Something we needn’t to know… [ปราชญ์ x เอย์เดน]
“หมอปราชญ์คะ”
ช่วงขาเรียวยาวที่กำลังสาวเท้าอย่างเร่งรับชะงักตามเสียงเรียกปราชญ์ลอบถอนหายใจเล็กน้อย อ้อมแขนเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารที่หอบเต็มไม้เต็มมือ วันนี้เขายุ่งจนจะบ้าตายอยู่แล้วเมื่อคืนก็อยู่เวรจนถึงดึกดื่นจนเกือบจะเข้ารุ่งสาง เช้าตรู่มีประชุมบอร์ดบริหารย่อยๆหลังจากนี้ช่วงบ่ายยังต้องเข้าห้องแล็บวิจัยอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ดีคุณหมอหนุ่มที่ควบตำแหน่งผู้บริหารอย่างเขาจำใจต้องแย้มยิ้มจอมปลอมตอบรับเสียงเรียกอย่างช่วยไม่ได้
“คุณนิศามีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามเสียงเรียบเมื่อหันไปเห็นเจ้าของเสียงเรียก
“เรียกนิศก็ได้นี่คะหมอปราชญ์คนกันเอง” เจ้าหล่อนเอ่ยเสียงระรื่น ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนแย้มยิ้มกว้าง
ไอ้คนกันเองของเจ้าหล่อนนี่แหละที่ทำให้เขาลำบากใจ… อันที่จริงเธอก็สวยและนิสัยน่ารักดีหรอกถ้าหากเขามีเวลาก็อยากจะชวนไปทานมื้อค่ำต่อด้วยดริงค์ชมวิวที่สกายบาร์สักแก้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาแล้วงานวิจัยที่เขามีส่วนร่วมด้วยทำให้เขาไม่มีแม้แต่เวลาพักผ่อน ไอ้การจะหวังออกไปพักผ่อนหย่อนใจแบบนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย
“คุณนิศมีธุระอะไรหรือเปล่าครับวันนี้คุณณรงค์ไม่ได้นัดตรวจสุขภาพนี่ครับหรือผมจำวันผิดไป”
“อ๋อคุณพ่อไม่ได้มีตรวจหรอกค่ะ นิศแค่แวะมาหาคุณหมอคนเก่ง พอดีนิศมาทำธุระแถวนี้น่ะค่ะก็เลยอยากจะชวนหมอปราชญ์ไปทานข้าวกลางวันกันสักหน่อยสะดวกไหมคะเนี่ย หรือหมอปราชญ์ทานข้าวกลางวันเรียบร้อยแล้ว”
ปราชญ์ได้เพียงแค่ยิ้มรับพร้อมกับกล่าวปฏิเสธไปอย่างสุภาพ “ขอโทษจริงๆครับพอดีวันนี้งานยุ่งมากเลย คงไม่สะดวก”
เขาอยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆเหลือเกินต้องรับมุขเดิมๆแบบนี้กี่ครั้งกันวะเนี่ย แล้วหล่อนไม่เห็นหรือไงว่าเขาว่างที่ไหน แฟ้มเต็มมือแบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปกินข้าวกลางวันนอกโรง’บาลกัน ได้มาม่าคัพสักถ้วยก็บุญโขแล้ว!
“อุ้ยแล้วได้ทานอะไรหรือยังคะ ถ้ายังไงให้นิศไปซื้อมาให้ดีมั้ย…”
ความหวังดีของหล่อนกลับกลายเป็นความช่างตื๊อไปโดยปริยายปราชญ์ไม่ชอบการพูดซ้ำสอง และที่สำคัญเขาไม่ชอบคนจู้จี้วุ่นวายไปทุกเรื่อง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณณรงค์พ่อยัยคุณนิศาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพ่อของเขาแถมยังพ่วงด้วยตำแหน่งลูกค้าวีไอพีเสียที่ต้องรับรองเป็นพิเศษเพราะคุณลุงวัยห้าสิบกว่าดันเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วสำคัญกว่านั้นคือเคสนี้พ่อเขาฝากให้ดูแลโดยตรงเสียด้วย
ยุ่งยากชะมัด!
“เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันครับ”ปราชญ์ตัดบทสั้นๆพร้อมรอยยิ้ม
“นิศว่า…”
“เฮ้ด็อกเตอร์ปราชญ์”
เสียงภาษาไทยแปร่งๆดังขึ้นจากด้านหลังของคนถูกเรียกส่งผลให้บทสนทนาของคนสองคนถูกขัดแต่ก็เป็นการขัดที่ตรงจังหวะเสียจนปราชญ์อยากจะให้รางวัลคนเรียกเป็นโบนัสสักสามเท่า
“ไอซื้อคลับแซนวิชกับลองแบล็คอเมริกาโน่มาให้แล้วนะเดี๋ยวเรากินไปแล้วก็คุยกันไปเรื่องแล็บวิจัยออโธปีดิกส์ของปีล่าสุดดีไหม?”เสียงแหบแต่กังวานใสของคุณหมอตาน้ำข้าวเอ่ยอย่างร่าเริง ปราชญ์เห็นดวงตานั้นขยิบให้เล็กน้อยเหมือนรู้กัน
“Oh, You’ve got a guest? Sorry…” (อ้าว มีแขกนี่ ขอโทษนะครับ)
“She’s going soon…” (เธอกำลังจะไปแล้ว) ปราชญ์ตอบด้วยสำเนียงชัดแจ๋ว เขาเหลือบมองใบหน้าเนียนของหญิงสาวที่ดูบึ้งตึงขึ้นมาเล็กน้อย“ขอโทษทีนะครับคุณนิศ ไว้วันหลังนะครับ วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ ผมต้องขอตัวก่อนยังไงคราวหน้าถ้าคุณนิศมาแถวนี้โทรมานัดผมก่อนแวะเข้ามาดีกว่านะครับ”
… จะได้ไม่มาเก้อด้วยไงครับ
ปราชญ์เอ่ยตัดบทรวดเร็วด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจนคนฟังจับต้นชนปลายไม่ทันรู้ตัวอีกทีพวกเขาสองคนก็เดินเลี่ยงออกมาเรียบร้อยแล้ว คุณหมอหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยหน่ายตรงกันข้ามกับคุณหมอฝรั่งตัวเล็กกว่ากันไม่เท่าไรที่เดินไปฮัมเพลงไปจู่ๆคุณหมอหน้าคมตาสีเทาก้าวขายาวมาดักตรงหน้า มือเล็กค่อยๆหยิบแฟ้มเอกสารสองสามเล่มในอ้อมแขนไปเปิดดูแล้วก็ใส่กลับมาที่เดิมรื้อดูสองสามรอบจนได้เล่มที่ตัวเองต้องการถึงถือเล่มนั้นไว้ในมือ ส่วนที่เจ้าตัวไม่ต้องการเขาก็ต้องแบกมันเอาไว้เหมือนเดิมเขาเริ่มก้าวเท้าไปตามทางเดินสำหรับเจ้าหน้าที่เหมือนเดิม
“ไหนล่ะคลับแซนวิชของผม”
“ไม่มีนั่นอาหารกลางวันของฉันต่างหาก” พูดเย้าพร้อมกับใช้มือข้างที่ว่างลูบพุงแบนราบโชว์ดูไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งทานอาหารอิ่มมาสักนิด
ปราชญ์กรอกตามองเพดานสีขาวด้วยความอ่อนใจสงสัยวันนี้ต้องกินมาม่าจริงๆเสียแล้ว
“งั้นด็อกเตอร์ช่วยหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าให้ผมแล้วโทรไปสั่งพี่จิ๋วให้แวะซื้อมาม่าให้ผมทีที่ห้องหมดแล้ว”
“เป็นหมอกินนู้ดเดิ้ลคัพไม่ดีเลยนะ”
“ก็ใครกันนะที่มาขัดจังหวะลันช์เบรคมื้อใหญ่ของผมกัน”
“หือ?ใช่เหรอ Liar…” เสียงแปร่งเอ่ยถามย้ำ “ฉันเห็นใครบางคนแถวนี้ไม่อยากไปหรอกเลยเข้าไปช่วย”
“รู้ได้ไงว่าผมไม่อยากไปนี่ถ้าไม่ติดงานผมไปแล้วนะ” ปราชญ์ตอบเสียงเรียบ ขายาวหยุดยืนที่หน้าบานประตูไม้ทางเข้าห้องทำงานของเขาพยายามจะประคองแขนข้างซ้ายของตัวเองให้จับแฟ้มเอกสารให้มั่นอีกข้างควักกุญแจออกมาอย่างทุลักทุเลดวงตาเหลือบมองคนหน้าใสใจดำที่ยืนฮัมเพลงรออยู่ข้างๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาถือของเต็มมือขนาดนี้ยังยืนมองเฉย“ช่วยหน่อยสิ”
“หึถ้าขอร้องก็ช่วยตั้งแต่แรกแล้ว” ริมฝีปากอิ่มนั้นบ่นขมุบขมิบ
“ผมก็นึกว่าด็อกเตอร์จะมีน้ำใจโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปาก”
“เอ๊ะอะไรกัน หาว่าฉันไม่มีน้ำใจงั้นเหรอ”
“ผมยังไม่ได้พูดแต่ถ้าด็อกเตอร์จะรับไป...”
