หายไปนานอาทิตย์นึง คิดถึงกันบ้างรึเปล่า
แมนนี่เลวววววว จริงๆค่ะขอบอก อ่านไปอ่านมาแล้วอยากทำร้ายร่างกายนังแมนจริงๆ (ชื่อไม่เข้ากะตัวเลย ชิ..)
ลุยตอนใหม่กันเลยค่ะ
=========================
ตอนที่ 7มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ที่คิดว่าอยู่บ้านตัวเองแล้วจะรอดพ้นการติดตามของมกร
หนึ่งอาทิตย์หลังออกจากโรงพยาบาล สถานที่ที่ณัฐวีร์ไปมากที่สุดคือโรงเรียน เพราะมันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการสอบ ตอนไป
เรียนคุณวีรชาติเป็นคนไปส่ง แต่ขากลับมีคนไปรับกลับ คนๆนั้นจะอยู่ที่บ้าน ทานมื้อเย็นจนดึกแล้วจึงกลับคอนโดตัวเอง
มีคนบอกว่า ยิ่งเกลียดอะไร ก็จะได้เจอแบบนั้นบ่อยถึงบ่อยมาก ตอนนี้ณัฐวีร์เกือบจะเชื่อแบบนั้นแล้ว เพราะนี่เจอกันทุกวันเลย
“กลับบ้านใช่ไหม”
นั่นเป็นคำเอ่ยเหมือนถามลอยๆเมื่อเขาก้าวขึ้นมานั่งบนรถโดยไร้การช่วยเหลือ มือซ้ายข้างดีค่อยๆดึงสายเบลท์มาอย่างทุลักทุเล
เสียบเข้ากับที่ล็อคพร้อมกับตอบคำถาม
“วันนี้ต้องไปซื้อหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬาครับ”
“แล้วทำไมไม่บอกกูก่อน”
เด็กหนุ่มเมินออกไปนอกหนาต่าง “อาจารย์เพิ่งสั่งครับ บอกว่าให้ลองอ่านศัพท์ในหนังสือดู”
“จะออกข้อสอบสินะ..”
“สงสัยจะเป็นแบบนั้นครับ”
เสียงพ่นลมหายใจดังหึจากคนขับแล้วรถก็เคลื่อนออก
“ผมเคยบอกแล้วว่าถ้าพี่ไม่สะดวกไม่ต้องมาก็ได้ ผมไปกับเพื่อนได้”
“กูก็บอกแล้วว่าถ้ากูจะมา มึงก็ห้ามกูไม่ได้”
ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยนำรถออกสู่ถนนใหญ่ คันเร่งถูกลงน้ำหนักมากขึ้นเพื่อให้รถพุ่งทะยานไปตามถนนว่างโล่ง โรงเรียนหลายโรงเรียนเริ่มเข้าสู่ช่วงสอบ บางที่เริ่มปิดเรียนแล้วอีกทั้งนี่ก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆเท่านั้นไม่ใช่เวลาเลิกงาน ถนนจึงยังโล่งอยู่ค่อนข้างมาก
“ผมไม่อยากให้พี่ลำบาก..”
“มึงอย่ามาโกหกหน่อยเลย มึงก็แค่ไม่อยากเจอกูเท่านั้นหรอก”
ณัฐวีร์หลบตามองออกไปนอกรถ.. ก็จริง ไม่ได้อยากเจอเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่อยากให้ลำบากด้วย เพราะถ้ามกรลำบาก ตัวเขาเองก็จะลำบากมากกว่าเป็นสองเท่า
อย่างเมื่อสามวันก่อน แทนที่เขาจะได้พักสบายๆ มกรกลับลากเขาออกไปดูหนังด้วยกัน ปฏิเสธก็ไม่ได้ แล้วดูสภาพสิ แขนก็ไม่ดี กินยาเข้าไปก็ง่วงอยากนอน อ่านหนังสือดึกพอมาเจอแอร์เย็นๆมันก็ง่วง สุดท้ายกลายเป็นเขานั่งหลับโงกไปมาจนหนังจบ
แล้วก็กลับบ้านมาด้วยกัน ส่งเขาลงแล้วตัวเองก็ขับรถกลับคอนโด.. ลำบากไหมล่ะ
ภายในรถมีเสียงเพลงเปิดอยู่เบาๆ เพียงไม่นานรถยุโรปคันใหญ่ก็เลี้ยวชะลอลงที่หน้าศูนย์หนังสือ
“ลงไปซื้อ รีบซื้อด้วยกูขี้เกียจวนหาที่จอด ซื้อเสร็จแล้วโทรมาจะวนมารับตรงนี้”
ณัฐวีร์รีบลงจากรถแล้วเดินเข้าไปซื้อหนังสือ เขาไม่รอให้เสียเวลารีบเอารายการไปส่งให้เจ้าหน้าที่ทันที อยากจะเอ้อระเหยดูหนังสืออยู่หรอกแต่ทางที่ดีการให้ฝ่ายนั้นรอ..เป็นอะไรที่ไม่ฉลาดเลย
ไม่นานเขาก็โทรไปหา พอเจ้าตัวขับรถมาถึงเขาก็ต้องใช้มือที่ถือถุงหนังสือนั่นเปิดประตูแล้วพาตัวเข้าไปในรถอย่างทุลักทุเลอีกครั้ง..
ไม่มีเสียงพูดคุยกันในรถ มีแต่เสียงเพลงดังเบาๆ ไปตลอดทางจนถึงที่จอดรถด้านหลังร้านอาหารของครอบครัว ณัฐวีร์พยายามใช้แขนเดียวเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าเป้ ปลดล็อคเบลท์ เปิดประตูเพื่อจะออกไปพบว่าคนขับรถลงไปยืนรอกดรีโมทล็อครถอยู่โน่นแล้ว
“เร็วหน่อยไม่ได้หรือไง..กูปวดหัว” ชายหนุ่มร้องอย่างหงุดหงิด
ณัฐวีร์จึงรีบก้าวไปหา เขาน่ะขี้เกียจจะพูดว่า “แล้วจะมาทำไม” เพราะพอพูดไปเดี๋ยวก็สวนกลับมาอีก เด็กหนุ่มเลยเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า
“เอาเป้มา”
พอเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวก็พูดเหมือนทุกวัน.. ปฏิบัติการเอาหน้า เริ่มด้วยกันทำตัวแมนสมชื่อ.. แต่เขาชักอยากจะเรียกมันว่าแม้นศรีตามเพื่อน.. เป็นผู้ชายที่ขี้บ่นที่สุดในโลกหล้า.. ขี้บ่นกว่าแม่ไก่อีก บ่นได้ทุกเรื่อง บ่นได้ตลอด หยาบคายทั้งตอนอยู่หลังพวงมาลัยและอยู่ต่อหน้าคนอื่น (ยกเว้นอยู่ต่อหน้าพ่อแม่เขานะ ทำตัวเรียบร้อยเป็นผ้าพับเลยล่ะ)
เด็กหนุ่มยื่นเป้ไปให้แล้วเดินตามพลางทำสีหน้าเหม็นเบื่อเมื่อเห็นว่ามีคนงานยื่นหน้าออกมายิ้มทักทายแล้วคงผลุบเข้าไปรายงานแม่ที่อยู่ตรงเค้าเตอร์เก็บเงิน
“กลับมาแล้วเหรอนัท..” แม่ร้องทักพร้อมกับรับไหว้มกร เธอยิ้มให้พลางมองหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจ “เป็นอะไรหรือเปล่าแมน.. ทำไมหน้ายุ่งอย่างนั้นล่ะ”
แม่..กลายเป็นแม่ของนายมกรไปด้วยแล้ว แต่ป๊ายังเป็นป๊าของเขาคนเดียว...
“ผมปวดหัวครับ..” ฝ่ายนั้นตอบพร้อมกับวางกระเป๋าเป้ไว้หลังเค้าเตอร์เก็บเงิน
“ไม่สบายหรือเปล่า” คุณณฐกายื่นมือมาจับแขนลูกชายคนใหม่เป็นการวัดไข้
“น่าจะเพราะอากาศร้อนไมเกรนเลยขึ้นน่ะครับแม่”
“แบบนี้ก็แย่สิ แล้วยังอุตส่าห์ไปรับนัทมาอีก ทีหลังไม่ไหวก็บอกแม่ได้นะ จะได้ให้ป๊าไปรับน้อง”
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมไปรับไหว คุณวีคงยุ่งเรื่องร้าน”
เห็นไหม ป๊ายังเป็นป๊าของณัฐวีร์อย่างเต็มภาคภูมิ
คุณณฐกายิ้มให้ “ปวดหัวก็ให้นัทพาขึ้นไปนอนข้างบนแล้วกันนะ”
“ยาอยู่ในตู้ชั้นสอง”
ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ มองคนพูดลอยๆ ที่นั่งอยู่หลังเครื่องเก็บเงิน.. ป๊ายังเป็นป๊าของเขาคนเดียว..ใช่ไหม?..
คุณณฐกามองสามีแล้วยิ้ม.. การเปิดใจให้กับคนรักเพศเดียวกันของลูกเป็นเรื่องยากทำใจ แต่สามีเธอกำลังพยายามอย่างเต็มที่ มันเป็นข้อตกลงระหว่างเธอและสามี..
จริงอยู่ว่าคุณวีรชาติโกรธที่ลูกเขยทำให้ลูกชายต้องเข้าโรงพยาบาล แต่การที่ลูกชายพาคนรักเข้าบ้านมาทุกวัน ก็เป็นการแสดงออกได้ว่าสองคนเขารักกันจริงๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ ใช่แต่จะมาตั้งแง่ไม่ยอมรับกัน..
ซึ่งถ้าทั้งสองคนได้รู้ว่าลูกชายถูกข่มขู่อะไรมาบ้าง.. มีหวังคงมีคนลมจับและมีใครได้นองเลือดแน่ๆ
“ไปพักข้างบนกันเถอะลูก นัทพาพี่เขาไปนอนไป๊ เอายาแก้ปวดให้พี่เขาสองเม็ดนะ พักสักชั่วโมงน่าจะดีขึ้น.. แล้วอยากทานอะไรกันเย็นนี้..แม่จะทำไว้ให้”
“อะไรก็ได้ครับ..แม่ทำอะไรก็อร่อย..”
เป็นคำตอบของลูกคนใหม่ที่ณัฐวีร์ได้ฟังแล้วต้องยกมุมปากหึ!
ไม่รู้มันเป็นอะไร ติดใจอาหารฝีมือแม่เขาชนิดว่าติดหนึบ เข้าบ้านมามันจะนั่งคุยกับแม่เขาเป็นอันดับแรก คุยกันตลอด จนบางทีคนที่นั่งอยู่ด้วยอย่างเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
เรื่องที่คุยก็ไม่มีอะไรมาก ดินฟ้าอากาศ การเรียน เพื่อน เรื่องรถติด นกขี้ใส่รถ เจอหมาวิ่งตัดหน้ารถมันยังขุดมาเล่าเลย แม่ก็พลอยผสมโรงคุยเล่นไปกับมันด้วย
“แมนเขาคุยสนุกนะ ถึงว่าทำไมนัทไปชอบพี่เขา”
ตอนแม่พูดประโยคนั้น เขาเองก็ยิ้มตอบไปเพลียๆ เหมือนกัน
เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก แม่จะเป็นคนหาเรื่องมาเล่าให้ฟังเสมอ ส่วนป๊ากับเขาจะเป็นคนนั่งฟัง มีแจมบ้างเป็นระยะๆ คราวนี้พอมีมกรเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคน แถมเป็นพวกพูดเยอะพูดเก่ง คุณแม่ก็เลยมีความสุข ส่วนเขาพ่อลูกก็ได้เป็นผู้รับฟังที่ดีต่อไป
ณัฐวีร์เดินนำขึ้นมาบนห้องตัวเอง ถึงจะมาที่นี่หลายวันแล้ว แต่มกรไม่เคยได้ขึ้นมาบนห้องนี้เลย เพราะส่วนใหญ่ก็คุยกันด้านล่าง ดูโทรทัศน์กันที่ชั้นสองเป็นหลัก
ห้องของณัฐวีร์ก็เป็นห้องรกๆ ของเด็กผู้ชายทั่วไป ดีหน่อยก็ตรงที่มีแม่คอยให้คนงานมาช่วยดูแลเก็บปัดกวาดให้มันสะอาด แต่แค่วันเดียวมันก็รกได้
และเพราะเป็นห้องของเด็กผู้ชาย.. ของส่วนใหญ่จึงเป็นการ์ตูน เกม เครื่องคอมพิวเตอร์ และโปสเตอร์นักฟุตบอล เตียงก็เป็นเตียงขนาดนอนคนเดียว
เมื่อเปิดประตูเข้าห้องไป ภาพที่มกรเห็นคือเตียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างข้างหน้าต่าง ห้องสีฟ้าที่รกเต็มไปด้วยโมเดล แปะโปสเตอร์นักฟุตบอลเกลื่อนไปหมด ดูแล้วต่างจากห้องพักของเขาอย่างหน้ามือเป็นหลัง...
“นั่งบนเตียงก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำให้”
เด็กหนุ่มชี้ไปที่เตียงพร้อมกับยื่นซองยาให้ เขาผลุบหายออกไปจากห้องครู่เดียวก็มีขวดน้ำถือติดมือมา
“พี่ไม่ได้เป็นไข้น่าจะดื่มน้ำเย็นนิดหน่อยได้..นี่ครับ”
ณัฐวีร์ส่งมาให้ทั้งขวด เขาคิดว่ามือเจ็บแบบนี้คงไม่ต้องถึงกับใช้ปากเปิดให้หรอกมั้ง.. แต่ก็โดนแม้นศรีบ่นจนได้
“ทำไมไม่เอาน้ำเทใส่แก้วมาเลย น้ำนั่นก็ได้”
แล้วเจ้าตัวก็ชี้ไปที่เหยือกน้ำตรงหัวเตียงที่เจ้าของห้องมักจะมีไว้เพื่อดื่มแก้กระหายยามดึก มันเป็นน้ำที่ถูกเปลี่ยนไว้ทุกวัน แต่ใครจะไปรู้ว่าคุณชายอย่างนี้จะดื่มน้ำในห้องเขาได้ อุตส่าห์เดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็นมาให้ โดนบ่นอีกจนได้
เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง แค่เดินไปนั่งลงที่โต๊ะคอมแล้วเปิดมันเท่านั้น ได้ยินเสียงจากด้านหลังเป็นการแกะพลาสติกหัวขวดแล้วบิด คงกำลังกินยาแหงๆ อึดใจต่อมาก็มีเสียงเอนกายลงนอน
รออยู่ครู่หนึ่ง เสียงผ้าที่เสียดสีกันก็ยังไม่หยุดลง เขาอุตส่าห์นั่งอยู่รอให้หลับแล้วค่อยแว่บไป นี่ก็ยังไม่ยอมนอนเสียที
“จะเล่นคอมทำไมไฟมันแยงตา..”
หือ?.. ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างงุนงง เพิ่งจะบ่ายสี่โมงเย็น คอมก็เปิดอยู่ไกลมากจะเอาอะไรไปแยงตา.. แต่ก็ขี้เกียจเถียงอีก ปิดไปก็แล้วกัน
“ครับ..เดี๋ยวปิดให้” เด็กหนุ่มก้มลงปิดคอมพิวเตอร์ “งั้นผมไปอ่านหนังสือข้างล่างนะครับพี่จะได้นอนสบายๆ”
“อ่านหนังสือมึงเปิดเพลงหรือไง อ่านเงียบๆก็นั่งอ่านมันในห้องเนี่ย นั่งที่โต๊ะนั่นก็ได้”
ณัฐวีร์หันหลังให้ทันที คนอะไรวะเอาแต่ใจไปสามโลกสี่โลกแล้ว ไม่เคยพบเคยเห็น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องอดทนแค่สามเดือน ไม่อยากให้ที่บ้านเดือดร้อนล่ะก็ เขาคงได้มีเถียงกลับไปบ้างแน่ๆ
หลายวันมานี้ ถึงอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจอยู่บ้าง หากแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เขารับได้..ทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้โต้แย้งหรือต่อต้าน แต่เขาก็คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าอีกฝ่ายเริ่มเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่มากขึ้น ออกคำสั่งบีบบังคับกัน เช่น เรื่องให้ไปนอนกับคนอื่น เขา..คงทนไม่ได้และน่าจะมีการตอบโต้อะไรไปบางอย่างแน่ๆ
ซึ่งเมื่อเหตุการณ์มันยังมาไม่ถึง เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้วิธีใดดี
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าแสงที่สว่างอยู่เมื่อครู่มืดทะมึนลง เขาจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อจะเห็นว่ามีใครบางคนมายืนบังแสงอยู่ที่ด้านหลังเขานี่เอง
“น่ารำคาญว่ะ”
ห๊ะ?.. ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ไปทำอะไรให้รำคาญอีกวะเนี่ย
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงอย่างหงุดหงิด แต่แล้วร่างทั้งร่างก็ถูกดึงให้ลุกขึ้นทันที “เดี๋ยวๆ อะไรกันครับ”
“มึงมันน่ารำคาญ..”
“ผมไปทำอะไรให้เนี่ย”
“ทำให้กูหงุดหงิดจนนอนไม่ได้..” ชายหนุ่มลากร่างเล็กให้เดินตามมา “เพราะฉะนั้น.. มึงมานอนกับกูเนี่ยแหละ”
“เดี๋ยวนะ!”
ยังไม่ทันที่ณัฐวีร์จะได้ทันเอ่ยโต้เถียงอะไร เด็กหนุ่มก็ถูกคนที่แข็งแรงกว่าดันให้นอนลงบนเตียง โดยมีร่างของอีกฝ่ายตามเข้ามาประกบหลังและอ้อมกอดเอวไว้ทันที
“พี่แมน..นี่! พี่แมน”
มือข้างที่เจ็บขยับไม่ถนัด ส่วนมือข้างไม่เจ็บก็ไร้แรงจะดึงเอาแขนหนักอึ้งนั่นออกจากตัว พอใช้เสียงเรียกหนักเข้า อีกฝ่ายก็ครางอือออจิ๊ปากอย่างรำคาญพลางเบียดตัวเข้าหาร่างเล็กกว่าจนเด็กหนุ่มต้องย่นคอหนีลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดอยู่ตรงใบหู
“อย่าเรื่องเยอะ กูจะนอน..”
“แต่ผมไม่ได้อยากนอน” ณัฐวีร์เริ่มออกเสียง
“ก็กูอยาก.. หรือมึงจะให้กูทำอย่างอื่น” ว่าแล้วมกรก็กระชับแขนกับเอวของคนเบื้องหน้า กดสะโพกตนเองเน้นเข้าหาอีกฝ่ายจนเจ้าตัวแข็งทื่อนิ่งไปทันที
เห็นท่าทางแบบนั้นมกรก็หัวเราะร่วน ชายหนุ่มมีความสุขกับการได้กลั่นแกล้งอีกฝ่ายเล็กๆน้อยๆแล้วจึงขยับศีรษะให้นอนได้สบายมากขึ้นก่อนจะปล่อยตัวให้ดำดิ่งลงสู่นิทรา
ณัฐวีร์เองเมื่อเห็นอีกฝ่ายค่อยๆทอดจังหวะหายใจสม่ำเสมอไปแล้วก็รู้สึกเบาใจ.. อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ห้องนั้นเย็นอยู่ในระดับที่ต้องห่มผ้าห่ม แต่พอมีคนตัวร้อนๆมานอนซ้อนหลังบังแอร์ให้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าห่มเลย กลับรู้สึกสบายดีเสียด้วยซ้ำ
จริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ง่วง ไม่ได้อยากนอน แต่เพราะต้องมาถูกล็อคตัวอยู่แบบนี้การนอนหลับตาเสียก็ดูจะเป็นทางที่ดีกว่านอนตัวเกร็งลืมตาโพลงเป็นไหนๆ
...
TBC...บับบาย เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