12.2
“มองฉัน! เกิดอะไรขึ้นกับเธอ!?”
น้ำเสียงเป็นเดือดเป็นร้อนของเขากลับถูกมองข้ามด้วยการเผินหน้าหนี
“มีเรื่องนิดหน่อยครับ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ยังไง!? ใครทำอะไรเธอ?”
“...........” เด็กหนุ่มไม่ตอบ ซ้ำยังหลบตา ทำท่าจะเดินสวนเขาออกไปดื้อๆ
“เดี๋ยวก่อน”
ถูกมองผ่านไปเฉยๆ ศานนท์ก็เอื้อมมือรั้งเอวร่างโปร่งไว้แทนที่จะคว้าแขน เพราะเกรงว่าอาจกระทบกระเทือนไหล่ข้างที่ผิดรูป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังทำให้อีกฝ่ายต้องนิ่วหน้าเจ็บปวด
“ฉันจะพาเธอไปหาหมอ ...แล้วก็แจ้งความที่โรงพัก” เขาสรุปให้แบบมัดมือชกเมื่อเริ่มอารมณ์ ก่อนจะเดินไปคว้ากุญแจรถ
“ไม่ต้อง ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไม่เป็นอะไร?”
ศานนท์ทวนคำห้วน การที่เด็กหนุ่มบ่ายเบี่ยงทำให้ความอดทนเขาเหลือน้อยลงทุกที
“เกิดอะไรขึ้นเธอก็ไม่พูด ไม่บอกอะไรฉันสักคำแล้วยังจะให้ทนดูสภาพเธอโดนซ้อมเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรอีกหรือ คิดจะตีตัวออกห่างไปถึงเมื่อไหร่!?”
“ผมสบายดี” ร่างโปร่งพยายามแกะมือเขาออกจากสะโพก “บอกว่าผมสบายดีไง คุณ! ปล่อย! คุณกำลังทำให้เรื่องทุกอย่างมันยุ่งยากสำหรับผม!”
ศานนท์เมินเฉยต่อคำพูดนั้น ก่อนจะเกี่ยวร่างโปร่งให้เดินไปพร้อมกัน หนุ่มใหญ่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรีรอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ‘คนในความดูแลของเขา’ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมดูไม่ได้
“คุณไม่เข้าใจ!” ตุลย์เหวี่ยงมือทิ้ง กัดปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์หลากหลายที่ตีรวนอัดแน่นอยู่ภายในใจ “คุณบอกว่าอยากให้ผมได้ชีวิตใหม่ไม่ใช่เหรอ!? ผมก็พยายามรักษามันอยู่นี่ไง แต่ตอนนี้คุณนั่นแหละที่จะทำลายมัน!”
เด็กหนุ่มกัดฟัน แววตาที่ควรดึงดันอย่างทุกครั้งกลับเต็มไปด้วยความสับสนและไม่มั่นคง
“...ผมไปแจ้งความไม่ได้ ขอร้อง...”
ศานนท์นิ่ง มองคนที่พยายามปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นจากเขา ขณะเดียวกันก็ร้องขอให้เขาหยุดทำสิ่งที่ถูกต้องสมควร เนิ่นนานจนกระทั่งความเงียบเริ่มก่อตัว
เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ และทำไมอีกฝ่ายกลัวที่จะแจ้งความนัก แต่หนึ่งที่ชัดเจนคือ ...นี่เป็นความผิดของเขาที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นศานนท์ถอนหายใจ ลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆ ก่อนจะรั้งร่างโปร่งเข้ามาใกล้ เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด
เรื่องคดีความเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นก็ย่อมได้ แต่จะให้เมินเฉยต่อสภาพร่างกายของคนตรงหน้า เรื่องนั้นเขาทำไม่ได้ “ไปโรงพยาบาลกับฉัน... แค่โรงพยาบาล ให้หมอทำแผลสักหน่อยตกลงไหม?”
ตุลย์ออกอาการลังเลชัดเจนราวกับกลัวว่าเป็นแค่คำโป้ปด เห็นแบบนั้นเขาจึงสร้างความมั่นใจให้ร่างโปร่งด้วยการย้ำเจตนาซ้ำ
“แค่โรงพยาบาล ไม่มีอย่างอื่นฉันสัญญา”
ได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับ ก่อนจะยอมตามเขาขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ระหว่างการเดินทางมีแต่ความเงียบเพราะตุลย์เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองอยู่ได้ไม่นานเจ้าตัวก็พิงกระจกและผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งความสงัดไว้ให้ผู้อาศัยอีกคนตามลำพัง ศานนท์ปรายมองเด็กหนุ่มเป็นระยะ
เขาอยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังปกติดี
หนุ่มใหญ่ส่งตัวตุลย์ให้แผนกฉุนเฉินทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล ส่วนตนเองรออยู่ด้านนอก ภาพของหมอและพยาบาลวิ่งเข้าออกห้องวุ่นวายคงเป็นอะไรที่ชินตาสำหรับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ใช่กับศานนท์ นั่งนิ่งอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ลุกออกไปหาเครื่องดื่มเปลี่ยนบรรยากาศและเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งคนที่เฝ้าคอยเดินออกมากับผ้าคล้องแขน พร้อมแพทย์ที่รับผิดชอบ
จากที่ฟังคร่าวๆ โดยรวมแล้วไม่มีอะไรร้ายแรงอะไร นอกจากไหล่ซ้ายเคลื่อนเล็กน้อย ทำให้ต้องใส่ผ้าคล้องไปสักสัปดาห์ บาดแผลอื่นๆ ที่มองเห็นได้ก็ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ส่วนตัวศานนท์ไม่ติดใจอะไรเรื่องนั้น แต่สิ่งที่เขาไม่อาจมองข้าม คือความเงียบงันจากคนข้างกาย
ตุลย์เอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน ไม่สบตาเขา แต่พลิกโทรศัพท์กลับไปกลับมาซ้ำๆ ราวกับกำลังสับสนกังวลใจกับบางเรื่อง
...และเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร“ไม่มีใคร ‘ทำอะไร’ เธอใช่ไหม?” ถามขึ้นเมื่อไม่อาจละเลยความเงียบได้นานกว่านี้
“.......?”
ตุลย์สบตาเขาแว่บหนึ่งคล้ายไม่เข้าใจนัยยะของคำถาม ต่อมาก็แค่ส่ายศีรษะ ขณะที่ตายังจ้องโทรศัพท์ในมือ
“ถ้าหมายถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอย่างว่าล่ะก็ ไม่มีหรอก...”
หนุ่มใหญ่ทอดมองร่างโปร่งอย่างชั่งใจ แต่ยังไม่ทันได้ซักอะไรต่อ เสียงเรียกชื่อคนไข้จากแผนกธุรการก็ดังขัดเสียก่อน
“นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันมา”
ตุลย์พยักหน้ารับเนือยๆ พอเห็นแบบนั้น หนุ่มใหญ่จึงลุกออกไปจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่ายและรับยา ก่อนจะพาเด็กหนุ่มกลับบ้านตามที่ให้สัญญาโดยเมินผ่านเรื่องคดีความไป ถึงแม้มันจะเป็นวิธีที่เขาไม่เห็นด้วยก็ตาม
พวกเขากลับบ้านโดยไม่มีใครพูดอะไร มาถึงตุลย์ทิ้งตัวบนเก้าอี้ มองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง เจ้าตัวดูมีสติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาล แต่กระนั้นก็ยังจมจ่ออยู่แต่ในความคิด ด้วยสาเหตุนี้ศานนท์ถึงคอยวนเวียนอยู่ห่างๆ ตอนนี้เขาใจเย็นลงกว่าครั้งแรกที่เห็นสภาพเจ้าตัว แต่ก็ใช่ว่าอยากจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไร
“เล่าให้ฉันฟังได้ไหม?”
พอสบตากับเจ้าของคำถาม ตุลย์ก็เสมองไปทางอื่น
“..........”
