หลงที่ 26 : ก้าวใหม่ [หมอปาย]
“ จะพากูไปไหนเหรอ”
“ ตามผมมาเถอะครับ”
มันไม่ได้ให้คำตอบให้กระจ่างแต่กลับกุมข้อมือผมให้ออกเดินเคียงข้างกันไป ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังฉุดมือผมให้เดินไปไหนแต่ผมกลับรู้สึกไว้วางใจฝ่ามือที่เลื่อนมาโอบกระชับกันให้แน่นขึ้น ผมเหลือบตามองไปรอบๆซึ่งน่าจะเป็นตลาดยามค่ำคืนคล้ายๆกับถนนคนเดินเพราะมีของกินของใช้และงานแฮนด์เมดต่างๆวางขายเรียงรายโดยแบ่งเป็นโซนต่างๆให้ผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยมีทางเดินอย่างสะดวกสบาย เวลายามค่ำเช่นนี้ร้านรวงต่างก็ประดับประดาหลอดไฟสีสวยราวกับจะแข่งกันแย่งความสนใจจากผู้ที่มาเดินเที่ยว
ผมเผลอยิ้มออกมาตอนที่มองไปรอบๆแล้วเห็นบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ทั้งมันยังชี้ชวนให้ผมดูโน่นดูนี่ไปตลอดทาง บางครั้งผมได้ยินมันเผลอหัวเราะออกมาเมื่อเรียกชื่อของเหล่านั้นผิดไป ใบหน้าคมคายของมันเปิดรอยยิ้มกว้างดูสบายจนต้องยิ้มตาม และจากมือที่กุมกันไว้มันก็เปลี่ยนจากกุมมือผมมาโอบบ่าผมตอนที่ผู้คนเริ่มเดินกันหนาตามากขึ้น
“ เดี๋ยวหลงครับ”
“ อืม”
ผมรับคำแล้วเดินให้ช้าลงพร้อมกับเบียดหัวไหล่ตัวเองให้ชิดมันมากขึ้น ทุกครั้งที่เดินหัวไหล่เราเลยเสียดสีกันไปตลอดทาง มันหันมายิ้มให้ผมเสียกว้างท่าทางมีความสุขจริงๆและคงไม่แปลกถ้าผมจะยิ้มตอบมัน เราเดินจนถึงหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่งซึ่งด้านในเป็นลานกว้างมีการจัดตกแต่งบาร์แบบเปิด โดยตรงกลางมีเวทีเล็กๆคล้ายกับเปิดให้ทำกิจกรรมเปิดหมวก พอไปถึงผมเห็นกลุ่มคนนับสิบกำลังจัดเตรียมเวทีและเซ็ทเครื่องดนตรีตระเตรียมในการแสดงอะไรสักอย่างและที่น่าประหลาดใจคือห้าในสิบนั่นเป็นคนที่ผมรู้จักเคยคุ้นเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นสองคนในนั้นมีเพื่อนสนิทของผมอยู่ด้วย
“ หยก อั้ม”
ผมครางออกมาเมื่อเห็นเพื่อนสนิทสองคนโบกมือทักทายมาจากหลังเวที และไม่ต้องรอให้สงสัยอยู่นานสองคนนั้นก็สาวเท้าตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ มาทำอะไรกัน”
ยิมมันหันมาบอกขอตัวไปช่วยเพื่อนที่เวทีตอนที่สองคนนั้นเดินมาพอดี ผมยิ้มน้อยๆมองตาแผ่นหลังมันไปจนหยกยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับทำหน้าล้อเลียน
“ ฮั่นแน่”
“ อะไร” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และทวนคำถามซ้ำอีกครั้ง “ ว่าแต่สองคนนี้มาทำอะไรที่นี่”
“ มาช่วยหนึ่งมัน เห็นว่าวันนี้จะร้องเพลงเปิดหมวกเอาเงินไปสมทบการจัดกิจกรรมสโมสรของมหาลัย เมื่อวันก่อนเจอกันมันเลยชวนมาช่วยเล่นดนตรี นี่ก็มีรุ่นน้องคณะมันส่วนหนึ่งมาช่วยเตรียมงานแล้วก็กลับไปบางส่วนแล้ว เห็นว่าร้านนี้เป็นของรุ่นพี่ที่หนึ่งมันรู้จักเลยขอมาเล่นที่นี่”
อั้มมันตอบ คงไม่แปลกหรอกเพราะทั้งอั้มและหยกต่างก็เคยทำงานที่สโมสรส่วนกลางของมหาลัยพวกเราเลยรู้จักกับนายกสโมสรคณะนิเทศฯอย่างไอ้หนึ่งเป็นอย่างดี แต่ที่ผมแปลกใจคือดูเหมือนว่าอั้มกับหยกจะรู้จักกับไอ้ยิมเป็นอย่างดีทีเดียวเพราะเมื่อกี้ก่อนยิมมันผละออกไปพวกมันดันทักทายกันอย่างสนิทสนม
“ ร้านนี้บรรยากาศดี”
หยกมันพูดยิ้มๆสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ตอนที่พากันมานั่งอยู่โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเวที ตอนที่มองไปยังเวทีผมเห็นยิมกับเพื่อนมันอีกสองคนกำลังแสดงความคิดเห็นอะไรกันไม่รู้ สุดท้ายผมเห็นเนมมันเดินหน้าตูมมานั่งแปะอยู่ข้างๆผม พร้อมกับทำตาประหลับประเหลือกและสะบัดหน้าใส่เพื่อนสองคนนั้นที่ทำหน้าขบขันล้อเลียนรุ่นน้องผมอยู่
“ เป็นอะไรเนม”
ผมถามรุ่นน้องตัวเองที่นั่งอมลมจนแก้มพอง เนมมันสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะขยับมาเบียดผมมากขึ้น
“ ไอ้สองตัวนั้นมันไล่ผมออกมา”
“ หืม”
“ มันบอกว่าเนมไปเกะกะพวกมัน และยังบอกอีกว่านั่งไปเป็นเพื่อนพี่หมอเหอะอยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขวางทางเปล่าๆ พี่หมอดูพวกมันพูดดิ โคตรน่าเตะปากเนมอุตส่าห์มาช่วยยังพูดงี้อีก”
พูดไปก็ทำหน้าจะร้องไห้จนผมกับหยกสบตากันเลิ่กลั่ก ส่วนอั้มมาชิ่งไปช่วยพวกนั้นตั้งแต่สังเกตถึงเค้าความดราม่า ท่าทางรุ่นน้องตัวจ้อยที่อยากจะร้องไห้จนเต็มแก่ ร้อนถึงหยกตั้งผมแอบให้คำนิยามว่าพี่ชายฝาแฝดของเนมถึงกับรีบถลามาลูบบ่าลูบไหล่เป็นการปลอบประโลม
“ ใจเย็นๆก่อนพวกนั้นคงไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นหรอก เราก็รู้นี่ว่าเพื่อนเรามันห่ามกันขนาดไหนมันคงไม่ได้ตั้งใจให้มีความหมายไปในทางไม่ดีหรอก”
“ คอยดูนะ ถ้าพวกมันมาง้อเนมจะสั่งให้มันพวกมันทำเรื่องขายหน้าจนขยาดเลย”
เนมทำตาขวางน้ำเสียงขุ่นมัว สายตาจ้องไปที่ตัวต้นเรื่องสองคนซึ่งหันมายักคิ้วให้ทางนี้พอดี คราวนี้น้องผมถึงกับทำกระฟัดระเฟียดท่าทางเลือดขึ้นหน้า ผมได้แต่ถอนหายใจเอื้อมมือไปลูบบ่ารุ่นน้องที่ถูกพวกมันปั่นหัวจนขึ้นง่ายขนาดนี้ ดูสิโมโหจนไม่รู้ว่าพวกมันทำแบบนี้เพราะหยอกเล่นเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ปกติน้องผมไม่ใช่คนโกรธโมโหใครง่ายๆนี่หน่า เท่าที่รู้จักกันมาไม่รู้ไอ้พวกนั้นไปทำอะไรให้เนมมันโกรธจริงโกรธจังเอาขนาดนี้
“ ไอ้พวกบ้า”
เนมงึมงำในลำคอก่อนจะผลุนผลันลุกขึ้นยืนแล้วก้าวฉับๆไปทางหลังร้าน ทิ้งให้ผมกับหยกสบตากับปริบๆและเป็นหยกที่ลุกขึ้นตามไปดูน้องให้ เพราะขณะนั้นไอ้ยิมกำลังเดินมาทางนี้พอดี ส่วนโอ๊คเพื่อนมันอีกคนแค่หัวเราะราวกับถูกอกถูกใจอะไรสักอย่าง
“ พวกมึงไปแกล้งอะไรเนม”
ยังไม่ทันที่ยิมจะทรุดตัวลงนั่งผมก็ยิงคำถามใส่มันทันทีจนอีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆ
“ ไม่เกี่ยวกับผมเลยเหอะหมอ”
“ ก็เมื่อกี้น้องมันยังทำท่าทำทางโกรธพวกมึงอยู่เลยนี่”
“ ไอ้โอ๊คคนเดียวไม่เกี่ยวกับผมเลย” มันยักไหล่ชิวๆ “ มันแค่อยากทดสอบอะไรสักอย่าง”
“ อะไร”
“ อยากรู้เหรอครับ”
มันโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผม เหมือนว่าศีรษะมันจะอยู่เหนือผมเล็กน้อยทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน เพราะใกล้กันแค่นี้ทำให้ผมเห็นสีหน้าแววตามันใกล้ๆ แววตามันพราวระยิบเหมือนกับถูกใจอะไรบางอย่าง แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการที่ผมไม่คิดจะหลบใบหน้าคมคายตรงหน้านี้เลยตรงกันข้ามกลับเงยใบหน้าของเราให้ตรงกันพอดี ใกล้จนปลายจมูกแทบจะชิดกันอยู่แล้ว
“ถ้ากูบอกว่าอยากรู้ล่ะ”
“ ผมก็จะบอก”
ผมเลิ่กคิ้วมองมันเพราะแปลกใจที่มันยอมให้ง่ายขนาดนี้ มันเลยยิ้มให้น้อยๆยื่นนิ้วชี้ในเกลี่ยใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา
“ แปลกใจเหรอครับ”
“ ก็นิดหน่อยกูนึกว่ามึงจะยึกยักมากกว่านี้ซะอีก”
“ ไม่หรอกครับ”
มันตอบ “ ผมยอมหมอทุกอย่างแหละ ยอมแค่หมอคนเดียว”
“ งั้นเหรอ” ผมยิ้มมุมปาก
“ ถ้าบอกว่าเลิกกันเหอะ กูเจอผู้ชายคนใหม่มึงจะว่ายังไง”
มันทำหน้านิ่วไปพักนึงก่อนจะตอบเสียงเครียดๆ “ตายสิครับ”
“ จะฆ่ากูเลยรึไง” ผมเอ่ยกระเซ้ามัน
“ เปล่าครับไม่ใช่หมอ” มันกระซิบข้างหูผมเบาๆ “ ไอ้หมอนั่นต่างหากที่จะตาย ส่วนหมอผมจะทำให้ไม่กล้าพูดคำนี้อีก”
“ ทำยังไงไม่ให้พูด”
ผมว่าผมพลาดที่พูดแบบนี้ออกไปเพราะเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นริมฝีปากของมันก็ประทับจูบบดขยี้ริมฝีปากแรงๆทีนึง มันไม่ได้อ่อนโยนอะไร แต่เหมือนมันกำลังฟัดอะไรสักอย่างด้วยความมันเขี้ยว ผมเลยได้แต่ถอนหายใจเมื่อมันถอนริมฝีปากออกไปก่อนจะทำเนียนก้มลงมาอีกครั้ง ผมเลยรีบยันหน้าอกมันเอาไว้เพราะตอนนี้ลูกค้าในร้านเริ่มจะหนาตามากขึ้น ดีว่าโต๊ะใกล้เวทีตรงนี้หลบอยู่ในมุมไปงั้นคงได้กลายเป็นหนังสดให้คนอื่นดู
“ ไอ้ยิม”
“ ห้ามพูดแบบนี้อีกนะครับหมอ”
“ กูพูดอะไร”
ยิมมันยิ้มเครียดๆเป่าลมหายใจใส่หูผมจนชวนจั๊กจี้ ยิ่งแววตาตอนนี้ของมันดูเจ้าเล่ห์ชอบกลยังไงบอกไม่ถูก “ ถ้าหมอจะพูดผมอยากให้หมอพูดว่าเป็นแฟนผมแม่งโคตรดี เอวสี่จีซอยก็ถี่แถมยังชอบเบิ้ล”
“ ไอ้เหี้ย”
ผมเตะต้นขามันแรงๆในหัวอื้ออึงไปหมด รู้สึกว่าตัวเองใบหน้าร้อนผ่าวจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกยิ่งมันตะปบมือเข้าที่สะโพกผมแล้วคลึงไม่เบามือนัก
“ พูดสิครับ”
“ มึงนี่มัน”
ผมชกไหล่มันแรงๆอีกทีแต่มือปลาหมึกนี่ยังวนเวียนยุ่มย่ามอยู่ที่ร่างกายผมไม่เลิก
“ ไอ้หมายิม”
มันหัวเราะร่วนจนสุดท้ายคงจะเจ็บเพราะผมชกแรงขึ้นมันถึงหยุดมือ ผมเลยขยับถอยไปนั่งอีกเก้าอี้ให้ไกลจากมันแต่มันยังอุตส่าห์หน้าด้านตามมาติดๆ เลยได้แต่ถอนหายใจพรืด
“ ไม่อยากรู้เรื่องของโอ๊คกับเนมแล้วเหรอครับ”
“ ก็เล่าสิ”
“ ครับ”
“ มือมึงน่ะ” ผมทำตาขวางใส่มันที่เท้าแขนยาวมาถึงพนังเก้าอี้ของผมซ้ำมือมันยังเขี่ยหัวไหล่ผมชวนสยิวอีก พอถูกมองนานๆมันเลยละมือออกทำเป็นยืดเส้นยืดสายได้อย่างน่าหมั่นไส้
“ มีผู้หญิงมาขอเบอร์โอ๊คมันนะครับตอนที่เซ็ทเครื่องดนตรีอยู่ เนมมันทำท่าไม่พอใจ โอ๊คมันเลยแกล้งให้เบอร์ผิดไปก่อนจะไล่เนมมันออกมาเพราะอยากดูปฏิกิริยาบางอย่าง”
“ สองคนนั้นชอบกันเหรอ”
ผมถามอย่างสงสัยถึงจะสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าพวกมันดูมองกันแปลกๆแต่นึกไม่ถึงพวกมันจะมาซ้ำรอยแบบผมกับไอ้ยิมได้ เพราะพวกมันดูเหมือนไม่ค่อยกินเส้นกันในตอนแรกไม่นึกว่าสุดท้ายจะชอบกันได้ แต่อย่างว่าขนาดผมกับไอ้ยิมเคยเกลียดขี้หน้ากันแทบตายสุดท้ายก็ลงเอยกันแบบนี้ไปซะได้
“ พนันกับผมมั้ยหมอ”
“ พนันอะไร”
“ ผมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกมันขยับจากเดิมชัวร์”
“ เอาสิ” ผมนึกสนุกเพราะท่าทางเนมมันหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้นไม่ฆ่ากันตายวันนี้ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้วขืนโอ๊คมันไปพูดไม่คิดมีหวังจากรักคงจะได้รบกันแน่ “ กูว่ายังไม่ใช่วันนี้”
“ งั้นผมขอเป็นคนกำหนดขอรางวัล”
ผมหรี่ตามองมันเพราะดูยังไงผมก็เสียเปรียบอยู่ดี
“ พูดอย่างงี้กูก็เสียเปรียบสิวะ ในเมื่อกูไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรถ้าแพ้พนันมึง ขืนมึงให้ทำอะไรประหลาดๆกูก็แย่ดิ”
“ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“ แล้วมึงจะเอาอะไร”
มันยิ้มบางๆ เลื่อนมือมากุมข้อมือผมไว้แล้วอีกข้างหนึ่งก็ลากนิ้วชี้วาดลงที่ฝ่ามือด้วยประโยคๆหนึ่ง
“ งั้นดีล”
“ ดีลครับ”
ผมมองตามแผ่นหลังมันซึ่งเดินหายลับไปหลังเวทีแล้วเผลอยิ้มออกมา มันไม่ได้ขออะไรมากเหรอมันขอแค่ ‘สปาเก็ตตี้แกงเขียวหวาน’ เท่านั้นเอง
*******************************************************
เวลานี้บรรยากาศภายในร้านยิ่งดึกคนยิ่งหนาตา ยิ่งมีดนตรีสดๆเล่นให้ฟังแลกกับการรับบริจาคเงินสำหรับใช้ในกิจกรรมของมหาลัย นักดนตรีมือสมัครเล่นจำนวนห้าคนซึ่งประกอบไปด้วย ยิม อั้ม หนึ่งและรุ่นน้องผู้ชายคณะมันอีกสองกำลังเริ่มขับกล่อมลูกค้าด้วยเพลงช้าๆก่อนจะเพิ่มจังหวะให้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงบรรดานักท่องเที่ยวนั่งชิวก็เริ่มลุกออกไปเต้นหน้าเวทีอย่างสนุกสนาน ไม่ต่างจากพวกเราบนโต๊ะที่ขยับศีรษะไปมาพร้อมกับร้องเพลงคลอไปด้วย
ผมเพิ่งสังเกตว่าหลังจากที่เนมมันไปหายไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าแดงเรื่อกับโอ๊ค ท่าทางทั้งคู่ดูขัดเขินเป็นภาพที่แปลกตาผมกับหยกมาก ผมยิ้มมุมปากเพราะสังหรณ์ใจว่าผมคงแพ้พนันยิมมันซะแล้ว หลังจากนั้นโอ๊คมันก็กระโดดขึ้นประจำตำแหน่งกีต้าร์คู่กับยิม ผมสังเกตว่าพวกมันเผลอหัวเราะออกมาแล้วยิมมันก็หันมายักคิ้วให้ผมเป็นการตอกย้ำความพายแพ้ของผมอย่างราบคาบ
ผ่านไปสามสี่เพลงจากเพลงโยกเบาๆก็กลายเป็นเพลงมันส์ๆจนเหล่านักท่องเที่ยวต่างกระโดดเย้วๆสุดเหวี่ยง ผมนั่งท้าวคางมองมือกีต้าร์ที่ยิ้มเสียกว้างตอนที่โยกศีรษะแรงๆเพราะดนตรีที่เร้าอารมณ์ อย่างที่บอกว่ายิมมันเป็นมีหลายบุคลิกทั้งสดใส สนุกสนานและบางครั้งก็ดูกวนตีน แต่ทุกอย่างที่รวมเป็นมันทำให้ผมอบอุ่นบอกไม่ถูก และเป็นมันที่ทำให้ความรู้สึกแย่ๆเบาบางเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
ผมนึกสงสัยตัวเองว่าตั้งแต่เจอมันวันนี้ผมยิ้มออกมาแล้วกี่ครั้ง มันคงมากมายจนนับไม่ถ้วนมันเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่ยิ้มออกมาเวลาที่มีมันอยู่ข้างๆ เพราะตอนนี้ผมเองก็กำลังยิ้มอยู่และมันก็หันมายิ้มให้เช่นกัน ผมชูมือเหวี่ยงไปมาและโยกตัวตามจังหวะเพลงขณะที่มันดีดกีต้าร์มือเป็นระวิง แต่ถึงอย่างนั้นสายตาเราก็ไม่ละจากกันเลย
หลังจากจบการแสดงที่กินเวลาไปชั่วโมงกว่าพร้อมเสียงตอบรับอย่างถูกอกถูกใจของนักท่องเที่ยว พี่หนึ่งยิ้มหน้าบานเพราะจำนวนเงินที่คนร่วมกับบริจาค เหล่านักดนตรีต่างได้รับความสนใจด้วยมีคนมาขอถ่ายรูปเนิ่นนานกว่าที่พวกนั้นจะกลับมาที่โต๊ะ สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นมากมายแต่แววตาทุกคนกลับเต็มไปด้วยความสุข มันทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ใกล้ๆผมก่อนจะคว้ามือผมไปหยิบเอาผ้าเย็นแล้วเอามาเช็ดหน้ามัน
ผมเผลอหัวเราะออกมาเพราะแทนที่มันจะทำเองกลับจับบังคับมือผมให้ทำให้ แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับเต็มใจทำให้ผมจากใจจริง มันเอียงหน้าไปมารับกับมอผมที่มาจับอยู่กำลังลูบไล้ผ้าไปตามโครงหน้าของมัน
“ เอ่อ ขอโทษนะคะ”
ผมหยุดชะงักมือขณะที่มันเอี้ยวใบหน้าไปหาต้นเสียง ทันได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดรัดรูปกำลังยิ้มให้มันอย่างขวยเขิน ท่าทางของเจ้าหล่อนดูแสดงออกชัดว่าปลื้มมันไม่น้อย
“ ครับ”
“ จะเป็นอะไรมั้ยคะ ถ้าจะขอเบอร์”
ผมกระตุกมุมปากตอนที่มันหันมาสบตากัน ยิมทำหน้าเหวอก่อนจะยิ้มอ่อนไปให้หญิงสาวคนเดียวในที่นี้ มันกุมข้อมือผมให้กระชับแน่นขึ้นแล้วพูดขึ้นว่า
“ ต้องถามเจ้าของเขาก่อนครับ”
หญิงสาวทำหน้าแปลกใจหันมามองผมตามสายตาของมัน “ ว่าไงครับหมออยากให้มั้ย”
“ ก็ให้ไปสิ”
เมื่อได้ยินแบบนี้สาวเจ้าถึงกับฉีกยิ้มกว้าง ส่วนไอ้ยิมได้แต่หัวเราะขำก่อนจะยื่นมือไปรับโทรศัพท์เธอมากด
“ ผมให้เบอร์หมอ”
“ หืม”
หญิงสาวทำหน้าประหลาดใจเมื่อยิมมันยื่นโทรศัพท์มาให้ผมแล้วหันไปคุยกับเธอ “ ผมให้เบอร์แฟนผมนะครับ ถ้าคุณอยากคุยคงต้องโทรเข้าเครื่องเขา”
หล่อนทำหน้าเหวอ “ นะ นี่พวกพี่สองคน”
“ อย่างที่เข้าใจล่ะครับ นี่แฟนผม” ยิมมันยิ้มกว้างโอบไหล่ผมเสียแน่น ทิ้งให้ผมทำหน้าเหวอแทนเพราะคาดไม่ถึงว่ามันจะกล้าขนาดนี้ ตอนแรกแค่จะแกล้งเรื่องให้เบอร์ใครจะไปคิดว่ามันจะตลบหลังเขาแบบนี้
“ งะ งั้นไม่ขอแล้วค่ะ ขอตัวนะคะ ขอให้รักกันนานๆ” หญิงสาวละล้ำละลักบอก รีบคว้าโทรศัพท์มือถือในมือผมไปอย่างรวดเร็วแล้วผละจากไปอย่างรวดเร็ว
“ โอ้ย”
มันร้องโอดโอยเมื่อโดนผมดีดหน้าผากไม่เบานัก ถึงหน้านั้นสีหน้าแววตามันกลับตรงกันข้ามเพราะมันเต็มไปด้วยประกายขบขัน
“ พูดอะไรแบบนั้นวะ”
“ พูดเรื่องจริงสิครับ ผมมีแฟนแล้วนี่จะให้เบอร์คนอื่นซี้ซั้วไปยังไง” มันเลิ่กคิ้วถาม “ หมอพูดแบบนี้ผมน้อยใจนะเนี่ย พูดอย่างกะว่าหมอไม่หึงผมเลยอย่างงั้นแหละ”
มันหรี่ตามองทำท่าน้อยอกน้อยใจ
“ หรือว่าหมออายครับที่จะบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนผม”
“ กูเปล่า”
มันถอนหายใจก่อนจะเงียบไป อาการที่ผิดแปลกไปจากปกติทำให้ผมนึกเอะใจ ตลอดเวลามันไม่เคยรบเร้าอะไรกับเรื่องนี้เลย แต่บางครั้งมันอดคิดไม่ได้นั่นแหละเพราะผมไม่เคยพูดอะไรออกไปเลย
“ ยิม”
“ ครับ”
ผมเอื้อมมือสอดประสานฝ่ามือมันแล้วบีบเบาๆ “ กูไม่เคยอายที่เป็นแฟนมึง แต่เรื่องบางมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่กูไม่ป่าวประกาศไม่ได้ต้องการปิดบัง เพราะไม่มีใครถาม แต่ถ้าใครถามกูก็จะตอบเขาไป”
“ ตอบว่าอะไรครับ”
ผมหรี่ตามองมันจนแอบเห็นว่ากำลังกลั้นยิ้ม
“ มีแฟนแล้ว”
“ แล้วหมอรักแฟนหมอมากมั้ยครับ”
“ คิดว่าไงล่ะ” ผมย้อนมัน
“ ต้องรักมากสิครับ”
มันตอบสีหน้ามั่นอกมั่นใจในตัวเองจนผมส่ายหัว
“ เอาที่สบายใจ”
“ หมอทวนคำตอบให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
“ เออมีแฟนแล้ว เป็นเด็กเหี้ยๆข้างห้อง พูดจากวนประสาท ชอบทำเนียนมาจีบแล้วสุดท้ายก็ตกกระไดพลอยโจรไปกับคนบ้าๆแบบมัน ที่สำคัญหน้ามันดูเหมือนหมาเหงาๆเลยต้องรักมันมากๆหน่อย รักมากจนอยากจะฆ่าทิ้งเวลาที่มันกวนตีน” จบประโยคยืดยาวของผมมันดันหัวเราะก๊ากท่าทางขบขันจริงๆ
“ รักมากขนาดนี้สงสัยต้องมีรางวัลให้”
“ แต่งงานกันเลยมั้ยล่ะ มึงจะมีผัวไวๆทันใช้”
ผมเหน็บมันอย่างไม่จริงจังนัก แต่มันสิดันตาโตแล้วขยับมากระซิบข้างหูผมเบาๆ “ ใครผัวใครเมียพูดดีๆหมอ”
“ เอ้านี่มึงยังไม่รู้สถานะตัวเองอีกเหรอ”
“ ความหยาบไม่มีผลในแนวราบนะครับ”
มันยักคิ้วสองจึก “ แต่ความเสียวมีผลในทุกๆแนว”
“ ไอ้หมายิม”
มันไหวตัวทันตอนที่ผมเตรียมซัดไหล่มันไปสักที ก่อนที่มันจะระเบิดเสียงหัวเราะจนโต๊ะรอบๆหันมามอง ไม่ต่างจากสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนในโต๊ะที่เหมือนจะนิ่งฟังบทสนทนาของพวกเราจนเก็บรายละเอียดได้ทั้งหมด
“ ฉลองสิครับยืนรอเหี้ยอะไร คนจะได้กัน” ไอ้หนึ่งลุกขึ้นชูแก้วร้องนำ
“ ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ไอ้พวกห่านี่
(มีต่อ)