“Bad boy!” (เด็กไม่ดี)
“I never tell you I’m that good… Anyway, I’m not a boy anymore.” (ผมก็ไม่เคยบอกเสียหน่อยว่าผมเป็นคนดี อีกอย่างผมไม่ใช่เด็กแล้วด้วย)ปราชญ์พูดไปถอนหายใจเสียงดัง นี่เขาเลยเบญจเพศมาสามปีแล้วนะ ไม่เด็กแล้ว“เอาเถอะ ช่วยผมเปิดประตูหน่อยครับด็อกเตอร์เอย์เดน”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงคุณหมอตาน้ำข้าวส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วแทรกตัวเข้ามาเบียดเขาออกให้พ้นทางมือขาวจัดกว่าคนเอเชียทั่วไปกระชากพวงกุญแจจากมือเขาไปไขและบิดลูกบิดประตูเสียงดังเดินตึงตังนำเข้าไปในห้องก่อน ปราชญ์ยกเข่าชันขึ้นเพื่อไม่ให้ประตูเด้งกลับใส่หน้าเขายกยิ้มมุมปากครู่เดียวก็กลับไปตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
ห้องทำงานของเขาพ่วงหน้าที่ห้องพักแพทย์ส่วนตัวเอาไว้ด้วยเพราะเช่นนั้นนอกจากโต๊ะทำงานไม้สีน้ำตาลเข้มเงาวับที่ตั้งอยู่กลางห้องพร้อมบรรดากองเอกสารที่ถูกตั้งซ้อนกันจนสูงและคอมพิวเตอร์แม็คจอใหญ่แล้วยังมีโซฟารับแขกขนาดย่อมตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง อีกมุมมีโต๊ะตัวเล็กที่ใช้วางเครื่องชงกาแฟและถ้วยสามสี่ใบถัดจากนั้นไปคือบานประตูที่เชื่อมเข้าไปสู่ห้องพักขนาดย่อมที่ประกอบไปด้วยเตียงนอนขนาดควีนไซส์ตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำขนาดเล็กเท่านั้น ปราชญ์เดินไปวางเอกสารที่หอบหิ้วมาด้วยที่โต๊ะกลางระหว่างโซฟารับแขกสองตัวเพราะบนโต๊ะทำงานของเขาไม่มีที่ว่างสำหรับวางอะไรเหลืออีกแล้ว
คนที่เข้ามาก่อนจับจองพื้นที่มุมหนึ่งของโซฟาเรียบร้อยแล้วด็อกเตอร์เอย์เดนกำลังเปิดแฟ้มเอกสารเล่มที่บรรจุผลงานวิจัยเคสต่างๆที่เขาเลือกมาอ่านเพื่อสรุปและนำเสนอกับทีมห้องแล็บช่วงบ่ายนี้ปราชญ์เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว เขายังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเลยนอกจากกาแฟแก้วใหญ่ช่วงแปดโมงก่อนออกตรวจคนไข้รอบเช้าเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ ไล่หาเบอร์เลขาคนสวยที่คงกำลังพักกลางวันอยู่เขากดต่อสาย รอสัญญานดังสองสามครั้งหล่อนก็รับอย่างรวดเร็ว
“พี่จิ๋วครับพักอยู่หรือเปล่า กลับเข้ามาช่วยแวะซื้อข้าวให้ผมหน่อยนะ อะไรก็ได้ครับง่ายๆขอเร็วๆหน่อยเดี๋ยวผมกินไปอ่านเอกสารไปแล้วเข้าประชุมแล็บรอบบ่ายเลย”
(เอ๊ะคุณปราชญ์ไม่ได้ทานกับด็อกเตอร์เอย์เดนแล้วเหรอคะ) เสียงประหลาดใจของปลายสายทำให้เขาเลิกคิ้วสงสัยมองสมาชิกอีกคนในห้องที่ยังคงนั่งทำหน้าเฉย
“เปล่านี่ครับ”
(ก่อนพี่ออกมาพักพี่เจอด็อกเตอร์เอย์เดนมาหาบอกว่าจะชวนไปทานข้าว...ตายแล้ว พี่ไม่รู้จะกลับไปทันไหม พอดีออกมาห้างแถวนี้น่ะค่ะ...)
หล่อนพูดยังไม่ทันขาดคำเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ปราชญ์เห็นฝรั่งตัวเล็กกว่าวางแฟ้มลงบนโต๊ะ กระโดดตัวปลิวไปเปิดประตูราวกับเป็นเจ้าของห้องเขาเหลือบตาเห็นพนักงานร้านขนมปังยี่ห้อดังในชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองยื่นถุงสีน้ำตาลถุงใหญ่ให้คนไปรับแล้วก็ต้องส่ายหน้ากับตัวเอง
“ไม่ต้องแล้วครับพี่จิ๋วผมได้ล่ะ ขอบคุณมากนะครับยังไงพี่ไม่ต้องรีบนะ ขอบคุณมากครับ”
เขากดตัดสายในขณะเดียวกันกับที่คนที่วิ่งปราดไปรับของเมื่อสักครู่เดินถือถุงเต็มไม้เต็มมือพร้อมกับฉีกยิ้มหวานให้แต่ทำไมเขาสังเกตเห็นหางปีศาจที่กระดิกไปมาลางๆด้านหลังก็ไม่รู้
“ใครกันแน่ที่ขี้โกหก”เขายื่นมือไปช่วยเลื่อนกองเอกสารไปมุมหนึ่งของโต๊ะ ให้อีกคนทยอยลำเลียงของออกมาจากถุง
“แล้วใครบอกว่าของยูนี่ของไอต่างหาก แต่สงสัยสั่งมาเยอะไปหน่อย แบ่งกันแล้วกันเนอะ” ลอยหน้าลอยตาตอบเหมือนไม่ได้สร้างเรื่องอะไรเอาไว้
ชายหนุ่มเห็นแล้วส่ายหน้าเอือมระอาเขาขยับไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆอีกฝ่ายที่กำลังก้มตัวจัดอาหารบนโต๊ะ มือขาวเปิดกล่องอย่างคล่องแคล่วปราชญ์เห็นคลับแซนวิชกล่องใหญ่ขนาดพิเศษ สโมคแซลมอนสลัดและซุปเห็ดถ้วยโตส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายคนกำลังหิวจัดอย่างเขามากจนต้องเอื้อมมือไปหยิบแซลมอนสีส้มที่วางล่อตาอยู่ด้านบนของผักสลัดอย่างดีแต่ยังไม่ทันที่มือจะได้สัมผัส มือขาวจัดก็ตีเพี๊ยะลงบนหลังมือของเขาเบาๆพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้งของคุณหมอหน้าสวย
"ล้างมือหรือยัง"
ปราชญ์ยักไหล่ ที่จริงก็ไม่ค่อยพอใจที่ตัวเองถูกเอ็ดราวกับเป็นเด็กเล็กแต่กับอีกฝ่ายเขาจะยอมก็ได้ ชายหนุ่มถอนใจ เดินลากขาไปที่ห้องน้ำขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆล้างมือฟอกสบู่แล้วเช็ดให้แห้งสนิท ตามด้วยเจลแอลกอฮอล์ด้วยความเคยชิน จากนั้นจึงเดินกลับมานั่งที่เดิมเขาเหล่หางตามองเห็นคนตัวเล็กกว่าจัดเรียงของอย่างขะมักเขม้นแล้วก็นึกอยากแกล้ง ปัดนิ้วไปใกล้ผิวแก้มเนียนละเอียดจนเจ้าตัวสะดุ้ง
"เล่นอะไรเนี่ย" คุณหมอฝรั่งตัวขาวขู่ฟ่อ นัยน์ตาสีเทาอมฟ้านั้นจ้องหน้าเขาเขม็งเห็นแล้วเหมือนแมวเปอร์เซียสีขาวตาสีเทาตัวโตที่กำลังขู่คนที่แหย่ยิ่งใบหน้าเรียวบึ้งตึงหงุดหงิดอยู่แล้วยิ่งเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
“ก็อยากให้ช่วยพิสูจน์ว่าล้างมือสะอาดแล้ว”
เปล่า... จริงๆแล้วอยากจับต่างหากได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะของที่จู่ๆก็เกิดอยากจะหวงตัวขึ้นมาแล้วหงุดหงิดเป็นบ้ามือใหญ่แนบเข้ากับแก้มขาว ใช้ปลายนิ้วออกแรงดันคางของอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นปลายนิ้วแข็งแต่อุ่นตามอุณหภูมิร่างกายขยับเข้ากดคลึงเล่นที่ริมฝีปากบางสีสดของคนตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ
เอย์เดนขยับหางตาไล่มองจากปลายนิ้วมือของอีกฝ่ายแล้วหยุดที่ใบหน้าหล่อคมที่จดจ้องอยู่บนใบหน้าของเขามุมปากกดยิ้มลึก ขยับใบหน้าไปตามฝ่ามืออุ่นที่ทาบติดเขาแลบลิ้นแตะเบาๆที่ปลายนิ้วอุ่นนั้นแผ่วเบาแล้วชักกลับแทบจะทันทีปราชญ์รู้สึกราวกับไฟแล่บ ขนลุกเกรียววูบไปทั้งไขสันหลัง
“Do you want to have lunch now… Or do you want me to prove your scent? Choose one…” (อยากจะทานข้าวกลางวันกันตอนนี้หรืออยากจะให้ฉันพิสูจน์กลิ่นของนายกันแน่ เลือกสักอย่างสิ)
ปราชญ์ยิ้มขื่นสายตาปราดมองนาฬิกาดิจิตอลเรือนใหญ่ที่ติดอยู่บนกำแพงถัดจากประตูไม้สีเข้มทางเข้าของห้องในหัวสมองคำนวณเวลาอย่างรวดเร็วแล้วก็ต้องถอนหายใจแรงกระชับฝ่ามือที่ทาบอยู่กับแก้มใสของผู้ชายหน้าอ่อนวัยสามสิบต้นๆบีบเบาๆจนแก้มโย้
“OK, you win…”
นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเวลาไม่พอที่จะสละไปทำอะไรๆแล้วล่ะก็คุณอย่าคิดว่าจะรอดมือผมไปได้เชียวนะ ด็อกเตอร์เอย์เดน!
ปราชญ์เดินโซเซออกจากห้องประชุมแขนซ้ายหนีบแฟ้มเอกสารสีดำหนาหนักเอาไว้ นอกจากน้ำหนักของมันจะหนักแล้วเนื้อหาก็หน่วงไม่แพ้กันเลย เขาเหลือบมองตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งโครงการและแผนงานวิจัยที่เดินตามมาพร้อมกับคณะแพทย์และผู้บริหารอีกสองคนกลับพูดคุยกับคนที่เดินมาด้วยท่าทีเริงร่าทิ้งให้คนที่เดินนำหน้ามาไกลอย่างเขาต้องหยุดนั่งรออยู่ที่โซฟาตัวเล็กที่ใช้รับรองแขกอยู่แถวนั้นมือใหญ่พลิกแฟ้มเอกสารที่บรรจุเอกสารงานทดลองรวมถึงงบประมาณคร่าวๆแล้วก็ถอนหายใจสั้นๆแม้จะรู้ว่าโรงพยาบาลของเขาและโปรเจ็คยักษ์ของพ่อทุ่มเทให้กับการวิจัยเรื่องข้อต่อเทียมมาเป็นเวลานานถึงอย่างนั้นการตัดสินใจบางอย่างก็ถือเป็นปัญหาหนักอกไม่น้อยปราชญ์นึกโทษตัวเองที่เลือกเรียนหมอและโทษพ่อของตัวเองที่ตัดสินใจเกษียณหนีปัญหาไปไวนัก
จะเรียนหมอหรือไม่เรียนจบมาก็ต้องมาบริหารงานที่โรงพยาบาลอยู่ดีประโยคนี้ฝังหัวเขาตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนหัวเกรียนใส่กางเกงน้ำเงินแล้วปราชญ์เบ้ปากเมื่อคิดถึงเรื่องสมัยก่อนนึกโทษตัวเองที่บ้าจี้ไปกับคำพูดของพ่อและคนรอบตัวที่ว่าหากลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลควบตำแหน่งหมอด้วยก็คงจะโก้ไม่น้อยพ่อไม่เคยบอกให้ปราชญ์เรียนหมอตรงๆรายนั้นรู้ดีว่าการหลอกล่อทางอ้อมฝังหัวเขาได้ดีกว่านักชายหนุ่มเอนหลังพิงโซฟาแล้วเงยหน้าพาดคอ หลับตาพักเพราะรู้สึกปวดไมเกรนแปล๊บบริเวณขมับสาเหตุอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เขาพักผ่อนไม่เพียงพอแถมยังเจอเรื่องน่าปวดหัวหลายๆวันติดกันอีก
สัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือบนบริเวณหน้าผากทำให้ร่างสูงค่อยๆลืมตาขึ้นชายหนุ่มค่อยๆลืมตาแสงจ้าจากหลอดไฟนีออนทำให้เขาค่อยๆหรี่ตามองภาพเลือนลางเป็นร่างของคนตรงหน้าทีแรกเขานึกว่าจะเป็นคนที่เขากำลังนั่งรออยู่แต่พอเห็นชัดใบหน้าที่เห็นก็ทำเอาเขาถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ของวัน
“เหนื่อยเหรอคะนอนตรงนี้เชียว”
ยัยคุณนิศานี่ยังไม่กลับไปอีกเหรอเนี่ย
ปราชญ์ลุกขึ้นนั่งตัวตรง เผลอปัดมือหล่อนออกเบาๆ “นิดหน่อยครับคุณนิศแวะเข้ามาอีกรอบเหรอครับ”
“อ๋อพอดีขากลับนิศสวนกับคุณจิ๋วก็เลยแอบถามตารางหมอปราชญ์นิดหน่อย ไม่โกรธนะคะตอนเย็นหมอปราชญ์ว่างใช่มั้ยคะ? นิศกับคุณพ่อจองดินเนอร์ที่โรงแรมเอาไว้โทรหาคุณพ่อแล้วเขาก็บอกว่าให้ชวนหมอปราชญ์ไปด้วยให้ได้น่ะค่ะ” เธอพูดแล้วเดินอ้อมมานั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
พ่อหล่อนหรือหล่อนกันแน่ที่อยากให้เขาไปด้วยปราชญ์ยิ้มแหย จะโทษพี่จิ๋วเลขาคนสวยของตัวเองก็ไม่ได้ อันที่จริงเขากลับคิดว่าพี่จิ๋วไม่น่าจะบอกตรงๆคุณนิศาน่าจะหว่านล้อมให้พูดโดยที่มีชื่อคุณณรงค์เป็นแบ็คอัพชั้นดีทำให้เลขาของเขาหลุดปากพูดออกไปมากกว่าหากวันนี้เขาไม่เครียดเรื่องงานขนาดนี้หล่อนอาจจะไม่ต้องมาตามเฝ้าเขาเช้าเย็นแบบนี้เพราะเขาอาจจะตอบตกลงไปแต่แรกเพื่อตัดปัญหาแล้วคุณนิศาเข้าใจอะไรผิดไป ยิ่งหล่อนเซ้าซี้เขามากเท่าไรเขายิ่งรำคาญ และหากรำคาญมากๆอาจจะระเบิดจนไล่ตะเพิดไปจนหล่อนวิ่งออกจากโรง’บาลไม่ทันแน่ๆ
“หมอปราชญ์คะเชิญห้องแล็บชั้น 4 ด้วยนะคะ มีเคสด่วนต้องการคำปรึกษาค่ะ” นางพยาบาลวัยกลางคนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำให้คุณหมอหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นรับอย่างว่องไวนึกดีใจที่งานเข้าตอนนี้ชะมัด ถ้าไม่อย่างนั้นเขาได้ตัดรอนหล่อนไปด้วยคำพูดรุนแรงแน่นอนเพราะกับตัวคุณนิศาเองเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วเขาเกรงใจพ่อเจ้าหล่อนมากกว่า
“ปราชญ์คะ แล้วนัดเย็นนี้...”นิศารั้งแขนใหญ่ของเขาเอาไว้ปราชญ์ส่งยิ้มให้แล้วใช้มืออีกข้างค่อยๆปลดนิ้วเรียวสวยที่ประดับไปด้วยเล็บเคลือบสีชมพูอ่อนออกนึกนับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ
“ต้องขอโทษด้วยนะครับเอาไว้ผมจะส่งของขวัญไปขอโทษคุณณรงค์ทีหลัง ถ้าวันไหนคุณนิศอยากนัด ผมขอให้โทรหาพี่จิ๋วลงตารางล่วงหน้าแล้วกันนะครับสวัสดีครับ”
ปราชญ์สาวท้าวออกจากโซฟารับรองเดินตามหลังพยาบาลที่วิ่งมาตามไปอย่างรวดเร็วเขาใช้ข้ออ้างในความรีบร้อนนั้นระบายอารมณ์หงุดหงิดด้วยการเดินลงส้นเท้าเสียงดังก้องไปทั้งทางเดินโรงพยาบาลที่เงียบสนิท
วันนี้อะไรๆก็ดูจะขัดหูขัดตาไปทุกอย่างคอยดูเถอะ พักเมื่อไรจะหนีไปอัดบุหรี่ให้ชุ่มปอดเลยเชียว
ถนนสาทรที่มักวุ่นวายคราคร่ำไปด้วยรถยนต์เงียบสนิทเมื่อเลยช่วงเวลาหลังสี่ทุ่มไปแล้วร่างสูงยืนท้าวระเบียงห้องที่คอนโด เหลือบมองรถที่เบาบางด้านล่างอย่างเหม่อลอยมือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ที่ไหม้จนเกือบจะหมดมวนเอาไว้ควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ คืนนี้ลมพัดเย็นมากกว่าทุกวันอาจจะเป็นเพราะช่วงกลางวันฝนตกลงมาระบายความร้อนของอากาศไปมากเสียงเพลงบรรเลงเปียโนCanon D Major จากเครื่องเสียงยี่ห้อดังถูกเปิดคลอดังออกมาที่ระเบียงภายนอกผ่อนคลายความตึงเครียดที่เจ้าตัวเจอมาตลอดทั้งวันเขาบิดคอจนได้ยินเสียงกร๊อบสองครั้งขยี้ปลายบุหรี่ที่แทบจะไม่ได้สูบเลยลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่วางไว้บริเวณนั้นจากนั้นก็เดินเข้ามาภายในห้อง
“นึกว่าจะนอนข้างนอกนั่น”
เสียงที่ดังมาจากความมืดภายในห้องทำเอาปราชญ์สะดุ้งเขาจำได้ว่าตอนกลับมาเขากลับมาคนเดียวไม่ได้พ่วงใครตามมาด้วยแต่สำเนียงภาษาไทยแปร่งหูที่เขาได้ยินเป็นประจำก็ทำให้เขาโล่งใจอย่างประหลาดชายหนุ่มสืบเท้าไปที่สวิตช์ไฟที่ติดกับกำแพงอีกฝั่งแล้วเลือกที่จะกดเปิดไฟสีส้มนวลเพื่อให้ปรับสายตาได้ง่ายกว่าไฟนีออนสีขาวร่างบางของคุณหมอฝรั่งตัวเล็กที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาทำเอาเขาถอนหายใจ
“มาตอนไหน”
“about 15 minutes after you… ไม่รู้ตัวเลยสิ”
ปราชญ์เหล่มองคีย์การ์ดสำรองที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยกลางโซฟาชุดใหญ่ปกติแล้วเขาจะมีคีย์การ์ด 3 ชุด ชุดแรกของเขา ชุดที่ 2 ของคนที่บ้านเผื่อเอาไว้ใช้เข้าออกเวลาแวะมาหาและชุดสุดท้ายของเลขาของเขา
นี่คงไปหลอกล่อพี่จิ๋วมาสิท่า...
ชายหนุ่มขยับตัวนั่งลงข้างๆมุมที่คนตัวเล็กกกว่าจับจองเอาไว้เรียบร้อยแล้วพาดแขนไปตามความยาวของโซฟาตามความเคยชิน “จะมาทำไมไม่บอกจะได้รอกลับมาพร้อมกัน”
“ตอนแรกว่าจะทำแล็บต่อแต่ไม่เอาดีกว่า...” ฝรั่งตาสวยพูดแล้วยักไหล่ จากนั้นก็หันมาหรี่ตามองหน้าเขาปราชญ์เลิกคิ้วมองเป็นเชิงถามว่าอีกฝ่ายมองอะไร “ยูเถอะ ไปดินเนอร์ที่ไหนมา prince charming…”
“หึ...อย่างผมคงไม่ได้เป็นเจ้าชาย เป็นตัวร้ายมากกว่า”
“ตัวร้ายที่มีแต่สาวมาหาถึงเช้าถึงเย็น”
“Jealous?” (หึงเหรอ?) ปราชญ์พูดพลางอมยิ้ม ดวงตาคมดุเหลือบมองคนข้างๆอย่างหยอกล้อ
“Does my face seems like that?” (หน้าฉันบอกแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ) คุณหมอเอย์เดนยิ้มกลับมือเล็กเย็นกลิ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อแตะที่ต้นคอหนาของคนตัวโตกว่ากดคลึงเบาๆ
“ไม่น่ะสิไม่สนุกเลย” ชายหนุ่มเบะปากเสียดายปล่อยให้อีกฝ่ายนวดคลายความตึงเครียดที่ต้นคอเบาๆเขาฮึมฮำในลำคออย่างสบายตัวขึ้นมานิดหน่อย “Never know you’re good at massage. (ไม่เห็นเคยรู้ว่านวดเก่ง)
“ไม่เก่งแต่รู้ว่ากดกล้ามเนื้อโพสเทอเรียไทรแองเกิ้ลแล้วขยับมากดตรงมาสตอยด์โพรเซสแล้วจะสบายดี”
“มันก็หลักการเดียวกันนั่นแหละนะ”ร่างสูงหัวเราะหึหึ ขยับตัวหันหลังให้อีกฝ่ายออกแรงกดได้ถนัดขึ้น
เขารู้สึกถึงแรงยวบจากเบาะโซฟาด้านหลังก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงเปลี่ยนท่ามาเป็นยืนเข่าสองข้างเพราะเหลือบตามองเงยหน้าขึ้นไปด้านบนก็เห็นใบหน้าสวยของคุณหมอฝรั่งหน้าเด็กที่ก้มลงมาช้าๆแตะริมฝีปากปัดผ่านหน้าผากกว้างของเขาเชื่องช้าแล้วถอนออก ยืดตัวขึ้นตามเดิมคนที่อยู่ต่ำกว่าเอนหลังพิงถ่ายน้ำหนักให้คนด้านหลังรับเต็มที่มือเล็กจากที่บีบคลึงอยู่บริเวณสันบ่าและหลังคอจึงต้องละออกมากอดไว้รอบคอของเขาแทน
“ผมก็คิดมานานแล้วนะ...”ปราชญ์เปรยขึ้นเสียงเบา รู้สึกประสาททั้งห้ากำลังจะชัตดาวน์ตัวเองอย่างไรอย่างนั้นคงเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้วพอสบายตัวเข้าหน่อยมันก็ชักจะง่วงขึ้นมาดื้อๆ
“What are we…?”
เอย์เดนหัวเราะเบาๆในลำคอเมื่อได้ยินประโยคคำถามงึมงำจากร่างสูงของเด็กหนุ่มตรงหน้าแม้จะดูโตอย่างไร อีกฝ่ายก็ยังเด็กกว่าเขาวันยังค่ำ เด็กๆมักอ่อนไหวง่ายโดยเฉพาะเวลาที่อ่อนแอ...
เอ... เหนื่อยๆแบบนี้เรียกว่าอ่อนแอไหมนะเหมาไปว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจก็แล้วกัน
“Do you want me to state clearly?” (อยากจะให้ฉันพูดให้ชัดเหรอ)กระซิบเสียงแผ่วเจ้าเล่ห์จนคนฟังย่นคิ้ว
“ไม่อยากรู้ล่ะ”ปราชญ์ตัดบท
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพวกเขาสองคนนี่ก็แปลก ผลัดกันแหย่กันไปมาอยู่ได้ใจหนึ่งเขาก็อยากรู้แต่อีกใจเขากลับคิดว่าความสัมพันธุ์แบบนี้น่ะดีแล้วยิ่งกับคนที่ไม่ต้องการข้อผูกมัดที่รัดแน่นจนหายใจไม่ออกแบบเขา
“But I want you to state clearly…” (แต่ฉันอยากให้นายพูดให้ชัด...) ร่างเล็กพูดเสียงแผ่วก้มลงกระซิบใกล้กับใบหน้าคมที่ดูจะตื่นตัวขึ้นมานิดหน่อย “with that girl…” (กับเด็กคนนั้น...)
“หึงจริงๆสินะ” ร่างสูงกว่าแต่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่าเหล่มองใบหน้าเล็กของคุณหมอลูกครึ่งอังกฤษ-รัสเซีย
คุณหมอเอย์เดนยักไหล่ส่งสีหน้าเป็นเชิงว่าให้เขาคิดเอง
ปราชญ์ส่ายหัว“ไม่แฟร์เลย... แต่แบบนี้ก็ดีแล้วแหละ”
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าความคลุมเครือแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันอย่างน้อยมันก็ดูท้าทายดี ถึงแม้เขาสองคนจะไม่ได้ระบุความสัมพันธุ์ที่มีให้ชัดเจนแต่สายใยบางๆที่เชื่อมต่อกันครั้งหนึ่งแล้วมันกลับไม่ขาดง่ายๆ
ปราชญ์ไม่เคยคิดว่าเขาจะเจอคนที่เรียกได้ว่ามองตาก็รู้ใจอีกทั้งยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนที่ทำให้เขาสบายใจเวลาอยู่ใกล้ปรากฎอยู่บนโลกนี้เรื่องอื่นจะเป็นยังไงไม่สำคัญล่ะเขารู้สึกว่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ไม่ชอบการยึดติดแบบเขาและเขากลับรู้สึกว่าแม้ไม่ได้แสดงออกหรือพูดให้ชัดเจน อีกฝ่ายก็รู้สึกแบบเดียวกัน
ไม่ชัดเจนในสถานะแต่ชัดเจนในความรู้สึก...
ปราชญ์ปล่อยให้ความเงียบครอบงำพวกเขาสองคนนานแล้วชายหนุ่มจึงขยับตัวออกจากอ้อมแขนเล็กที่โอบรอบคอเขาไว้จากด้านหลัง มือเล็กของอีกฝ่ายลูบต้นแขนเขาเบาๆราวกับจะกล่อมให้นอนแล้วชักจะง่วงขึ้นมาจริงๆแต่เขากลับยังไม่อยากนอนตอนนี้เท่าไรหาอะไรคุยน่าจะดีกว่า
“เรื่องงานเมื่อกลางวัน...”
จุ๊ๆ..เสียงจุ๊ปากเป็นจังหวะทำให้คนเริ่มต้นบทสนทนาขมวดคิ้ว
“No work at home…” (อยู่บ้านไม่ต้องพูดถึงเรื่องงาน) ฝรั่งตัวขาวจัดพูดเสียงเบาแตะปลายนิ้วเข้ากับริมฝีปากสีสดของร่างสูง“เป็นเงื่อนไขแรกระหว่างเราสองคน”
ปราชญ์กดยิ้มลึกผ่อนลมหายใจยาวเบาๆแทนมือใหญ่ยกขึ้นยึดข้อมือเล็กเอาไว้แน่นแล้วกดจูบลงที่ฝ่ามือเล็กกว่านั้นหนักๆจนคนโดนจั๊กจี้
“I suppose… we should stop talking… and start to make… love… instead.” (งั้นผมว่าเราควรหยุดคุยกันสักที แล้วเปลี่ยนมาเมคเลิฟกันแทน...) เสียงทุ้มกระซิบใบหน้าหล่อคมเงยมองใบหน้าสวยของคนที่เกาะกอดอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั้งพวงแก้มใสมองกี่ทีก็เพลินตาทุกครั้งไป
เอย์เดนกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆแล้วคลายออกมองชายหนุ่มเด็กกว่าที่ส่งสายตาเจ้าเล่ห์เจ้ากลมาให้ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังปรือจนแทบจะสลบเหมือดไปด้วยความเหนื่อยอ่อนแล้วก็ต้องอมยิ้มจนแก้มบุ๋มทั้งสองข้างเขาโน้มตัวลงสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปากหนาเจือกลิ่นมินต์ของบุหรี่ที่อีกฝ่ายสูบมาเมื่อสักครู่แล้วกระซิบตอบด้วยเสียงพร่า
.
.
“You bet! This time… You win.”
------------------- END ----------------