เมื่อการคาดคั้นไม่ใช่ทางออก ศานนท์จึงเดินเลี่ยงไปหาเครื่องดื่มในครัว พูดตามตรงมันก็ ‘น่าผิดหวัง’ ตอนที่เปิดตู้เย็นแล้วพบแค่นมกล่องแพ็คหนึ่งกับน้ำผลไม้ ทั้งที่ปกติจะมีเครื่องดื่มหลากหลาย เขาหยิบนมกล่องมาเทใส่แก้วสองใบ ใบหนึ่งสำหรับตุลย์ และอีกหนึ่งสำหรับตนเอง ก่อนจะอุ่นด้วยไม่โครเวฟ
กลิ่นหอมมันและไออุ่นที่ลอยฟุ้งจากปากแก้วเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มให้สอดส่ายมองหาต้นตอ ศานนท์ส่งแก้วหนึ่งให้ตุลย์ โดยหวังว่าทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายได้บ้างก่อนเขาทรุดลงนั่งตรงข้าม
“เอาเถอะ ถ้าเธอยังไม่พร้อมจะเล่าก็ไม่เป็นไร ฉันจะรอ... แค่อยากให้เข้าใจว่าถ้ามีปัญหา ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เธอก็เล่าให้ฉันฟังได้ทุกอย่าง...”
จงใจใช้น้ำเสียงที่มั่นคงและอ่อนโยนที่สุด โดยหวังว่ามันจะช่วยสร้างความไว้ใจให้เด็กหนุ่ม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายยังอมพะนัมไม่เลิก
“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเล่า”
นานนักกว่าจะหาต้นเสียงเจอ
“ผมแค่มองว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับคุณ...”
“..........”
ตุลย์ไม่อยากพูดถึงมันนัก แต่ก็คล้ายกลัวว่าผู้ฟังจะผิดหวังกับคำตอบก่อนหน้า
“ไม่... คือผมก็แค่มีเรื่องชกต่อยกับคนในมหาลัย แต่มันก็ไม่ได้เกิดจากคุณ ผมเลยมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาของคุณ เรื่องของผมมีมาตั้งแต่ก่อนหน้าจะเจอคุณด้วยซ้ำ แต่ที่ครั้งนี้มันปานปลายใหญ่โตเพราะผมไม่ทันระวังตัว”
“แล้วทำไมเธอไม่อยากให้ฉันแจ้งตำรวจ?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหมนะ หลายเดือนก่อนหน้านี้ชีวิตมหาลัยผมไม่ราบรื่นนักหรอก...” ตุลย์วางแก้ว เลือนมือมากุมหน้าผาก แล้วถอนหายใจหนัก
“ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นที่ของผม จนเดือนที่แล้ว ชีวิตผมก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นมาบ้าง ถ้าคุณยังจำครั้งสุดท้ายตอนไปตามหาผมที่มหาลัยได้ คุณคงรู้ว่าคนที่นั่นไม่ชอบผมเท่าไหร่ และถ้าเรื่องนี้ไปถึงคณะบดีหรืออธิการ ผลมันอาจเลวร้ายกว่าที่คิด ...คุณอาจจะคิดว่าผมขี้ขลาด แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน”
ตุลย์พูดไปก็เม้มปากไปอย่างคนเก็บอาการไม่อยู่
ไม่รู้ว่าศานนท์เชื่อเขาไหม ...เพราะสิ่งที่เล่าออกไปมันก็แค่ความจริงส่วนหนึ่งไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกหรอก แต่เป็นการพ่ายแพ้ซ้ำๆ ให้กับสิ่งเดิมต่างหากที่เขากำลังหวาดกลัว
พ่ายแพ้ต่อผู้ชายคนเดิม... พ้ายแพ้ต่อกาย...
และยิ่งกว่านั้น เขาไม่อยากให้คนตรงหน้าเข้ามาทำให้มันซับซ้อนกว่านี้ตุลย์เงยหน้าขึ้นก็พบว่าหนุ่มใหญ่กำลังมองอยู่ แล้วประโยคต่อมาก็เหมือนฝันร้ายที่กลายเป็นจริง
“แต่ฉันจัดการเรื่องเงียบๆ ได้โดยไม่กระทบเธอ”
“ไม่ใช่... ไม่ใช่แบบนั้น” เขาส่ายศีรษะ ถูหน้าตัวเองแรงๆ ด้วยความรู้สึกที่ยิ่งตีรวน “ผมทำเองได้ คุณไม่ได้สร้างมัน คุณไม่ต้องแก้ปัญหาส่วนตัวของผม ผมขอบคุณที่คุณหวังดี แต่ผมอยากจัดการเอง ไม่รู้ว่าคุณยังเข้าใจไหมนะ...”
