากแต่เมื่อวิศรุตได้ยินประโยคนั้นจากหญิงสาว ชายหนุ่มกลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้... เรื่องศรากับกานต์        ศรารัตน์เคยบอกเอาไว้ว่าหลังจากที่เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจะแต่งงานกับนภัทรทันที คำว่าแต่งงานที่ผุดขึ้นมาในหัวของวิศรุตทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังระบายยิ้มน้อยๆค่อยๆคลายลงโดยไม่รู้ตัว วิศรุตเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านภัทรไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของศรารัตน์ต่างหาก


            “ตอนนี้เรื่องยุ่งๆก็จบไปแล้ว เธอคิดจะ... แต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ” คำว่าแต่งงานถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ศรารัตน์กลับได้ยินอย่างชัดเจน หญิงสาวหันหลังให้คู่สนทนา แววตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามเย็นภายนอก ผ่านทางหน้าต่างบานสูงในห้องทำงาน


            “แล้วนาย... อยากให้ฉันแต่งงานกับหมอกานต์จริงๆน่ะเหรอวิน” คำถามย้อนกลับนั้นทำให้วิศรุตอึ้งไป ชายหนุ่มเสมองไปทางอื่นแล้วกลั้นใจพูดออกมาทั้งที่เจ้าตัวก็ทราบดีว่าความจริงมันคืออะไร


            “เธอสองคนแต่งงานกันก็เหมาะสมดีแล้ว อันที่จริงมันก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้วนี่นา” ศรารัตน์หันกลับมาสบตากับวิศรุตทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ


            “ลองถามใจตัวเองให้ดีเถอะวินว่านายต้องการแบบนั้นจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า หรือพูดแค่เพื่อให้ตัวเองตัดใจจากหมอกานต์ได้เท่านั้น”

 


            เสียงเคาะประตูห้องทำงานทำให้นภัทรหลุดออดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง คุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ที่เปิดประตูเข้ามาก่อนจะพบว่าเป็นพงศธร


            “กำลังเหม่อคิดอะไรอยู่วะไอ้กานต์” ด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมานานทำให้พงศธรจับสีหน้าและความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ “เรื่องวินกับคุณศราหรือเปล่า” สีหน้าของนภัทรที่เปลี่ยนไปทำให้พงศธรรู้ว่าเขาเดาถูก


            “จบเรื่องวุ่นๆแล้ว ต่อไปก็คงจะเป็นงานมงคลของแกกับคุณศราสินะ” พงศธรฝืนยิ้มแล้วกระเซ้านภัทรที่กำลังทำหน้าเฉยชาแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น “แกควรจะเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้แล้วนะ”


            “แกก็รู้ว่าฉันไม่อยาก”


            “แต่เพราะแกรักวินไม่ใช่เหรอ เพราะว่าแกรักวิน แกถึงได้ยอมแต่งงานกับคุณศรา” ความจริงข้อนี้ทำให้นภัทรเงียบไปทันที เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองคิดแบบนั้น ถ้าหากว่าพอถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำได้อย่างที่ปากเคยบอกไปหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย นภัทรพยายามบังคับตัวเองให้ลืมวิศรุต แต่ยิ่งฝืนก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเก่า ชายหนุ่มรู้ดีว่าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับศรารัตน์เลยสักนิด แต่เขาลืมวิศรุตไม่ได้


            “แล้วแกล่ะไอ้พงษ์ ถ้าคนที่แกรักกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น แกจะทำยังไง” พงศธรยิ้มเศร้าแต่คำพูดที่ออกจากปากแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นชัดเจนในความรู้สึกของเจ้าตัว


            “ถ้าเขาไม่ได้รักฉัน มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก สิ่งที่ฉันต้องการก็คงจะคล้ายๆกับวินนั่นแหล่ะ... การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนที่เขารัก เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ”

 


            เมื่อนภัทรกลับมาถึงบ้าน ผู้เป็นมารดาก็บอกเขาว่ามีเพื่อนมารอพบอยู่ที่ห้องรับแขก คุณหมอหนุ่มวางกระเป๋าเอกสารลงบนเก้าอี้ไม้ที่นั่งประจำของตนก่อนจะเดินเข้าไปในตัวห้องรับแขก ภาพแผ่นหลังที่เคยคุ้นสายตาของคนที่นั่งอยู่ทำให้นภัทรต้องชะงักฝีเท้า ชายหนุ่มใช้ดวงตาสีถ่านจับจ้องภาพเบื้องหลังของวิศรุต จนผ่านไปสักพัก คนที่กำลังนั่งอิงอยู่บนโซฟาจึงรู้สึกตัวและหันมามอง


            “วิน” นภัทรทักก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย “มานานหรือยัง” วิศรุตช้อนสายตามองนภัทรก่อนจะตอบเสียงแผ่วว่าตนเพิ่งจะมาไม่นาน นภัทรเงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี คุณหมอหนุ่มจึงเสเปลี่ยนเรื่องไปถามว่าอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง


            “น่าจะหายดีแล้วล่ะ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” นภัทรพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเข้าสู่อาการนิ่งเงียบอีกครั้ง วิศรุตลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนร่างกายแทบจะติดกัน ลมหายใจอุ่นร้อนของวิศรุตที่เป่ารดข้างแก้มทำให้นภัทรเม้มริมฝีปากแน่น


            “ที่มาวันนี้ ฉันแค่อยากจะมาลานาย” ประโยคสุดท้ายของวิศรุตทำเอานภัทรตัวชาไป คุณหมอหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลโศกที่แสนคุ้นเคยนั้นก่อนจะถามเสียงแหบพร่า


            “นายจะไปไหน” วิศรุตนิ่งไปสักพักก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้ทั้งที่ในใจกำลังทรมานเหลือเกิน


            “ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะกลับอังกฤษ” คำตอบของคู่สนทนาเสมือนสายฟ้าที่ผ่าฟาดลงมากลางใจของนภัทร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆวิศรุตถึงเลือกที่จะกลับไปอยู่ต่างประเทศอีกครั้ง แต่ถึงแม้ในใจจะรู้อย่างนั้น ปากเจ้ากรรมก็อดถามออกไปไม่ได้


            “ทำไมนายถึงต้องไปล่ะวิน นายไม่เห็นเคยบอกก่อนหน้านี้เลย”


            “ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายลงด้วยดีแล้ว นายเองก็กำลังจะแต่งงานกับศราในไม่ช้านี้ ฉันก็คิดว่าตัวเองควรจะกลับอังกฤษเสียที เพราะตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยนานๆอยู่แล้ว” นภัทรรู้ดีว่าวิศรุตมีเหตุผลมากกว่านั้น “อีกอย่าง ฉันคงจะทนทำใจไม่ได้แน่หากว่าต้องเห็นนายแต่งงานกับน้องสาวตัวเองจริงๆ” วิศรุตหมายความอย่างที่พูดทุกอย่าง แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่ แต่ภายในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นไม่ได้มีรอยยิ้มเลยสักนิดเดียว


            “นาย... จะไปเมื่อไหร่?” คำพูดของนภัทรติดขัด ชายหนุ่มเอามือไปสัมผัสกับใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของวิศรุตอย่างแผ่วเบา แต่อีกฝ่ายกลับเอามือของนภัทรออกจากใบหน้าตนช้าๆ


            “ฉันจะเดินทางพรุ่งนี้” สีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้วิศรุตตกใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องป็นแบบนี้ ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปโดยไม่ลานภัทรเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกในใจก็ชนะจนได้ เขาอยากเจอหน้า นภัทรอีกครั้งก่อนที่จะต้องจากกันไปไกลแสนไกล


            “วิน”


            “ฉันรักนายมาตั้งแต่ม.หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ความรักที่ฉันมีต่อนายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายรู้ไหมกานต์ สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจและดีใจที่สุดก็คือ...” วิศรุตเว้นวรรคไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้ สึกลึกซึ้งที่มีให้คนตรงหน้ามาตลอดสิบสามปีเต็ม “การได้รับความรักจากนาย” สิ้นคำพูดของวิศรุต นภัทรก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นราวกับกลัวว่าชายหนุ่มจะจางหายไปกับอากาศเดี๋ยวนั้น


            “อย่าไปเลยนะวิน อย่าจากกันไปแบบนี้” วิศรุตส่ายหน้าแล้วพูดว่า


            “ถ้าฉันไม่ไป ศราก็จะต้องรู้สึกผิดมากกับเรื่องนี้ ส่วนนายเองก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจากกันแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้วกานต์” นภัทรไม่ยอมรับให้เรื่องมันจบแบบนี้ คุณหมอหนุ่มใช้มือสองข้างดันตัววิศรุตออกห่างแล้วเอ่ยเสียงแหบเครือ


            “ฉันไม่อยากให้นายไป ถ้าหากเราไม่ได้เจอกัน...”


            “ไม่ต้องห่วงหรอก นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจของฉันจะเป็นของนาย อย่าลืมสิ” น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาดำขลับอย่างเงียบเชียบ นภัทรกัดกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกก่อนจะเค้นเสียงออกมาเป็นคำพูด


            “ถ้าอย่างนั้นก็... ลาก่อนวิน”


            “ลาก่อน” คำพูดลาของวิศรุตเหมือนเป็นค้อนหนักๆที่ทุบลงมายังหัวใจของนภัทรจนแทบแหลกสลาย คำว่าลาก่อนของวิศรุตเมื่อตอนที่ฝ่ายนั้นจะไปเรียนต่อเมืองนอกสมัยเพิ่งจบม.ห้ายังไม่ทำให้นภัทรรู้สึกเจ็บปวดเท่าวันนี้เลย อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่อวิศรุตในตอนนั้นยังไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งเช่นในตอนนี้ก็เป็นได้


            คุณหมอหนุ่มมองวิศรุตที่เดินออกจากห้องรับแขกไปด้วยแววตาฉ่ำน้ำก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างคนที่หมด  เรี่ยวแรงจะยืน เมื่อรักมากก็ย่อมเจ็บมากเป็นธรรมดา นภัทรเพิ่งเข้าใจคำพูดนี้อย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง

 


            “อะไรนะ นี่แกจะกลับอังกฤษงั้นเหรอ” เสียงอุทานของภาณุดังลั่นห้องรับแขกบ้านทัดเทวา ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟที่กำลังยกจิบอยู่ทันที “แกจะไปเมื่อไหร่”


            “พรุ่งนี้” คำตอบสั้นๆของวิศรุตทำให้ภาณุยิ่งอึ้งเข้าไปอีก “อันที่จริงฉันคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก็มัวแต่ติดงานที่บริษัท ตอนนี้ก็คงได้เวลาที่จะต้องไปจริงๆเสียทีเพราะว่าที่บริษัทก็ลงตัวแล้ว”


            “แล้วทำไมแกถึงต้องไปด้วยวะ ก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยแกก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา ทำไมต้องกลับไปอังกฤษด้วย”


            “ฉันกะว่าจะไปดูงานของบริษัททัดเทวาที่อังกฤษน่ะ ส่วนสาขาใหญ่ที่ไทยก็ให้ยัยศรารับช่วงต่อไป” ภาณุไม่เชื่อในคำตอบของวิศรุตแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน


            “ฉันไม่คิดว่าแกจะไปอังกฤษเพียงเพราะว่าเรื่องงานอย่างเดียว” วิศรุตเม้มปากแน่น ชายหนุ่มเบนหน้าไปอีกทาง ไม่อยากให้ภาณุเห็นบางอย่างข้างในแววตาของตนแต่เจ้าตัวก็รู้ดี เขาหลอกคนตรงหน้าที่เป็นเพื่อนรักกันมานานไม่ได้


            “ไม่ว่าจะเพราะอะไร ถึงยังไงฉันก็ต้องไปอยู่ดีนั่นแหล่ะ” ภาณุถอนหายใจเฮือกแล้วเอ่ยขัดเสียงเรียบ


            “เพราะเรื่องไอ้กานต์กับศราใช่ไหม” คราวนี้วิศรุตหันไปสบตาคนพูดทันที ภาณุเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้วใช้สองมือจับไหล่คนตรงหน้าเอาไว้แน่น “การที่แกไปแบบนี้มันก็เหมือนกับการหนีหัวใจตัวเองนั่นแหล่ะวิน”


            “แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะ จะให้ฉันฝืนยิ้มมองดูเค้าสองคนแต่งงานกันทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อย่างนั้นเหรอ จะให้ฉันเอาความรักของตัวเองไปผูกมัดกานต์เอาไว้ ทั้งๆที่เค้าควรจะได้แต่งงานมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบกับผู้หญิงสักคนเนี่ยนะ ฉันทำไม่ได้ไอ้โอม” มือที่จับไหล่วิศรุตค่อยๆคลายลง ถึงอย่างไรความจริงที่ต้องยอมรับก็คือความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ ภาณุมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยความสงสารแต่ก็จนใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย


            “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งแกนะ”


            “ไม่ต้องหรอก” วิศรุตปฏิเสธ ถ้าหากว่าภาณุไปส่งที่สนามบินจริงๆ เขาก็คงยิ่งรู้สึกอาลัยอาวรณ์และไม่อยากไปอังกฤษแน่ๆ “ลากันวันนี้เลยจะดีกว่า”


            “แกทำให้ฉันนึกถึงความรู้สึกตอนม.ห้า หลังจากสอบเสร็จที่ฉันมาส่งแกขึ้นรถเพื่อไปสนามบิน ตอนนั้นแกก็บอกฉันกะทันหันว่าต้องไปอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้บอกตอนจวนตัวแบบครั้งนี้” ภาณุพยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกใจหายเอาไว้ “ตอนนั้นแกไปเพื่อเรียนต่อ แต่ครั้งนี้แกไปเพราะ... เรื่องอื่น” วิศรุตฝืนยิ้มกับคำพูดนั้นในขณะที่ภาณุก็ตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆแบบที่เคยทำประจำเวลาต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย “ถ้าแกตัดสินใจแล้ว ขอให้แกโชคดีนะวิน ไอ้เพื่อนรัก” วิศรุตพยักหน้าก่อนจะเข้าไปกอดภาณุจนแน่นซึ่งอีกฝ่ายก็กอดตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน


            ความรักความผูกพันฉันเพื่อนระหว่างเขาและภาณุงอกเงยขึ้นตามวันและเวลา ภาณุคือเพื่อนที่เขารักมากที่สุดและยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเขาได้โดยไม่คิดรังเกียจ ฝ่ายนั้นจะคอยตบบ่าปลอบใจเมื่อเขาท้อแท้หมดหวัง จะคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเวลาที่เขามีปัญหาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องร้องขอ จะคอยซับน้ำตาและยืนเคียงข้างเมื่อเวลาที่เขาต้องการใครสักคน เพื่อมาเข้าใจ วิศรุตกอดภาณุด้วยความรู้สึกตื้นตันและขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนคนนี้ทำเพื่อตนมาโดยตลอด


            “ขอบใจนะโอม ขอบใจแกจริงๆ” ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่จะยืนยงไม่มีวันสลายก็คือมิตรภาพอันงดงามของคำว่าเพื่อนนั่นเอง

 


            ศรารัตน์ยืนนิ่งอยู่ในห้องพระมาเป็นเวลานานแล้ว หญิงสาวเหม่อมองรูปของบิดามารดาที่แขวนไว้บนผนังห้องด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปจนแยกไม่ออก วันนี้เป็นวันที่วิศรุตจะเดินทางไปอังกฤษ แต่เธอก็ไม่ได้ไปส่ง ยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องนี้เงียบๆ เสียงเปิดประตูทำให้ศรารัตน์เหลียวหน้าไปมอง เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือวิศรุต หญิงสาวจึงถามขึ้นเสียงเบา


            “ยังไม่ไปสนามบินอีกเหรอ” วิศรุตสั่นศีรษะแล้วบอกว่าจะมาลาพ่อกับแม่ก่อน ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากรอบรูปขนาดใหญ่แล้วเอ่ย


            “ผมกำลังจะไปคุมงานบริษัทที่อังกฤษนะครับ ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ก็คงจะต้องภูมิในใจตัวผมมากแน่ๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ บริษัททางนี้ผมจะให้ศราเป็นคนดูแลทั้งหมดเอง ศราเค้าเก่งกว่าผมตั้งเยอะ เค้าไม่มีทางทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง ไม่มีทางทำให้วงศ์ตระกูลทัดเทวาเสียชื่อเป็นอันขาด” วิศรุตหันไปพูดกับศรารัตน์ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ฝากงานด้วยนะศรา”


            “จากผลงานบ้านเทวานิรมิตของนายทำให้บอร์ดผู้บริหารพอใจมากนะ พวกนั้นยอมรับในฝีมือของนายแล้ว คิดดีแล้วเหรอที่จะทิ้งงานที่นี่ไปกลางคันแบบนี้” วิศรุตพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลโศกทอประกายหนักแน่นกับการตัดสินใจของตนในครั้งนี้ ไม่ว่าศรารัตน์จะพูดอย่างไรก็คงไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจของเขาได้อยู่ดี


            “งานที่อังกฤษคงมีเยอะมากที่รอให้ฉันไปคุมด้วยตัวเอง บางทีฉันอาจจะยุ่งมากจนไม่มีโอกาสมาร่วมงานแต่งงานของเธอกับกานต์ ขอโทษล่วงหน้าเลยแล้วกันนะ” ศรารัตน์พยายามสบตาวิศรุตที่กำลังหลุบตาต่ำเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้อีกฝ่ายเห็น


            “ฉันอยากจะถามครั้งสุดท้าย นายอยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ” วิศรุตตอบว่าใช่ ศรารัตน์จึงถามต่อว่าทำไม ทำไมถึงต้องยอมทำขนาดนี้ด้วยทั้งที่ชายหนุ่มเองก็กำลังเจ็บปวดมากเหมือนกัน


            “ถ้าฉันไม่เป็นฝ่ายยอมเจ็บ เธอก็ต้องเจ็บ สู้ฉันยอมเสียสละดีกว่า แบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว” น้ำตาหยดหนึ่งค่อยๆไหล ออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลของศรารัตน์อย่างช้าๆเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของวิศรุตที่หันไปพูดกับรูปภาพบิดามารดา “การเสียสละคือสิ่งที่คนเป็นพี่สมควรทำให้น้องใช่ไหมครับ ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าศราต้องการอะไร ผมก็ไม่เคยที่จะยอมสละของตัวเองให้เธอเลย และนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เสียสละเพื่อน้องสาวของตัวเองบ้าง” วิศรุตพยายามกลั้นก้อนสะอื้นลงคอขณะที่พูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตน “ขอให้เธอกับกานต์มีความสุขมากๆนะ รักกานต์ให้มากๆแทนฉันด้วยนะศรา” ศรารัตน์ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้


            “นายไม่รักหมอกานต์แล้วเหรอวิน” วิศรุตจุดยิ้มบางๆที่มุมปากขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจนที่ดังสะท้อนเข้าไปถึงขั้วหัวใจของคนฟัง


            “รักสิ แต่ฉันก็รักน้องสาวของตัวเองเหมือนกัน” วิศรุตสบตาผู้เป็นน้องสาวราวกับต้องการบ่งบอกความรู้สึกทั้งมวลให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ถึงอย่างไรศรารัตน์ก็เหมาะสมและคู่ควรกับนภัทร ไม่ใช่พวกผิดเพศแบบเขา


            พูดจบวิศรุตก็ขอตัวทันที ชายหนุ่มบอกว่าถึงเวลาจะต้องไปรอเช็กอินที่สนามบินแล้ว ศรารัตน์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของผู้เป็นพี่ชายด้วยความเศร้าและซาบซึ้งกับความรักความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายมีให้ตนมาโดยตลอด หญิงสาวมองประตูห้องที่ปิดลงก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง


            “นายอยากให้เรื่องจบ แต่ฉันไม่มีวันยอมให้มันจบแบบนี้แน่วิน”

 



            วิศรุตเดินมาขึ้นรถยุโรปคันหรูที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ลุงมั่นเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังก่อนจะสั่งคนขับให้ไปส่งผู้เป็นเจ้านายที่สนามบินเพื่อออกเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ


            วิศรุตมองผ่านกระจกรถและทอดสายตาไปยังเบื้องนอก ภาพสองข้างทางที่รถกำลังแล่นผ่านไม่ได้เข้าหัวชายหนุ่มเลย ในสมองของวิศรุตตอนนี้มีแต่เรื่องเดิมๆระหว่างตนกับนภัทรซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเอนตัวลงให้ศีรษะราบไปกับ  เบาะรถก่อนจะหลับตาลงปล่อยความคิดล่องลอยไปเรื่อยๆ

 


            ‘ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร... ฉันชอบนาย’

 


          ‘ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกครั้งที่ฉันหลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องนี้ ฉันผิดมากนักเหรอที่เกิดมาเป็นพวกชอบเพศเดียวกัน ผิดมากเหรอไงที่เลือกรักผู้ชายคนเดียวกับน้องสาวตัวเอง ฉันไม่ได้อยากจะทำร้ายศรา ฉันไม่ได้อยากจะให้เป็นแบบนี้ ฉัน...’


          ‘ทุกครั้งที่ฉันเห็นนายเจ็บปวด เห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เห็นนายต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องนี้ที่ฉันเป็นตัวต้นเหตุแต่แรก นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง ไม่ใช่แค่นายที่เสียใจหรอกวิน ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน ยิ่งเห็นนายเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้ฉันก็ยิ่งเสียใจ... เสียใจที่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้กระทั่งการปลอบใจนายฉันก็ยังทำไม่ได้เลย’

 


         ‘ของขวัญพิเศษสำหรับนายคนเดียว’


          ‘อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้’


          ‘แหวนวงนี้ฉันเลือกเองกับมือ ด้านหลังของแหวนก็สลักเอาไว้เป็นชื่อของนาย ‘กานต์... ผู้เป็นที่รัก’ ดังนั้นถ้านายไม่รับไว้ฉันคงจะเสียใจมาก’

 


            ‘ให้เรื่องทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะนะ ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหน สุดท้ายเรื่องระหว่างเรามันก็ลงเอยด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ดี’


          ‘การที่เรามีความสัมพันธ์กันในคืนนั้น คิดเหรอว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายเลย แล้วความรู้สึกนั้นมันก็ไม่ใช่ทั้งความเหงาและความสงสารอย่างที่นายเข้าใจด้วย’


          ‘นาย... หมายความว่ายังไง’


          ‘ช่างเถอะ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันคงไม่สำคัญแล้วเพราะนายเป็นคนบอกเองว่าถึงอย่างไรเรื่องระหว่างเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ถ้านายอยากให้ฉันดูแลคุณศรามากนักล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างที่นายต้องการ’

 


          ‘ฉันแค่หวังว่าต่อจากนี้นายจะดูแลศราให้ดี อย่าให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจอีก’


          ‘เดี๋ยวก่อนวิน... ฉันขอกอดนายเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม... ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ ฉันรักนายนะวิน ขอโทษด้วยที่ฉันรู้สึกตัวช้าไป’


          ‘ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นายจะทำเพื่อฉันด้วย’

 


            ‘ถ้าคิดว่าการที่นายยอมเสียสละความรักของตัวเองเพื่อให้คุณศรามีความสุข ฉันก็อยากบอกให้นายรู้เหมือนกันว่า...ถ้าหากการเสียสละของฉันทำให้นายมีความสุข ฉันก็ยินดี... ถึงแม้ความเป็นจริงและกฏเกณฑ์ทางสังคมบางอย่างทำให้เราเดินไปด้วยกันไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าข้างในนี้... ใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจฉันเป็นของนาย’

 


            ‘ถึงแม้ในความเป็นจริงเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่สำหรับฉัน... นายจะอยู่ในนี้เสมอ’


          ‘ถ้านายบอกฉันอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อตอนเรียนม.ปลาย ฉันก็คงมีความสุขมาก แต่นายก็เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้’


          ‘ขอโทษที่ฉันรู้ใจตัวเองช้าไป ขอโทษ...’       


            ‘ฉันไม่ได้โกรธนายหรอก ดีใจมากกว่า เพราะถ้านายบอกรักฉันตั้งแต่วันนั้น ฉันก็คงจะมีความสุข แต่ก็คงจะไม่เท่าวันนี้ วันที่เราสองคนผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน... วันที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ยินคำบอกว่ารักจากปากของนาย’

 


          ‘ฉันรักนายมาตั้งแต่ม.หนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ความรักที่ฉันมีต่อนายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่นายรู้ไหมกานต์ สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจและดีใจที่สุดก็คือ... การได้รับความรักจากนาย’


            ‘อย่าไปเลยนะวิน อย่าจากกันไปแบบนี้’


          ‘ถ้าฉันไม่ไป ศราก็จะต้องรู้สึกผิดมากกับเรื่องนี้ ส่วนนายเองก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจากกันแบบนี้น่ะดีที่สุดแล้วกานต์’


          ‘ฉันไม่อยากให้นายไป ถ้าหากเราไม่ได้เจอกัน...’


          ‘ไม่ต้องห่วงหรอก นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าใจของนายจะเป็นของฉัน เหมือนกับที่หัวใจของฉันจะเป็นของนาย อย่าลืมสิกานต์’

 


            สิบสามปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วิศรุตทั้งเจ็บปวดและมีความสุขไปพร้อมๆกัน ชายหนุ่มมีความสุขที่สุดท้ายนภัทรก็ตอบรับความรักของเขาด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่แล้วก็กลับต้องทุกข์เมื่อเข้าใจกับความจริงที่ว่ารักแบบผิดธรรมชาติเช่นนี้ ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นจริงไปได้


            วิศรุตคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาระหว่างตนกับนภัทรแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบโดยไม่รู้ตัว

 

Aislin: กลับมาแล้วจ้า อิซลินเจ้าเก่าหายหน้าไปนานอีกแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ เพราะช่วงนี้นอกจากจะยุ่งเรื่องงานที่ทำประจำแล้ว ก็ยังต้องเริ่มยุ่ง (มากๆ) กับการเตรียมเรียนต่อปริญญาโทอีกด้วย เลยไม่ค่อยได้เปิดคอมเล่น/อัพนิยายเท่าไหร่ ถ้าเปิดก็จะเน้นทำงานมากกว่า แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าหากใครคิดถึงคนเขียนตาดำๆคนนี้ แวะไปพูดคุยทักทายที่ในแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon ได้เลยเน้อ เข้ามาตอบข้อความสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ

            มาว่าถึงนิยายตอนนี้บ้างดีกว่า ตอนนี้ก็ใกล้จะได้ฤกษ์ปิดจบเสียที หลังจากลุ้นกันมานานมากๆ ฮ่าๆๆ เดี๋ยวตอนหน้าจะได้รู้แล้วล่ะค่ะว่าบทสรุปของความรักวิน/กานต์จะจบลงอย่างไร จะน้ำตาท่วมจอแค่ไหน อย่าพลาดเด็ดขาดเน้อออออ


 

ปล. หนังสือรูปเล่มยังมีเหลือนะคะ ใครสนใจติดต่อมาได้ผ่านทางอีเมลหรือแฟนเพจได้เลยจ้ะ เพราะในเล่มจะมีตอนพิเศษแถมให้แบบจุใจอีก 3 ตอน รับรองว่าหาอ่านจากเว็บไหนก็ไม่มีเน้อ อิอิ ^0^

ออฟไลน์ nixnix

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด