บทที่ 25
ผมตกถังข้าวสาร
Sati’s talk
ทุกคนครับตอนนี้ผมออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยด้วยสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติ นอกจากหัวใจของผมที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูแทนที่จะเป็นสีแดง ก็หัวใจของคนมีความรักมันก็แบบนี้แหละครับ
“พี่กูนพี่ ผมกินข้าวไม่ได้” ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารในบ้าน
“มึงเป็นง่อยรึไง”
“เปล่า เป็นแฟน”
“......เอ๋อ” พี่กูนส่ายหัวเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงโดนด่ามากกว่านี้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาแห่งความรักพี่กูนจึงไม่ได้ด่าอะไรผมมาก “แล้วบอกกูได้รึยังว่าจะเอารถรุ่นไหน”
“บอกไปแล้วไงพี่ว่าจะขึ้นรถเมล์ อย่าหาเรื่องเสียตังค์เลย”
“มันสะดวกกว่าเวลาฝนตกรถติดมึงจะได้ไม่ต้องรอรถเมล์”
“ผมมีร่มพี่ ฝนตกก็กลางร่ม หนาวก็ใส่เสื้อ รถติดก็นั่งวิน สบายมากๆ” ผมเถียงกับพี่กูนเรื่องที่พี่กูนจะซื้อรถให้ผมขับไปเรียน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่จำเนสำหรับผมเลย
“แต่กูคิดว่า....” “เก็บตังค์ไว้เถอะพี่ ผมยังอยู่กับพี่อีกยาว ไว้ผมอยากได้อะไรผมจะบอกพี่นะ ตอนนี้ผมไม่เกรงใจพี่แล้ว” ผมเลิกเถียงกับพี่กูนและหันมารับประทานอาหารแทน ส่วนพี่กูนก็เลิกถามผมเช่นกัน จนกระทั่ง...
“ไอ้ติไอแพดโปรรุ่นใหม่โคตรดีอะ เอาไหมจะได้จองเลย” ยังไม่ทันข้ามวันพี่กูนก็หาเรื่องเสียตังค์กับผมอีกรอบ
“เครื่องเก่ายังใช้ได้อยู่เลยพี่”
“มันน่าจะใช้เรียนดีกว่านะ แล้วโน๊ตบุ๊คเอาเป็นแมคบุ๊คไหม?จะได้ลิงก์กันได้”
“เกินไปครับ ถามจริงพี่คบกับใครก็เปย์แบบนี้ไหม” ผมนั่งกอดอกมองพี่กูนที่เอาแต่สรรหาสิ่งของฟุ่มเฟือยให้กับผมอยู่เรื่อยๆ
“ก่อนที่จะคบกับมึงกูให้ไหม”
“ก็ให้”
“แสดงว่ากูไม่ได้เปย์ใครนอกจากมึง เออนี่รองเท้าลิมิเต็ดน่าจะเหมาะกับตอนที่มึงใช่ช็อปนะ ถ้าใส่ไปเพื่อนมึงอิจฉาแน่” ผมก็คิดนะถ้าพี่กูนมีลูกเขาจะสปอยลูกขนาดนั้น แต่โชคดีแล้วที่ผมไม่สามารถมีลูกให้ได้ พี่กูนก็คงเก็บกดมาเปย์ผมแทน
“ถ้าพี่อยากใช้เงินมากนะ พี่สร้างวัด สร้างโรงพยาบาลไหม ได้บุญเยอะกว่าที่พี่ซื้อของให้ผมอีก”
“ถ้ามึงบวชเป็นพระ หรือมึงต้องนอนติดเตียง วันนั้นกูถึงจะสร้าง จบนะครับ” โอเคครับผมเลิกเถียงพี่กูนทันที คิดได้ไงว่าผมจะบวชเป็นพระหรือป่วยติดเตียง ผมเชื่อเขาเลยว่ะ
หนูตกถังข้าวสารนี่เหมาะกับผมที่สุดแล้วครับ
เช้าวันต่อมา
ผมออกมาเรียนตามปกติ ส่วนพี่กูนอาสาขับรถมาส่งผมเหมือนอย่างเคย การใช้ชีวิตประจำวันของผมก็ปกติเหมือนอย่างทุกที แต่มันต่างตรงที่พี่ทิมหายไปอีกแล้ว...
ผมรู้ว่าพี่ทิมรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหนีผม ผมไม่ได้โกรธเลย แต่เอาเถอะถึงเขาจะไม่มาให้ผมเห็นแต่ผมเชื่อว่าเขายังอยู่รอบๆตัวผม ผมจะรอจนกว่าพี่ทิมจะพร้อมอีกครั้ง
“ไอ้ติเบิกบานเลยนะมึง”
“คนมีความรักก็ต้องเบิกบานเป็นธรรมดา” ผมมาถึงไอ้ช้างใหญ่ก็เอ่ยปากแซวทันทีโดยที่มีไอ้มีนนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผม เพราะมันรู้ว่าแฟนผมคือใครแต่เพื่อนคนอื่นๆของผมรู้เพียงแค่ว่าผมมีแฟน
“ใครว่ะไอ้ติ”
“ไม่บอกเว้ย” ขอให้พี่ติเป็นที่ประจักษ์แก่ผมเพียงคนเดียวแม้ว่าไอ้มีนมันจะรู้มากก็ตาม
หลังจากที่ผมเรียนเสร็จวันนี้อาจารย์ปล่อยไวผมจึงนั่งรถเมล์กลับบ้าน ว่างๆผมก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ครับทั้งซักผ้าล้างจานรดน้ำต้นไม้ต่างๆนานาจนผมไม่มีอะไรจะทำ ก่อนที่ผมจะเข้าไปที่ห้องนอนที่กูนเพื่อทำความสะอาดแม้ว่าห้องนอนของพี่กูนจะไม่ได้รกก็ตาม แต่อย่างน้อยกวาดและถูก็ยังดี หลังจากที่ผมทำความสะอาดบ้านเสร็จผมจึงออกมานั่งเล่นกีตาร์อยู่ที่หน้าบ้าน อยู่ๆคุณแม่ของพี่กูนก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลับกล่องอะไรบางอย่าง ผมจึงรีบวิ่งไปช่วยยก
“คุณแม่ครับผมช่วย”
“ขอบใจจ่ะ” ผมยกกล่องจากในมือของคุณแม่และเดินเข้ามาไว้ในบ้าน
“ให้ผมเอาไว้ตรงไหนครับ”
“วางเลยลูก”
“ตรงนี้นะครับ” ผมวางกล่องลงบนพรมในห้องนั่งเล่น “มันคืออะไรหรอครับ”
“รูปของกูน”
“รูปของพี่กูน?” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ๆคุณแม่ของพี่กูนถึงยกกล่องอัลบัมรูปมากมายขนาดนี้
“แม่อยากให้ติรู้จักกูนตั้งแต่เด็กผ่านภาพที่แม่ถ่ายเอาไว้”
“ให้ผม?” ทำไมผมรู้สึกว่าสายตาของคุณแม่ตอนนี้มองผมด้วยสายตาแปลกๆ อย่าบอกนะว่า... “คุณแม่..รู้แล้วเหรอครับ?”
“ครับ แม่รู้แล้วพี่กูนเขามาบอกแม่กับพ่อ” ไอ้ความรู้สึกเกร็งแบบนี้มันคืออะไร การที่พี่กูนเอาผมไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของเขา จากที่เกร็งอยู่แล้วก็เกร็งหนักกว่าเดิมไปอีก
“ผมขอโทษนะครับ...”
“ขอโทษทำไมลูก?”
“ก็ผม..ผมเป็นผู้ชาย”
“ผู้ชายแล้วไง ไม่ต้องคิดมากขนาดพ่อกับแม่ยังไม่คิดมาก ติก็อย่าคิดมากลูกมานั่งข้างๆแม่นี่มา” ผมนั่งลงข้างๆคุณแม่ของพี่กูน ส่วนคุณแม่ก็เอื้อมหยิบรูปถ่ายของพี่กูนออกมาจากกล่องทีละอัลบัม
“ผมดูเลยนะครับ”
“ดูเลยลูก” มันก็เขินแปลกๆนะครับที่มานั่งดูรูปแฟนพร้อมกับคุณแม่ของแฟนแบบนี้ แต่เอาเถอะผมอาจจะรู้จักพี่กูนผ่านทางรูปภาพมากขึ้นตามที่คุณแม่บอกก็ได้
“น่ารักว่ะ” เปิดมารูปแรกก็เป็นรูปพี่กูนที่นอนแบเบาะในอ้อมอกของคุณแม่ น่าจะเป็นรูปพึ่งเกิดเพราะพี่กูนดูตัวแดงๆน่าเกลียดน่าชังชะมัดเลย ผมเปิดไปเรื่อยๆก็เป็นรูปวิวัฒนาการของพี่กูนตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนอนุบาล สิ่งที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็คือสีหน้าเบื่อโลกของพี่กูน
“ต้องถ่ายเก็บไว้” ผมเปิดเจอรูปที่พี่กูนแต่งชุดทักซิโด้ในงานวันเด็กน่าจะตอนประถมต้น พี่กูนหน้าขาวปากแดงตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งรูปตอนที่พี่กูนอยู่มัธยมต้น รูปสมัยนี้พี่กูนเริ่มโตขึ้นจากเดิมเยอะเลย ตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมากเป็นรูปที่คุณแม่ของพี่กูนถ่าย ไม่ซิครับผมอดที่จะดีใจแทนพี่กูนไม่ได้ที่มีแม่น่ารักแบบนี้เพราะตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้เลย ผมเคยคิดนะว่าวันหนึ่งถ้าผมไม่พร้อมผมก็จะไม่มีลูกผมไม่อยากให้ลูกเกิดมาในสภาพแบบผม ถ้าผมเลี้ยงเขาไม่ดีเขาก็อาจจะเป็นภาระสังคมแบบที่ผมเคยเป็น แต่ถ้าวันหนึ่งผมพร้อมผมตั้งใจว่าผมจะเลี้ยงเขาให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะสามารถเลี้ยงได้ แต่ตอนนี้ผมคงไม่คิดจะมีลูกแล้วแหละครับ แค่ผมมีคนที่รักและอยู่เคียงข้างผมแบบนี้ ผมว่ามันก็มีความสุขเหมือนกันนะครับ
“ผมอิจฉาพี่กูนจังเลยครับที่มีแม่ที่น่ารักแบบนี้”
“แม่ก็ตามถ่ายตอนที่พี่กูนเด็กๆพอโตก็ไม่อยากให้แม่ถ่ายแล้ว แม่ก็ต้องแอบเอา ส่วนยัยตานะแม่มีเยอะกว่าพี่กูนอีก รอยัยตามีแฟนเมื่อไหร่คงได้เปิดดูกันทั้งวันแน่ๆ”
ผมหยุดคิดเรื่องดราม่าของตัวเองมาดูรูปพี่กูนต่อน่าจะเป็นช่วงที่พี่กูนเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อย เพราะหุ่นของพี่กูนเรียกได้ว่าฟิตและเฟิร์มขึ้นมาก บางรูปก็มีโน้ตเล็กๆของคุณแม่ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ลูกกูนสู้ๆ’ หรือแม้กระทั่งคำปลอบโยนและให้กำลังใจในรูปที่พี่กูนนั่งอยู่หน้าคอม ‘ปีนี้ไม่ติดไม่เป็นไรครับ ปีหน้าเอาใหม่นะลูก สู้ๆ’
“แม่เองก็ภาวนาไม่อยากให้พี่กูนติดเพราะพี่กูนต้องไปเรียนไกลบ้าน แต่พี่กูนเขาสู้จนติดในปีต่อมา” ถ้าเป็นผมนะถ้าไม่ติดผมก็ไม่เรียน
ต่อมาเป็นรูปที่พี่กูนอ่านหนังสือแต่รูปพวกนี้น่าจะเป็นรูปแอบถ่ายจากฝีมือของคุณแม่เหมือนเคย ยิ่งผมดูรูปพวกนี้มันก็ทำให้ผมใกล้ชิดกับพี่กูนในแต่ละช่วงวัยมากยิ่งขึ้น
“พี่กูนใส่ชุดเตรียมแล้วเท่มากครับ” ผมเปิดมาในช่วงที่พี่กูนสอบติด เป็นภาพที่คุณพ่อคุณแม่และพี่ตาไปรับพี่กูนที่โรงเรียนนายร้อย
“อันนี้ตอนราตรีกระบี่สั้นแม่กับยัยตาไปเป็นคู่ควงให้พี่กูนเขา” พี่ตากับคุณแม่สวยมากครับโดยเฉพาะตอนที่ใส่ชุดราตรีแบบนี้
“พี่กูนหล่อมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ”
“ก็มีช่วงหมองคล้ำตอนที่ฝึกหนักอยู่เหมือนกัน” รูปต่อไปเป็นรูปที่พี่กูนเข้าไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจหลังจากที่จบจากโรงเรียนเตรียมฯ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะช่วงนี้พี่กูนมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ดูดีและเท่มากกว่าที่ผ่านมา อาจจะเป็นช่วงที่พี่กูนเริ่มโตขึ้น ถ้าเทียบก็น่าจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัย
“รูปนี้คุณแม่ร้องไห้”
“แม่ภูมิใจ” คุณแม่หยิบรูปพี่กูนขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ ภาพที่พี่กูนรับข้าราชการตำรวจในเครื่องแบบพร้อมกับเครื่องหมายนายร้อย “แม่ไม่คิดว่า..กูนจะมาถึงวันนี้”
“ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะมีวันนี้เหมือนกัน” ถ้าพี่กูนไม่ยื่นมือช่วยผมในวันนั้นผมก็คง...ไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไร
“พี่กูนเขาอาจจะแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่แม่เชื่อว่าเขาเป็นห่วงและรักติมากๆนะลูก” คุณแม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ศีรษะของผมเบาๆ
“ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจผม..ทั้งๆที่ผมเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า”
“ตอนนี้ติมีแล้วนะ เราคือครอบครัวเดียวกัน” เท่านั้นแหละครับจากคนที่ไม่ค่อยจะอ่อนไหวกับคำพูดสักเท่าไหร่ อยู่ๆตอนนี้น้ำตาของผมกลับไหลออกมาเหมือนเด็กๆ เพราะความรู้สึกตื้นตัน ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ผมไม่เคยสัมผัสกับคำว่าครอบครัว..
“ผมขอกอดแม่ได้ไหมครับ?”
“เอาซิลูก” เป็นคุณแม่ที่ดึงตัวของผมเข้ามากอดพร้อมกับลูบศีรษะของผมไปดู ทุกสัมผัส ทุกความรู้สึกมันช่วยเติมเต็มในส่วนที่ผมขาดหายและไม่เคยได้รับจากผู้เป็นแม่..
“กอดของแม่มันอุ่นแบบนี้นี่เอง...”
กูนที่กลับมาถึงบ้านมองภาพที่แม่ของเขาที่ดึงสติเข้ามากอด เขาเองก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขารู้ว่ากอดของเขาอย่างเดียวมันอาจจะทำให้สติอุ่นแต่มันคงไม่อุ่นเท่ากับอ้อมกอดของคนเป็นแม่ สติมักพูดตลอดว่าอยากลองกอดแม่สักครั้ง อยากรู้ว่ามันจะอุ่นแค่ไหน ถ้าเสกให้เขาเป็นแม่ของสติได้กูนก็ยอมถ้ามันทำให้สติมีความสุข
สำหรับเขาที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่และน้องคงไม่ได้รู้สึกแบบที่สติรู้สึก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ขาดหายมันเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยความรู้สึกเติมเต็มที่เขาเคยได้รับ ทั้งหมดเขาจะมอบมันให้กับคนที่เขารักในตอนนี้
“ไอ้เด็กขี้แย่เอ้ย”
Sati’s talk
ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่หน้าวัด วัดที่เคยเป็นที่อยู่ของผม วันนี้ผมกลับมาเยี่ยมหลวงตาเพราะได้ข่าวว่าหลวงตากลับมาจากอินเดียแล้ว
“บรรยากาศที่คุ้นเคยว่ะพี่” ผมหันไปมองพี่กูนที่ยืนอยู่ข้างๆผมในมือของพี่กูนถือสังฆทานที่เราสองคนจะนำมาถวายหลวงตา
“อยากกลับไปอยู่ไหมล่ะ”
“ถ้าพี่อยู่ด้วยผมก็อยู่ได้”
“อยู่บ้านกูเหมือนเดิมแหละดีแล้ว” ตอนนี้ผมเดินนำพี่กูนเข้ามาที่กุฏิของหลวงตา ซึ่งระหว่างทางจะต้องผ่านกุฏิพระเก่าที่เคยเป็นที่อยู่ของผมตั้งแต่เด็กจนโต
“อันนี้บ้านผม”
“อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว” ถึงสภาพมันจะดูผุพังแต่ผมก็ขอบคุณมันนะที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ “เข้าไปดูไหม?”
“ครับ” ผมแวะที่กุฏิเก่าของผมเพื่อขึ้นไปดูว่าสภาพมันยังเหมือนเดิมไหม อีกอย่างผมก็อยากรู้ว่าของของผมมันจะอยู่ครบรึเปล่า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษกระดาษก็เถอะ
ทันทีที่ผมขึ้นไปด้านบนผมก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือข้าวของเครื่องใช้ของพระ อย่าบอกนะว่าตอนนี้พระเยอะจนต้องเอากุฏิเก่ามาใช้แล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นกุฏิที่มีเจ้าของอยู่ ผมจึงรีบออกมา
“เป็นของคนอื่นไปแล้วพี่”
“มึงก็มีบ้านแล้วไง” มันก็อดที่จะใจหายไม่ได้
ผมกับพี่กูนมุ่งหน้าไปยังกุฏิของหลวงตาต่อระหว่างนั้นผมก็พยายามซึมซับความรู้สึกและบรรยากาศเก่าๆของผม ที่ผมเคยอยู่ณ ตอนนั้น จนกระทั่งผมเห็นหลวงตากำลังสนทนาธรรมอยู่กับพระรูปหนึ่งอยู่ก่อนหน้า
“หลวงตาครับ”
“อ่าว มาไม่บอก” ผมรีบถอดรองเท้าออกและพุ่งกอดหลวงตาด้วยความคิดถึง หลวงตาท่านก็กอดผมตอบพร้อมกับลูบศีรษะของผมเหมือนอย่างเคย “โตขึ้นเยอะเลยนะเอ็ง”
“ผมคิดถึงหลวงตา หลวงตาสบายดีนะครับ”
“สบายดี แล้วนี่..มากับคุณตำรวจใช่ไหม” หลวงตาเพ็งไปยังพี่กูนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านนอก ผมจึงหันหลังไปบอกให้พี่กุนเข้ามาพร้อมกับสังฆทาน
“หลวงตาทิ้งผม” ผมแกล้งเบะปากทำหน้าเศร้าตามคอนเซ็ปต์ของการแสดง
“กลับมาอยู่ไหมล่ะ”
“ไม่ดีกว่าครับหลวงตา” ผมรีบตอบกลับทันทีที่ถาม จะกลับมาอยู่ได้ไงในเมื่อหัวใจของผมไม่ได้อยู่ที่นี้
“ขอบใจนะคุณตำรวจที่ดูแลมันให้”
“ผมก็ต้องขอบคุณหลวงตาที่ให้มันมาอยู่กับผม ถึงแม้ว่ามันจะดื้อและบ้าไปบ้างก็ตาม” ผมหันไปมองหน้าพี่กูนทันทีที่ว่าผมดื้อ ถ้าผมไม่ดื้อพี่ก็ไม่รักผมหรอกกกกก
“ดีแล้ว มาๆจะถวายอะไร” ผมกับพี่กูนถวายสังฆทานและถวายปัจจัยจำนวนหนึ่งให้กับหลวงตา ก่อนจะอยู่พูดคุยสักพักและขอตัวกลับ ผมสัญญากับหลวงตาว่าจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาดูแลหลวงตา เพราะผมไม่เคยลืมว่าหลวงตาคือผู้มีพระคุณที่สุดสำหรับเด็กที่ไม่มีอะไรอย่างผม
Kun’s talk
ผมยังจำได้ดีคำพูดของหลวงตาที่ท่านเคยพูดกับผมตอนที่ไอ้ติอยู่ในห้องฉุกเฉิน
‘ไอ้ติ ไอ้ติ มันเป็นอย่างไรบ้างครับ’
‘ ปลอดภัยครับ หมอบอกว่าขาหักและก็ช้ำตามตัวอีกพอสมควร ผมเลยให้หมอตรวจและเอกซเรย์อย่างละเอียดเผื่อว่ามีเลือดคลั่ง’
‘มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอคุณตำรวจ ไอ้จ้อย..ดูพี่พวกเอ็งทำกับหลวงตา หลวงตากลัวมันจะเรียนไม่จบจริงๆ อีกไม่กี่เดือน หลวงตาขอมันแล้วแต่ดูมันทำ...’
‘หลวงตาครับ คือเรื่องนี้ลูกศิษย์ของหลวงตาไม่ผิดครับ ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ก่อเหตุไว้ที่โรงพัก จากการสอบปากคำลูกศิษย์ของหลวงตาเป็นผู้ถูกกระทำ...’
‘คุณตำรวจถ้าหลวงตาขอร้องให้ช่วยบางอย่าง..’
‘ครับหลวงตา ผมพร้อมช่วยเสมอ’
‘หลวงตาขอให้คุณตำรวจช่วยเอาไอ้ติไปอยู่ด้วยได้ไหม ลำพังหลวงตาเองก็ดูแลมันได้ไม่ดี ไม่มีเวลาให้มัน อีกอย่างหลวงตาจะไปอินเดีย ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ คุณตำรวจช่วยหลวงตาด้วยนะ’
‘......’
‘ช่วยมันด้วยนะคุณตำรวจ...’
‘ครับ’
ใครจะไปรู้ว่าตั้งแต่วันที่ผมรับปากหลวงตา จนถึงวันนี้ ไอ้ติมันจะอยู่กับผมตลอดไป ถ้ามีผมอยู่มันจะปลอดภัย ผมไม่ยอมใครให้มาทำอันตรายกับมันเด็ดขาด เพราะ...ผมรักมันจริงๆครับ
2 ปีผ่านไป
ใครจะเชื่อว่าไอ้ติจะมีวันนี้!!!!
“ยินดีด้วยนะบัณฑิตใหม่!” ตอนนี้ผมยืนอยู่ในวงล้อมของพวกรุ่นน้องที่มาบูมให้ผมในวันรับปริญญาพร้อมกับเพื่อนๆของผม ไม่น่าเชื่อว่าผมจะเรียนจบแล้ว ไอ้ติเรียนจบปริญญาตรีแล้วเว้ย!!!!
“ขอบคุณครับ” ผมบริจาคเงินสมทบทุนให้พวกน้องๆที่มาบูมก่อนจะวิ่งไปหาพี่กูนที่วันนี้อาสามาถือของให้ผมและทำหน้าที่ซับเหงื่อให้ผมในวันที่อากาศร้อน
“ร้อนจังพี่”
“มึงนี่นะ” ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเหมือนไม่อยากทำให้แต่มือพร้อมทิชชูยื่นมาซับเหงื่อผมก่อนเลย ไม่ให้รักได้ไงวะ “จะกลับได้ยัง”
“รอถ่ายรูปก่อนดิพี่ พี่จ้างช่างภาพมาให้ผมนี่ยังถ่ายไม่คุ้มค่าจ้างเลยนะ”
“ไม่เป็นไร กูรวย” ผมยอมความรวยของพี่มันตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ด้วยแล้วแหละครับ เอาจริงๆงานรับปริญญาผมก็ไม่จำเป็นต้องจ้างช่างมาถ่ายรูปทุกฝีก้าวแบบนี้หรอก แต่ด้วยความเวอร์วังของพี่กูนมันก็ต้องมี มีทุกอย่างที่คนอื่นมีแม้กระทั่งพวงมาลัยแบงก์พันหลายพวงที่คล้องอยู่ที่คอของผม “อ่ะ น้ำ”
“ขอบคุณครับ” ผมรับน้ำเปล่าที่พี่กูนยื่นมาให้กระดกดื่ม แต่ยังไม่ทันที่จะยกกระดกพี่กูนกลับตบหัวของผมก่อน “ตบทำไมพี่ เดี๋ยวสำลัก”
“หลอดก็มี”
“มันไม่สะใจ”
“เดี๋ยวเลอะ” ผมก็ต้องยอมใช้หลอดตามที่พี่มันบอก หลังจากนั้นผมก็ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆคนอื่นเพื่อเป็นที่ระลึกในวันรับปริญญา อีกอย่างถ้าไม่มีเพื่อนๆผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะจบไหม เรียนมหาวิทยาลัยมันต้องพึ่งพาอาศัยกันครับ อย่างน้อยไม่มีปัญหาเรื่องงานกลุ่มก็โอเค
และแล้วเวลาที่พี่กูนรอคอยก็มาถึง เวลาที่ผมยอมกลับบ้าน ตอนนี้ของที่พี่กูนถือล้นมือเพราะส่วนมากมาจากรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งนั้น จนกระทั่งตอนนี้เราสองคนขึ้นมาอยู่บนรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
“ขอบคุณนะพี่ที่มางานรับปริญญาของผม”
“ถ้าไม่มาก็แปลก”
“ขอบคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้นะครับ ขอบคุณที่ส่งเสียผม ทั้งค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์การเรียน และที่สำคัญคือค่าเหล้า” ด้วยความที่อยากกวนตีนทำให้ผมกราบพี่มันที่อกก่อนจะผละออกมาที่เดิม
“กูดูเป็นเสี่ยเลย”
“ก็เสี่ยกูนไงพี่”
“ไอ้ติ มึงทำให้กูดูแย่”
“แต่ผมรู้ว่าพี่ชอบ”
“ต่อจากนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมึง” พี่กูนยื่นมือมาลูบศีรษะของผมเบาๆ “จะทำอะไรก็คิดดีๆ มีสติให้มากๆ คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังมึงเยอะๆ”
“อย่างน้อยพี่ก็อยู่ข้างๆผมนะ”
“เรียนจบแล้วอยากได้อะไร”
“ได้พี่”
“......”
“พูดจริงๆนะ อยากได้พี่มานานแล้ว พี่บอกว่าผมเรียนจบเมื่อไหร่ค่อยเปลี่ยนสถานะไง ตอนนี้เบื่อเป็นแฟนแล้ว อยากเป็นอย่างอื่น”
“ไอ้ติ มึงพูดอะไรรู้ตัวไหม”
“รู้ตัวทุกอย่าง”
“งั้นกลับกันเถอะ กูก็อยากเป็นอย่างอื่นกับมึงจะแย่แล้ว....”
ตอนจบของผมกับพี่กูนมันไม่จำเป็นต้องจบที่เซ็กส์เสมอไป แต่อย่างไร...ตอนนี้ผมก็อดใจไม่ไหวแล้วครับโดยเฉพาะช่วงลำตัวขาวๆของพี่กูน กล้ามหน้าท้องสวยๆ ไรขนเซ็กซี่แบบนี้ ผมยอม ผมยอมทุกอย่าง พี่กูนจะจับผมใส่กุญแจมือหรืออะไรก็ได้ผมยอม
“มึงพร้อมนะ”
“เวลาพี่จับคนร้ายพี่ต้องถามคนร้ายว่าพร้อมไหมอะครับ”
“มันไม่เหมือนกันนิหว่า”
“พี่ก็คิดว่าผมคือคนร้าย แล้วเรามาเล่นตำรวจจับโจรกันนะพี่” เท่านั้นแหละครับหนุ่มขี้อายที่ยืนงงอยู่ปลายเตียงเปลี่ยนมาเป็นคนละคน
แววตาของพี่กูนตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขามองผมเป็นคนร้ายและตอนนี้เขากำลังเล่นเป็นตำรวจที่กำลังไล่จับผม
“ขอตำรวจจับหน่อยนะครับ”
“จับเลยครับคุณตำรวจ” สิ้นเสียงยอมของคนร้ายอย่างผมพี่กูนก็กระโจนเข้ามาบนร่างของผมทันที และตอนนั้นเองที่ผมได้เรียนคำว่า ‘ไล่ล่า’ พี่กูนต้อนผมจนจนมุม จนผมไม่สามารถหนีเขาไปไหนได้
ท้ายที่สุดแล้วเราก็กลายเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์
ผมได้เรียนรู้คำว่าเติมเต็มจนครบสมบูรณ์ก็วันนี้ ผมอยากจะขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุข ขอบคุณที่อยู่ในทุกๆความสำเร็จของผม และขอบคุณที่อยู่ข้างๆผมตลอดไป....
“รักพี่นะครับ”
“พี่ก็รักเรา...”
แต่...........!! มันยังไม่จบ เมื่อมีจดหมายซองหนึ่งส่งมาที่บ้านของกูนพร้อมจ่าหน้าซองเป็นชื่อของสติ
“พี่ใครส่งมาให้ผมอะ” สติรีบเปิดจดหมายในช่วงวันหยุดพร้อมกับกูนที่นั่งลูบผมสติอยู่ข้างๆ
“มึงก็เปิดดูดิ”
“.......” สติค่อยๆแกะซองจดหมาย ทันทีที่เขาเห็นลายมือ สติจำได้ทันทีว่าเป็นลายมือของใคร “พี่ทิม...” สตินั่งตัวตรงตั้งใจอ่านโดยมีกูนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน
ถึงสติน้องรัก
พี่ขอโทษที่เป็นสาเหตุให้เราต้องเจ็บ พี่ไม่รู้ว่าเราจะให้อภัยพี่ไหม แต่ที่พี่อยากให้เรารู้ว่าพี่รักเราเสมอ พี่ดีใจที่เรามีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกับคนที่เรารัก ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้พี่เองก็สบายดี ได้ข่าวว่าเรียนจบแล้ว พี่ก็ยินดีกับเราด้วยนะ สำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ต่อไปก็คงต้องเหนื่อยหน่อยแต่พี่เอาใจช่วยเราอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าพี่พร้อมพี่จะกลับมาหาเรานะ แต่คงไม่กล้าบอกให้เรามาอยู่กับพี่แล้วแหละ พี่มีรูปที่พี่ถ่ายหเราดูด้วยเผื่อคิดถึง ไว้จะติดต่อไปใหม่นะครับ
รักน้องเสมอ
ทิม
สติเปิดดูรูปภาพที่แนบมากับซองจดหมาย เป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ พร้อมกับข้อความมากมายที่บรรยาย สติดีใจที่เห็นว่าพี่ชายของเขาสบายดี แต่คนข้างๆกลับ...
“มึงยิ้มอะไร”
“ก็มีความสุขไงพี่”
“ทีกูมึงไม่เห็นยิ้มแบบนี้เลย”
“ผมก็ยิ้มให้พี่ทุกวัน มีแต่พี่ที่ทำหน้าอมขี้ใส่ผม”
“เดี๋ยวมึงจะโดน”
“โอ๋เอ๋พี่ ผมอ่ะ รักพี่ที่สุดเลย” สติจับหน้าของกูนเข้ามาใกล้พร้อมกับกดจูบแรงๆ
ชีวิตนี้เขาคงไปไหนไม่รอดแล้ว มีที่เดียวที่สติจะอยู่ก็คือในใจของกูน
The End
ปล. จบแล้วพี่กูนน้องติ ขอบคุณทุกคนที่อยู่กับเรามาทุกตอนนะคะ ตอนแรกเรื่องนี้เรากะเอาไว้ว่าอยากไปเริ่มนามปากกาใหม่ อยากเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างเพราะปัญหาที่เราเจอกับนิยายมันเป็นประสบการณ์ที่แย่มากพอสมควร แต่พอเรากลับมาคิดดูแล้วปัญหานั้นมันแย่จริง แต่เราคิดว่าการเริ่มต้นใหม่มันเป็นการหนีปัญหาแต่บางครั้งการหนีปัญหามันก็น่าจะดีกว่าซึ่งตอนนั้นเราคิดแบบนั้น สุดท้ายแล้วเรากลับมาคิดว่าแค่ปัญหานั้นหรือว่าขี้ขลาดของเรากันแน่ จนสุดท้ายเรากลับมาเป็นไก่ทอดเหมือนเดิม ถึงวันนี้ไม่ใช่วันของเราแต่วันพรุ่งนี้หรือวันอื่นๆมันต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา ขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เรื่องแรกหรือเรื่องนี้ กำลังใจของทุกคนเป็นสิ่งที่สำคัญกับเรามากๆถ้าไม่มีทุกคนก็คงไม่มีไก่ทอดมาแล้วจ้าในวันนี้
ปล. ถ้าเราอัพช้าหรือหายไปนานเราต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้นะคะ สัญญาว่าจะเป็นไก่ทอดที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อนักอ่านที่น่ารักของเราทุกคน แค่คุณยิ้มและมีความสุขไปกับนิยายของเรา นั่นคือความสุขของคนเขียนค่ะ
ปล. 2 เรื่องใหม่เราเปิดแล้วนะคะ #โคอ่อนชอบกินหญ้าแก่