“...........” ศานนท์เพียงแค่รับฟังเงียบๆ
จริงอยู่ที่ตัวเขามีสิทธิ์เข้าไปจัดการอะไรก็ได้ในชีวิตตุลย์ตามต้องการ เพราะเด็กหนุ่มเป็นคนที่เขา ‘ใช้เงิน’ ‘ซื้อมา’ แต่แล้วยังไงล่ะ ถึงทำได้ แต่เขายัดเยียดสิทธิ์นั้นใส่ร่างโปร่งได้เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อตนเองไม่ได้ขาดหวังความสัมพันธ์แค่ ‘เสี่ย’ กับ ‘เด็กเลี้ยง’ ตั้งแต่แรกแล้ว
สิ่งที่เขาอยากให้ตุลย์ คือ ‘อิสระ’ ไม่ใช่ ‘กรงขังใบใหม่’ ดังนั้นยิ่งคาดคั้น ดันทุรังอยากควบคุมเท่าไร ก็รั้งแต่จะทำลายความไว้ใจมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวมานานจนชิน
คงจะมีก็แต่ ‘เวลา’ ...ตัวแปรเดียวเท่านั้น ที่จะสร้างความเชื่อใจให้กับตุลย์“อื้ม ฉันเข้าใจ”
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคลายกังวลถึงขนาดถอนหายใจเฮือกหลังได้ฟัง
“...แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก จะให้ฉันนิ่งดูเธอเป็นอะไรไปเฉยๆ คงไม่ได้”
“ครับ ผมจะระวังตัว”
“แต่มันก็น่าน้อยใจนะ” ศานนท์ยกแก้วขึ้นดื่มยิ้มๆ “อยู่บ้านหลังเดียวกันแท้ๆ เห็นหน้ากันทุกวันแต่เธอกลับไม่ไว้ใจฉันสักนิด”
“เปล่า ผมไม่ได้ไม่ไว้ใจคุณ”
พูดไป มือก็ขยี้ผม
“มันแค่... ปกติแล้วผมไม่ต้องมานั่งเล่าอะไรให้ใครฟังแบบนี้”
เป็นอีกครั้งที่ตุลย์หลบตาเวลาพูดกับเขาอย่างที่เจ้าตัวทำไม่บ่อยนัก หนุ่มใหญ่เห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
จะว่าไปแบบนี้ก็น่าเอ็นดูดีเหมือนกัน...“เอาเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเข้าใจ... จะไม่ถามอะไรแล้ว แต่นั่งเป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะสบายใจก็แล้วกัน” ศานนท์ระบายยิ้ม และในเมื่ออีกฝ่ายไม่คัดค้าน เขาก็จะถือว่ามันเป็นคำตอบ ‘ตกลง’
พวกเขาคุยกันเป็นประโยคสั้นๆ แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยเกือบครึ่งค่อนคืนบวกกับสภาพร่างกาย ตุลย์จึงดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด นั่งจนกระทั่งเครื่องดื่มหมดแก้ว ศานนท์ก็ตัดสินใจส่งอีกฝ่ายขึ้นห้อง อดเปิดประตูให้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าไหล่ซ้ายที่บาดเจ็บดูจะเป็นอุปสรรค์ต่อเจ้าตัว
“ถ้าเธออยากได้อะไรเพิ่มก็โทรหาฉันแล้วกันนะ”
“ครับ”
“ตอนนี้ก็อย่าฝืนใช้แรงอะไรมากล่ะ”
ตุลย์พยักหน้ารับ จนวางใจแล้ว ศานนท์ถึงค่อยๆ ดันประตูปิดให้ แต่ทว่าเจ้าของห้องกลับขืนขอบบานไม้นั้นไว้ ต่างคนต่างยืนจ้องหน้ากันหลายวิ
“เอ่อ... ขอบคุณครับ ...สำหรับวันนี้”
ศานนท์คราง ‘อื้ม’ ในคอ ยิ้มรับคำขอบคุณนั้นโดยไม่ตอบอะไร จวบจนกระทั่งปิดประตูไม้ปิดสนิทลงพร้อมกลับร่างที่หายเข้าไปด้านในห้อง หนุ่มใหญ่ก็เดินผ่านโถงออกมายังระเบียงชั้นบนที่เชื่อมติดกัน ก่อนจะกดโทรศัพท์เลื่อนหารายชื่อของใครคนหนึ่ง
จริงอยู่ที่เขารับปากว่าจะปล่อยให้เด็กหนุ่มจัดการปัญหา โดยที่ตนเองไม่ใช้อำนาจเกินเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้เรื่องผ่านไปหน้าตาเฉยโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง เพราะยังไงเสียตุลย์ก็ยังอยู่ในความดูแลของเขา ไม่ว่าจะในฐานะอะไรที่เจ้าตัวเข้าใจก็ตาม
หนุ่มใหญ่ถือสายรออยู่นานจนกระทั่งมันถูกตัด พอโทรซ้ำครั้งที่สอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับงัวเงียราวกับคนเพิ่งตื่น
“สวัสดีครับ ใครพูดสายครับ?”
ศานนท์ก้มมองนาฬิกา พอเห็นว่าเพิ่งเที่ยงคืนกว่า เขาก็หลุดกลั้วหัวเราะในคอ “ฉันโทรมากวนเวลานอนเธอล่ะสิ”
คำตอบของเขาทำเอาปลายสายเงียบไปนาน ก่อนจะถามกลับอย่างไม่แน่ใจนัก
“...เสี่ยศานพูดเหรอครับ?”
“อื้ม”
สิ้นคำ เสียงกุกกักก็ดังมาจากปลายสายกลายเจ้าตัวบางอย่างตก จากน้ำเสียงที่งัวเงียพลันเปลี่ยนเป็นกระตือรือรื้นผิดกับเมื่อครู่
“ครับเสี่ย? มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมไม่คิดว่าเสี่ยจะติดต่อกลับมาอีกตั้งแต่ที่เปลี่ยนเบอร์ ย้ายบ้านตอนนั้น”
“อื้ม ฉันก็ไม่นึกว่าจะยังมีเบอร์เธออยู่ในรายชื่อเหมือนกัน” ศานนท์ว่าติดตลก “แล้วตอนนี้ครอบครัวเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ผมกับภรรยาเหรอ... ก็ราบรื่นดีครับ ลูกชายก็เพิ่งเข้า ’มหาลัยปีนี้”
“เรียนที่ไหน?”
“ม. A ครับ คณะบริหาร แต่มันไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่หรอก เรียนก็กระท่อนกระแท่น ยังดีที่มันเลิกยกพวกต่อยกันแบบเด็กมัธยมได้” คำพูดคำจานั้นดูถ่อมตัว แต่น้ำเสียงของคนเป็นพ่อกลับดูภูมิใจอย่างปิดไม่มิด
“เหรอ” เกริ่นถามสารทุกข์สุกดิบพอเป็นพิธี หนุ่มใหญ่ก็ไม่รีรอที่จะเข้าประเด็น “พอดีฉันมีเรื่องจะไหว้วานหน่อย ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร”
“ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่ผมก็ยินดีทำคร้าบ จะให้ปฏิเสธผู้มีพระคุณได้ยังไง ...แล้วเสี่ยอยากให้ผมทำอะไรครับ?”
“ฉันอยากให้ลูกเธอช่วยตามใครคนนึง”
--------------------
ตอนนี้มันได้ฟิลไหมเนี่ย ถถถถถถถ ขาดอะไรเหลืออะไรติดชมได้ค่ะ กลัวไม่กลมกล่อมจริงๆ เพราะซีนนี้ก็เขียนๆ แก้ๆ นานอยู่ แต่ก็ต้องตอบตามตรงว่าไม่นานขนาดที่หายไปเป็นเดือนๆ อย่างรอบนี้ แฮ่ๆ
น่าจะสองปีเลยมั้งเนี่ย กว่าจะจบ......... #ร้องไห้
https://www.facebook.com/Iamcaramellaเมลล่ามีเพจแล้วนะคะ ที่รักนักอ่านทุกท่านนน
คุยเล่น ทวงงานได้เจ้าค่ะ จะค่อยๆ อัพเดททุกอย่างรวมไว้ในนั้น
แต่ไม่รู้ทวงแล้วจะมีงานหรือเปล่านะเจ้าคะ ถถถถถ
สุดท้ายนี้ ยังรักทุกคนเหมือนเดิม ไม่รู้ลืมเลาไม่รึยังนะ 5555