ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1-39: updated 8/11/58 -- เวลา 15.55 น.)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1-39: updated 8/11/58 -- เวลา 15.55 น.)  (อ่าน 69268 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
จะมีอีกคู่รึปีาวนะ คู่พงศธรกับน้องสาวพระเอกอะ อิอิ :katai1: :katai1: :katai1:

มีหลายคู่ค่ะ แต่จะได้ลงเอยทุกคู่หรือเปล่าต้องรอลุ้นเองน้าาา ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

           ภาณุเดินเข้ามาในผับหรูแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มชอบที่นี่เพราะมันเป็นไนท์คลับชั้นสูงมีระดับ ด้วยเพราะราคาค่าบริการที่ถูกเรียกเก็บเสียจนแพงหูฉี่ซึ่งเสมือนเป็นการสงวนเอาไว้เฉพาะสำหรับลูกค้าผู้มีฐานะและกำลังทรัพย์พอจะจ่ายค่าบริการที่คลับแห่งนี้ได้เท่านั้น



            วันนี้ที่นี่คนเยอะเป็นพิเศษ ภาณุคิดขณะที่เดินตัดผ่านบาร์เหล้าเพื่อไปยังโซนอีกฝั่งหนึ่งของคลับที่เพื่อนๆเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มมาใช้บริการบ่อยจนเรียกได้ว่าเป็นแขกคนพิเศษของที่นี่ บริกรส่วนใหญ่จะคุ้นหน้าเขาและมักจะค้อมหัวเป็นเชิงทักทายเมื่อเขาเดินผ่านอยู่บ่อยครั้ง อันที่จริงเหตุผลที่พวกบริกรคุ้นหน้าเขาคงเป็นเพราะความเป็นคนมือเติบ จ่ายทิปหนักให้พวกนั้นเสียมากกว่า


            ภาณุแวะสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บาร์เหล้าก่อนสั่งให้บริกรเอาไปเสริ์ฟให้เขาที่โต๊ะอย่างที่เคยทำประจำทุกครั้งที่มาคลับแห่งนี้ จังหวะที่สั่งเครื่องดื่มเสร็จแล้วกำลังจะหมุนตัวออกจากบาร์ตรงนั้น ร่างสูงกลับปะทะกับร่างนุ่มนิ่มบอบบางของอีกคนที่มาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แรงปะทะจากการชนทำให้อีกฝ่ายเซเสียหลักเกือบจะล้ม แต่ภาณุก็ยื่นมือออกไปช่วยประคองได้ทันตามสัญชาตญาณ กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างบอบบางนั้นกำลังตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มทั้งตัว ที่สำคัญเขารู้สึกว่าของเหลวในแก้วเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายถือมาด้วยจะหกรดเสื้อผ้าของคนที่ถือมาจนเกิดเป็นรอยด่างดวงขึ้นมาเสียแล้ว


            “ขอโทษครับ/ค่ะ” ทั้งคู่เอ่ยขอโทษออกมาพร้อมกัน จังหวะนั้นภาณุจึงสามารถมองเห็นใบหน้าของคนในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้าจัดได้ว่าหน้าตาสะสวยเลยทีเดียว ใบหน้าหวานซึ้งที่ตกแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางราคาแพงก็กำลังพิจารณาใบหน้าเขาเช่นกัน ก่อนที่สายตาคู่สวยของเธอจะไล่ลงมายังมือแกร่งที่โอบรอบเอวคอดของเธออยู่


            ภาณุยิ้มเก้อๆแล้วรีบปล่อยมือจากเอวของหญิงสาวทันทีแม้ว่าในใจจะนึกเสียดายไม่น้อยกับสัมผัสใกล้ชิดเมื่อครู่ ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเธออีกครั้งก่อนจะสังเกตเห็นว่าชุดเดรสสั้นสีโอลด์โรสของเธอบัดนี้ได้ถูกชโลมด้วยแชมเปญที่หกเลอะเพราะเหตุที่ชนกันเมื่อครู่


            “ขอโทษด้วยครับที่ทำชุดคุณเลอะ” ภาณุมองไปยังชุดเดรสตรงที่เลอะอย่างคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี


            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะฉันต่างหากที่ซุ่มซ่ามเอง” เมริษายิ้มให้อย่างไม่ได้คิดถือสาอะไรนัก เพราะเธอเองก็ผิดที่เดินมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือจนมาชนเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้า


            “แต่ชุดคุณเลอะหมดแล้วนะครับ ผมว่า...”


            “ช่างมันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยไปจัดการที่ห้องน้ำก็ได้” ภาณุหันไปหาบริกรที่ยืนอยู่หลังบาร์เหล้าก่อนจะขอกระดาษทิชชู่เพื่อมาให้หญิงสาวใช้ทำความสะอาดชุดของเธอแก้ขัดไปพลางก่อน แล้วจึงค่อยไปทำความสะอาดในห้องน้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่พอได้กระดาษทิชชู่มาแล้วและตั้งใจจะยื่นให้ด้วยความหวังดี อีกฝ่ายกลับหายตัวไปเสียอย่างนั้น


            ภาณุมองไปรอบตัวอย่างสงสัย ผู้หญิงคนนั้นหายไปเร็วเสียจริง เลยทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับเธอเลย ชายหนุ่มคิดอย่างเสียดายเล็กน้อยที่ตัวเองน่าจะรั้งร่างบางเอาไว้ให้ได้นานกว่านี้ อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้รู้จักชื่อของเธอก่อนก็ยังดี


 


            “ทำไมหายไปนานจังเลยครับคนสวย” ภาคินถามเสียงนุ่มก่อนที่มือหนาแข็งแรงจะรั้งเอวบางของเมริษาให้ล้มลงมานั่งเกยที่หน้าตักของตน


            “พอดีว่าเมเดินชนกับใครก็ไม่รู้ ก็เลยทำแก้วแชมเปญหกเลอะชุดตัวเอง เมเลยแวะไปทำความสะอาดชุดในห้องน้ำก่อน ก็เลยมาช้าน่ะค่ะ” เมริษาอธิบายสาเหตุที่เธอหายไปจากโต๊ะนาน แต่ดูเหมือนว่าภาคินจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะกำลังวุ่นวายอยู่กับการใช้มือหนาไล้ไปตามผิวเนียนละเอียดของร่างในอ้อมแขน


            ภาคินก้มลงสูดความหอมจากซอกคอขาวผ่องของเมริษา ตอนนี้มือหนาก็เริ่มซุกซนไล้ไปตามต้นขาเปลือยอย่างไม่สนใจเสียงครางประท้วงของอีกฝ่าย เขารู้ว่าเธอเองก็รู้สึกดีกับสัมผัสแบบนี้เช่นกัน


            “อย่าเพิ่งที่นี่เลยค่ะ เรายังมีเวลาอีกเยอะ” เมริษาประท้วงเสียงอ่อน สัมผัสของภาคินทำให้เธอแทบจะควบคุมอารมณ์หวามหวานในอกไม่อยู่ หญิงสาวเชยคอรับสัมผัสจากภาคินอีกครั้งก่อนจะทิ้งตัวลงพิงกับโซฟานุ่มพร้อมกับที่อีกฝ่ายทาบทับกายลงมา


            ก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะเตลิดไปมากกว่านั้น เมริษากลับเป็นฝ่ายหยุดภาคินไว้ในขณะที่ชายหนุ่มพยายามจะบดเบียดริมฝีปากเข้ากับกลีบปากแดงระเรื่อของเธอ


            “ไหนคุณบอกว่ามีธุระจะคุยกับเมไงคะ พูดธุระมาก่อนสิ”


            “เรื่องนั้นไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ” ภาคินตาปรือเพราะแรงพิศวาสที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่อยากจะพูดธุระอะไรแล้ว สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลืนกินร่างงามตรงหน้าเข้าไปทั้งตัว


            “เรามาคุยธุระกันก่อนดีกว่า ยังไงคืนนี้เมก็อยู่กับคุณทั้งคืนอยู่แล้ว” ภาคินต้องยอมจำนนกับเหตุผลของเมริษาในที่สุดแม้ว่าจะอดเสียดายไม่น้อยที่จะต้องหยุดความสุขของตนเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าคืนนี้เมริษาจะต้องโดนทำโทษทั้งคืนอย่างแน่นอน เขาจะเอาให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว


            “ว่าไงคะ ธุระอะไรที่คุณจะคุยกับเม ขอเดาว่าต้องเป็นเรื่องของคุณวินแน่ๆ” มองจากสีหน้าของภาคิน เมริษาก็รู้ได้ว่าตัวเองเดาถูก “มีเรื่องอะไรเหรอคะ หรือว่าคุณวินไม่ยอมรับเมเข้าทำงาน”


            “ก็ไอ้วินมันไม่ยอมให้เมไปทำงานแทนเลขาฯมันน่ะสิ มันบอกว่าถ้าเมอยากทำที่ทัดเทวา มันจะหาตำแหน่งอื่นให้”


             เมริษารับฟังด้วยใบหน้าครุ่นคิด หากว่าเธอไม่ได้ทำงานในตำแหน่งเลขาฯของวิศรุต เธอจะทำงานที่ทัดเทวาหรือไม่ก็คงไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่ดี เพราะจุดประสงค์แท้จริงที่เธอวางแผนกับภาคินและวันชัยเอาไว้ก็คือการตีสนิทกับวิศรุตโดยต้องทำให้ฝ่ายนั้นหลงรักเธอให้ได้และการแอบขโมยข้อมูลลับของบริษัททัดเทวามาให้กับวันชัย


            “แล้วคุณพ่อคุณว่ายังไงคะ”


            “พ่อบอกให้รอไปก่อน เพราะถ้าเราไปทำอะไรเลขาฯไอ้วินตอนนี้ เดี๋ยวมันจะสงสัยเราได้” เมริษาเห็นด้วยกับความคิดของวันชัย โอกาสที่เธอจะได้เจอกับวิศรุตยังมีอีกเยอะ นั่นหมายความว่าตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเดินหน้าสานสัมพันธ์กับอีกฝ่ายมากนักเพราะจะดูเป็นการตามตอแยเขาจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเธอเลย เพราะสุดท้ายวิศรุตก็ต้องมาติดเบ็ดที่เธอเกี่ยวเหยื่อล่อเอาไว้อยู่แล้ว เมริษาคิดอย่างมั่นใจในฝีมือของตัวเอง


              เมื่อนึกว่าในอนาคตเธอจะได้ใช้นามสกุลทัดเทวาร่วมกับวิศรุตในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เมริษาก็อดยิ้มด้วยแววตาหมายมาดไม่ได้ การได้ใช้คำต่อท้ายชื่อว่าทัดเทวาจะส่งผลต่อเธอมากมาย หนึ่งในนั้นคือการช่วยพยุงให้ฐานะทางบ้านของเธอได้กลับมาเชิดหน้าชูตาในวงสังคมได้อีกครั้งหลังจากที่ตอนนี้บ้านของเธอกำลังจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลายเพราะฐานะทางการเงินของธุรกิจที่ครอบครัวเธอเป็นเจ้าของอยู่ไม่สู้จะดีนัก ภาคินก็เป็นตัวเลือกหนึ่งของเธอเช่นกัน ตอนแรกเธอหมายตาเอาไว้ว่าจะต้องจับชายหนุ่มคนนี้ให้ได้ แต่พอได้ฟังข้อเสนอที่ภาคินยื่นให้เพื่อแลกกับการที่เธอต้องมาร่วมมือในแผนการของเขามันก็ออกจะคุ้มดีอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญวิศรุตก็รวยกว่ามากนักเมื่อเทียบกับภาคินที่ไม่ใช่ทายาทของทัดเทวาโดยสายเลือด 


              ภาคินจุดยิ้มที่มุมปากอย่างนึกรู้ว่าเมริษากำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเสนอแผนการนี้ให้กับวันชัยเอง เพราะเห็นว่าหากสำเร็จไปตามแผน ฝ่ายเขากับเมริษาจะมีแต่ได้กับได้เท่านั้น หากเมริษาทำให้วิศรุตหลงรักจนยอมแต่งงานด้วยได้ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม เธอก็ย่อมมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของวิศรุตด้วยครึ่งหนึ่งในฐานะภรรยา ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันก็ตกมาเป็นของเขากลายๆนั่นเอง วิศรุตไม่มีทางรู้หรอกว่าเมริษากับเขามีสถานะสัมพันธ์กันลึกซึ้งถึงขั้นไหนต่อไหนกันแล้ว อีกทั้งวิธีนี้ก็จะช่วยให้วันชัยผู้เป็นพ่อเข้ามาแทรกแซงอำนาจในทัดเทวาที่เป็นของวิศรุตได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมด ถ้าสุดท้ายแล้ววิศรุตรู้ว่าตัวเองโดนเมริษาหลอกก็คงจะกระอักเลือดตายด้วยความแค้นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันจะต้องมาใช้ผู้หญิงที่เหลือเดนต่อจากเขาอีกที


               “จากนี้ผมว่าเมต้องพยายามหาทางใกล้ชิดไอ้วินมันบ่อยๆแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะกลับเมืองนอกเลยหรือเปล่าหลังจากที่น้องสาวของมันออกจากโรงพยาบาล ทางที่ดีเมต้องรีบหาทางรั้งมันเอาไว้ที่นี่ก่อน” ภาคินเสนอแต่เมริษาลอบถอนหายใจเฮือก สำหรับวิศรุตแล้ว เธอก็แค่คนที่เคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว แล้วอย่างนี้เธอจะเอาอะไรไปรั้งวิศรุตไม่ให้บินไปเมืองนอกได้ล่ะ ตอนนี้เธอยังไม่ได้สนิทสนมกับเขาถึงขนาดเป็นคนใกล้ชิดที่บอกอะไรแล้ววิศรุตจะต้องทำตามทุกอย่างเสียหน่อย ทว่าหญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดความคิดที่อยู่ในใจของเธอให้ภาคินฟัง


            “ค่ะ แล้วเมจะลองหาวิธีดูก็แล้วกัน” ภาคินยิ้มพึงใจก่อนจะรวบร่างของเมริษาเข้ามากอดอีกครั้งแล้วระดมจูบไปทั่วดวงหน้าสวยหวาน


             “ถ้าคุยเรื่องงานกันเสร็จแล้ว ผมว่าเราไปกันเถอะ จะได้ไปทำเรื่องอย่างอื่นกันต่อ” ภาคินพูดเสียงกรุ้มกริ่ม ส่วนเมริษาก็ช้อนตามองเขาด้วยประกายตาเชื่อมหวานอย่างยั่วเย้า


           “ที่ไหนคะ”


             “ผมจองห้องเอาไว้แล้ว” ชายหนุ่มหมายถึงห้องด้านบนเหนือคลับหรูแห่งนี้ ที่ทางคลับเปิดเอาไว้สำหรับให้บริการลูกค้าวีไอพีเท่านั้น ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาขับรถไปหาโรงแรมอื่นอีก เขากระหายอยากจะชิมความหอมหวานเย้ายวนจากร่างตรงหน้าไวๆ โดยไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แม้เพียงนาทีเดียว


              ภาคินจัดการเช็กบิลเรียบร้อยแล้วก็โอบเอวเมริษาเดินออกจากบริเวณผับไปยังด้านนอกเพื่อขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักส่วนตัวที่จองเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งที่เฝ้ามองดูตั้งแต่ที่ทั้งคู่ก้าวออกมาจากตัวผับแล้วตระกองกอดกันเข้าไปในลิฟต์อย่างเงียบๆ


              ภาณุแสยะมุมปากกับภาพที่เห็น บังเอิญว่าเขาออกมาคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอกพอดีจึงได้ทันเห็นว่าผู้หญิงหน้าตาสวยซึ้งที่เขาอยากจะรู้จักคนนั้นกำลังเดินโอบประคองกับผู้ชายอีกคนเข้าไปในลิฟต์ซึ่งเขาเองก็เดาได้อย่างไม่ยากเลยว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่ก็คงไม่พ้นห้องพักสุดหรูด้านบน และที่สำคัญผู้ชายคนนั้นก็คือภาคิน ทัดเทวา ญาติของเพื่อนสนิทเขานั่นเอง ซึ่งแม้จะเจอภาคินไม่บ่อยแต่ภาณุก็รู้จักฝ่ายนั้นเป็นอย่างดีจากกิตติศัพท์ที่วิศรุตชอบเอามาเล่าสู่เขาฟังบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเรียนม.ปลาย ซึ่งมันก็มักจะเป็นเรื่องที่ออกไปในแนวแง่ลบเสียด้วย เช่นว่าภาคินชอบใช้นามสกุลทัดเทวามาเป็นเครื่องมือหลอกฟันพวกผู้หญิงหน้าเงินที่อยากจะจับเขาเพื่อยกระดับฐานะตัวเอง และครั้งนี้ภาณุก็เดาว่าภาคินก็คงจะทำอย่างนั้นเช่นกัน


              “เธอมันก็แค่พวกผู้หญิงหน้าเงินทั่วไปที่หวังจะใช้ความสวยของตัวเองเพื่อจับพวกเศรษฐีสินะ” ภาณุแค่นเสียงดูถูก ความประทับใจแรกเห็นเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่หญิงสาวผู้นั้นเดินมาชนเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในความรู้สึกอีกเมื่อภาณุเห็นเธอเดินขึ้นลิฟต์ไปกับภาคินด้วยสองตาของตนเอง

 



                วันนี้วิศรุตทำหน้าที่พี่ชายที่ดีในการไปรับศรารัตน์กลับจากโรงพยาบาลเพื่อมาพักฟื้นต่อที่บ้าน ตลอดทางขากลับระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ ศรารัตน์เมินหน้าไม่ยอมพูดอะไรกับวิศรุตแม้แต่คำเดียวเพราะยังไม่หายโกรธพี่ชายถึงเรื่องที่ทะเลาะกันในวันนั้น ตอนแรกวิศรุตคิดว่าจะเอาใจน้องสาวด้วยการพาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านโปรดของเธอ แต่เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งเย็นชาที่ศรารัตน์แสดงออกต่อเขา ชายหนุ่มก็ชักเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นการรับประทานอาหารนอกบ้านก็เป็นอันต้องล้มเลิกไปและเปลี่ยนเป็นตรงดิ่งกลับบ้านในที่สุด


            “ใจคอเธอจะไม่พูดอะไรกับฉันสักคำเลยเหรอ” วิศรุตพูดไล่หลังศรารัตน์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินลิ่วเข้าบ้าน เท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนขัดมันชะงักแล้วหันมาพูดสั้นๆ


             “เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกหรอก”


            “ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่หมอนภัทรอะไรนั่น” ชื่อบุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงทำให้ศรารัตน์ต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นโต้เถียงอย่างไม่จบไม่สิ้นเสียที


            “หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ววิน ยังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่านายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องฉันกับหมอกานต์” ศรารัตน์เน้นเสียงหนักก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปทันที ไม่สนใจว่าวิศรุตจะมีสีหน้าขัดเคืองกับคำพูดของตนเองมากเพียงใด


            เมื่อวิศรุตเดินตามศรารัตน์เข้ามาในตัวบ้านเพื่อตั้งใจจะมาคุยเรื่องนภัทรต่อ แต่ภายในห้องรับแขกไม่ได้มีแต่ศรารัตน์เพียงคนเดียว ชายหนุ่มกลับพบแขกที่มาเยือนบ้านทัดเทวาอีกคน... ภาคิน


            “มาทำอะไรที่นี่ภาคิน” วิศรุตถามเสียงห้วน เมื่อวันชัยไม่อยู่เขาก็ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้ารักษามารยาทกับคนๆนี้อีกต่อไป


            “ทำไมนายต้องทำหน้ายักษ์อย่างนั้นด้วยล่ะวิน ฉันก็แค่แวะมาเยี่ยมศราเพราะรู้ว่าวันนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เท่านั้น” ภาคินยื่นดอกไม้ช่อโตในมือให้กับศรารัตน์ที่รับไปพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายแล้วบอกว่าไม่น่าลำบากเอามาให้เธอเลย “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” ภาคินเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้ศรารัตน์ หญิงสาวลอบเบ้หน้าคลื่นไส้ ในใจก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับสายตาที่เหมือนจะโลมเลียเธอไปทั้งตัวแบบนี้


            “ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปสิ” เมื่อเจอเจ้าของบ้านไล่แบบไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ภาคินเลยต้องจำใจกลับ แต่ก่อนไปยังไม่วายหันไปเอ่ยลาศรารัตน์อีกครั้ง


            “งั้นผมไปก่อนนะครับศรา เอาไว้เจอกันที่บริษัท” ศรารัตน์ยิ้มฝืดๆให้ภาคินก่อนจะรีบเดินหนีขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนส่วนตัวของเธอ ทิ้งให้วิศรุตเผชิญหน้ากับภาคินสองคน


            “ฉันขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะ” วิศรุตพูดเสียงกร้าวขณะสบตากับภาคินที่มองมาด้วยแววตาที่เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างไม่แพ้กัน “ถ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญจริงๆ ฉันไม่อยากให้นายมาวุ่นวายที่บ้านของฉันบ่อยๆ หวังว่าที่พูดนี่นายคงจะเข้าใจ”


            “ท่าทางนายจะหวงบ้านนี้จริงนะ หรือว่ากลัวว่าสักวันมันจะต้องตกไปเป็นสมบัติของคนอื่น”


            “สมบัติของฉัน ถ้าฉันไม่ยกให้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังได้เลย” วิศรุตสวนกลับอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยเห็นภาคินอยู่ในสายตาอยู่แล้ว คำพูดนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ไม่มีทางเสียหรอกที่บ้านทัดเทวาจะตกไปอยู่ในมือทายาทนอกสายเลือดอย่างแก วิศรุตคิดในใจอย่างเย้ยหยัน


            ภาคินพยายามกดอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนเข้าให้ ก่อนจะกัดฟันเอ่ยขอตัวกลับบ้านทันที


            “เดี๋ยวก่อน” วิศรุตเรียกไว้ ภาคินจึงหยุดแล้วหันมามองว่าคนเรียกต้องการจะพูดอะไรกับเขาอีก “ฉันได้อ่านรายงานที่ทางแผนกการเงินประเมินงบสำหรับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่แล้ว ฉันว่าตัวเลขมันดูสูงผิดปกตินะ” ภาคินชะงักทันที หรือว่าวิศรุตจะพบอะไรผิดปกติในยอดงบโครงการบ้านจัดสรรที่เขาเสนอไป


            “ถ้านายไม่พอใจ เดี๋ยวฉันจะให้พวกลูกน้องเอากลับมาแก้ใหม่อีกรอบก็ได้”


            “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเพราะมันเป็นหน้าที่ของนายโดยตรงนี่นา ฉันขอเตือนนะว่าโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว” วิศรุตสำทับเสียงหนัก ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้โครงการนี้เป็นผลงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับบรรดาผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัท อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตามเดิม เขาอยากจะแสดงให้ทุกคนที่เคยดูถูกในความสามารถของเขาได้รู้ว่าวิศรุต ทัดเทวาไม่ได้เป็นคนไม่เอาถ่านอย่างที่บรรดากรรมการบริษัทหลายๆคนเคยปรามาสเอาไว้โดยเฉพาะคุณมงคล


            ภาคินรับคำในคอก่อนรีบเดินออกไปเพราะไม่อยากให้วิศรุตสงสัย เห็นทีกลับไปเขาจะต้องเตือนลูกน้องตนให้ตกแต่งงบการเงินในแนบเนียนกว่านี้ เพราะวิศรุตเกือบจะจับได้แล้วว่ายอดเงินที่เสนอให้อนุมัติโครงการมีความผิดปกติ ถ้าหากโดนจับได้ขึ้นมาจริงๆ คนที่ซวยที่สุดก็หนีไม่พ้นเขาอยู่ดีและวิศรุตก็คงไม่ปล่อยโอกาสในการเขี่ยเขาออกจากทัดเทวาให้หลุดมือไปแน่ๆ

 

Aislin: สวัสดีค่ะ มาอัพนิยายให้แล้วนะคะ ไม่ปล่อยให้รอนาน ฮาๆๆ ขอบคุณที่หลายๆคนชอบและคอมเม้นท์ให้นิยายเรื่องนี้นะคะ กลับมาอ่านคอมเม้นท์แล้ว ปลาบปลื้มใจมากๆเลย ^0^ ตอนนี้ตัวละครหลายๆตัวเริ่มทยอยตบเท้าออกมาแล้ว เดี๋ยวรับรองว่าหลังจากนี้เรื่องจะสนุกสนานและเข้มข้นขึ้นแน่นอนค่ะ ไม่เชื่อต้องลองพิสูจน์เอง อิอิ ยังไงก็ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ

            ส่วนบางท่านที่อาจจะรอนิยายรูปเล่มอยู่ พอดีเกิดความผิดพลาดขึ้นค่อนข้างมากเกี่ยวกับการจัด Artwork เกดเลยตัดสินใจเปลี่ยนเจ้าใหม่ทำ Artwork เลย ดังนั้นอาจจะทำให้กระบวนการรูปเล่มช้าไปบ้างนะคะ แต่จะพยายามให้เร็วที่สุดค่ะ ราคาคร่าวๆไม่น่าจะเกินเล่มละ 400 บาท เพราะต้นฉบับหนามากๆ ปกติเรื่องก็ยาวอยู่แล้ว แล้วยังมีการรวมเอาตอนพิเศษอีก 3 ตอนเข้ามาด้วยเลยทำให้หนังสือยิ่งหนาเข้าไปใหญ่ (ต้นฉบับ 255 หน้า A4 อักษร 14 pt.) ตอนแรกจะซอยออกเป็น 2เล่มแต่ต้นทุนจะแพงขึ้นอีก เกดเลยรวมเป็นเล่มเดียวดีกว่า ยังไงถ้าหากสนใจเก็บเงินเตรียมรอไว้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะมาแจ้งรายละเอียดพร้อมราคาชัวร์ๆเอาตอนรู้หน้าแน่ชัดแล้วนะคะ แต่ถ้าหากใครอยากตามอ่านในเว็บก็ตามสะดวกเลยค่า เพราะเกดลงจนจบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีตอนพิเศษ ดังนั้นใครรักชอบเรื่องนี้ฝากอุดหนุนหน่อยเน้อ จะได้เอาทุนมาต่อลมหายใจให้นิยายเรื่องอื่น อิอิ ^0^


ปล. ใครอยากติดตามรายละเอียดอย่างใกล้ชิด ขอเชิญที่แฟนเพจ www.facebook.com/Aislin.Napoon   ได้เลยค่ะ


ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
น่าสนุกมากเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ


ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
สนุกมากเลยครับบบ. รออ่านต่อ รอหนังสือด้วยครับบ เร็วๆนะครับบ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
น่าสนุกมากเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ

มาต่อให้แล้วจ้ะ ขออภัยที่หายไปหลายวันนะคะ งานยุ่งมากๆเลย แหะๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
สนุกมากเลยครับบบ. รออ่านต่อ รอหนังสือด้วยครับบ เร็วๆนะครับบ

ขอบคุณมากเลยค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ ส่วนนิยายเดี๋ยวภายในสัปดาห์หน้าจะแจ้งรายละเอียดแน่นอนค่าาา ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1


            หลังจากพักฟื้นที่บ้านได้ไม่นาน ศรารัตน์ก็มาทำงานที่บริษัทได้ตามปกติ วันนี้หญิงสาวตั้งใจว่าหลังเลิกงานแล้วจะชวนคุณหมอนภัทรไปดินเนอร์เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล คุณหมอหนุ่มคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี หญิงสาวคิดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหาเบอร์ของนภัทรแล้วโทรออก


            ศรารัตน์นั่งเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานระหว่างรอปลายสายรับโทรศัพท์ แต่เสียงสัญญาณก็ดังนานโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับจนกระทั่งมีเสียงให้ฝากข้อความในที่สุด หญิงสาวตัดสายทิ้ง คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นครุ่นคิดว่าทำไมนภัทรถึงไม่รับสายของเธอ บางทีคุณหมออาจจะติดงานยุ่ง ศรารัตน์คิดในแง่ดี ในใจอยากลองโทรไปอีกครั้ง แต่ก็คิดว่าหากนภัทรกำลังยุ่งอยู่จริงๆ เธอโทรไปก็จะกลายเป็นไปกวนเขาเสียเปล่าๆ สู้รอให้ฝ่ายนั้นติดต่อกลับมาหาเธอเองดีกว่า


            เวลาตลอดทั้งบ่ายนั้น ศรารัตน์ทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิมากนักเพราะดวงตาคู่งามมักจะตวัดมองไปยังโทรศัพท์มือถือข้างๆตัวอยู่เรื่อย จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเสียที จนหญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าทำไมตัวเองจะต้องมาคอยกระวนกระวายใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรด้วย ทำไมเธอถึงต้องอยากพูดคุยกับคนๆนั้นตลอดเวลา แค่เพียงได้ยินเสียงเขา เธอก็ดีใจมากแล้ว และที่สำคัญทำไมเธอถึงรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองเริ่มจะผิดปกติเมื่อได้สบตาหรือใกล้ชิดกับนภัทร ศรารัตน์สงสัยเพียงไม่นาน เธอก็หาคำตอบให้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย ดูท่าเธอคงจะหลงรักคุณหมอรูปหล่อเข้าแล้วแน่ๆ


            ศรารัตน์ยิ้มกับคำตอบของตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือแล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าถือเดินออกจากห้องทำงานไปทันที คลาดกับวิศรุตที่เดินถือแฟ้มเอกสารเพื่อมาปรึกษาเรื่องงานกับหญิงสาวเพียงนิดเดียว


            “ท่านประธานคะ คือว่าคุณศราเธอเพิ่งจะออกไปเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ” เลขาฯหน้าห้องของศรารัตน์เอ่ยบอกในตอนที่วิศรุตกำลังจะบิดลูกบิดเปิดประตูห้องทำงานของรองประธานกรรมการซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของศรารัตน์


            “ไปไหน แล้วได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไหร่”


            “ไม่ทราบค่ะท่าน คุณศราไม่ได้สั่งอะไรไว้”


            “ออกไปพบลูกค้าหรือเปล่า”


            “เปล่าค่ะ วันนี้ตารางงานคุณศราไม่มีนัดที่ไหนเลย ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าเธอไปไหนเช่นกัน”


            “แล้วทำไมไม่ถามล่ะ มีอย่างที่ไหนที่เลขาฯไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองไปไหน แล้วกำลังทำอะไรอยู่” วิศรุตถามด้วยน้ำเสียง หงุดหงิดขณะที่เลขาฯสาวก้มหน้าอย่างกลัวเกรงในอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิศรุต


               ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก อันที่จริงจะตำหนิเลขาฯตรงหน้าอย่างเดียวก็ไม่ถูกเพราะรู้ว่าศรารัตน์นิสัยเหมือนกับเขาตรงที่เวลานึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจนึก ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมารายงานให้เลขาฯทราบเหมือนอย่างกับตัวเองเป็นนักโทษที่ต้องมีผู้คุมความประพฤติตลอดเวลา


            “เอาเถอะๆ ถ้ายัยศรากลับมา ฝากบอกด้วยว่าให้ขึ้นไปพบฉันที่ห้องทำงานด้วย ฉันมีเรื่องงานที่จะปรึกษาด่วน” เลขาฯสาวรับคำเสียงอ่อย ขณะที่วิศรุตก็นึกสงสัยว่าศรารัตน์ออกไปไหนในเวลางานแบบนี้

 



            ยังไม่ทันที่นภัทรจะได้เข้าบ้าน ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีรถยุโรปราคาแพงมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเขา ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนคิดว่าคงเป็นรถของเพื่อนแม่เขาคนใดคนหนึ่งที่ชอบแวะเวียนไปมาหาสู่กับบ้านของเขาบ่อยๆ


            เมื่อเดินเข้ามาในห้องรับแขก ภาพศรารัตน์ที่คุยยิ้มแย้มกับบุพการีของเขาอย่างเป็นกันเองทำให้นภัทรรู้ว่าเขาเดาผิด เจ้าของรถคันนั้นคงเจาะจงมาหาเขาโดยตรงนั่นเอง


            “อ้าว เจ้ากานต์กลับมาพอดีเลย” คุณนรินทร์ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน


            ศรารัตน์หันไปส่งยิ้มกว้างให้นภัทร ชายหนุ่มคงนึกแปลกใจที่เธอมาหาเขาถึงที่นี่ได้ แถมยังมาโดยไม่บอกก่อนล่วงหน้าเสียด้วย


            “หนูศราเค้ามารอลูกนานแล้ว แถมยังซื้อของฝากแล้วก็ผลไม้มาให้ตั้งเยอะแยะ บอกว่าเป็นการขอบคุณแทนน้ำใจที่ลูกดูแลเธอเป็นอย่างดี” รัญญาเอ่ยขึ้นบ้างก่อนจะขอตัวไปจัดการเรื่องอาหารเย็นในครัวแล้วเชิญหญิงสาวที่มาเป็นแขกของบ้านให้ทานอาหารเย็นด้วยกันซึ่งศรารัตน์ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน


            “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อขอตัวไปอ่านหนังสือต่อด้านบนแล้วกัน ตามสบายเลยนะหนู” ท้ายประโยคหันไปพูดกับศรารัตน์ ก่อนที่คุณนรินทร์จะขึ้นบันไดไปด้านบนชั้นสองโดยปล่อยให้ลูกชายของตนและศรารัตน์ได้มีโอกาสคุยธุระกันตามลำพัง


            นภัทรพาศรารัตน์มาคุยกันในสวนเล็กๆบริเวณบ้าน หญิงสาวมองไปรอบตัวอย่างสนใจเพราะในสวนบริเวณบ้านนั้นมีดอกไม้หลากหลายชนิดปลูกเอาไว้เต็มไปหมดและแทบทุกต้นจะถูกดูแลและบำรุงรักษาเป็นอย่างดี บ่งบอกได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าของบ้านคงจะชื่นชอบการปลูกดอกไม้เป็นแน่


            “คุณแม่ท่านชอบปลูกดอกไม้น่ะครับ” คำพูดของนภัทรยืนยันสิ่งที่หญิงสาวกำลังคิด


            “บ้านของหมอน่าอยู่ดีนะคะ ดูแล้วอบอุ่นจังเลย” ศรารัตน์อดนึกอิจฉานภัทรหน่อยๆไม่ได้ที่บ้านของชายหนุ่มถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนอย่างบ้านทัดเทวา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนบ้านหลังนี้มันทำให้เธอสัมผัสได้ถึงคำว่าบ้านที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสจากบ้านของตัวเองมาก่อนเลย “คุณพ่อของหมอก็เป็นแพทย์เหมือนกันเหรอคะ” ศรารัตน์เอ่ยถาม เมื่อกี้เธอได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณนรินทร์ จึงได้รู้ว่าคุณพ่อของนภัทรเองก็เป็นหมอเช่นกัน มิน่าล่ะ นภัทรถึงได้เชื้อความเก่งมาจากพ่อนี่เอง นภัทรรับคำ


             “ท่านเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจน่ะครับ ว่าแต่คุณศรายังไม่ได้บอกผมเลยว่าคุณมาหาผมถึงที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย” นภัทรเปลี่ยนประเด็นมาเอ่ยถามเรื่องที่ยังคาใจอยู่


            “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณหมอมากไปหน่อย ถึงขนาดบุกมาหาถึงที่บ้านเลย”น้ำเสียงอ้อนของศรารัตน์ทำให้นภัทรตัดใจเคืองเธอไม่ลง ทั้งที่เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบให้ใครมาล้ำเรื่องส่วนตัวเท่าใดนัก “จริงๆฉันก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกค่ะ แค่อยากจะมาเจอหน้าหมอเท่านั้นเอง” คราวนี้นภัทรถึงกับอึ้งไปกับคำพูดตรงๆของศรารัตน์ ดวงตาสีถ่านสบตาสีน้ำตาลของหญิงสาวแล้วก็นึกถึงใครบางคนที่มีดวงตาแบบเดียวกัน แต่ของคนๆนั้นเป็นดวงตาหวานโศก


            “หมอไม่พอใจที่ฉันมาที่นี่เหรอคะ” ศรารัตน์เอ่ยถามตรงๆ เพราะไม่แน่ใจกับสายตาของนภัทรที่มองมา ไม่รู้ว่านภัทรจะโกรธเธอหรือเปล่าที่จู่ๆก็มาโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัวแบบนี้


            นภัทรปฎิเสธคำถามนั้นก่อนจะเชิญให้ผู้เป็นแขกนั่งลงที่ชุดโต๊ะสนามที่ทำจากอัลลอยด์สีขาว ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำหวานจากเด็กรับใช้ที่เอามาเสริ์ฟให้ตนและศรารัตน์


            “แล้วคุณศรามาบ้านผมถูกได้ยังไงครับเนี่ย”


            “ก็ถามเอาจากโรงพยาบาลนั่นแหล่ะค่ะ ต้องหลอกล่อตั้งนานกว่าจะยอมบอก” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วส่งเสียงอื้อหือพร้อมถามว่าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ ศรารัตน์อมยิ้มไม่ตอบคำถามนั้น วันนี้เธอต้องโทรไปหลอกถามและออดอ้อนต้นอ้อ พยาบาลที่เคยดูแลเธอตอนประสบอุบัติเหตุเสียตั้งนานสองนานกว่าพยาบาลสาวจะยอมไปค้นที่อยู่ของหมอนภัทรจากแฟ้มทะเบียนมาให้ พร้อมกับกำชับเอาไว้ว่าอย่าบอกหมอนภัทรเด็ดขาดว่าได้ที่อยู่มาจากเธอ


            “ตั้งแต่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย พอดีวันนี้ฉันว่างก็เลยแวะมาหา กะว่าจะมาเซอร์ไพรส์ที่บ้านนี่แหล่ะค่ะ” เซอร์ไพรส์จริงๆด้วย นภัทรคิด


            “พอดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่เลยครับ เพราะติดเรื่องสัมมนาต่างๆของทางโรงพยาบาล ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อไป” นภัทรบอกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ค่อยได้โทรหาศรารัตน์นัก ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะออกจากโรงพยาบาล เธอเคยให้เบอร์มือถือส่วนตัวกับเขาไว้ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะเขาไม่อยากจะสานสัมพันธ์ให้เธอคิดไปไกลเกินกว่าคำว่าเพื่อน เพราะชายหนุ่มคงกระดากใจไม่น้อยหากว่าผู้หญิงที่เพื่อนสนิทตัวเองชอบจะกลับกลายมาชอบเขาเสียเอง


            ศรารัตน์หลุบตาต่ำซ่อนสีหน้าเขินอายของตัวเองเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถามนภัทรตรงๆอย่างไม่คิดอ้อม ค้อมให้เสียเวลา


              “ขอถามตรงๆนะคะ” ศรารัตน์เว้นไปนิดหนึ่งก่อนต่อให้จบประโยค “หมอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่คะ” มือที่ถือแก้วน้ำหวานสีสวยชะงักนิ่งไปกับคำถามนั้น ก่อนคนถูกถามจะแสร้งย้อนถามกลับ


            “แล้วคุณศราคิดยังไงกับผมเหรอครับ” คุณหมอหนุ่มยกแก้วน้ำหวานขึ้นจิบก่อนจะแทบสำลักออกมาเมื่อได้ยิน คำตอบจากปากของศรารัตน์


            “ก็คิดว่าหมอเป็นคนที่อยู่ใกล้ด้วยแล้วมีความสุข เป็นคนที่เข้าใจฉันในหลายๆเรื่องที่แม้แต่ตัวฉันเองยังไม่เข้าใจ เป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเวลาที่ฉันต้องการใครสักคน ฉันคิดว่าตัวเองคงจะตกหลุมรักคุณหมอนภัทร อิสรีย์เข้าไปเต็มๆแล้วล่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มกว้าง ดวงหน้าหวานเป็นสีระเรื่อยามเอ่ยความในใจออกมาให้คนตรงหน้าที่เธอเพิ่งบอกว่าตกหลุมรักได้ฟัง


            “คุณศราครับ คือว่า... เอ่อ...”


            “เรามาคบกันไหมคะคุณหมอ” ศรารัตน์พูดรัวประโยคนี้ออกมา แต่นภัทรที่ได้ยินกลับตัวแข็งทื่อ ในใจก็ชื่นชมกับความใจกล้าของเธอที่เขาไม่ค่อยได้เจอจากผู้หญิงคนไหน ส่วนหนึ่งที่เขาเอ็นดูศรารัตน์ก็คือบุคลิกตรงๆไม่อ้อมค้อมแบบนี่เนี่ยแหล่ะ หญิงสาวเป็นคนใจคิดยังไง ปากก็พูดไปอย่างนั้นตามความรู้สึก ไม่ได้เป็นคนเก็บงำความรู้สึกเก่งแบบพี่ชายของเธอเลยสักนิด


            เมื่อเห็นว่านภัทรมีสีหน้าหนักใจราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ศรารัตน์ก็ถามขึ้น


             “หรือว่าหมอมีคนรักอยู่แล้วคะ”


            “เปล่าหรอกครับ ผมยังไม่มีใคร เพียงแต่ว่า...”


            “ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีโอกาสใช่ไหมคะ”


            “ผมว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลยดีกว่านะครับ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันดีด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าถ้าคุณศราได้รู้จักผมจริงๆ คุณอาจจะไม่อยากคบกับผมก็ได้”


            “แหม คุณหมอเนี่ยพูดเหมือนพี่ชายฉันเด๊ะเลยค่ะ อย่างกับโคลนนิ่งคำพูดกันมาอย่างนั้นแหล่ะ” ศรารัตน์หัวเราะออกมาเลยทำให้บรรยากาศที่ดูทึมๆเมื่อครู่กลายเป็นสดใสขึ้นในความคิดของนภัทร


            “บอกตรงๆนะครับ ตอนนี้ผมเองยังไม่พร้อมจะคบกับใครเลย จะเรียกว่าปิดตัวเองก็ได้” นภัทรหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ช่วงนี้ขนาดเวลาดูแลตัวเองเขายังไม่ค่อยจะมี วันๆเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานที่โรงพยาบาล จะให้เอาเวลาที่ไหนไปดูแลคนอื่นนอกจากคนไข้ได้ล่ะ


              “ฉันไม่ได้จะเร่งรัดอะไรคุณหมอหรอกค่ะ เราสองคนอาจจะต้องทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้จริงๆอย่างที่คุณหมอบอกนั่นแหล่ะ แต่ว่า...”


            “แต่ว่าอะไรเหรอครับ”


            “แต่ว่าถ้าคุณหมอคิดจะเปิดใจให้ใครเมื่อไหร่ อย่าลืมนึกถึงฉันเป็นคนแรกนะคะ” นภัทรยิ้มให้แทนคำตอบ ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ในเมื่อเขารู้ใจตัวเองดีว่าคิดกับศรารัตน์เพียงแค่น้องสาวเท่านั้น เอาไว้เขาจะค่อยๆบอกเรื่องนี้กับเธออีกทีหนึ่ง เพราะถึงบอกไปตอนนี้หญิงสาวคงดึงดันและไม่ยอมฟังแน่ ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากหลอกให้ความหวังเธอแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่สำคัญคือเขาไม่อยากจะทำผิดต่อเพื่อนสนิทที่เขารักมากที่สุดอย่างพงศธร


            ศรารัตน์มองรอยยิ้มนั้นอย่างสุขใจ หญิงสาวไม่ได้คาดหวังให้นภัทรตอบตกลงคบกับเธอในทันที แค่เขารับฟังความรู้สึกของเธอเท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว ยิ่งรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่มีใคร เธอก็ค่อยปลอบใจตัวเองว่าคนตรงหน้ายังไม่มีเจ้าของเสียหน่อย สักวันเธอจะต้องพิชิตหัวใจของนภัทรได้แน่ๆ รอเพียงแค่เวลาและโอกาสเท่านั้น


            “เราเข้าไปในบ้านดีกว่าค่ะ ฉันชักอยากจะชิมอาหารฝีมือของคุณแม่เสียแล้ว” ศรารัตน์เอ่ยทำลายความเงียบแล้วชวนนภัทรเข้าไปในบ้านเมื่อเด็กรับใช้เดินมาแจ้งว่าคุณผู้หญิงให้มาตามเพราะว่าอาหารเย็นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว


            นภัทรรับคำก่อนจะเดินนำหญิงสาวกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง ถ้าวิศรุตรู้ว่าน้องสาวตัวเองมาบอกรักเขาถึงที่บ้านแบบนี้ ฝ่ายนั้นจะทำหน้ายังไงนะ คงจะชักสีหน้าและแววตาวาวโรจน์ใส่เขาเหมือนอย่างเคยแน่ๆ เพราะวิศรุตทำท่าหวงน้องสาวอย่างกับอะไรดี ท่าทางของวิศรุตที่เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดทำเอานภัทรอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับตัวเองคนเดียว

 


             “ไปไหนมา ทำไมกลับเอาป่านนี้” เสียงวิศรุตที่เอ่ยทักทำให้ศรารัตน์ที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านต้องหันไปตอบคำถามอย่างเสียไม่ได้


            “แวะไปที่บ้านคุณหมอนภัทรมา แล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อย” น้ำเสียงหญิงสาวเรียบเรื่อย แต่หางตาคนฟังกลับกระตุกเมื่อได้ยินชื่อชายหนุ่มอีกคนที่น้องสาวเขาพูดถึง


            “ไปบ้านหมอนภัทรเนี่ยนะ ไปทำไมกัน” ปลายเสียงวิศรุตห้วนเจือแววไม่พอใจ ซึ่งศรารัตน์ก็เดาได้อยู่แล้วว่าพี่ชายต้องออกอาการไม่พอใจแน่ถ้าเธอบอกออกไปแบบนี้ ก็เพราะวิศรุตกันท่าเธอกับนภัทรอย่างกับอะไรดี


            “แล้วทำไมฉันจะไปไม่ได้ล่ะ ฉันกับหมอนภัทรเราสนิทกัน จะไปเยี่ยมทักทายที่บ้านก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย” ศรารัตน์ตอบคำถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวยเริ่มหรี่ลงเล็กน้อยแสดงถึงอาการไม่พอใจที่หมู่นี้วิศรุตชอบมายุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเธอเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนเธอจะคบหากับใครก็ไม่เห็นว่าวิศรุตจะเข้ามายุ่งด้วยเลยสักครั้ง


            “แต่มันไม่เหมาะสม เธอเป็นสาวเป็นแส้จะไปวิ่งไล่ตามผู้ชายถึงที่บ้านเค้าได้ยังไงกัน” วิศรุตหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองได้ก่อนตั้งท่าจะไล่บี้ศรารัตน์ต่อ แต่คู่สนทนากลับพูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน


            “ถามจริงๆเถอะ นายเคยมีเรื่องอะไรกับหมอกานต์มาก่อนหรือเปล่า ดูเหมือนนายจะไม่ชอบเค้าเอามากๆเลยนะ ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้นายเสียหน่อย” วิศรุตค้านในใจเสียงแข็ง ใครว่านภัทรไม่เคยทำอะไรให้เขาล่ะ ฝ่ายนั้นแหล่ะที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาต้องเสียใจและรู้จักกับคำว่าอกหักเป็นครั้งแรกของชีวิต ผู้ชายที่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึงแปดปีแล้วก็ตาม


            “ถ้านายหาเหตุผลดีๆมาให้ฉันไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะมาเถียงกันเรื่องนี้อีก เพราะขนาดฉันยังไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายเลย นายเองก็ไม่ควรจะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันเหมือนกัน” ศรารัตน์เน้นเสียงที่คำว่าเรื่องส่วนตัวก่อนจะสาวเท้าตั้งใจจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตน


            “เดี๋ยวก่อน” วิศรุตรั้งไว้อีกครั้งซึ่งศรารัตน์คิดว่าพี่ชายคงจะต้องพูดเรื่องนภัทรอีกแน่ เธอจึงตั้งใจจะตัดบท


            “บอกแล้วไงว่า...”


            “ฉันเพิ่งเอาเอกสารเรื่องโครงการบ้านจัดสรรที่เรากำลังจะเปิดเฟสใหม่ไปไว้ที่ห้องนอนของเธอเมื่อกี้ ช่วยศึกษารายละเอียดด้วยล่ะ เพราะอีกไม่นานเราจะเริ่มประชุมเพื่อประเมินโครงการนี้กันแล้ว” ศรารัตน์ไหวไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงว่าเธอรู้แล้วก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบนโดยมีวิศรุตมองตามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา


            “ท่านประธานคะ มีแขกต้องการเรียนสายด้วยค่ะ เค้าบอกว่าชื่อพงศธร เป็นเพื่อนสมัยเรียนของท่านประธาน” อิงอรรายงานผ่านอินเตอร์โฟน ทำให้วิศรุตที่กำลังนึกเบื่อกับการพิจารณาเอกสารกองโตละสายตาจากงานตรงหน้าทันที


            “โอนสายเข้ามาได้เลยครับ” ชายหนุ่มสั่งเลขาฯ สักพักไม่ถึงอึดใจเขาก็ได้รับสายของพงศธรที่ถูกโอนเข้ามายังโทรศัพท์ส่วนตัวในห้องทำงานของท่านประธานแห่งทัดเทวา


            “ว่ายังไงไอ้พงษ์ ทำไมวันนี้ถึงโทรมาหาฉันได้เนี่ย” วิศรุตกรอกเสียงลงไป ในใจก็นึกเดาเอาว่าที่พงศธรโทรมาหาเขาที่บริษัทแบบนี้คงต้องเป็นเพราะฝ่ายนั้นตัดสินใจได้แล้วแน่ๆว่าจะเลือกร่วมงานกับที่ไหน และคำตอบของพงศธรก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ


            “ฉันโทรมาเพราะเรื่องที่นายเคยเสนองานที่ทัดเทวาให้ฉันนั่นแหล่ะ”


            “ตกลงนายว่ายังไงล่ะ นี่ฉันรอลุ้นคำตอบอยู่นะ” วิศรุตพูดเย้าอีกฝ่ายก่อนที่พงศธรจะเงียบไปเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน


            “ฉันตกลงที่จะร่วมงานกับทัดเทวา จากนี้ต่อไป นายก็จะกลายเป็นเจ้านายของฉันแล้วนะ” วิศรุตหัวเราะประโยคสุดท้ายของพงศธร แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นเจ้านายของอีกฝ่ายตามหน้าที่ แต่เขาก็ไม่ได้คิดถือตัวกับเพื่อนเลย “เออ แล้วฉันต้องเตรียมตัวยังไงบ้างเนี่ย” พงศธรวกกลับมาที่เรื่องงานอีกครั้ง ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้าง จะได้จัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน


            “เดี๋ยวนายเอาพวกเอกสารเกี่ยวกับการสมัครงานมากรอกแบบฟอร์มการสมัครที่ฝ่ายบุคคลได้เลย เดี๋ยวฉันจะให้คนไปทำเรื่องให้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่นายพร้อมจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ล่ะ”


            “ฉันพร้อมเสมอนั่นแหล่ะ แล้วแต่เจ้านายจะบัญชาเลยครับผม” ท้ายประโยคแอบล้อเลียนคู่สนทนาอีกครั้ง


             วิศรุตยิ้มแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนบอกว่าพรุ่งนี้หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วให้พงศธรเข้ามาเริ่มงานได้เลย เพราะว่าพอดีช่วงนี้ตนกำลังจะทำโปรเจ็กส์บ้านจัดสรรโครงการใหม่อยู่พอดี จึงอยากให้พงศธรเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ด้วย


            พงศธรรับคำ จากนั้นทั้งคู่ก็คุยเรื่องทั่วไปอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป วิศรุตลอบถอนหายใจเฮือกเมื่อต้องกลับมามุ่งทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ถ้าได้คนเก่งๆอย่างพงศธรเข้ามาช่วยดูโครงการนี้อีกแรง รับรองว่าโครงการนี้จะต้องเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาแน่ๆ และที่สำคัญพวกบอร์ดผู้บริหารจะได้เลิกมองเขาว่าเป็นพวกไร้น้ำยาเสียที โดยเฉพาะคุณมงคลที่จ้องจับผิดเขาตลอดเวลาและวันชัยกับภาคินที่เขารู้สึกได้ลึกๆว่าทั้งคู่กำลังหาโอกาสจ้องจะขึ้นมากุมอำนาจประธานกรรมการบริษัททัดเทวาแทนเขา มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก

 

Aislin: ขออภัยที่หายไปนานหลายวันนะคะ วันนี้มาอัพนิยายต่อให้แล้ว ก็ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ ตอนนี้ตัวละครสำคัญๆก็ออกมาครบหมดแล้ว ต่อจากนี้ไปรับรองความสนุกและความเข้มข้นแน่นนอนค่ะ ฝากติดตามความรักที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค (สุดๆ) ของวินกับหมอกานต์เอาไว้ด้วยนะคะ ถ้าหากมีคำแนะนำหรือติชมก็ยินดีมากๆเลยค่ะ แล้วก็อย่าลืมไปคุยทักทายกันได้ที่แฟนเพจของเกดเน้อ ที่ www.facebook.com/Aislin.Napoon

            ส่วนเรื่องอัพเดทรูปเล่ม สารภาพว่าตอนนี้ยังไม่ว่างพิมพ์รายละเอียดการสั่งจองนิยายเลยค่ะ (คิดดูแล้วกันว่างานรัดตัวแค่ไหน) ส่วนหนึ่งก็เพราะเกดกำลังรื้อต้นฉบับอาร์ตเวิร์คใหม่หมด จะจ้างทีมงานใหม่ทำ เลยต้องรบกวนรอนิดนึงนะคะ แต่สัญญาว่าจะเอารายละเอียดมาแจ้งภายในต้นเดือนก.พ. แน่นอนค่ะ ยังไงรอติดตามในแฟนเพจจะเร็วที่สุดเน้อ ดังนั้นไปกด LIKE ซะ ฮาๆๆๆ แล้วเจอกันตอนต่อไปนะคะ ^0^


ปล. ไม่เห็นคอมเม้นท์... ไม่มีแรงอัพ ก๊ากๆๆ (ล้อเล่นนะคะ)

ออฟไลน์ jenjen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาอัพบ่อยๆนะค่ะ จะรอติดตามคะ :mew1:

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนแต่งแต่งเรื่องอะไรบ้างอะครับอยากตามอ่าน

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
มาอัพบ่อยๆนะค่ะ จะรอติดตามคะ :mew1:

อัพให้อ่านจบเรื่องแน่นอนค่ะ (ยกเว้นไม่อัพตอนพิเศษ 3 ตอนเน้อ ต้องรอติดตามเองในเล่มค่าาา)
ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ ฝากอุดหนุนรูปเล่มด้วยเน้อออ ^0^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
คนแต่งแต่งเรื่องอะไรบ้างอะครับอยากตามอ่าน

ผลงานนิยายวายที่ผ่านมามี 4 เรื่องค่ะ

1. ทัณฑ์กามเทพ
2. กุหลาบในเปลวไฟ
3. ดั่งเพลิงผลาญใจ
4. ทายาทกำมะลอที่รัก

ถ้าหากสนใจ รบกวนตามกดตามเข้าไปดูรายละเอียดเลยค่าาาา มีลิ้งก์ตัวอย่างให้อ่านด้วยเน้อ (เข้าไปในแฟนเพจ แล้วกดดูอัลบั้มภาพ จะเป็นอัลบัมผลงานนิยายค่ะ)

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.426240927516260.1073741826.163444893795866&type=3

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1



               “เฮ้ย ไอ้วิน ทำไมทำหน้าเซ็งซังกะตายแบบนั้นวะ นี่มาสนุกนะเว้ย ไม่ได้มานั่งเครียดจนหัวคิ้วแทบจะติดชิดเป็นเส้นเดียวกันอยู่แล้ว” ภาณุบ่นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ชายหนุ่มรู้ดีว่าช่วงนี้เพื่อนสนิทตนกำลังวุ่นๆอยู่กับงานที่บริษัท ไอ้โครงการ บ้านจัดสรรนั่นคงจะเป็นงานที่วิศรุตคาดหวังเอาไว้อย่างมากเลยทีเดียว เขาเคยแอบถามคุณอิงอรว่าวิศรุตกินยาสลับขวดมาหรือเปล่า ช่วงนี้ถึงได้ขยันรีบเข้าบริษัทตั้งแต่เช้า คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือวิศรุตกำลังทุ่มเทให้กับโปรเจ็กส์ชิ้นสำคัญอยู่ ขนาดที่ว่าเดี๋ยวนี้ต้องหอบงานเอากลับไปทำต่อที่บ้านอยู่บ่อยๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาลากตัวฝ่ายนั้นออกมาเที่ยวด้วยกันในคืนนี้เพราะกลัวว่าคนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะเฉาตายคากองเอกสารเสียก่อน


            “ถ้าคิดจะชวนมาเที่ยว ทำไมไม่หาที่อื่นบ้างวะ มาที่นี่บ่อยๆน่าเบื่อจะตาย” วิศรุตยกเหล้าดีกรีแรงขึ้นจิบลิ้มรสเล็กน้อยก่อนจะถาม “ที่มาบ่อยๆเนี่ย หรือว่าติดใจสาวแถวนี้” ภาณุหัวเราะก่อนภาพแวบแรกที่เคยเจอเมริษาจะผ่านเข้ามาในสมองแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มปฎิเสธแล้วบอกว่าทีเมื่อสมัยก่อนตอนเรียนม.ปลาย เขาชวนมาเที่ยวผับทีไรไม่เห็นวิศรุตบ่นเหมือนตอนนี้เลย ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าผับเข้าบาร์ได้ด้วยซ้ำ


            “ก็นั่นมันเมื่อก่อนนี่หว่า ตอนสมัยเรียนน่ะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้วเว้ย ใช้เงินไปวันๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก พอเงินหมดก็ขอพ่อแม่ แล้วมาดูตอนนี้สิ ฉันเพิ่งเข้าใจว่าเงินแต่ละบาทมันหามาได้ยากขนาดไหนก็เมื่อตอนมาทำงานแล้วนี่แหล่ะ” ภาณุมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาที่แปลกไป เขารู้สึกดีใจที่วิศรุตเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้จักทำงานทำการบ้างแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยกินสมบัติเก่าของพ่อแม่ไปวันๆ


            “รู้ตัวไหมว่าตอนนี้แกเริ่มเปลี่ยนไปจากวิศรุตคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก” วิศรุตไหวไหล่แล้วถามต่อทันที


            “แล้วมันดีหรือว่าไม่ดีล่ะ”


            “ก็ดีน่ะสิ ถ้าพ่อแม่แกยังอยู่ ท่านต้องดีใจมากแน่ๆที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลุกขึ้นมาปฎิวัติตัวเอง สนใจงานที่บริษัทมากขึ้น ฉันดีใจนะเว้ยที่แกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แกจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที” ภาณุพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แสดงถึง ความจริงใจที่มีต่อคนตรงหน้า


            “ถ้าฉันเปลี่ยนตัวเองได้จริงๆก็คงจะดีน่ะสิ” แม้ประโยคนี้ดูเหมือนว่าคนพูดจะพึมพำกับตัวเอง ทว่าภาณุก็ยังจับความรู้สึกที่แฝงมาในคำพูดนั้นได้ ชายหนุ่มตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆเหมือนอย่างที่เคยทำเวลาให้กำลังใจอีกฝ่าย


            “แกยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องของนภัทรอีกเหรอ”


            “ฉันพยายามแล้วแต่ก็เลิกคิดไม่ได้ว่ะ ตอนที่ฉันไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันเคยนึกว่าถ้าห่างกันไปจะทำให้ฉันลืมเค้าไปได้ ถ้าไม่ต้องเจอ ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก ฉันคงทรมานน้อยกว่าที่เป็นในตอนนั้น แต่ที่ไหนได้ฉันกลับยิ่งคิดถึงนภัทรมากขึ้นกว่าเก่า แกรู้ไหม ตอนที่ฉันเจอหน้าเค้าอีกครั้งที่โรงพยาบาล แล้วได้รู้ว่าเค้าเป็นหมอเจ้าของไข้ยัยศรา ฉันแทบจะล้มทั้งยืนเพราะทำอะไรไม่ถูกเลย” คนเล่าหัวเราะขื่นๆเหมือนกับจะสมเพชตัวเอง มือหนาคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาจรดริมฝีปาก คราวนี้ดื่มรวดเดียวหมดจนเหลือแต่แก้วเปล่า


            “แล้วยัยศราล่ะเป็นยังไงบ้าง ออกจากโรงพยาบาลตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็คงหายสนิทแล้วล่ะสิ” ภาณุเปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องศรารัตน์แทนเพราะกลัวว่าวิศรุตจะยกเรื่องเกี่ยวกับนภัทรมาพูดตอกย้ำให้ตัวเองต้องเสียใจอีก ทว่าวิศรุตก็โยงประเด็นเรื่องศรารัตน์วกกลับเข้ามาที่เรื่องของนภัทรอีกจนได้


            “แกรู้อะไรไหมไอ้โอม ตอนนี้น่ะยัยศรากำลังหลงใหลคลั่งไคล้คุณหมอนภัทรรูปหล่ออย่างกับอะไรดี นี่ขนาดตามไปหาถึงที่บ้านเลยนะเว้ย ฉันชอบนภัทรมาก่อนยัยศราตั้งแปดปี แต่บ้านเค้าอยู่ไหนฉันยังไม่มีโอกาสได้รู้เลย แต่ยัยศรากลับรู้  ฟ้าไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ” วิศรุตกระดกแก้วเหล้าที่ถูกรินชงจนเต็มแก้วเข้าปากอีกครั้ง ปล่อยให้ของเหลวราคาแพงไหลผ่านลงลำคอเพรียวสวยราวอิสตรีจนหมดสิ้น


            “เอาเถอะน่า นายเคยบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าน้องสาวนายน่ะเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็ว ฉันว่าอีกไม่นานยัยศราก็คงเบื่อ นภัทรเองนั่นแหล่ะ ถ้าผู้ชายไม่เล่นด้วยเสียอย่าง หรือว่า...”


            “ฉันกลัวอย่างเดียวว่านภัทรจะเล่นด้วยน่ะสิ” วิศรุตเริ่มรินเหล้าลงในแก้วตัวเองอีกครั้ง “แล้วฉันก็ดูออกนะว่าคราวนี้ยัยศราจริงจังกับนภัทรมากๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นที่เคยคบมาหรอก แค่มองตาฉันก็รู้ สายตาที่มองไปยังนภัทรของศราไม่ต่างอะไรจากฉันเลย แต่ถ้าจะต่างก็คงเป็นสายตาที่ฝ่ายนั้นมองตอบกลับมานั่นแหล่ะ”


            มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียวว่านภัทรจะรู้สึกสนใจหรือว่าเกิดชอบพอกับศรารัตน์ขึ้นมา ในเมื่อน้องสาวของวิศรุตออกจะเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ และที่สำคัญระหว่างที่ศรารัตน์พักรักษาอาการป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวก็ดูท่าทางจะสนิทสนมกับนภัทรเอามากๆ ถึงขนาดเรียกชื่อเล่นอีกฝ่ายได้เสียเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น แม้ในใจจะคิดอย่างหนึ่งแต่คำพูดที่ออกจากปากของภาณุกลับตรงกันข้ามกับความคิด เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องไม่สบายใจไปมากกว่านี้


            “แกก็อย่าคิดมากไปไอ้วิน แกลองดูอย่างตอนสมัยเรียนสิ ร้อยวันพันปีไม่เห็นนภัทรจะสนใจจีบผู้หญิงคนไหนเลย มันดูท่าทางจะซื่อบื้อกับเรื่องพวกนี้จะตาย วันๆเอาแต่เรียน หมกตัวอยู่กับตำราอย่างกับหนอนหนังสือ” วิศรุตอยากจะเถียงเหลือเกินว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนนี่นา โดยเฉพาะกรณีนี้ที่เขาตั้งข้อสันนิษฐานว่าน้องสาวตัวดีของเขาเป็นฝ่ายรุกคืบเข้าไปหาฝ่ายนั้นก่อน แล้วผู้ชายที่บื้อทื่ออย่างนภัทรจะตามทันเกมของศรารัตน์ได้อย่างไร ยัยศราเองก็ใช่ย่อย เขาซึ่งเป็นพี่ชายรู้นิสัยของเธอดี ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งขัดใจ อันที่จริงเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจของเขาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของศรารัตน์กับนภัทรแทบจะทั้งสิ้น ส่วนเรื่องงานที่เขาจะเก็บกลับมาคิดให้เปลืองสมองน่ะมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


            “แกช่วยหาวิธีแยกยัยศราออกมาจากนภัทรได้ไหมวะไอ้โอม ฉันไม่อยากปล่อยให้สองคนนั้นสานสัมพันธ์กันต่อไปเรื่อยๆอีกแล้ว” วิศรุตพูดโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่ฟังถึงกับหัวเราะขำ


            “อย่าบอกนะว่าแกกำลังหึงนภัทรกับยัยศราน่ะ ไม่เอาน่าเพื่อน ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้นะเว้ย ถ้าเค้าเกิดมาเพื่อเป็นคู่กันจริงๆ แกจะไปพยายามพรากเค้าออกจากกันมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหล่ะ โดยเฉพาะ...” ภาณุกลืนคำว่า ‘แกก็รู้ว่านภัทรไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย’ ลงคอไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่วิศรุตไม่ได้สนใจซักไซ้ต่อ


            “แล้วตกลงแกจะช่วยฉันรึเปล่า” วิศรุตจ้องหน้าคู่สนทนาเขม็งระหว่างรอคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลโศกในตอนนี้เป็น ประกายเจิดจ้าระคนไหววูบตามดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป


            “แล้วอย่างฉันเนี่ยจะไปทำอะไรได้วะ ฉันว่านะเว้ย...” คำตอบของภาณุก็สื่อเป็นนัยแล้วว่าเพื่อนสนิทของเขาคนนี้คงไม่ยอมช่วยแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นวิศรุตก็ไม่สนใจ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาไม่เคยต้องอ้อนวอนใคร ถ้าภาณุไม่ช่วย งานนี้เขาก็คงต้องลงมือเองเสียแล้ว


            “แกไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาขวางฉันก็แล้วกัน เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”


            “แกจะทำอะไรวะ” วิศรุตไม่ตอบแต่ถามอีกฝ่ายกลับ


            “แกจำได้ไหมตอนสมัยเรียนน่ะ ฉันเคยพูดเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องทำให้นภัทรหันมารักฉันให้ได้โดยไม่แคร์ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม และต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งนภัทรไปจากฉัน แม้กระทั่งน้องสาวของตัวฉันเอง” วิศรุตเค้นเสียงเย็นเยียบจนภาณุแอบขนลุก ลองวิศรุตพูดออกมาอย่างนี้แสดงว่าเจ้าตัวก็คงจะหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เขารู้นิสัยวิศรุตดี เพื่อนของเขาเป็นคนที่อยากได้อะไรก็ต้องได้โดยไม่สนใจถึงวิธีการที่จะได้มันมา ชายหนุ่มนึกเป็นห่วงนภัทรกับศรารัตน์อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้วิศรุตจะทำอะไรแผลงๆบ้าง หวังว่าเพื่อนของเขาคงไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น สุดท้ายคนที่จะเจ็บหนักที่สุดก็คือวิศรุตนั่นเอง

 



            โปรเจ็กส์บ้านจัดสรรโครงการใหม่ของทัดเทวาคืบหน้าไปมาก หลังผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมแล้ว วิศรุตก็เดินหน้าลุยงานโครงการนี้ทันที ชายหนุ่มยังจำสีหน้าปนทึ่งของคุณมงคลได้ดีเลยทีเดียว ฝ่ายนั้นคงคิดว่าเขาเป็นได้แค่พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปวันๆ พอวันนี้ได้ฟังแผนงานโครงการของเขาก็ถึงกับอึ้งไปเลย ไม่เสียแรงที่เป็นโปรเจ็กส์ที่เขาทุ่มสุดตัวจริงๆ เขาจะใช้โปรเจ็กส์นี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีมือทายาทของตระกูลทัดเทวาและกอบกู้ศรัทธาของผู้ถือหุ้นและพวกกรรมการบริษัทกลับคืนมาให้จงได้ วิศรุตคิดในใจอย่างหมายมาด


            หลังจากประชุมงานกับบรรดาวิศวกรและสถาปนิกฝ่ายออกแบบจัดสร้างในตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว ตอนบ่ายวิศรุตก็ชวนพงศธรออกไปดูทำเลที่จะเริ่มก่อสร้างโครงการด้วยกันในฐานะที่พงศธรเป็นหนึ่งในวิศวกรฝีมือดีที่เขาดึงเข้ามาร่วมงานในโครงการนี้ด้วย ซึ่งงานนี้ก็ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือของอีกฝ่ายเช่นกัน


            ใช้เวลาขับรถไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย บริเวณที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างโครงการนี้อยู่แถบชานเมืองที่ถือได้ว่าเป็นย่านที่ทำเลสวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เลยทีเดียว วิศรุตมองไปรอบๆด้วยความปลาบปลื้มที่พองตัวเล็กน้อยในอก ทำเลนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เขาตั้งใจเลือกเองกับมือ สักพักดวงตาคู่สวยก็ไปสะดุดกับรถคันหนึ่งที่จอดอยู่บริเวณนั้น... รถของศรารัตน์


            “เราไปดูทางด้านนั้นกันเถอะ” วิศรุตบอกกับพงศธรที่นั่งรถมาด้วยกัน อีกฝ่ายรับคำก่อนจะล้วงเอากล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อเตรียมเผื่อสำหรับการถ่ายรูปเพื่อนำไปประกอบการร่างแปลนงาน


            หลังจากที่วิศรุตและพงศธรลุยสำรวจที่ดินบริเวณนั้นไปได้ไม่นานเท่าใดนัก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังคนทั้งคู่


            “นายเพิ่งมาเหรอ” วิศรุตรู้โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าคนที่กล้าทักท่านประธานแห่งบริษัททัดเทวาแบบนี้ได้ มีอยู่คนเดียวซึ่งก็คือศรารัตน์ ขณะที่พงศธรเองก็จำน้ำเสียงนี้ได้อย่างแม่นยำเช่นกัน ผิดแต่ว่าคราวนี้มันไม่ใช่น้ำเสียงเจือแววหวานเหมือนตอนอยู่กับนภัทร ผู้หญิงคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง... ศรารัตน์ ทัดเทวา


            “มาได้สักพักแล้วล่ะ แล้วเธอล่ะมานานหรือยัง” วิศรุตหันไปตอบ ในขณะที่ศรารัตน์กลับหันไปสนใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายของวิศรุต


             “สวัสดีครับคุณศรารัตน์” พงศธรเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน เขาไม่แน่ใจว่าศรารัตน์จะยังจำเขาได้หรอเปล่า แต่เมื่อศรารัตน์ได้เห็นหน้าของคู่สนทนาชัดๆ หญิงสาวก็อุทานออกมาเบาๆ


            “คุณพงศธร” ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเพื่อนสนิทของหมอนภัทรในสถานการณ์แบบนี้และที่สำคัญพงศธรมากับวิศรุต


            “อ้าว นี่รู้จักกันมาก่อนแล้วเหรอ กำลังจะแนะนำอยู่พอดีเลย” วิศรุตถามด้วยความสงสัยที่สองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่


            “เรารู้จักกันแล้วล่ะ เพราะว่าคุณพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของหมอกานต์” วิศรุตเสียวสันหลังวูบ เขาลืมคิดไปเสียสนิทเลยว่าพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของนภัทร หากศรารัตน์เคยรู้จักกับพงศธรมาก่อนหน้านี้แล้ว เธอจะรู้หรือเปล่าว่าเขาปิดบังเธอเรื่องที่เคยรู้จักกับนภัทรมาก่อน


            “บังเอิญจังเลยนะครับ พอดีว่าผมเพิ่งกลับจากเรียนต่อเมืองนอก กำลังหางานอยู่พอดี คุณวิศรุตก็เลยชวนผมมาทำงานที่ทัดเทวาด้วยกัน” สรรพนามที่พงศธรใช้เรียกวิศรุตเปลี่ยนไปเป็นทางการมากขึ้นเพราะตอนนี้วิศรุตอยู่ในฐานะเจ้านายของเขา ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะเรียกชายหนุ่มว่าท่านประธานเหมือนอย่างคนอื่นๆ แต่วิศรุตขอเอาไว้เพราะความรู้สึกไม่ชินหากว่าพงศธรจะมาเรียกแบบนั้น


            “แล้วนายกับคุณพงศธรไปรู้จักกันได้ยังไงเนี่ย” ศรารัตน์หันมาตั้งคำถามกับวิศรุตซึ่งชายหนุ่มก็อ้ำอึ้งไปเล็กน้อยก่อน จะเฉไฉบอกไปว่าพงศธรเป็นเพื่อนเก่าของตน ซึ่งพงศธรเองก็ไม่ได้ติดใจกับคำตอบนั้นเพราะก่อนหน้านี้นภัทรเคยบอกเขาเอาไว้แล้วว่าชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับนภัทรเมื่ออยู่ต่อหน้าศรารัตน์


            เมื่อเห็นว่าศรารัตน์เริ่มมีสีหน้าสงสัย วิศรุตก็เปลี่ยนประเด็นทันทีโดยลองถามความเห็นของศรารัตน์ว่าที่ดินแถบนี้เป็นอย่างไรบ้าง


            “ฉันลองเดินดูรอบๆบริเวณนี้แล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว นายนี่ก็ตาถึงใช้ได้เลยนะเนี่ย” ประโยคสุดท้ายก็ชมวิศรุตอย่างเสียไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าพี่ชายแท้ๆของตัวเองเริ่มทำงานทำการเหมือนคนอื่นเขาเสียที และดูท่าทางจะเริ่มได้สวยเลยทีเดียว ในใจหญิงสาวได้แต่ภาวนาขอให้วิศรุตจริงจังกับงานไปได้ตลอด ไม่ใช่ท่าดีทีเหลวแบบที่คนอื่นๆเขาสบประมาทกัน


            “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะลองไปดูทางด้านโน้นแล้วกัน จะได้ขอคำปรึกษาคุณพงศธรด้วยเรื่องแปลนตัวอย่าง” ศรารัตน์พยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินแยกไปอีกทางโดยบอกว่าจะไปคุยกับพวกสถาปนิกออกแบบต่อ


             พงศธรมองตามร่างระหงของศรารัตน์ที่เดินจากไปด้วยแววตาอ่อนแสง ทั้งที่ในใจอยากจะหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาวให้มากกว่านี้ จะติดก็แต่วิศรุตผู้เป็นพี่ชายที่ยืนหัวโด่นี่แหล่ะ พงศธรจึงแอบถอนหายใจที่พลาดโอกาสทำความรู้จักหญิงสาวที่ตนหมายปอง ชายหนุ่มปลอบตัวเองในใจว่าถึงอย่างไรเขาก็มีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบโครงการบ้านจัดสรรนี้ ยังไงก็ต้องมีโอกาสได้เจอกับศรารัตน์บ่อยๆอย่างแน่นอน


            ทุกกริยาอาการของพงศธรไม่รอดพ้นสายตาของวิศรุต ชายหนุ่มลอบมองสายตาของพงศธรตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน สายตาของพงศธรฉายชัดอย่างไม่ปิดบังว่าชายหนุ่มเกิดความรู้สึกพิเศษกับศรารัตน์ ขนาดที่ศรารัตน์เดินหายไปไกลแล้ว พงศธรยังไม่ยอมละสายตาไปจากน้องสาวของเขาเลย ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวของวิศรุตอย่างรวดเร็ว บางทีพงศธรนี่แหล่ะที่เขาจะใช้เป็นเครื่องมือในการแยกศรารัตน์ให้ออกห่างจากนภัทร และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าคนข้างกายเขาก็ย่อมต้องให้ความร่วมมือเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นไปโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

 

Aislin: มาอัพต่อเรียบร้อยแล้วค่ะ ^0^ หวังว่าคงไม่ปล่อยให้รอนานนะคะ ส่วนใครที่กำลังรอลุ้นพาร์ทหมอกานต์กับวินอยู่ เดี๋ยวตอนหน้าสองหนุ่มได้ออกโรงแน่นอน อย่าลืมติดตามชมเน้อ

            ตอนนี้ Aislin แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์นิยายเอาไว้ในแฟนเพจเรียบร้อยแล้วนะคะ ถ้าหากใครสนใจ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/Aislin.Napoon    ได้เลยค่ะ

            และเนื่องจากตอนนี้ Aislin โพสนิยายให้อ่านบนเว็บ ก็ยังจะโพสต่อไปจนจบเรื่อง แต่หลังจากนิยายสำเร็จออกมาเป็นรูปเล่มแล้ว จะโพสให้อ่านสัปดาห์ละ 1 ตอนไปเรื่อยๆจนจบ และจะไม่โพสตอนพิเศษทั้ง 3 ตอนนะคะ ใครอยากอ่านวินกับหมอกานต์ ตามอ่านต่อในรูปเล่มเลยจ้ะ ^-^ ยังไงก็ฝากอุดหนุนกันด้วยเน้ออออ รักคนอ่านที่ซู๊ดดดด...

 

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
วินจะทำแบบนั้นกับเพื่อนกับน้องลงเหรอ? แบบ ถ้าพลาดนี่โดนโกรธตายอะ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
วินจะทำแบบนั้นกับเพื่อนกับน้องลงเหรอ? แบบ ถ้าพลาดนี่โดนโกรธตายอะ

ระดับวิศรุตซะอย่าง พูดจริงทำจริงอยู่แล้วค่ะ แต่จะสำเร็จหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง ฮาๆๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

วันนี้เป็นวันหยุด ในตอนบ่ายวิศรุตใช้เวลาว่างด้วยการตั้งใจไปว่ายน้ำที่สปอร์ตคลับสุดหรูที่ตนเป็นเมมเบอร์อยู่สปอร์ตคลับแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอนโดมิเนียมหรูหราย่านใจกลางเมืองที่นับเป็นโครงการหนึ่งของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างทัดเทวา 

   หลังจากจัดการเรื่องบัตรเมมเบอร์เพื่อเข้าใช้บริการ ชายหนุ่มก็สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไหล่เพื่อตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำเรียบร้อย วิศรุตก็เดินตรงไปยังสระว่ายน้ำขนาดใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของบรรดาพนักงานสปอร์ตคลับสาวๆที่จ้องมองรูปร่างอันสวยงามที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนตามแบบบุรุษเพศของตนด้วยแววตาหลงใหล

   เมื่อหย่อนตัวลงมาบริเวณขอบสระ มือหนาก็สวมแว่นตาว่ายน้ำให้เข้าที่เพื่อเตรียมพร้อม แต่เสียงที่ดังอยู่เหนือศีรษะ ทำให้วิศรุตต้องแหงนหน้ามองผู้มาใหม่

   “มาว่ายน้ำที่นี่บ่อยเหรอ” นภัทรที่อยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำขาสั้นแบบเดียวกันเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน ในตอนนี้ที่คุณหมอหนุ่มไม่ได้ใส่แว่นสายตา ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เคยคมคายอยู่แล้วกลับยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ชวนให้หัวใจของวิศรุตเกิดวูบไหวขึ้นมาอย่างประหลาด

   “ก็ไม่บ่อยหรอก นี่ก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกหลังกลับจากอังกฤษ” วิศรุตตอบคำถามพร้อมกับนภัทรที่หย่อนตัวลงมาในสระน้ำข้างๆกันกับเขา

   “มิน่าล่ะ ถึงไม่ค่อยได้เจอ”

   “มาคนเดียวเหรอ” นภัทรพยักหน้าก่อนจะถามกลับว่าแล้วอีกฝ่ายล่ะ มากับใครหรือเปล่า

“ฉันก็มาคนเดียวเหมือนกัน ทำไมล่ะ คิดว่าฉันจะมากับยัยศราหรือไง” ประโยคสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะค่อนแคะนภัทรและพาดพึงไปถึงน้องสาวตัวเองที่ตอนนี้คงกำลังวุ่นอยู่กับการศึกษาเอกสารที่เขามอบหมายให้ไปเสียกองโตอยู่ที่บ้านนั่นแหล่ะ

   นภัทรอ่อนใจกับคำพูดคนตรงหน้า หากวันไหนที่เจอหน้ากันแล้ววิศรุตไม่พูดจากระแนะกระแหนเขากับศรารัตน์ วันนั้นหิมะก็คงตกแล้วล่ะ

   “ก็แล้วทำไมนายไม่ชวนคุณศรามาด้วยกันกับนายล่ะ” นภัทรเริ่มยั่วโมโหฝ่ายนั้นบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คุณหมอหนุ่มจึงมักแอบขำในใจเงียบๆเมื่อได้เห็นท่าทางหวงน้องสาวหรืออะไรก็ไม่ทราบที่วิศรุตแสดงออกมาให้เห็น

   วิศรุตแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ดีแล้วล่ะที่วันนี้ไม่นึกชวนยัยศราให้ออกมาด้วยกัน นภัทรอมยิ้มอย่างนึกรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะอยู่ในท่าเตรียมพร้อมในการว่ายน้ำ

   “เรามาว่ายน้ำแข่งกันไหม” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยท้าขึ้นมา ทำให้นภัทรที่เตรียมออกสตาร์ตต้องหันกลับมามองคนที่เป็นฝ่ายท้าทายเขา

   “แน่ใจเหรอว่าจะแข่ง” วิศรุตพยักหน้าให้อย่างถือดี ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉายแววรั้นอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“นายคงลืมไปแล้วว่าฉันเป็นนักกีฬาของโรงเรียน”

   “อย่าดูถูกให้มากนักเลย กีฬาว่ายน้ำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบแล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย นายเองก็อย่าประมาท
แล้วกัน”

   “ถ้างั้นนายก็เตรียมตัวแพ้ไว้ได้เลย แล้วก็อย่าเป็นพวกแพ้แล้วพาลล่ะ” คำสบประมาทของอีกฝ่ายทำให้วิศรุตเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว

   “แล้วถ้าฉันชนะ นายจะว่ายังไง”

   “แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะ ฉันจะได้อะไรล่ะ” คำถามย้อนกลับทำเอาวิศรุตตาวาวโรจน์ก่อนสมองจะคิดอะไรบางอย่างออก

   “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครชนะจะต้องเลี้ยงข้าวเย็นอีกฝ่าย ตกลงไหม” นภัทรรับคำท้าก่อนที่ทั้งคู่จะออกสตาร์ตการแข่งขันว่ายน้ำไปพร้อมๆกัน

   และผลการแข่งขันก็กลายเป็นว่าคนที่ชนะคือนภัทร โดยในตอนแรกทั้งคู่ว่ายตีคู่กันมาแบบสูสี ก่อนที่นภัทรจะเริ่มออกนำในตอนกลางสระและแซงได้ในที่สุดจนเป็นฝ่ายชนะ ว่ายไปถึงขอบสระอีกด้านหนึ่งก่อน เฉียดชนะวิศรุตไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

   “สรุปว่าฉันชนะนาย” นภัทรยิ้มในหน้าก่อนจะเหล่มองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

   “ก็แค่ชนะนิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ”

   “แต่ก็ชนะ” นภัทรเน้นเสียงที่คำว่าชนะก่อนจะบอกให้วิศรุตรักษาสัญญาด้วย ที่ว่าใครแพ้จะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเย็นคนที่ชนะ วิศรุตตอบกลับว่าไม่ลืมหรอก ชายหนุ่มมองตามผู้ชนะที่ว่ายน้ำออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ สีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากด้วยความสมใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ สุดท้ายแล้วดินเนอร์คืนนี้เขาก็ได้ทานข้าวกับนภัทรสองต่อสองอยู่ดีนั่นแหล่ะ



   หลังจากว่ายน้ำเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปออกกำลังกายในฟิตเนสด้วยกันอีกประมาณสองสามชั่วโมงแล้วจึงเลิก ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ฟ้าจึงมืดเร็วกว่าปกติเล็กน้อย  ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะพานภัทรไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารอิตาเลียนร้านโปรดของตน แต่พอดีว่านภัทรเองก็ขับรถมาด้วย คงไม่สะดวกที่จะให้นภัทรขับรถตามไปแน่ๆ ดังนั้นวิศรุตจึงตัดปัญหาด้วยการชวนนภัทรดินเนอร์ที่ร้านอาหารของสปอร์ตคลับแทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างใด

   “นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เรากินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้” นภัทรพูดขึ้นหลังจากสั่งอาหารกับบริกรเรียบร้อยแล้ว

   “ก็คงอย่างนั้นล่ะมั๊ง” วิศรุตเลี่ยงคำถามด้วยการยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สีหน้าคนถูกถามเจือแววระเรื่อเล็กน้อย

   ทั้งวิศรุตและนภัทรเงียบไปสักพักอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี  ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกันถึงขนาดคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างสนิทใจและก็ไม่ได้ห่างเหินเสียจนเป็นแค่คนรู้จัก ดังนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้จึงออกจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย จนในที่สุดนภัทรก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

   “วันนั้นน่ะ... วันสอบวันสุดท้ายก่อนที่นายจะไปอังกฤษ” วิศรุตชะงักจากการคลึงแก้วในมือเล่นไปมาก่อนจะมองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่นภัทรอ่านความหมายไม่ออก “กระดาษแผ่นนั้นที่นายเคยเขียนให้ฉัน ฉันยังเก็บมันเอาไว้อยู่เลย”

คงเป็นกระดาษที่เขาเขียนคำว่าขอโทษแล้วสอดไว้ในหนังสือของนภัทรแน่ๆ วิศรุตนึกในใจ ไม่น่าเชื่อว่านภัทรยังเก็บมันไว้ทั้งที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องขยำมันทิ้งอย่างแน่นอนหลังจากที่ได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นจบ

   “นายยังเก็บมันไว้อยู่อีกเหรอ” นภัทรพยักหน้า

   “หลังจากที่ได้อ่านข้อความในนั้น ฉันก็พยายามวิ่งหานายไปทั่วโรงเรียนเลย แต่ก็ไม่ทันเพราะว่านายขึ้นรถไปแล้ว”

   “นี่นายยังไม่ลืมเรื่องเมื่อก่อนอีกเหรอ” วิศรุตกลั้นใจถามออกไป

   “แล้วนายล่ะ ลืมไปแล้วหรือยัง” นภัทรสบตาสีน้ำตาลโศกของคนตรงหน้าแล้วถามกลับด้วยคำถามเดิม วิศรุตสูดลม หายใจลึกก่อนเอ่ยเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกระซิบ

   “ฉันพยายามลืมแล้ว แต่ทำยังไงก็ยังลืมไม่ได้เสียที”

   “นี่คงเป็นเหตุผลที่นายพยายามหลบหน้าฉันมาตลอด รวมถึงการแกล้งว่าไม่รู้จักและพวกคำพูดที่คอยแดกดันฉันกับคุณศราอยู่เสมอๆสินะ” เสียงหึในลำคอของวิศรุตทำให้นภัทรรู้ว่าตนเดาถูก คุณหมอหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับพฤติกรรมของคนตรงหน้า เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจตอบสนองความรักอย่างที่วิศรุตต้องการได้ แต่อย่างน้อยเขากับฝ่ายนั้นก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา

   บรรยากาศอาหารค่ำในวันนี้ก็กลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ทานอาหารกันโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังมีเรื่องราวที่ค้างคาอยู่ในใจ หลังจากทานอาหารเสร็จ วิศรุตและนภัทรเดินเคียงกันออกมายังลานจอดรถของสปอร์ตคลับ จากนั้นวิศรุตก็ทำท่าจะแยกไปยังบริเวณที่ตนจอดรถเอาไว้ แต่นภัทรเรียกเอาไว้ก่อน

   “มีอะไรเหรอ” วิศรุตถาม

   “ฉันแค่จะบอกว่า ที่ฉันวิ่งตามหานายไปทั่วโรงเรียนแบบนั้นเป็นเพราะฉันเองก็มีบางอย่างที่อยากจะพูดกับนายเหมือนกัน” นภัทรเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาช้าๆ ทว่าน้ำเสียงมั่นคง “ฉันยกโทษให้นายแล้วนะวิศรุต” สมองของวิศรุตมึนตื้อไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

“นายยกโทษให้ฉันแล้วจริงๆเหรอ” นภัทรพยักหน้า แต่แล้วคำพูดถัดมาก็ทำเอาวิศรุตต้องยิ้มค้าง

   “ฉันยกโทษให้เพราะอยากจะลืมเรื่องในอดีตเกี่ยวกับนายให้หมดยังไงล่ะ นายจะได้ไม่เหลือตัวตนอยู่ในความทรงจำของฉันอีกต่อไป” คำพูดเรียบนิ่งของนภัทรเป็นเสมือนมีดที่กรีดให้หัวใจของวิศรุตเป็นแผลเหวอะขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนนึกสมเพชตัวเองว่าไม่ควรไปหวังอะไรลมๆแล้งๆจากคนใจร้ายอย่างนภัทร วิศรุตพยายามกลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังรถที่จอดอยู่ด้วยอาการที่เหมือนคนหมดแรง

   “ฉันต้องการให้สมองฉันลบความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับนายทิ้งไปให้หมด เพื่อที่ว่าพอได้มาเจอกันอีกครั้ง เราสองคนจะได้เริ่มทำความรู้จักกันใหม่ตั้งแต่แรก” คำพูดที่ดังเข้าโสตประสาททำให้วิศรุตชะงักกึกอีกรอบ นี่เขาฟังไม่ผิดใช่ไหม คราวนี้ นภัทรไม่ได้ล้อเขาเล่นอีกแล้วใช่ไหม

 วิศรุตเหลือบตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องลึกลงไปอย่างต้องการค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีถ่านของฝ่ายนั้น

   “คราวนี้นายไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม” นภัทรยิ้มกว้างไม่ยอมตอบ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้า

   “สวัสดีครับ ผมชื่อนภัทร อิสรีย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณวิศรุต ทัดเทวา”



   คืนนี้วิศรุตจึงขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีผิดปกติ แม้ว่าตอนนี้นภัทรจะยังไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้นึกเกลียดเขาอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว ความกังวลในใจเริ่มคลายตัวทีละน้อย และเมื่อชายหนุ่มย้อนคิดถึงคำพูดของนภัทรที่ลานจอดรถสปอร์ตคลับเมื่อสักครู่ก็อดอมยิ้มบางๆกับตัวเองไม่ได้

   เมื่อกลับมาถึงบ้านทัดเทวา วิศรุตจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาอิงอรเพื่อขอให้ช่วยติดต่อเรื่องบางอย่างให้ตน โดยไม่ลืมกำชับเรื่องเอกสารโครงการที่เขากำลังดูแลอยู่ด้วย

   “สวัสดีครับคุณอร ผมโทรมากวนคุณหรือเปล่าครับเนี่ย” วิศรุตเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าตนจะโทรมารบกวนการพักผ่อนของคู่สนทนาหรือเปล่า เมื่อปลายสายปฎิเสธว่าไม่รบกวนเพราะเธอยังไม่ได้เข้านอน วิศรุตจึงพูดเข้าเรื่องถึงจุดประสงค์ที่โทรไปทันที “คือว่าผมอยากให้คุณอรช่วยสั่งคนให้จัดการเรื่องคอนโดฯ ให้หน่อยน่ะครับ ผมต้องการเปิดห้องที่คอนโดฯ แถวๆสาทร ไอ้ที่เป็นหนึ่งในสี่โครงการใหญ่ของทัดเทวานั่นแหล่ะครับ ใช่ครับ ขอบคุณมาก” หลังจากบอกความต้องการของตัวเองเรียบร้อยแล้วและอิงอรตอบกลับมาว่าจะรีบจัดการให้เรียบร้อย เจ้านายหนุ่มก็วกกลับเข้ามาที่เรื่องงานต่อ “ส่วนเอกสารเกี่ยวกับโครงการใหม่ทั้งหมด พรุ่งนี้รบกวนคุณอรเอามาวางไว้บนโต๊ะผมด้วยนะครับ ผมอยากจะดูความคืบหน้าว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว” วิศรุตสั่งงานอีกสองสามอย่างก่อนจะวางสายไป พอดีกับที่ศรารัตน์มาเคาะประตูห้องของเขา

   “เข้ามาสิ” เมื่อเจ้าของห้องอนุญาต ประตูก็ถูกเปิดออกแล้วศรารัตน์ก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มเอกสารกองโต

   “ฉันอ่านเอกสารพวกนี้จบแล้ว” หญิงสาวเอาแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของวิศรุตก่อนจะหันมาพูด “เท่าที่อ่านพวกเอกสารประเมินโครงการก็คิดว่าโอเคเลยนะ โครงการนี้ก็น่าจะไปได้สวยอย่างที่นายหวังเอาไว้”

   “เธออ่านรายงานงบประมาณจากฝ่ายการเงินที่ภาคินเสนอมาให้หรือยัง” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเธอเห็นงบที่ว่านั้นแล้ว “คิดว่าไงบ้าง” วิศรุตถามต่อ

   “ฉันว่าตัวเลขมันดูแปลกๆพิกล ดูจะเกินจริงยังไงก็ไม่รู้ หรือนายคิดว่า...” วิศรุตพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่ศรารัตน์คิด ก่อนที่จะเอาเอกสารทั้งหมดให้ศรารัตน์ ชายหนุ่มลองอ่านมาหมดแล้วและก็ดันมาสะดุดตาที่รายงานงบการเงินของโครงการนี่แหล่ะ เขาจึงอยากฟังความเห็นของศรารัตน์ในฐานะที่หญิงสาวผ่านงานแนวนี้มามากกว่าเขา

   “ฉันก็ว่าตัวเลขมันดูสูงไป ค่าวัสดุก็แพงจนโอเวอร์ ทั้งๆที่เทียบกับโครงการอื่นๆที่ใช้วัสดุแบบเดียวกัน”

   “นายกำลังคิดว่าภาคินแอบตกแต่งงบใหม่เพื่อยักยอกเงินบริษัทงั้นเหรอ”

   “ฉันถึงอยากให้เธอคอยจับตาดูไอ้ภาคินให้ดี ถ้ามันโกงบริษัทจริงๆ ฉันไม่เอามันไว้แน่” วิศรุตหมายความอย่างที่พูด เพราะหากภาคินทำผิดและเขาสามารถหาหลักฐานมามัดตัวฝ่ายนั้นได้ล่ะก็ เขาจะจัดการกับทายาทนอกสายเลือดอย่างภาคินโดยไม่ไว้หน้าใครเลยคอยดู แม้แต่คุณอาวันชัยก็ตาม



   เมื่อวิศรุตมาทำงานในตอนเช้า ชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ข่าวจากพนักงานในบริษัทว่าอิงอรประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างแรงเมื่อเช้านี้ขณะกำลังเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติ วิศรุตใจหายวูบเพราะเมื่อคืนยังได้คุยกับอิงอรอยู่เลย ไม่นึกว่าเช้ามา เลขาฯ ของเขาจะประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสเสียแล้ว

   วิศรุตตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากการไปตรวจไซต์งานในตอนบ่ายเพื่อไปเยี่ยมอิงอรที่โรงพยาบาลแทน เมื่อชายหนุ่มไปถึง อิงอรก็ถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษแล้ว แต่เลขาฯคนเก่งก็ยังไม่รู้สึกตัว ดังนั้นเมื่อวิศรุตไปเยี่ยม เธอจึงยังไม่ฟื้น พบเพียงแต่สามีของอิงอรที่นั่งเฝ้าอาการภรรยาอยู่ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น

   “อรเค้ายังไม่ฟื้นเลยครับคุณวิศรุต” ธนินทร์ผู้เป็นสามีบอกหลังจากที่วิศรุตแนะนำตัวเองว่าเขาเป็นเจ้านายของอิงอร

   “แล้วทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้ล่ะครับเนี่ย”

   “รู้สึกว่ารถของอรจะชนเข้ากับรถสิบล้ออย่างแรงเลยล่ะครับ ตอนนั้นอรคงขับเร็วมากจนเมื่อเบรกกะทันหันรถก็เลยเสียหลักพลิกคว่ำ” วิศรุตมองผ้าพันแผลรอบตัว กระดูกขาที่ต้องดามเฝือกและใบหน้าฟกช้ำของอิงอรแล้วถอนหายใจบาง ดูท่าคงจะต้องพักงานเป็นเดือนแน่ๆ

   “คุณธนินทร์ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ เพราะทางบริษัทเรามีสวัสดิการการประกันอุบัติเหตุให้กับพนักงานอยู่แล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะจัดการให้เอง” ธนินทร์กล่าวขอบคุณในน้ำใจของเจ้านายภรรยาตน ก่อนที่วิศรุตจะขอตัวกลับ หลังจากที่อยู่เยี่ยมได้สักพัก

   วิศรุตเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลก่อนจะเจอกับนภัทรที่เดินสวนมาโดยบังเอิญ ชายหนุ่มมัวแต่คิดเรื่องอุบัติเหตุของอิงอรจนลืมไปเสียสนิทว่านภัทรก็เป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย

   “มาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามาเยี่ยมใครหรือเปล่า” นภัทรเป็นฝ่ายทักขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้กัน

   “พอดีว่าฉันมาเยี่ยมเลขาฯน่ะ เธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเช้านี้เอง” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะทำสีหน้าโล่งใจแล้วบอกว่าตอนแรกคิดว่าวิศรุตป่วยเป็นอะไรถึงต้องมาที่โรงพยาบาล แต่ในเมื่อวิศรุตไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว “นายเป็นห่วงฉันเหรอ” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบ แต่คนถูกถามกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆโดยไม่พูดอะไร

   “แล้วนี่นายจะกลับแล้วเหรอ” วิศรุตพยักหน้าแล้วบอกว่าเขามีงานค้างอยู่ต้องรีบกลับไปทำต่อ นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจพูด “นี่ฉันกำลังจะออกเวรพอดี ว่าจะชวนนายไปดื่มกาแฟด้วยกัน แต่ถ้านายกำลังยุ่งก็ไม่เป็นไร” นี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเอ่ยปากชวนวิศรุตก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ อย่าหวังไปเลยที่อีกฝ่ายจะมาญาติดีกับเขาด้วย แต่ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และนภัทรก็ยอมให้อภัยกับเรื่องในอดีตของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิม อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว

   “เอาสิ ฉันไปดื่มกาแฟกับนายก็ได้” วิศรุตตอบโดยไม่ต้องคิดเพราะไม่อยากพลาดโอกาสนี้

   “อ้าว ไหนว่าต้องรีบกลับไปเคลียร์งานต่อไง” นภัทรเริ่มงงกับคำพูดกลับไปกลับมาของคนตรงหน้า

   “งานน่ะปล่อยไว้ก่อนก็ได้ ยังไงบริษัทก็ไม่หนีไปไหนอยู่ดีนั่นแหล่ะ อีกอย่างนายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นประธานบริษัทนะ ใครจะกล้ามาออกคำสั่งกับฉันได้” นภัทรหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินนำวิศรุตไปยังร้านคอฟฟี่ช็อฟของโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก



   ด้วยความที่อิงอรประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้ารักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นแรมเดือน ประกอบกับการคะยั้นคะยอบ่อยครั้งของวันชัยทำให้วิศรุตตัดสินใจรับเมริษาเข้ามาทำงานเป็นเลขาฯส่วนตัวของเขาชั่วคราวแทนตำแหน่งของอิงอร แม้ในใจจะไม่อยากรับเมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้เท่าใดนัก แต่งานและโครงการที่เขารับผิดชอบนั้นก็ต้องดำเนินต่อไป โดยวิศรุตค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าเมริษาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ต้องการจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาฯของเขาเพียงอย่างเดียวแน่ และเมื่อวิศรุตเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ภาณุฟัง เพื่อนสนิทกลับมีความเห็นตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง

   “แล้วแกจะรับยัยเมริษาอะไรนั่นมาเป็นเลขาฯทำไมวะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทั้งๆที่รู้ว่ายัยนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงในการเข้ามาทำงานกับแก ก็ยังจะไปรับเค้าเข้าทำงานอีก” ภาณุไม่เข้าใจความคิดของวิศรุตเลยจริงๆ นี่เพื่อนของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไปรับคนของวันชัยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวแบบนี้

   “ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยอยากจะรับหรอก แต่คุณอามาคอยตื๊อตอแยเรื่องเมริษาบ่อยๆจนฉันรำคาญว่ะ อีกอย่างถ้าคิดในแง่ดีนะเว้ย ตอนนี้ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของเค้า เอาให้มาทำงานใกล้ๆตัวน่ะดีแล้ว จะได้จับตาดูได้อย่างถนัดหน่อย”

   “ว่าแต่ยัยคุณเมริษาเนี่ยสวยหรือเปล่า” สายตาของภาณุเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องผู้หญิง วิศรุตยิ้มเหยียดก่อนจะยอมรับว่าเมริษาทั้งสวยและฉลาด แต่ผู้หญิงแบบนี้ดูจะอันตรายพอสมควร

   “นั่นแน่ะไอ้โอม แกสนใจล่ะสิ” ภาณุยักไหล่ไม่ตอบ ในใจก็คิดว่าสักวันเขาคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บริษัทบ้างแล้ว จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเลขาฯคนใหม่ของวิศรุตแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเธอสวยและฉลาดสมคำกล่าวอ้างของคนตรงหน้าหรือเปล่า

   “แกให้คนไปจัดการกับนังเลขาฯนั่นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” วันชัยถามเสียงเย็นซึ่งภาคินก็พยักหน้ารับ

   “ตอนนี้ผมให้พวกมันหลบหน้าตำรวจไปก่อนสักพัก พอจัดการให้เรื่องเงียบแล้วค่อยติดต่อมาใหม่” วันชัยสำทับอีกครั้งว่าอย่าให้พวกมันซัดทอดมาถึงเขาและภาคินได้ ซึ่งภาคินเองก็บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วงเพราะลูกน้องที่เขาจ้างมาแต่ละคนไว้ใจได้ทั้งนั้น

   “ว่าแต่ไอ้วินมันตกลงให้เมไปทำงานเป็นเลขาฯมันแล้วใช่ไหมครับพ่อ” วันชัยพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้ภาคินติดต่อบอกเรื่องนี้กับเมริษาทันที เขาต้องการให้เมริษาเข้าไปสืบความลับเรื่องโครงการใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตกำลังดูแลอยู่ เพื่อที่ว่าเขาจะได้วางแผนหาโอกาสทำลายความน่าเชื่อถือของวิศรุตต่อกรรมการบริหารทั้งหมดให้เร็วที่สุด ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ บริษัททัดเทวายิ่งจะกลายมาเป็นของเขาเร็วเท่านั้น วันชัยจุดยิ้มที่มุมปากแววตามาดร้าย

Aislin: มาอัพต่อให้แล้วค่ะ ขออภัยที่หาไปนานหลายวันนะคะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างเอ่ย วินนี่เจ้าเล่ห์จริงๆเลยใช่ไหมล่ะ ฮาๆๆ ยื่นข้อเสนอแบบนี้ก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย และเดี๋ยวเรื่องนี้จะค่อยๆเข้มข้นขึ้นทุกขณะแน่นอนค่ะ อย่าพลาดติดตามเด็ดขาดนะคะ เพราะเรื่องนี้มีครบทุกรสเลย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม คลุกเคล้าน้ำตา สนุกแน่นอน รับประกัน อิอิ ^0^

ปล. ตอนนี้ Aislin โพสรายละเอียดการสั่งซื้อนิยายรูปเล่มให้เรียบร้อยแล้วนะคะในแฟนเพจ ถ้าหากใครสนใจก็เข้าไปติดตามกันได้เลยค่ะ ราคาเล่มละ 430 บาท (ถ้าหากสั่งซื้อเข้ามาภายในวันที่ 15 มี.ค.58 นี้ เหลือราคาเล่มละ 400 บาท แต่ถ้าหากเป็นนักอ่านเก่าที่เคยซื้อเวอร์ชั่นแรกไปแล้ว จะลดพิเศษเหลือเล่มละ 350 บาทจ้ะ) ใครรักใครชอบเรื่องนี้ ฝากอุดหนุนกันหน่อยนะคะ ในเล่มจะมีตอนพิเศษเพิ่มเติมให้อีก 3 ตอนค่ะ รับรองว่าฟินสุดติ่งกระดิ่งแมวแน่นอนนนน ^0^

ใครสนใจเชิญได้ที่ www.facebook.com/aislin.napoon และเดี๋ยว Aislin จะเอารายละเอียดมาโพสแจ้งเพิ่มเติมในห้องซื้อขายของเล้าเป็ดด้วยจ้ะ
   

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ยิ้มได้ละตอนนี้

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
สั่งจองแล้วครับบบบ  อยากอ่านๆๆๆ :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ยิ้มได้ละตอนนี้

อย่าเพิ่งดีใจไป นิยายเรื่องนี้ยังอีกยาวไกลค่ะ ฮาๆๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
สั่งจองแล้วครับบบบ  อยากอ่านๆๆๆ :katai1: :katai1: :katai1:

สั่งเข้ามาแล้วเนอะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ปลาบปลื้มๆๆ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

            โครงการบ้านจัดสรรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากที่ให้ทีมสถาปนิกแก้แปลนไปหลายครั้งจนในที่สุดแบบก็เสร็จเรียบร้อย วิศรุตจึงสั่งให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างทันที ชายหนุ่มมักจะมาคุมงานด้วยตัวเองเสมอเพราะไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด แต่วันนี้ชายหนุ่มมีนัดเจรจางานกับลูกค้าคนสำคัญของบริษัท จึงมาคุมงานด้วยตัวเองไม่ได้ เขาจึงสั่งให้ศรารัตน์มาคุมงานให้แทน ซึ่งตอนแรกศรารัตน์ก็อิดออดไม่อยากมาเพราะหญิงสาวบอกว่าตอนบ่ายเธอติดธุระต้องไปข้างนอก แต่วิศรุตก็เดาได้อยู่ดีว่าผู้เป็นน้องสาวจะต้องไปหานภัทรแน่ๆ ชายหนุ่มจึงใช้ตำแหน่งประธานบริษัทในการออกคำสั่งซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวไม่อาจปฎิเสธได้เลย


          เมื่อมาถึงไซต์งานก่อสร้าง ศรารัตน์เห็นพงศธรกำลังคุมงานอยู่จึงจอดรถเอาไว้ข้างทางแล้วเดินตรงเข้าไปทักวิศวกรหนุ่ม


             “สวัสดีค่ะคุณพงศธร” พงศธรหันมาตามเสียงเรียกก่อนแววตาจะเป็นประกายด้วยความยินดีที่ได้เจอศรารัตน์อีกครั้ง


               “สวัสดีครับคุณศรารัตน์ วันนี้มาคุมด้วยตัวเองเลยเหรอครับเนี่ย” พงศธรถามเพราะปกติหญิงสาวจะมาพร้อมกับวิศรุต ไม่ก็วิศรุตมาคุมงานเพียงคนเดียว ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสเจอหน้าศรารัตน์เสียแล้ว เพราะลำพังหากให้เขาหาเรื่องไปเจอเธอที่บริษัท เขาก็ไม่รู้จะยกเรื่องอะไรไปอ้างดีเพราะตัวเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันหญิงสาวตรงหน้าเสียหน่อย


              “วันนี้ฉันมาคนเดียวน่ะค่ะ พอดีวินเค้าติดธุระก็เลยฝากให้ฉันมาดูแลแทน เอ้อ คุณพงศธรเรียกฉันว่าศราก็ได้นะคะ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มก็ได้ มันดูเป็นทางการไปน่ะค่ะ” ศรารัตน์ยิ้มให้พงศธรอย่างอัธยาศัยดี หญิงสาวอนุญาตให้เขาเรียกชื่อเล่นของเธอได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะพงศธรเป็นเพื่อนสนิทของนภัทร ผู้ชายที่เธอแอบหลงรัก


               “ถ้าอย่างนั้นคุณศรารัตน์ เอ้อ คุณศรา ก็เรียกผมว่าพงษ์ก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มตอบแบบเขินๆ ขณะที่ศรารัตน์เองก็อดหัวเราะกับท่าทางคนตรงหน้าไม่ได้ เขาจะเขินอะไรเธอนักหนา


            “ได้ค่ะ คุณพงษ์” ทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กันก่อนที่ศรารัตน์จะขอตัวไปตรวจงานรอบๆ ซึ่งพงศธรก็อาสานำไปด้วยความเต็มใจ


            “ตอนนี้เรากำลังวางโครงของอาคารอยู่ครับ คิดว่าไม่เกินอาทิตย์นี้คงเสร็จเรียบร้อย ส่วนทางด้านนั้นผมกำลังให้คนงานปรับพื้นดินใหม่อยู่ คิดว่าจะราดยางทำเป็นถนนเส้นใหม่เลย” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ก่อนมือเรียวที่ถือปากกาอยู่จะทยอยจดความคืบหน้าของโครงการลงไปในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่ถือติดมือมาด้วย


            “แล้วพวกวัสดุล่ะคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เห็นวินบอกว่าวัสดุที่ส่งมาล็อตเก่ามีปัญหาทำให้ต้องส่งคืนซัพพลายเออร์เกือบทั้งล็อตเลย” ศรารัตน์หมายถึงวัสดุที่ทางโรงงานส่งมาให้ผิดสเปกจนวิศรุตต้องส่งกลับคืนเพราะไม่ได้ของตามที่ต้องการ และยิ่งจะส่งผลให้โครงการต้องหยุดชะงักเพราะปัญหาด้านขาดวัสดุ


            พงศธรตอบว่าหากมีการอนุมัติงบเรื่องค่าวัสดุให้เร็วกว่านี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรและคงไม่กระเทือนกับโครงการมากนักซึ่งศรารัตน์ก็บอกว่าเดี๋ยวตนจะเข้าไปดูเรื่องงบค่าวัสดุให้อีกทีหนึ่ง


            ทั้งคู่เดินตรวจงานต่อก่อนจะเดินมาถึงเขตก่อสร้างอันตราย พงศธรอธิบายความคืบหน้าของงานให้ศรารัตน์ฟังไปเรื่อยๆ ซึ่งหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาจดอย่างขะมักเขม้นจนไม่ได้ระวังเลยว่าตัวเองกำลังอยู่ในรัศมีของไม้คานขนาดใหญ่ที่เคลื่อนหลุดจากโครงและกำลังตกลงมายังที่ที่เธอกำลังยืนคุยงานกับพงศธรอยู่ แต่คนที่เห็นกลับเป็นพงศธร อารามตกใจตามสัญชาตญาณทำให้พงศธรใช้มือผลักศรารัตน์แล้วโถมตัวใช้ร่างกายเข้าไปบังร่างเธอให้พ้นจากตรงนั้นจนทั้งคู่ล้มกลิ้งล้มไปทางด้านหนึ่ง รอดพ้นรัศมีของไม้คานที่ตกลงมาอย่างเฉียดฉิว


            ‘ปังงงงง’


             เสียงไม้คานขนาดใหญ่ตกกระทบพื้น แต่พงศธรเหมือนไม่ได้ยินเสียงนั้น ชายหนุ่มมัวแต่เผลอเพ่งพิศดวงหน้าสวยหวานของร่างบอบบางในอ้อมแขนเขา ดวงตาสีนิลสบประสานกับดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของศรารัตน์ที่มองตอบกลับมาด้วยประกายตาแปลกๆเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัวเมื่อเหล่าคนงานส่งเสียงเอะอะและมีคนงานสองสามคนวิ่งเข้ามาถามพงศธรกับศรารัตน์ว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า


            โชคดีที่ศรารัตน์ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเพราะพงศธรเป็นฝ่ายเอาตัวเข้ามาบังเธอไว้ ทำให้รอดจากการที่ไม้คานตกใส่ศีรษะอย่างเฉียดฉิว ส่วนพงศธรก็ไม่ได้เจ็บหนักอะไรเพียงแต่มีแผลถลอกตามแขนจากการล้มกลิ้งไปตามพื้นคอนกรีตเท่านั้น หัวหน้าโฟร์แมนที่คุมงานอยู่ก็รีบวิ่งมาขอโทษขอโพยศรารัตน์และพงศธรเป็นการใหญ่ที่คนงานสะเพร่าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนเกือบจะเป็นอันตรายต่อทั้งคู่ พร้อมกับบอกว่าจะต่อว่าและตัดเงินคนงานที่สะเพร่าให้หมดทุกคน


            “เอาเถอะ ไหนๆฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร คุณพงษ์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แล้วกันไปเถอะ แต่ทีหน้าทีหลังก็กำชับเรื่องความปลอดภัยให้เข้มงวดหน่อยแล้วกัน ไม่ต้องถึงขนาดตัดเงินเดือนหรอกค่ะ” ศรารัตน์พูดไปด้วยความสงสาร หากคนงานโดนตัดเงินเดือนจนหมดแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงปากท้อง ดังนั้นหญิงสาวจึงแค่ขอให้ตักเตือนไม่ต้องถึงขนาดลงโทษคนงานเหล่านั้น


            พงศธรมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความพิศวง ตอนแรกเขานึกว่าเธอจะต้องโวยวายเป็นคุณหนูเรียกร้องให้พวกคนงานรับผิดชอบเสียแล้วโทษฐานที่ทำให้เธอเกือบได้รับอันตราย แต่ที่ไหนได้เธอกลับบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยังห่วงกลัวว่าพวกคนงานจะถูกตัดเงินเดือนเสียอีก ผู้หญิงคนนี้จิตใจงดงามเหมือนอย่างหน้าตาจริงๆ พงศธรคิดในใจอย่างชื่นชม


            “เดี๋ยวนายไปหาพวกอุปกรณ์ทำแผลมานะ คุณพงษ์เค้ามีแผลถลอกที่แขน เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้เค้าเอง” หัวหน้าคนงานรับคำก่อนจะรีบวิ่งไปหากล่องอุปกรณ์ทำแผลมาให้ตามความต้องการของศรารัตน์โดยไม่รอช้า


            “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า ลำบากคุณศราเปล่าๆ” พงศธรพยายามปฎิเสธเพราะเกรงใจศรารัตน์


            “ได้ยังไงล่ะคะ ที่คุณพงษ์บาดเจ็บก็เป็นเพราะฉัน ถ้าไม่ได้คุณพงษ์ช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงต้องไปนอนเดี้ยงอยู่ที่โรงพยาบาลอีกรอบแล้วล่ะค่ะ ให้ฉันทำแผลให้เถอะนะคะ” ในที่สุดพงศธรก็ทนแรงคะยั้นคะยอของศรารัตน์ไม่ไหวจึงยอมให้หญิงสาวทำแผลให้แต่โดยดี พลางคิดในใจว่าเจ็บตัวแค่นี้แต่แลกกับการได้ใกล้ชิดผู้หญิงในดวงใจอย่างศรารัตน์ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

 



            เพื่อเป็นการตอบแทนที่พงศธรช่วยเธอเอาไว้ ศรารัตน์จึงขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ปฎิเสธแต่อย่างใด ดังนั้นศรารัตน์จึงขับรถพาพงศธรมายังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งย่านชานเมือง


            “ที่นี่บรรยากาศดีมากๆเลยนะครับเนี่ย” พงศธรพูดพลางมอบไปรอบๆตัวอย่างสนใจ


              ร้านนี้ตกแต่งแบบบรรยากาศสไตล์คันทรี่ ห้องอาหารอยู่ในตัวบ้านแบบโรมัน แถมรอบนอกร้านยังออกแบบให้มีสระน้ำขนาดเล็กและแปลงปลูกองุ่นขนาดย่อมที่เจ้าของร้านปลูกเอาไว้อีกด้วย


            “ใช่ค่ะ ที่นี่เป็นร้านอาหารของเพื่อนฉันเอง บรรยากาศดีมาก ฉันก็เลยคิดว่าคุณพงษ์น่าจะชอบ” ศรารัตน์ยิ้มให้คู่สนทนาก่อนจะเดินนำพงศธรไปยังห้องอาหารด้านใน


            หลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อยแล้วและรอพนักงานยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พงศธรก็เป็นฝ่ายชวนศรารัตน์คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ตามประสาคนอัธยาศัยดีซึ่งศรารัตน์ก็พูดคุยกับชายหนุ่มอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้ถือตัวว่าเธอเองมีตำแหน่งเป็นเจ้านายของพงศธร


            “เอ้อ ว่าจะถามคุณพงษ์ตั้งหลายครั้งแล้วว่าเป็นไงมาไงวินถึงชวนมาทำงานด้วยกันที่ทัดเทวาได้คะเนี่ย”


            “อ้อ พอดีว่าผมเคยรู้จักกับคุณวินมาก่อนหน้านั้นตั้งนานน่ะครับ คุณวินก็เลยชวนมาทำงานที่นี่” พงศธรเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าวิศรุตไม่อยากให้ศรารัตน์รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขากับนภัทร


            แม้ว่าจะสะดุดใจกับคำตอบของพงศธร แต่ศรารัตน์ก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ ถ้าหากเป็นแบบที่พงศธรพูดจริง จะเป็นไปได้อย่างไรที่ในเมื่อวิศรุตเองก็รู้จักกับพงศธรมาก่อนหน้านี้ตั้งนาน แล้วทำไมพี่ชายของเธอจะไม่รู้จักกับนภัทรที่เป็นเพื่อนสนิทของพงศธร หรือว่าทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่วิศรุตเลือกที่จะปิดบังเธอ ศรารัตน์นิ่วหน้าตรึกตรอง เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่


            “คุณศราเหม่ออะไรเหรอครับ” พงศธรถามเพราะเห็นว่าศรารัตน์นั่งเงียบไปนาน เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ


            “เอ้อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แค่คิดว่าทำไมวันนี้อาหารนานจัง ฉันกลัวว่าคุณพงษ์จะหิวก่อนน่ะสิคะ” ศรารัตน์แก้ตัวก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มเพื่อไม่ให้พงศธรสงสัย พร้อมๆกับที่พนักงานยกอาหารหน้าตาหน้าทานมาเสริ์ฟให้พอดี หญิงสาวจึงชวนให้พงศธรลองชิมดูด้วยการตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่าย


            การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของวิศรุตที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ชายหนุ่มมองศรารัตน์กับพงศธรที่ผลัดกันตักอาหารใส่จานให้กันด้วยแแววตาเป็นประกาย ความสัมพันธ์ของพงศธรกับศรารัตน์คืบหน้าไปไวกว่าที่เขาตั้งใจให้เป็นมาก แต่อย่างนี้ก็ดีกับเขาไม่น้อย ชายหนุ่มเองไม่ได้นึกรังเกียจอะไรถ้าหากพงศธรจะเลื่อนระดับจากลูกน้องมาเป็นน้องเขย... ตำแหน่งน้องเขยของเขาจะเป็นใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่นภัทร คนที่เขาหมายปองคนนั้นอย่างเด็ดขาด!


            “มองอะไรเหรอคะพี่วิน” เมริษาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวแล้วถามเมื่อเห็นว่าวิศรุตกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่


            หลังจากคุยงานกับลูกค้าเสร็จแล้ว เธอก็ชวนเขามาทานข้าวเย็นด้วยกันโดยอ้างว่าเธอเริ่มหิวแล้ว ทั้งที่จุดประสงค์จริงๆของเธอคือต้องการหาเรื่องใกล้ชิดแบบสองต่อสองกับวิศรุต เพื่อที่ว่าเธอจะได้แสดงมารยาใช้เสน่ห์อ่อยชายหนุ่มได้อย่างเต็มที่


            “ตกลงว่าพี่วินมองอะไรกันแน่คะ หรือว่าเจอคนรู้จัก” เมริษาหันหลังกลับไปมองตามสายตาของวิศรุต แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่พงศธรที่นั่งหันหลังให้โต๊ะของเธอขยับเก้าอี้พอดี เมริษาจึงไม่ทันเห็นว่าศรารัตน์ก็มาทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ด้วยเช่นกัน


            “เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก แค่เมื่อกี๊เหมือนเจอคนรู้จักแค่นั้นเอง แต่มองดีๆแล้วก็ไม่ใช่” วิศรุตแกล้งยิ้มหวานให้คู่สนทนาแบบไม่มีอะไร ทั้งที่ในใจแอบเบื่อหน่ายกับการชอบสอดรู้สอดเห็นและจ้องจับผิดอย่างแนบเนียนของเมริษา นี่เขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ยอมให้หญิงสาวมาทำหน้าที่เลขาฯส่วนตัวของเขาแทนคุณอิงอร

 



            “อ้าว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก แม่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถเลย” รัญญาเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก มืออูมของหญิงสูงวัยหยุดชะงักจากการปักผ้าเช็ดหน้าแล้วหันมาสนใจผู้มาใหม่แทน “ทานอะไรมาหรือยังลูก เดี๋ยวแม่เข้าไปในครัวหาอะไรให้ทานดีไหม”


            “ไม่ต้องหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมจัดการเอง แม่ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ” นภัทรบอกเพราะเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้เขากลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะติดเคสด่วนที่โรงพยาบาล หมู่นี้คุณรัญญาสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงไม่อยากให้มารดามาเสียเวลารอเขาดึกๆดื่นๆแบบนี้อีก เขาอยากให้ผู้เป็นแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่า


            “เอางั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรก็เรียกแม่แล้วกันนะ เดี๋ยวแม่ขึ้นข้างบนก่อนแล้ว” รัญญาพูดย้ำกับนภัทรเรื่องให้ตรวจตราปิดประตูบ้านและล็อกรั้วให้เรียบร้อยก่อนจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องด้านบน


            หลังจากที่นภัทรจัดการมื้อดึกสำหรับตัวเองเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินตัดผ่านสนามหญ้าหน้าบ้านเพื่อตั้งใจจะไปปิดประตูรั้ว แต่ดวงตาสีถ่านกลับหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาตะคุ่มอยู่ใกล้ๆริมรั้วด้านนอก ชายหนุ่มสูดหายใจลึกพลางฉวยท่อนไม้ขนาดกระชับมือที่อยู่แถวนั้นแล้วค่อยๆเดินไปที่ประตูรั้ว


            “ใครน่ะ” นภัทรส่งเสียงถามออกไป สักพักก็ได้ยินเสียงหนึ่งตอบกลับมาในความมืด


            “ฉันเอง” นภัทรเพ่งมองไปทางต้นเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนข้างแรม ท้องฟ้าจึงค่อนข้างมืดสนิท ชายหนุ่มจึงไม่เห็นว่ามีใครอีกคนยืนพิงกำแพงติดรั้วบ้านของเขาอยู่จนกระทั่งฝ่ายนั้นก้าวออกมาจากความมืด ไฟข้างถนนในซอยหมู่บ้านส่องกระทบใบหน้าผู้มาเยือนก่อนที่เจ้าของบ้านจะอุทานออกมาเบาๆเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาในเวลาแบบนี้


            “วิศรุต” นภัทรลดไม้ในมือลงเมื่อเห็นว่าคนที่มายืนลับๆล่อๆคือวิศรุตนั่นเอง


            “ขอโทษด้วยที่มาดึกขนาดนี้ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนนาย” วิศรุตยืดตัวตรงก่อนหันมาประจันหน้ากับนภัทร ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลุ่มลึก


            “นายมีอะไรหรือเปล่า มาซะดึกขนาดนี้เลย ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นพวกโจรเสียอีก”


            “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่... นึกอยากเห็นหน้านายเท่านั้นเอง” นภัทรรู้สึกไหววูบแปลกๆในใจกับคำพูดแบบเถรตรงของฝ่ายนั้น คุณหมอหนุ่มหลบดวงตาสีน้ำตาลโศกที่จ้องมองมายังเขาก่อนจะพูดแก้เก้อ


            “ตอนนี้ก็เห็นแล้วนี่นา กลับไปได้แล้วล่ะ ขับรถกลับมืดๆเดี๋ยวจะอันตรายเปล่าๆ” วิศรุตจุดยิ้มมุมปากก่อนพูดขึ้นมาว่านี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเป็นห่วงเขา “ฉันพูดเมื่อไหร่กันว่าฉันเป็นห่วงนาย” นภัทรเบือนหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้วิศรุตจับได้ว่าตัวเองกำลังหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของคนตรงหน้า เขาไม่สมควรจะมีความรู้สึกแบบนี้กับวิศรุตเลย มันเป็นอาการแปลกๆเฉพาะยามเมื่อเผชิญหน้ากับวิศรุตเท่านั้น... บางสิ่งบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเข้าใจ


            “เอาเถอะ ถือว่านายไม่ได้พูดก็แล้วกัน ฉันคงหูฝาดไปเอง” วิศรุตยิ้มในหน้าก่อนบอกให้นภัทรเข้าบ้านไปได้แล้วเพราะเขาเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน


            “ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถกลับดีๆแล้วกันนะ” คุณหมอหนุ่มเอ่ยลาก่อนขอตัวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพราะขืนอยู่นานกว่านี้เขาคงไม่สามารถควบคุมอะไรบางอย่างที่กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจได้


            “นภัทร” เสียงที่เรียกด้านหลังรั้งให้นภัทรต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามองคนเรียกอีกครั้ง


            “มีอะไร”


            “นายเองก็รู้ดีว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย แต่ถ้านายไม่ได้คิดอะไร... ทำไมถึงยังมาทำดีกับฉันอีกล่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลโศก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้าอย่างต้องการค้นหาความจริงที่อยู่ภายใต้ดวงตาสีถ่านคู่นั้น เขาอยากรู้ว่านภัทรกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่เคยนึกชอบเขา แล้วจะมาให้ความหวังด้วยการทำดีด้วยทำไม ทำไมไม่กลับไปเกลียดขี้หน้ากันแบบเมื่อตอนสมัยเรียนล่ะ ที่นภัทรกำลังทำอยู่มันคืออะไรกันแน่


            “เพราะว่า... เราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ” คำตอบจากปากของนภัทรกลับเป็นคำตอบที่เสียดแทงใจคนฟังอย่างรุนแรง วิศรุตยิ้มเศร้าก่อนจะหันหน้าแล้วเดินไปจากตรงนั้น เขาไม่ควรจะหวังให้เกินจริงเลยเพราะยิ่งหวังมากเท่าไหร่ ถ้าหากผิดหวังก็ยิ่งต้องเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น ในใจนภัทรคิดกับเขาแค่ ‘เพื่อน’ เท่านั้น จะมีสักวันไหมนะที่ฝ่ายนั้นจะคิดกับเขามากเกินกว่าคำว่าเพื่อน จะมีสักวันไหมที่นภัทรจะตอบสนองความรักของเขาในแบบที่เขาต้องการจากฝ่ายนั้นมาตลอดเวลาสิบสามปีเต็ม


            นภัทรมองตามหลังวิศรุตที่ค่อยๆเดินห่างไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าคำตอบที่บอกวิศรุตไปเมื่อครู่นั้นมันคือความจริง เรื่องระหว่างเขากับฝ่ายนั้นมันเป็นเรื่องวิปริตผิดธรรมชาติและมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น เขาให้วิศรุตได้เพียงแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น สิ่งที่นอกเหนือจากนั้นคือเขาไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้จริงๆ คุณหมอหนุ่มพร่ำเน้นย้ำกับตัวเองเพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะเผลอไผลและหลงไปกับความรู้สึกพิเศษลึกๆที่อยู่ภายในก้นบึ้งของจิตใจก็เป็นได้ เราไม่น่าจะมาเจอกันอีกเลย

 

Aislin: กลับมาอัพนิยายให้แล้วจ้ะ ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย หน่วงๆหัวใจบ้างหรือเปล่า ฮาๆๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะเพราะได้หน่วงไปตลอดทั้งเรื่องแน่นอน อิอิ แต่ตอนหวานๆก็มีน้า (เพียงแต่ตอนนี้มันยังมาไม่ถึง) ใครที่ลุ้นไปกับความรักของคุณหมอกานต์กับนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อ รับรองว่าเนื้อหาจะเข้มข้นขึ้นทุกตอนๆแน่นอนค่ะ รับประกันความสนุก ^0^

ปล. ตอนนี้ Aislin เปิดให้สั่งซื้อนิยายรูปเล่มแล้วนะคะ ถ้าหากใครสนใจเชิญได้ที่ลิ้งก์ด้านล่างเลยค่ะ มีรายละเอียดบอกอยู่เน้อ หรือจะเข้าไปติดตามที่แฟนเพจจะอัพเดทสุดๆค่ะ www.facebook.com/aislin.napoon  โดยหลังจากที่นิยายรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว Aislin จะทยอยอัพในเน็ตสัปดาห์ละ 1 ตอนนะคะ เพราะอยากให้คนที่ซื้อรูปเล่มได้อ่านกันจนจบก่อนน่ะจ้ะ (นอกเหนือจากตอนพิเศษในเล่มอีก 3 ตอนที่บอกเลยว่าฟินขั้นสุดยอดดดดดดดดด ฮาๆๆ)

 
ลิงก์นี้เลยค่ะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41517.msg2661246#msg2661246
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
ติดตามๆ ค่า

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :hao5: สงสารวิน

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ติดตามๆ ค่า

ขอบคุณมากเลยค่ะสำหรับการติดตาม ดีใจที่ชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:hao5: สงสารวิน

วินคือคนที่สงสารสุดแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวได้สงสารไปจนจบเรื่องแน่นอน อิอิ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
           
           ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าจอต้องขมวดคิ้วมุ่นจนคิ้วเรียวงามแถบจะติดเชื่อมเป็นเส้นเดียวกัน ข้อมูลที่ศรารัตน์กำลังพิจารณาอยู่นี้เป็นงบเบิกจ่ายสำหรับแผนโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ของบริษัททัดเทวาที่เธอขอมาจากฝ่ายการเงิน


            เมื่อเช้านี้ศรารัตน์โทรไปบอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินส่งเอกสารงบการเงินย้อนหลังในโครงการต่างๆของทัดเทวามาให้เธอโดยด่วนรวมถึงงบเบิกจ่ายค่าวัสดุของแผนงานใหม่นี้ด้วย โดยอ้างว่าต้องการข้อมูลสำหรับประเมินขออนุมัติงบสำหรับโครงการอื่นในปีถัดไป หญิงสาวใช้เวลากว่าครึ่งวันในการศึกษาเอกสารทั้งหมดก่อนจะพบว่ายอดตัวเลขของฝ่ายการเงินมีความผิดปกติและคลาดเคลื่อนจากงบที่แผนกอื่นๆส่งข้อมูลมาค่อนข้างมากเลยทีเดียว ศรารัตน์หมุนปากกาในมืออย่างใช้ความคิดก่อนตัดสินใจพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานโดยมีจุดหมายคือห้องประธานกรรมการบริษัท


            เมื่อศรารัตน์เดินมาถึงหน้าห้องทำงานส่วนตัวของวิศรุตและตั้งท่าจะเปิดประตูเข้าไป แต่เมริษาที่มีตำแหน่งเป็นเลขาฯของวิศรุตก็รีบวิ่งเข้ามาขวางประตูไว้


            “คุณเป็นใครคะ จะเข้าห้องท่านประธานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้นะคะ” เมริษาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้ แต่ดูจากลักษณะท่าทางที่เธอกล้าเปิดประตูห้องทำงานของประธานบริษัทได้โดยที่ไม่ต้องเคาะประตู ตำแหน่งของเธอก็น่าจะใหญ่พอสมควรหรือไม่ก็ต้องสนิทสนมกับวิศรุตเอามากๆ


            “เธอคงเป็นเลขาฯใหม่ของวินสินะ ฉันชื่อศรารัตน์ ทัดเทวา เป็นน้องสาวแท้ๆของคุณวิศรุต ทัดทวา แล้วก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของที่นี่ด้วย รู้อย่างนี้แล้วจะให้ฉันเข้าไปได้หรือยัง” ศรารัตน์เอ่ยเสียงเรียบ เมริษาจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายแล้วบอกว่าตอนนี้วิศรุตไม่อยู่เพราะติดธุระออกไปพบลูกค้าข้างนอก


            “ถ้าท่านประธานกลับมา ดิฉันจะเรียนให้นะคะว่าคุณศรารัตน์มาพบ”


            “ไม่ต้องหรอก ฉันแวะมาที่นี่ก็เพื่อจะเอาเอกสารบางอย่างเท่านั้นแหล่ะ ไม่ได้จะมาพบวินหรอก” พูดจบศรารัตน์ก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของวิศรุตทันที เมริษาจะตามเข้าไปแต่ศรารัตน์ส่งสายตาเป็นเชิงปรามไม่ให้อีกฝ่ายตามเข้ามา เลขาฯสาวจึงได้แต่มองตามร่างระหงของอีกฝ่ายเข้าไปด้วยสายตาอยากรู้


            ศรารัตน์ใช้กุญแจสำรองเปิดตู้เอกสารสำคัญหลังโต๊ะทำงานของวิศรุต กุญแจนี้เป็นกุญแจสำรองที่วิศรุตให้เธอเก็บเอาไว้หนึ่งดอกเผื่อต้องการเอกสารในห้องประธานบริษัทก็จะได้มาเอาเองโดยสะดวกเพราะตอนแรกวิศรุตก็ไม่ได้สนใจงานการที่บริษัทอยู่แล้ว ที่ให้กุญแจตู้เอกสารสำคัญกับศรารัตน์ไปก็เพื่อต้องการจะโยนงานให้หญิงสาวนั่นแหล่ะ ศรารัตน์เปิดหาเอกสารปึกหนาจากแฟ้มต่างๆก่อนจะเจอสิ่งที่ต้องการ หญิงสาวหอบแฟ้มเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมที่จะล็อกกุญแจตู้ให้แน่นหนาเหมือนอย่างเดิม


            เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง ศรารัตน์ก็เริ่มพิจารณาข้อมูลใหม่ที่เพิ่งขนมาจากห้องทำงานของวิศรุต เมื่อลองเทียบเอกสารหลายๆฉบับจากหลายๆปีทำให้พบว่ายอดตัวเลขมีความผิดปกติอย่างที่เธอคาดเอาไว้จริงๆ แม้ว่ามองเผินๆ งบการเงินนี้จะไม่มีความผิดปกติ แต่เธอศึกษาเรื่องงบมานานทำให้สามารถมองออกว่าเอกสารที่เธอได้มาจากฝ่ายบัญชีนั้นล้วนแต่ผ่านการตกแต่งบัญชีมาอย่างแนบเนียนทั้งสิ้น หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น จำนวนตัวเลขที่ผิดปกตินั้นไม่ใช่น้อยๆเลย มันแสดงถึงว่ามีคนกำลังยักยอกเงินของบริษัทไปเป็นจำนวนมากและทำมาหลายปีแล้วด้วย ตอนแรกเธอไม่เคยเอะใจถึงเรื่องนี้จนกระทั่งวิศรุตเตือนเธอเมื่อวันก่อน ทว่าตอนนี้สิ่งที่หญิงสาวอยากรู้ที่สุดก็คือภาคินจะตอบคำถามเรื่องนี้กับเธอยังไงในฐานะที่เขาเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงิน

 



            ศรารัตน์ไปหาภาคินที่ฝ่ายการเงิน แต่เลขาฯบอกว่าภาคินไม่อยู่เพราะวันชัยเพิ่งเรียกตัวไปพบเมื่อสักครู่นี้เอง ศรารัตน์พยักหน้ารับรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายไปยังห้องทำงานของรองประธานบริษัทซึ่งเป็นห้องทำงานของวันชัยแทน ดีเหมือนกันจะได้รู้ๆกันไปเลยว่าคุณอาวันชัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ศรารัตน์คิดอย่างหมายมาด เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่


            เมื่อมาถึงห้องทำงานของวันชัย มาลิกาที่เป็นเลขาฯกลับไม่ได้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง ศรารัตน์เดาเอาว่าเธอคงพักไปรับประทานอาหารกลางวันเพราะนี่ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆพอดี มือบางตั้งใจจะเคาะประตูห้องทำงานเพื่อขออนุญาตเจ้าของห้อง แต่เสียงวันชัยกับภาคินที่คุยกันดังลอดออกมาจากประตูที่แง้มอยู่นิดๆก็ทำให้หญิงสาวต้องหยุดฟังด้วยความสนใจ


            “เมื่อเช้าลูกน้องที่แผนกผมมารายงานว่ายัยศรามาขอข้อมูลงบการเงินย้อนหลังไป บอกว่าจะเอาไปศึกษาน่ะครับ แล้วก็ยังมีพวกงบเบิกจ่ายค่าวัสดุของโครงการปัจจุบันด้วย” ภาคินรายงานผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆศรารัตน์ถึงมาเรียกตรวจสอบงบย้อนหลังแบบนี้ แต่ที่แน่ๆคือถ้าหากอีกฝ่ายตรวจพบความผิดปกติของงบแล้วละก็ คนที่ซวยก็คงหนีไม่พ้นเขาแน่ๆ


            “ยัยศราไม่มีทางรู้หรอก ไหนแกชอบโม้ว่าลูกน้องแกตกแต่งงบเก่งไงล่ะ” น้ำเสียงวันชัยไม่ค่อยเดือดร้อน เด็กเมื่อวานซืนอย่างศรารัตน์จะมาทำอะไรเขาได้ หรือถ้าขืนถูกจับได้ก็โบ้ยว่าเป็นความสะเพร่าของพนักงานบริษัทก็สิ้นเรื่อง


            “โธ่พ่อ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะครับ จริงอยู่ว่าตกแต่งงบได้เก่งแค่ไหนก็เถอะ แต่เงินที่หายไปจากบริษัทมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ ผมกลัวว่า...”


            “แกอย่ามาขี้กลัวไปหน่อยเลย อย่างมากยัยศราก็แค่สงสัยเท่านั้นแหล่ะ คงไม่กล้ามาทำอะไรเราหรอก ต่อไปนี้แกก็บอกให้ลูกน้องแกระวังๆหน่อยก็แล้วกัน” ภาคินยังไม่หายกังวล ดูท่าพ่อของเขาคงจะประเมินศรารัตน์ต่ำไปแล้ว ไม่ใช่เพราะ ศรารัตน์หรอกเหรอที่เคยไปขุดคุ้ยเรื่องงบการเงินเมื่อปีที่แล้วจนทำให้ป่วนไปทั้งฝ่ายการเงิน จนถึงขั้นทำให้วันชัยต้องสั่งกำจัดหลานสาวคนนี้โดยจัดฉากเพื่อให้กลายเป็นอุบัติเหตุ แต่ศรารัตน์ก็ดวงแข็งรอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ


            บุคคลที่สามที่กำลังถูกพาดพิงตอนนี้ยืนกำมือแน่นอยู่หน้าห้อง ดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์เพราะข้อสันนิษฐานของเธอ ที่ว่าภาคินกับวันชัยร่วมกันยักยอกเงินบริษัทนั้นเป็นเรื่องจริง มือบางค่อยๆแง้มบานประตูหนาให้กว้างขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้แอบฟังอย่างสะดวก แต่ประตูเจ้ากรรมดันหนักเลยส่งเสียงครืดไปกับพื้นห้อง แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็ทำให้บุคคลในห้องรู้สึกได้ว่าบทสนทนาของพวกตนกำลังถูกคนอื่นได้ยิน


            “ใครน่ะมายืนลับๆล่อๆที่ประตู ฉันถามว่าใคร” น้ำเสียงวันชัยเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขณะตะคอกถามเพื่อให้คนที่แอบ อยู่หลังประตูแสดงตัวออกมา ภาคินหันไปมองที่ประตูด้านหลังอย่างตกใจก่อนจะสาวเท้าไปหาคนที่มาแอบฟังบทสนทนาของตนกับผู้เป็นพ่ออย่างไม่ประสงค์ดี


            “ศรา” ภาคินอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาแอบฟังพวกตนก็คือศรารัตน์ หญิงสาวก้าวเท้าออกมาจากกรอบประตู วันชัยเองก็ถึงกับอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าศรารัตน์จะบังเอิญมาได้ยินเรื่องทั้งหมดแบบนี้


            “คุณอากับภาคินร่วมมือกันโกงบริษัทจริงๆด้วย” ศรารัตน์เค้นเสียงต่ำ หากไม่ได้ยินกับหูเธอก็คงไม่มีวันเชื่อว่าวันชัย ผู้ซึ่งเป็นอาแท้ๆของเธอจะกล้ายักยอกเงินของบริษัท เสียแรงที่พ่อของเธอไว้ใจวันชัยมากเหลือเกิน


            คำพูดของศรารัตน์ทำให้วันชัยกับภาคินต้องลอบมองหน้ากัน นี่เธอคงจะได้ยินที่เขาสองคนพูดทุกอย่างแล้ว ภาคิน กลืนน้ำลายขณะที่มือก็ชื้นเพราะเหงื่อซึมออกมา ตรงข้ามกับวันชัยที่ปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว


            “นี่หลานได้ยินทุกอย่างเลยเหรอ” ศรารัตน์พยักหน้ารับพร้อมกับถามว่าทั้งคู่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกงเงินบริษัทจำนวนมหาศาลแบบนี้ ลำพังเงินเดือนผู้บริหารและการจ่ายปันผลต่อหุ้นยังไม่พอกินพอใช้อีกเหรอ “อากับภาคินยอมรับว่าเราทั้งคู่ทำผิด แต่ตอนนั้นเราต้องการใช้เงินจริงๆเพราะว่าเราหมุนเงินกันไม่ทัน สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีนี้”


               ศรารัตน์ยิ้มเหยียด ที่ว่าหมุนเงินไม่ทันก็คงเป็นเพราะสองพ่อลูกคู่นี้ชอบใช้จ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินไม่ต่างจากเบี้ยหอยไร้ค่า อีกทั้งยังเอาเงินไปถลุงที่บ่อนแถวปอยเปต ไม่ก็ที่มาเก๊าอยู่บ่อยๆสิท่า


            “ศรา เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกวินเลยนะ ไม่อย่างนั้นไอ้วินมันเอาฉันกับพ่อตายแน่ โดยเฉพาะฉัน เธอก็รู้ว่ามันจงเกลียดจงชังฉันอย่างกับอะไรดี” ศรารัตน์หันไปมองหน้าญาตินอกสายเลือดอย่างภาคินด้วยสายตาว่างเปล่า ภาคินกล้าทำแบบนี้กับตระกูลทัดเทวาที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กจนโตได้อย่างไรกัน อำนาจของเงินนั้นไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ


            “ถ้ากลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกวิน แล้วนายกับพ่อเวลาคิดที่จะทำเรื่องชั่วๆทำไมไม่คิดให้ดีก่อนบ้างล่ะ”


            “เอาเถอะ อายอมรับว่าครั้งนี้ตัวเองทำผิดไปจริงๆ มันเป็นเพียงแค่ความเลอะเลือนเห็นเงินบังตาเพียงชั่ววูบเท่านั้น อากับภาคินสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด หลานวางใจได้เลย” ได้ฟังอย่างนั้นศรารัตน์ก็แค่นเสียงในคอพร้อมถามว่าอากับภาคินยังหวังว่าจะมีครั้งต่อไปให้แก้ตัวอีกเหรอ ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเล็กๆเลย แต่มันกระทบถึงสถานภาพและความมั่นคงของบริษัทด้วย


            “นี่หมายความว่าเธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้วินใช่ไหม” ภาคินขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความโมโห


            “ถ้าหลานคิดจะเอาเรื่องนี้ไปบอกวิน หลานก็คิดดีๆก็แล้วกัน อากับภาคินทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่รู้เท่าไหร่เพื่อบริหารให้ทัดเทวาเจริญเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่พี่วรุตเสียไป จริงอยู่ว่าหลานเองก็มาคอยช่วยงานที่บริษัท แต่ทายาทที่จะต้องสืบทอดทัดเทวาอย่างวิศรุตกลับไม่เคยย่างเท้าเข้ามาบริหารงานที่นี่เลยสักครั้ง แล้วใครล่ะที่เป็นคนประคับประคองบริษัทมาตลอดหลายปี ใครล่ะที่เป็นคนคอยกอบกู้ภาพพจน์ของบริษัทต่อบรรดาผู้ถือหุ้น ใครล่ะที่คอยแก้ปัญหาให้กับบริษัทเมื่อเวลาที่ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ใช่อากับภาคินหรอกเหรอ อาไม่เถียงว่าวิศรุตมีสิทธิ์ชอบธรรมทุกอย่างในการเข้ามานั่งแท่นเป็นประธานบริษัท แต่การก้าวเข้ามาโดยเหยียบหัวไอ้แก่คนนี้เพื่อให้ตัวเองไปสู่จุดสูงสุดโดยที่ตัวเองไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย มันสมควรแล้วเหรอ พออากับภาคินเผลอทำผิดพลาดเพราะความคิดแค่ชั่ววูบเดียว หลานก็คิดจะเฉดหัวอากับลูกให้พ้นจากบริษัทนี้ นี่น่ะเหรอสิ่งตอบแทนที่อากับลูกได้รับจากทายาทของทัดเทวา ลองคิดดูดีๆเถอะว่าทัดเทวามั่นคงมาได้ขนาดนี้ก็เพราะใคร” วันชัยเน้นเสียงหนักในตอนท้าย ดวงตาเจิดจ้าที่ไม่ได้ฝ้าฟางไปตามกาลเวลากำลังจับจ้องที่ดวงหน้าของศรารัตน์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือดจากคำพูดของเขา


            “แต่คุณอาก็ไม่สมควรทำแบบนี้” ศรารัตน์เอ่ยเสียงแผ่ว ในใจก็เริ่มลังเลกับสิ่งที่วันชัยพูด


            “เรื่องนี้ก็สุดแท้แต่ใจหลานเถอะ” วันชัยหย่อนระเบิดลูกสุดท้ายลงไป ดูจากสีหน้าศรารัตน์แล้ว วันชัยก็คิดว่าคำพูดของเขาคงได้ผลไม่น้อยเลยทีเดียว และเป็นแบบที่เขาคิดไว้ ในที่สุดศรารัตน์ก็ยอมอ่อนข้อให้ หญิงสาวถอนหายใจแรงโดยบอกว่าจะยอมยกโทษให้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น


            “ครั้งนี้ศราจะไม่บอกเรื่องนี้กับวิน และก็หวังว่าคราวหน้าคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกตามที่คุณอาสัญญาเอาไว้นะคะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นศราก็คงทำเป็นนิ่งเฉยไม่ได้เหมือนกัน”


            “ขอบใจหลานมากนะศรา” วันชัยกับภาคินเอ่ยขอบคุณศรารัตน์ด้วยความโล่งอกที่ครั้งนี้หญิงสาวยอมไม่เอาเรื่อง ก่อนที่ศรารัตน์จะเดินออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเพิ่งทำลงไปมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่


            “เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว” วันชัยพูดเสียงเหี้ยม นับวันศรารัตน์ก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องจัดการกับหลานสาวคนนี้ให้เด็ดขาดเสียที “แกรู้ใช่ไหมว่าจะต้องทำยังไง” ประโยคนี้วันชัยหันไปสบตากับภาคินที่พยักหน้าเป็นเชิงรู้กัน


            “ศราน่ะสวยใช่เล่นเลย ผมขอหาความสุขจากยัยนั่นก่อนก็แล้วกันนะครับ จากนั้น...” ภาคินใช้นิ้วชี้ทำท่าปาดคอด้วยแววตาเลือดเย็น ในขณะที่วันชัยก็ไม่ได้คัดค้านอะไรถ้าหากภาคินจะทำแบบนั้น ถึงจะเป็นหลานสาวแท้ๆก็เถอะ แต่หากใครหน้าไหนมันมาขวางทางของเขาล่ะก็ เขาก็ไม่เอามันไว้เหมือนกัน

 



            วันนี้วิศรุตมาเยี่ยมอาการป่วยของอิงอรอีกครั้ง คราวนี้อิงอรรู้สึกตัวแล้วโดยอาการทั่วไปก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ตามร่างกายก็ยังมีแผลฟกช้ำอยู่หลายแห่งและต้องใส่เฝือกดามขาอยู่ วิศรุตมองคนป่วยด้วยความสงสารก่อนจะบอกให้อิงอร พักผ่อนให้มากๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาลเพราะบริษัทจะดูแลเรื่องนี้ให้เอง


            “ขอให้คุณอิงอรหายไวๆนะครับ จะได้กลับมาทำงานเป็นเลขาฯผมต่อ ไม่มีคุณอิงอรคอยช่วยแล้วเนี่ย ผมแทบจะเหมือนคนแขนขาดไปข้างหนึ่งเลย” อิงอรหัวเราะน้อยๆกับคำพูดเกินจริงของเจ้านายหนุ่ม


            “ตอนนี้ท่านประธานก็ได้เลขาฯใหม่มาทำงานแทนแล้วนี่คะ ดิฉันก็คงหมดความสำคัญแล้วล่ะ” อิงอรแซวกลับ เธอรู้มาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นว่าตอนนี้วิศรุตรับเลขาฯใหม่เข้ามาทำงานแล้ว แถมยังสวยเสียด้วย ในขณะที่วิศรุตต้องลอบเบ้หน้าเมื่ออิงอรพูดถึงเลขาฯคนใหม่ของเขา


            “ผมก็รับมาทำงานแก้ขัดไปก่อนน่ะครับ ไว้คุณอิงอรหายดีเมื่อไหร่ก็กลับมาทำตำแหน่งเดิมได้เลย ผมจะย้ายเมริษาไปทำแผนกอื่นแทน” วิศรุตหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ยิ่งนับวันชายหนุ่มยิ่งไม่ค่อยอยากจะทนกับนิสัยสอดรู้สอดเห็นของเมริษา ไม่รู้ว่าเธอจะแอบสืบความลับของเขาไปบอกกับภาคินหรือว่าคุณอาวันชัยหรือเปล่า


            หลังจากพูดคุยกับคนป่วยได้ไม่นานนัก วิศรุตก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของอิงอร ชายหนุ่มตั้งใจว่าไหนๆมาถึงที่โรงพยาบาลนี้แล้ว ก็ควรจะแวะไปหานภัทรเสียหน่อยตามประสาคนรู้จัก แต่ในใจลึกๆคืออยากจะเจอหน้าฝ่ายนั้นเพราะเขาคิดถึงนภัทรเหลือเกิน

 



            วิศรุตจำทางไปยังห้องทำงานของนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ได้เป็นอย่างดีเพราะเคยมาแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่ศรารัตน์ยังป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ไม่นานนักวิศรุตก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานของฝ่ายนั้น ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉายแววลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเคาะประตู


            “เชิญครับ” เมื่อได้ยินเสียงนภัทรตอบกลับมา วิศรุตจึงเปิดประตูแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เสียงเดินของชายหนุ่มทำให้คุณหมอเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ “นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นนายนั่นเอง”


            “ฉันมารบกวนนายหรือเปล่า?” นภัทรสั่นศีรษะก่อนจะเก็บเอกสารการตรวจคนไข้และฟิล์มเอ็กเรย์ที่ดูค้างอยู่เมื่อครู่กลับลงไปในซองตามเดิม


            “ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า” นภัทรถามพร้อมจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างสงสัย ในขณะที่คนถูกถามยืนนิ่งเพราะยังคิดหาเหตุผลในการมาครั้งนี้ไม่ได้เช่นกัน จะให้บอกไปตรงๆได้อย่างไรล่ะว่าเขามาหาเพราะคิดถึงฝ่ายนั้น


            “ไม่มีอะไรหรอก พอดีฉันแวะมาเยี่ยมเลขาฯน่ะ ก็เลย เอ้อ แวะมาเยี่ยมนายด้วย” วิศรุตพูดอ้อมแอ้มไม่ยอมสบตาสีถ่านของนภัทร แต่จากคำพูดของวิศรุตก็ทำให้นภัทรเดาได้ไม่ยาก เขาไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย เขารู้ดีว่าวิศรุตรู้สึกอย่างไรกับเขา และตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว... กลัวว่าตัวเองจะเผลอใจไปกับฝ่ายนั้นเข้าจนได้

 

Aislin: ขออภัยที่หายไปนานหลายวันเลยนะคะ พอดี Aislin เพิ่งกลับจากพักผ่อนต่างจังหวัดค่ะ วันนี้มาอัพนิยายต่อให้แล้ว หวังว่าคงจะไม่ขาดช่วงเน้อออ

            นิยายตอนนี้ก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ ศราดันไปรู้ความลับของสองพ่อลูกอสรพิษเข้า ขอบอกเลยว่าชะตากรรมของศราเนี่ยน่าสงสารจริงๆ เฮอะๆๆ (แต่คุณผู้อ่านจะสงสารนางหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ทราบ ก๊ากๆๆ) เอาเป็นว่าตอนหน้าเรามาลุ้นกันต่อดีกว่าค่ะว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป แต่ขอแง้มๆว่ามีบทบู๊ให้มันกันแน่นอนนน บอกแล้วว่านิยายเรื่องนี้มีครบทุกรส อิอิ)

            ก่อนจากไปวันนี้ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับนิยายรูปเล่มกันนิดนึงนะคะ วันนี้ (15 มี.ค.58) เปิดสั่งซื้อราคาพิเศษเป็นวันสุดท้าย ใครอยากได้ติดต่อด่วนจ้ะ หลังจากนี้ขอปรับราคาเป็นเล่มละ 430 บาท (พร้อมส่ง) นะคะ แล้วก็หลังจากนิยายเสร็จออกมาเป็นรูปเล่ม Aislin จะอัพในเว็บให้สัปดาห์ละ 1 ตอนจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าหากใครอยากอ่านก่อนไวๆ และอยากอ่านตอนพิเศษสุดๆ 3 ตอน (ที่จะมีเฉพาะในเล่มเท่านั้น ไม่โพสลงเว็บ) ก็ฝากอุดหนุนรูปเล่มด้วยแล้วกันเน้อ ติดต่อได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon    ได้เลยค่ะ



ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
            ศรารัตน์ขับรถมายังห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองหลังจากเลิกงาน หญิงสาวตั้งใจว่าจะแวะมาซื้อขนมและของบำรุงไปฝากนภัทรและคุณพ่อคุณแม่ของชายหนุ่ม หลังจากจัดการซื้อของที่ต้องการได้ครบถ้วนแล้ว ศรารัตน์ก็ถือถุงของพะรุงพะรังมายังรถที่จอดอยู่ที่ชั้นของลูกค้าวีไอพี ก่อนจะใช้กุญแจเปิดกระโปรงรถยุโรปคันหรูแล้วนำของที่ซื้อมาเข้าไปเก็บที่ท้ายรถ จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดประตูรถฝั่งด้านคนขับก็มีมือหนาจากทางด้านหลังใช้ผ้าโปะยาสลบมาอุดจมูกเธอไว้ ศรารัตน์ดิ้นรนไปมาอยู่สามสี่ครั้งก่อนจะนิ่งและทรุดฮวบลงไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่รอรับอยู่พอดี และเมื่อจัดการจนเหยื่อสลบไปแล้ว ชายกำยำผิวคล้ำร่างใหญ่ก็อุ้มศรารัตน์ไปยังรถอีกคันหนึ่งที่จอดหลบมุมอยู่ใกล้ๆนั้น


            “เรียบร้อยแล้วครับนาย” สิ้นเสียงรายงานของลูกน้องร่างใหญ่ แบงค์พันจำนวนหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาจากด้านของคนขับซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปแล้วรีบขอบคุณผู้เป็นนายก่อนจะเดินหายลับไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว


            ที่ชั้นจอดรถวีไอพีเป็นที่จอดรถส่วนตัวสำหรับลูกค้าคนพิเศษของห้าง ที่ชั้นนี้จึงไม่มีคนพลุกพล่าน สะดวกในการลงมือที่สุด และแน่นอน... ไม่มีใครเห็นว่าคุณหนูศรารัตน์ ทายาทคนดังของทัดเทวาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะก่อนที่จะวางยาสลบศรารัตน์ ภาคินได้สั่งให้ลูกน้องไปจัดการกับกล้องวงจรปิดของอาคารจอดรถชั้นนี้เรียบร้อยแล้ว ภาคินจุดยิ้มมุมปากขณะเหลียวหน้าไปมองร่างของศรารัตน์ที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า อีกไม่นานเขาจะทำให้เธอขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว ชายหนุ่มกระหยิ่มใจก่อนสตาร์ตรถแล้วขับออกไปจากตรงนั้น

 



            ภาคินขับรถด้วยความเร็วเพื่อเร่งอยากจะไปให้ถึงที่หมายไวๆ เขาชักจะอดใจไม่ไหวกับร่างเย้ายวนของศรารัตน์ที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างกายเขา ในใจภาคินตอนนี้จินตนาการไปถึงตอนที่ตนได้มีความสุขกับศรารัตน์กับสีหน้าของวิศรุตยามที่อีกฝ่ายได้รู้ว่าน้องสาวของตัวเองพลาดท่าให้กับคนอย่างเขาที่มันเคยดูถูกเหยียบย่ำสารพัด คิดมาถึงตอนนี้ ภาคินก็ได้แต่กัดฟันด้วยความแค้น วันนี้เขาจะขอเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกกับศรารัตน์ก่อนก็แล้วกัน


            ศรารัตน์เริ่มขยับตัวเล็กน้อยโดยที่ภาคินไม่ได้สังเกต ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆเปิดขึ้นด้วยอาการที่ยังสะลึมสะลืออยู่จากฤทธิ์ของยาสลบ หญิงสาวพยายามกะพริบตาถี่ๆแล้วสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อไล่ความมึนงงออกไปก่อนสติจะระลึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอโดนใครก็ไม่รู้เอาผ้าโปะยาสลบมาอุดจมูกไว้ เมื่อเธอมารู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว


            “แก... ไอ้ภาคิน... แก...” ศรารัตน์อุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่าภาคินคือคนที่จับตัวเธอมา ฝ่ายภาคินก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าศรารัตน์รู้สึกตัวแล้วและกำลังใช้สองมือระดมทุบตีเขาไม่ยั้ง


            “โอ๊ย อย่านะศรา ฉันขับรถอยู่ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ภาคินใช้มือข้างหนึ่งรวบข้อมือศรารัตน์เอาไว้เมื่อหญิงสาวเปลี่ยนจากการทุบหน้าอกเขามาเป็นการยื้อแย่งพวงมาลัยรถยนต์แทน “บอกให้อยู่เฉยๆไงศรา ปล่อยสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ภาคินพยายามปัดมือของศรารัตน์ที่กำลังยื้อดึงพวงมาลัยอย่างสุดแรง ส่งผลให้ตอนนี้รถของเขากำลังส่ายไปมาอย่างน่าหวาดเสียวเพราะเขาขับด้วยความเร็วขนาดที่ว่าถ้ารถเกิดเสียหลักก็คงจะไม่เหลือซากให้เก็บกู้เลยทีเดียว


            “รถชนก็ดีน่ะสิ ฉันบอกให้จอดไง แกจะพาฉันไปไหน ปล่อยฉันนะ โอ๊ย” ภาคินโมโหที่ศรารัตน์ไม่ยอมปล่อยมือจากพวงมาลัยจึงใช้สองมือผลักศรารัตน์อย่างแรงจนศีรษะของหญิงสาวไปชนกับกรอบประตูรถทำให้หัวแตกและเลือดสีสดไหลออกมาท่ามกลางความตกใจของศรารัตน์ที่ไม่คิดว่าภาคินจะกล้าทำกับเธอถึงขนาดนี้


            “อยู่นิ่งๆนะถ้าไม่อยากเจ็บตัวอีก จะพาไปไหนเดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหล่ะ รับรองเธอจะต้องสุขสมจนร้องครางออกมาแน่นอน” คำพูดลามกหยาบโลนทำให้ศรารัตน์นึกรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจับตัวเธอมาด้วยจุดประสงค์อะไร หญิงสาวจ้องภาคินอย่างขยะแขยง เธอไม่มีวันยอมให้คนตรงหน้าทำร้ายเธอแน่ ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือหยุดรถคันนี้ให้เร็วที่สุด


            ศรารัตน์โถมตัวไปทับภาคินอีกครั้งก่อนจะใช้สองมือหมุนพวงมาลัยรถไปมาเพราะต้องการให้รถเสียหลัก ภาคินพยายามปัดป้องการกระทำนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องละมือออกจากพวงมาลัยเพื่อมารวบตัวศรารัตน์ไว้ไม่ให้เธอเข้าใกล้เขาอีก ผลคือรถคันหรูกำลังส่ายไปมาจนมากินเลนรถคันอื่นๆ ทำให้เสียงบีบแตรดังลั่นไปทั่วทั้งถนน


            “แมร่ง ขับรถภาษาอะไรของมันวะ ขับแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ไปพบยมบาลหรอก” ภาณุสบถออกมาอย่างหัวเสียกับรถคันข้างหน้าที่ขับเข้ามากินเลนในช่องของเขา แถมตอนนี้รถยังส่ายเอียงไปมาอย่างน่ากลัวจนหวิดจะชนกับรถคันอื่นอยู่หลายครั้ง ภาณุจึงตัดสินใจหาจังหวะเร่งเครื่องแซงรถคันหน้าไป เพราะขืนขับตามหลังรถเจ้ากรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวังรถของเขาได้ไปจูบท้ายรถกับคันข้างหน้าอย่างแน่นอน


              ในขณะที่รถของชายหนุ่มตีคู่ไปกับรถเจ้าปัญหา ภาณุก็หันหน้าไปมองคนขับรถคันนั้นอย่างหัวเสียก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนขับคือภาคิน ทัดเทวา ญาติผู้พี่ของวิศรุตนั่นเอง แต่ความตกใจนี้ก็ไม่เท่ากับการได้เห็นศรารัตน์กำลังหมุนพวงมาลัยรถอย่างรุนแรงจนเป็นสาเหตุทำให้รถเริ่มเสียหลัก ท่าทางเหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะอะไรกันอยู่และดูภาคินจะอารมณ์เสียมากด้วย


             ภายในรถของภาคิน ศรารัตน์กำลังทั้งผลักทั้งดันชายหนุ่มเจ้าของรถอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มหมดความอดทน จนในที่สุดเขาก็ใช้ฝ่ามือหนาฟาดเข้าไปที่แก้มเนียนของศรารัตน์อย่างรุนแรง ทำให้หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความโกรธอีกรอบ ภาคินไม่มีสิทธิ์จะมาทำกับเธอแบบนี้


               “แกทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ไอ้คนเลว... ไอ้ชั่ว... ไอ้...” ก่อนที่ศรารัตน์จะด่าจบ ภาคินก็สบโอกาสคว้าผ้าโปะยาสลบจากแผงคอนโซลหน้ารถมาอุดจมูกของหญิงสาวอีกครั้ง ทำให้ร่างบางเริ่มหมดฤทธิ์และสลบไปอีกรอบโดยที่เหตุการณ์ภายในรถทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของภาณุที่มองจ้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองพลางคิดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นศรารัตน์จะยื้อยุดฉุดกระชากทะเลาะกับภาคินเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดรถทำไมกัน และที่สำคัญทำไมภาคินต้องวางยาสลบศรารัตน์ด้วย


               เมื่อสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆของตน ภาณุก็ไม่รีรอที่จะขับตามรถของภาคินไปทันที โดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้ฝ่ายนั้นรู้ตัวและไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมากดโทรออกไปหาวิศรุต

 


              ภายในห้องทำงานของนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ในตอนนี้ราวกลับมีบรรยากาศอึมครึมกำลังโอบล้อมนภัทรกับวิศรุตอยู่จนแทบจะหายใจไม่ออก วิศรุตผสานสายตากับดวงตาเรียวยาวสีถ่านนิ่งเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่อีกฝ่ายก็เงียบเช่นกัน นภัทรไม่รู้ว่าในตอนนี้เขาสมควรพูดอะไรดี การมายืนจ้องหน้ากันแบบนี้มันช่างชวนให้อึดอัดสิ้นดี แต่แล้วในที่สุดวิศรุตก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน


            “หมู่นี้นายยังเจอกับยัยศราอยู่หรือเปล่า” คำถามของวิศรุตทำให้นภัทรต้องถอนหายใจพร้อมกับยอมรับ


            “คุณศราแวะมาหาฉันที่บ้านบ่อยๆ ฉันรู้ว่านายคงไม่พอใจ แต่ว่า...” เขารู้ว่าวิศรุตไม่ค่อยชอบใจนักที่น้องสาวของตนเที่ยวมาติดพันเขา แต่เขาเองก็ห้ามศรารัตน์ไม่ได้เช่นกัน ทั้งที่เขาคิดกับศรารัตน์แบบพี่น้องเท่านั้น


             “ช่างเถอะ ฉันรู้ดีว่ายัยนั่นน่ะดื้อแค่ไหน แต่ที่ฉันอยากรู้มากกว่านั้นและนายก็ยังไม่ได้ตอบคำถามฉันก็คือ นายคิดยังไงกับน้องสาวของฉัน” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบของอีกฝ่าย ถ้านภัทรตอบมาว่าชายหนุ่มมีใจให้กับศรารัตน์แล้วล่ะก็ เขาคงจะต้องแทบล้มทั้งยืนต่อหน้าคนๆนี้อย่างแน่นอน


            “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันคิดกับคุณศราแค่น้องสาวจริงๆ” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างให้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรของวิศรุต ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ซึ่งนภัทรก็ยืนยันในคำตอบตัวเองอย่างหนักแน่น “ถ้านายไม่ได้คิดอะไรกับศรา แล้วฉันล่ะ นายคิดยังไงกับฉัน” คำถามนี้ถูกวิศรุตยกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นภัทรมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลังจากฟังคำถามของอีกฝ่ายจบ ทำไมคนตรงหน้าชอบถามคำถามนี้กับเขาเหลือเกิน ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่เคยหาคำตอบดีๆให้อีกฝ่ายได้เลยสักครั้ง “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่เคยถามก็แล้วกัน” แค่ได้ยินว่านภัทรไม่ได้คิดอะไรกับศรารัตน์ เขาก็ดีใจมากแล้ว “ถ้างั้นฉันกลับก่อนก็แล้วกัน ไม่กวนนายทำงานแล้วล่ะ” วิศรุตยิ้มให้ก่อนหมุนตัวตั้งใจจะเดินออกจากห้อง แต่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นเสียก่อน วิศรุตมองชื่อคนโทรมาเมื่อเห็นว่าเป็นภาณุจึงกดรับ


            “ว่าไงไอ้โอม ห๊ะ! อะไรนะ ยัยศราเนี่ยนะไปกับไอ้ภาคิน” ดวงตาสีน้ำตาลโศกตวัดมองไปทางนภัทรอย่างแปลกใจ ซึ่งคุณหมอหนุ่มก็มองมาที่เขาเช่นกัน “ได้ๆ เดี๋ยวแกขับตามรถมันไปก่อน เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากวางสายภาณุไปแล้ว วิศรุตก็รีบร้อนจะออกจากห้อง แต่นภัทรมาคว้าข้อมือเขาเอาไว้เสียก่อน


            “เกิดอะไรขึ้นกับคุณศราเหรอ” วิศรุตมองหน้านภัทรก่อนตัดสินใจบอก


            “ไอ้โอมบังเอิญเห็นว่าไอ้ภาคิน ญาติของฉันกำลังพาตัวยัยศราไปที่ไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญยัยศราโดนยาสลบ” พูดจบวิศรุตก็สะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทันทีโดยมีนภัทรวิ่งตามไปด้วยอีกคน

 



            ภาคินขับรถพาศรารัตน์ที่สลบไม่ได้สติไปยังโกดังเปลี่ยวชานเมือง เมื่อไปถึงชายหนุ่มได้สั่งให้ลูกน้องดูต้นทางเอาไว้ เพราะตนตั้งใจจะหาความสุขกับศรารัตน์ก่อนจะฆ่าทิ้ง ภาคินอุ้มศรารัตน์เข้าไปยังด้านในของโกดังก่อนจะกำชับลูกน้องอีกครั้งไม่ให้เข้ามาขัดจังหวะความสุขของเขาอย่างเด็ดขาด


            ภาคินวางร่างของศรารัตน์ที่พื้นโกดังด้านหนึ่งก่อนพิศมองดวงหน้าสวยหวานในอ้อมแขนด้วยความหื่นกระหาย ชายหนุ่มฝันมานานแล้วว่าสักวันเขาจะได้เชยชมร่างกายที่สวยงามนี้ และไม่นึกว่าวันนี้จะมาถึงในที่สุด มือหนาค่อยๆเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางทีละเม็ด ก่อนไล่ลงต่ำมาปลดซิปกับตะขอกระโปรง ฝ่ามือหนาตะโบมไล้ไปยังเนินเนื้อผุดผ่องของศรารัตน์อย่างหยาบโลน


            “อือ” เสียงครางเบาๆหลุดรอดจากริมฝีปากบางของหญิงสาวก่อนที่เจ้าของร่างจะสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมามอง “แก... อย่านะ... ปล่อยฉัน... ปล่อย...” เมื่อเห็นภาคินกำลังปลดเสื้อผ้าตัวเองออกจากร่าง ศรารัตน์ก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมสติเท่าที่มีแล้วใช้สองมือรวบเสื้อผ้าที่เปิดอ้าอยู่ก่อนจะกระเสือกกระสนวิ่งหนีให้ห่างจากภาคินให้มากที่สุด


            “จะหนีไปไหนล่ะศรา เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก” ภาคินตามไปรวบตัวศรารัตน์ให้มาอยู่ในอ้อมแขนตนอีกครั้ง เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไปได้แน่ เธอต้องเป็นของเขาเท่านั้น


            “ปล่อยฉันไอ้คนชั่ว ปล่อยสิ” เมื่อเห็นว่าภาวินไม่ปล่อยแถมยังออกแรงรัดเธอแน่นกว่าเก่า หญิงสาวก็เลยตัดสินใจกัดเข้าที่ท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงจนฝ่ายนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด


            “ฤทธิ์เยอะนักนะนังนี่” ภาคินโกรธจัดที่โดนศรารัตน์กัด จึงชกเข้าที่ท้องน้อยของหญิงสาวเต็มแรงซึ่งก็ทำให้แม่สาวตัวดีหมดฤทธิ์อ่อนแรงอยู่ในวงแขนของภาคินตามเดิม


            “ไอ้ภาคิน แก... อย่าทำอะไรฉัน...” ความเจ็บปวดจากการถูกชกที่ท้องทำให้ศรารัตน์หมดสติไปอีกรอบ ภาคินมองอย่างสบใจ ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางความสุขเขาได้อีกแล้ว

 



            “พวกมันพาศราไปไหนแล้วไอ้โอม” วิศรุตรีบถามขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อได้เจอกับเพื่อนสนิท ภาณุเลือกที่จะจอดรถเอาไว้ที่หน้าปากซอยเล็กๆแห่งหนึ่งที่ภาคินขับรถพาศรารัตน์เข้าไป ซอยนี้เป็นซอยขนาดเล็กไม่เหมาะที่เขาจะเอารถตามเข้าไปเพราะกลัวว่าภาคินจะรู้ตัวแล้วพาศรารัตน์หนีไปที่อื่นเสียก่อน


            “มันพายัยศราเข้าไปในซอยนี้แหล่ะ เมื่อกี้ฉันลองเข้าไปสำรวจก่อนแล้ว ในนั้นน่ะเปลี่ยวแล้วก็ลึกเหมือนกันนะเว้ย ฉันเห็นรถของนายภาคินจอดอยู่ที่โกดังร้างแถวๆท้ายซอยด้วย แถมหน้าโกดังยังมีลูกน้องมันยืนเฝ้าอยู่อีกต่างหาก” ภาณุรีบบอก ในขณะที่วิศรุตก็ฮึดฮัดอยากจะตามเข้าไปแทบจะทันที แต่ถูกนภัทรที่มาด้วยกันรั้งเอาไว้เสียก่อน


            “แล้วพวกลูกน้องมันมีเยอะหรือเปล่า” คุณหมอหนุ่มถามขึ้นมา เขาไม่อยากให้วิศรุตบุ่มบ่ามเข้าไปเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายถ้าหากทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบที่ฝ่ายนั้นกำลังทำอยู่


            “ประมาณสี่ห้าคน ฉันคิดว่าถ้าเราสามคนช่วยกันก็น่าจะจัดการได้อย่างไม่ยากนัก” ภาณุบอกในขณะที่นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลากวิศรุตให้วิ่งตามเข้าไปในซอยด้วยกัน ภาณุมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย แล้วนภัทรมากับวิศรุตได้ยังไงกัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอนนี้เรื่องสำคัญคือต้องหาทางเข้าไปในโกดังร้างนั้นให้ได้เสียก่อน จะได้รู้เสียทีว่าภาคินจับตัวศรารัตน์มาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่


Aislin:
สวัสดีค่ะมิตรรักนักอ่านทุกท่าน วันนี้มาอัพนิยายต่อให้แล้วค่ะ เปิดมาโหวงเหวงพิกลเพราะไม่มีคอมเม้นท์ให้อ่านกันเล้ยยย ยังไงอ่านจบแล้ว สนุกหรือไม่สนุกยังไง รบกวนคอมเม้นท์ส่งฟีดแบ็กให้นักเขียนหน่อยเน้อ จะติหรือชมก็ได้เลยค่ะ แต่ขอไม่หยาบเป็นพอ ฮาๆๆ

            ตอนนี้นิยายก็มาตัดจบตอนกำลังลุ้นๆอยู่พอดี เดี๋ยวมาตามลุ้นกันต่อค่ะว่าชะตากรรมของศราจะเป็นอย่างไร จะเป็นไปอย่างที่คุณผู้อ่านกำลังเดาไหม อย่าพลาดติดตามตอนหน้านะคะ ไม่นานเกินรอแน่นอนค่ะ ตอนนี้ Aislin ขอแว็บไปอัพนิยายเรื่องอื่นๆก่อน เดี๋ยวดึกๆจะได้ไปตรวจ Artwork รูปเล่มนิยายเรื่องนี้ต่อ เอาไว้เจอกันตอนหน้าเน้อ


ปล. ตอนนี้นิยายรูปเล่มยังสามารถสั่งจองได้นะคะ สนใจดูรายละเอียดได้ในลิ้งก์นี้เลยค่ะ ^0^ หรือจะเข้าไปดูในแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon   ตามสะดวกเลยค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41517.msg2661246#msg2661246

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2015 20:33:27 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

            ที่บริเวณหน้าประตูโกดังมีลูกน้องภาคินอยู่ประมาณสี่ถึงห้าคนอย่างที่ภาณุบอกเอาไว้จริงๆ ท่าทางของพวกนั้นดูลับๆล่อๆไม่น่าไว้ใจเลย ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งเป็นห่วงศรารัตน์มากกว่าเดิม มือก็ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดแยกย้ายกันไปจัดการกับเหล่าสมุนของภาคินทันที

            วิศรุตจัดการกับสมุนคนแรกไปอย่างไม่ต้องเปลืองแรงมากนักเพราะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มเสยหมัดไปที่ใบหน้าของสมุนผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นอย่างเต็มแรงก่อนจะกระแทกเข่าซ้ำไปยังบริเวณลำตัวแล้วคว้าคอเสื้อสมุน ขึ้นมาถาม


            “ไอ้ภาคิน เจ้านายแกมันพาศรารัตน์มาที่นี่ใช่ไหม”


             “คุณวิศรุต” สมุนคนนั้นมองหน้าวิศรุตอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าวิศรุตจะตามมาถึงที่นี่ได้


              เมื่อสมุนของภาคินไม่ยอมเปิดปากตอบคำถามตน วิศรุตจึงเริ่มมีอารมณ์เดือดมากขึ้นก่อนจะกระแทกเข่าอัดท้องน้อยของอีกฝ่ายไม่ยั้ง


              “ตอบมาสิวะ ตอบมาว่าไอ้ภาคินมันพาศรารัตน์มาที่นี่ทำไม ตอบมา” วิศรุตตวาดเสียงดัง แววตากร้าวอย่างน่ากลัว สมุนผู้นั้นมองวิศรุตอย่างตกใจก่อนที่ร่างของตนจะโงนเงนและล้มลง


            ‘พลั่ก’


             วิศรุตตัวเซไปอีกทางเมื่อถูกไม้หน้าสามตีเข้าที่สะบักไหล่ด้านหลังอย่างแรง ชายหนุ่มเหลียวหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นสมุนอีกคนของภาคินที่คงจะได้ยินเสียงการต่อสู้เมื่อครู่จึงได้มาช่วยเพื่อนตัวเอง สมุนคนแรกรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นก่อนจะอาศัยจังหวะที่วิศรุตโดนตีจนเซเข้าล็อกตัวชายหนุ่มเอาไว้ มันพยักหน้าบอกเพื่อนสมุนให้จัดการกับวิศรุตได้เลย ซึ่งสมุนอีกคนก็ไม่ลังเลที่จะหวดไม้เนื้อหนาลงไปที่หน้าท้องของวิศรุตซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนชายหนุ่มจุกชนิดแทบพูดไม่ออก


               วิศรุตรวบรวมแรงโดยอาศัยแรงยึดที่สมุนคนแรกรวบตัวเขาไว้ก่อนจะตวัดขาที่เป็นอิสระอยู่กระโดดถีบฝ่ายตรงข้ามจนไม้หลุดมือไปแล้วจึงสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ลูกสมุนของภาคินกลับไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆจนวิศรุตหมดความอดทนจึงพลิกตัวให้กลิ้งไปกับพื้นก่อนจะตวัดตัวคร่อมร่างอีกฝ่ายไว้แล้วรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง


            ฝ่ายสมุนคนที่สองก็รีบฉวยเอาไม้ที่เมื่อครู่หลุดไปจากมือคืนมาอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะเล็งเป้าหมายไปยังศีรษะของวิศรุตซึ่งพอดีกับที่ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาได้ทัน ในจังหวะที่กำลังจะฟาดไม้ลงไปนั้นเอง สมุนผู้นั้นกลับถูกของแข็งฟาดที่ท้ายทอยจากทางด้านหลังอย่างแรงจนสลบเหมือดไปทันที


            “นภัทร” คนที่ถูกเรียกรีบโยนไม้ในมือทิ้งก่อนจะถลาเข้าไปช่วยประคองวิศรุตให้ยืนขึ้นมาอีกครั้ง


            “นายเป็นยังไงบ้าง” เป็นอีกหนึ่งครั้งที่วิศรุตเห็นสายตาเจือความห่วงใยของนภัทรที่มองมาทางเขา ชายหนุ่มเบ้หน้าด้วยความเจ็บที่ท้องน้อย แต่ลึกๆในใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมาให้เขาเห็นแบบนี้แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไรก็ตาม


            “ขอบใจนะที่ช่วย” นภัทรพยักหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร


            “ฉันจัดการพวกสมุนนั่นไปสองคนแล้วล่ะ นายเองก็จัดการไปแล้วสอง ถ้างั้นก็เหลืออีกแค่หนึ่ง”


            “หวังว่าไอ้โอมคงจะเอาอยู่นะ” วิศรุตบอกก่อนจะชวนให้นภัทรรีบเข้าไปในโกดังด้วยกันเพราะเขาไม่ไว้ใจภาคินเลย


            ‘ปัง’


             เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นทำลายความเงียบ ก่อนที่วิศรุตจะหันไปมองหน้านภัทรอย่างหวั่นวิตก


            “ไอ้โอม” วิศรุตอุทานเสียงแผ่ว ดวงตาสีน้ำตาลโศกเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าภาณุไม่ได้พกปืน แสดงว่าเสียงปืนที่ดังเมื่อครู่นี้ก็ต้องไม่ใช่ของภาณุแน่ วิศรุตกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพุ่งตัวไปยังต้นเสียงที่อยู่อีกด้านของโกดังทันที แต่ นภัทรรีบฉวยข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน


            “นายรีบเข้าไปช่วยคุณศราเถอะ เดี๋ยวฉันไปดูไอ้โอมเอง” วิศรุตลังเลชั่วครู่ก่อนตัดสินใจฝากให้นภัทรดูแลเพื่อนรักของตนด้วย หลังจากนั้นจึงกัดฟันข่มความปวดที่บริเวณท้องน้อยแล้วจึงรีบวิ่งไปทางประตูโกดัง

 


               ภาคินละมือออกจากการปลดตะขอเสื้อชั้นในของศรารัตน์หลังจากที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ชายหนุ่มมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันทีก่อนมือหนาจะรีบติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างลวกๆ แล้วตั้งใจจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆจึงมีเสียงปืนดังขึ้นมาได้ แต่จังหวะที่ภาคินกำลังเอื้อมมือหมายจะผลักประตูให้เปิด ประตูหนาหนักของโกดังก็ถูกกระแทกให้เปิดออกจากทางด้านนอกเสียก่อน


            “วิศรุต” ภาคินเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร ในขณะที่วิศรุตก็มองสภาพเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของอีกฝ่ายด้วยความตกใจก่อนดวงตาสีน้ำตาลโศกจะไล่มองไปยังข้างในโกดังก่อนสะดุดกับร่างเกือบเปลือยของศรารัตน์ที่นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ที่พื้นอีกด้านหนึ่งไม่ไกลนัก


              “ไอ้ภาคิน ไอ้ชาติชั่ว มึง!” สภาพของศรารัตน์ที่วิศรุตได้เห็นทำให้ชายหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไอ้ชั่วอย่างภาคินจะต้องวางแผนหลอกพาน้องสาวเขามาย่ำยีอย่างแน่นอน วิศรุตจ้องภาคินที่กำลังยืนตัวสั่นด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้าก่อนจะใช้สองมือกระชากคอเสื้อของภาคินเข้าหาตัวแล้วตะคอกถามเสียงดังด้วยความโกรธที่กำลังโหมกระพือ


                “มึงทำอย่างนี้กับศราได้ยังไงวะ ไอ้สารเลว มึง... อย่าอยู่เลย” กำปั้นหนักๆถูกส่งไปยังใบหน้าหล่อเหลาของภาคิน ก่อนวิศรุตจะตามซ้ำด้วยหมัดจำนวนไม่ยั้งที่ระดมอัดจนใบหน้าอีกฝ่ายเริ่มช้ำและมีเลือดสดๆไหลรินออกมาราวกับน้ำทะลัก


                ภาคินหน้าสะบัดไปตามแรงมือของวิศรุตก่อนจะแข็งใจใช้ท่อนแขนรับกำปั้นที่สวนมาของวิศรุตได้พอดี แล้วจึงเงื้อขาถีบเข้าที่ท้องน้อยจนวิศรุตเสียหลักล้มไปอีกทาง จากนั้นภาคินจึงตามเข้ามาหมายจะอัดฝ่ายตรงข้ามให้เละเพื่อเป็นการเอาคืนที่วิศรุตทำกับตน


                 “แส่ไม่เข้าเรื่องนักนะมึงไอ้วิน” ภาคินเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมบนตัวของวิศรุต ก่อนจะใช้สองมือขยุ้มผมของฝ่ายนั้นแล้วจับศีรษะของวิศรุตโขกกับพื้นซีเมนต์ของโกดังอย่างแรงจนชายหนุ่มหัวแตกและมึนงงจากการที่ศีรษะถูกกระแทกหลายครั้ง


                 “อยากแส่เองนะมึง จะมาหาว่ากูใจร้ายไม่ได้นะ” ภาคินยิ้มเหี้ยมก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากการจับศีรษะของวิศรุตโขกพื้นมาเป็นการบีบคออีกฝ่ายแทน “กูทนมึงมานานแล้วเว้ย ถึงเวลาที่กูจะเอาคืนบ้างล่ะ” ภาคินบีบคอวิศรุตจนอีกฝ่ายหน้าเขียวแทบขาดอากาศหายใจ วิศรุตพยายามแกะมือที่บีบคอตนเองออกอย่างสุดแรง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะตอนนี้ชายหนุ่มเจ็บจากการโดนอีกฝ่ายชกเข้าที่แผลเก่าที่ท้องน้อย ประกอบกับภาคินกำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา


                 ภาคินตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ฆ่าวิศรุตไปพร้อมๆกับศรารัตน์เลย ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจแค่จะจัดการกับศรารัตน์แค่คนเดียวก่อน แต่นึกไม่ถึงว่าวิศรุตจะด่วนเข้ามาหาที่ตายเร็วเช่นนี้  ภาคินมองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่เริ่มเหยเกเพราะขาดอากาศหายใจด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมก่อนลงมือบีบคอวิศรุตให้แน่นยิ่งกว่าเดิม


                วิศรุตควานมือไปรอบๆตัวอย่างอ่อนแรง ในขณะที่พยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากอุ้งมือของภาคิน ทันใดนั้นมือหนาของวิศรุตก็ไปสัมผัสเข้ากลับอิฐมอญก้อนเล็กๆที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นโกดัง ชายหนุ่มฉวยอิฐก้อนนั้นมากำแน่นแล้วฟาดไปยังศีรษะของภาคินเต็มแรง ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องคลายมือที่กำลังบีบคอเขาทันที


               วิศรุตพลิกตัวหอบหายใจแรงแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดชดเชยกับตอนที่ถูกบีบคอ ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปมองภาคินที่กำลังกุมศีรษะโชกเลือดของตนด้วยความแค้นแล้วจึงโถมถลาเข้าไปจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือ


               คราวนี้วิศรุตเป็นฝ่ายได้เปรียบและกลายเป็นฝ่ายที่ได้ขึ้นคร่อมเหนือร่างของภาคิน ชายหนุ่มใช้สองมือขยุ้มผมภาคินแล้วจับโขกกับพื้นโกดังแบบที่อีกฝ่ายทำกับเขา เมื่อเห็นว่ายังไม่สาแก่ใจจึงกระชากภาคินให้ลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงฝ่ายนั้นไปยังอีกฝั่งหนึ่งของโกดังใกล้ๆกับที่ศรารัตน์นอนอยู่


               “มึงแหกตาดูคนที่มึงกำลังจะทำร้ายสิวะได้ชาติชั่ว คนอย่างมึงไม่น่าจะเกิดมาได้ใช้นามสกุลทัดเทวาเลยไอ้ภาคิน มึงแน่มากที่กล้าทำกับน้องสาวกูแบบนี้” ไม่รอให้พูดจบ วิศรุตก็เสยกำปั้นไปที่ใบหน้าที่เริ่มยับเยินของภาคินอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวกับอารมณ์โกรธจัดที่ไม่เคยได้เห็นจากวิศรุตมาก่อนในชีวิต วิศรุตคงจะซัดภาคินจนอีกฝ่ายช้ำในตายถ้าหากนภัทรไม่รีบวิ่งเข้ามาห้ามเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นภาคินก็สะบักสะบอมไปทั้งตัว


             “พอเถอะ” นภัทรรีบเข้ามารั้งร่างของวิศรุตไม่ให้เข้าไปทำร้ายภาคินได้อีก ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่สงบลง


               “ปล่อยฉัน วันนี้ฉันจะต้องเอาเลือดหัวไอ้สารเลวนี่มาล้างตีนยัยศราให้ได้” วิศรุตพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของนภัทร แต่คุณหมอหนุ่มพูดเสียงเข้ม


               “ฆ่ามันให้ตายก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก สงบสติอารมณ์แล้วใจเย็นๆหน่อยสิ” ดวงตาสีถ่านที่จ้องมายังเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งทำให้วิศรุตเริ่มสงบขึ้นมาบ้าง ก่อนจะถามหาภาณุเพราะไม่เห็นว่าภาณุเข้ามาด้วยกันกับนภัทร


             “ไอ้โอมล่ะ ไอ้โอมไปไหน”


               “ไอ้โอมถูกยิง” วิศรุตตัวชาไปหลังจากรู้ว่าภาณุถูกยิง ที่แท้เสียงปืนนัดนั้นเป็นเสียงปืนที่ยิงภาณุเพื่อนของเขานั่นเอง “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้โอมมันดวงแข็ง กระสุนแค่เฉี่ยวถากๆเท่านั้นเอง ตอนนี้ฉันปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แล้ว” นภัทรรีบชิงพูดขึ้นก่อนเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจ ในขณะที่วิศรุตก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าภาณุไม่เป็นอะไรมากก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบวิ่งปราดเข้าไปหาศรารัตน์ที่สลบอยู่อีกด้านด้วยความห่วงใย


              “ศราๆ ตื่นสิยัยศรา”


               “คงโดนยาสลบน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพอยาหมดฤทธิ์คุณศราก็ฟื้นเอง ไม่เป็นอันตรายหรอก” นภัทรพูดหลังจากที่ตามวิศรุตเข้ามาดูอาการของศรารัตน์


            วิศรุตจ้องไปยังภาคินที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นด้วยความแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน น้องสาวของเขาก็คงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ เมื่อยิ่งคิดยิ่งแค้น วิศรุตจึงตั้งใจจะเข้าไปจัดการกับภาคินอีกรอบ แต่นภัทรรู้ทันความคิดที่ถูกสะท้อนออกมาจากสายตาคู่นั้น คุณหมอหนุ่มจึงรั้งวิศรุตไว้อีกหน


            “ใจคอนายคิดจะฆ่าหมอนั่นให้ตายไปเลยหรือยังไง”


            “ใช่ น้องสาวนายไม่โดนแบบนี้ นายก็ไม่รู้สึกหรอก” วิศรุตตวัดเสียงห้วนก่อนจะรู้สึกว่าตนพูดแรงไปจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย แต่นภัทรกลับไม่ถือเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายอย่างวิศรุตดี ดูภายนอกวิศรุตกับศรารัตน์ก็เหมือนคู่กัดที่ชอบทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เนื้อแท้แล้ววิศรุตกลับรักและเป็นห่วงศรารัตน์มากเหลือเกิน ถ้าเขาไม่ได้มาเห็นเรื่องราวในวันนี้ด้วยตัวเอง เขาต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าวิศรุต ทัดเทวาจะบ้าดีเดือดสู้จนเลือดเข้าตาเพื่อปกป้องน้องสาวของตัวเองถึงขนาดนี้


            “ฉันว่านายรีบพาคุณศราออกไปจากที่นี่ดีกว่า อีกอย่างนายจะได้ไปทำแผลด้วย” นภัทรบอกเมื่อสังเกตเห็นว่าวิศรุตก็มีสภาพยับเยินไม่ค่อยต่างจากภาคินเท่าใดนัก ซึ่งคราวนี้วิศรุตไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด ชายหนุ่มรีบจัดการเสื้อผ้าของศรารัตน์ให้เรียบร้อยตามเดิมก่อนใช้สองมือช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากพื้นก่อนจะอุ้มร่างที่ยังไม่ได้สติเดินไปทางประตูโกดังที่เปิดอ้าอยู่ จังหวะที่เดินผ่านร่างภาคินที่นอนหมอบอยู่นั้น วิศรุตก็เค้นเสียงต่ำกับอีกฝ่าย


            “นี่มันยังไม่สาสมกับที่มึงทำร้ายน้องสาวกู และอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีกนะ ไม่อย่างนั้นกูเอามึงตายแน่ไอ้สารเลวภาคิน”


            วิศรุตอุ้มศรารัตน์ออกไปพร้อมกับนภัทรที่ตามไปติดๆ ทิ้งให้ภาคินนอนเจ็บใจและกัดฟันด้วยความแค้นที่ทำอะไรวิศรุตไม่ได้เสียที


            “อย่าให้ถึงทีของกูบ้างก็แล้วกัน กูจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยไอ้วิน!”

 

Aislin: กลับมาแล้วค่ะ ไม่ปล่อยให้รอนาน และแล้วตอนนี้ก็เฉลยออกมาแล้วว่าศรารอดจ้า... ถ้าจะให้ไม่รอดก็สงสารนางมากๆ ยิ่งหลังๆบอกไม่ถูกเลยว่าควรจะสงสารใครในเรื่องดี เอาเป็นว่าไม่ขอสปอยด์มากแล้วกันเน้อ รอติดตามเองจ้ะ แต่เดี๋ยวหลังจากนี้ไปเรื่อยๆ เนื้อหาจะค่อยๆเข้มข้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการแย่งชิงอำนาจและสมบัติในตระกูลทัดเทวา ยังไงฝากเอาใจช่วยวินด้วยนะคะ แล้วก่อนจะจากกันไปอย่าลืมทิ้งคอมเม้นท์กันหน่อยเน้อ

ปล. นิยายรูปเล่มยังสามารถสั่งซื้อได้ค่ะ ส่วนความคืบหน้าตอนนี้ก็คือ Aislin เพิ่งจะปรู๊พ Artwork นิยายรอบแรกจบไปค่ะ เดี๋ยวจะส่งต่อให้ทางน้องทีมงานฯ แก้ไขก่อนจะตรวจดูความเรียบร้อยอีกรอบ ยังไงต้องขออภัยในความล่าช้านะคะ จะพยายามเข็นในเสร็จก่อนสงกรานต์เมษาให้ได้เลยค่ะ ^0^



ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ง่าาาาา. ภาคินเลวมากกกกกกก.

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
น่าจะลากคอภาคินเข้าคุกเลยนะ ไม่ใช่บอกแค่อย่ามาให้เห็นหน้า ไม่ก็ทำยังไงก็ได้แบบถอนรากถอนโคนไปเลย
ปล่อยไปแบบนี้มันก็คือการปล่อยเสือเข้าป่าดีๆนี่เอง
เดี๋ยวมันก็กลับมาทำเรื่องอีก เซ็งๆๆๆ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ง่าาาาา. ภาคินเลวมากกกกกกก.

ขอบอกว่ายังเลวได้มากกว่านี้อีกค่ะ ฮาๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด